[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 59 พ่อปีศาจ~

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 59 พ่อปีศาจ~ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        พวกเขาออกเดินทางใหม่อีกครั้ง อารมณ์และจิตใจของทุกคนในทีมมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ ฉากในซูเปอร์มาเก็ตเมื่อครู่นี้เหมือนเป็นการสาบานร่วมกัน ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่ได้ส่งผลกับแค่กลุ่มของดอล์ริสเท่านั้น จริง ๆ แล้วตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงที่นิวซีแลนด์ กลุ่มของไป๋อี้ก็ถือว่าชีวิตค่อนข้างเป็นไปได้ดีเลยทีเดียว อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ได้ขาดแคลนทรัพยากรด้านอาหารและไม่ได้อดมื้อกินมื้อ ดังนั้นพวกเขาจึงยังไม่รู้สึกอะไรมาก แต่หลังจากได้เห็นคนกลุ่มนั้นทุกคนก็รู้ว่าโลกนี้มีความตึงเครียดมากกว่าที่พวกเขาคิด     

        ต้องมีชีวิตต่อไปเพื่อที่จะได้เห็นด้วยตาตัวเองว่าแท้จริงแล้วเหตุใดโลกจึงเปลี่ยนเป็นโลกที่โหดร้ายได้ถึงเพียงนี้!

        ……

        อุทยานแห่งชาติตองการิโรตั้งอยู่ใจกลางทางตอนเหนือของนิวซีแลนด์ และเป็นอุทยานแห่งชาติที่เก่าแก่ที่สุด ภายในอุทยานมีต้นไม้อย่างหนาแน่น มีภูเขาสูง วิวหิมะ ธารน้ำ  อีกทั้งภูมิทัศน์ก็งดงาม ทั้งยังมีภูเขาไฟที่ตระการตารวมไปถึงการมีระบบนิเวศน์ที่หลากหลาย จึงกลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของนิวซีแลนด์

        หรือถ้าให้อธิบายง่าย ๆ ก็คือ …… มันกว้างใหญ่ไพศาลมาก!

        ไป๋อี้และคนอื่น ๆ แวะพักที่อุทยานแห่งชาติ ที่นี่เป็นเมืองสุดท้ายก่อนที่พวกเขาจะมุ่งหน้าไปอุทยานตองการิโรแล้ว ถนนข้างหน้าถูกปกคลุมไปด้วยวัชพืชไปกว่าครึ่ง อันที่จริงแล้วสาเหตุที่เดินทางได้ช้าแบบนี้ ก็เป็นเพราะพืชพวกนี้โตกันเร็วมาก ถ้าขับรถโดยไม่ระวังล่ะก็อาจจะรถคว่ำหรือไม่ก็ไปติดกับพวกพืชที่แข็ง ๆ เหล่านั้นจนขับต่อไปไม่ได้แน่ ๆ

        ไป๋อี้ขึ้นไปยืนบนหลังคาเพื่อดูเส้นทางที่มุ่งเข้าสู่อุทยานตองการิโร ไกลออกไปเป็นพื้นที่ราบกว้างใหญ่ ไกลกว่านั้นก็จะเป็นภูเขาที่มีหิมะสีขาวโพลนอยู่ตรงด้านบนทอดยาวติดกันหลายลูก เป็นเพราะเซลล์ของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้น การมองเห็นจึงพัฒนาขึ้นจากเดิมจนไม่อาจเทียบกันได้ ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถมองสิ่งต่าง ๆ ในระยะไกลได้อย่างชัดเจน

        ไป๋อี้กระโดดลงมาจากบนหลังคาเบา ๆ และขยับร่างกายเล็กน้อย เขารู้สึกได้ว่าตอนนี้ร่างกายของเขาฟื้นตัวมากกว่าครึ่งแล้ว

        “สถาบันวิจัยอุทยานแห่งชาติตองการิโร!” ไป๋อี้มองไปที่มาร์ติน

        “อือ ที่เชิงเขาของภูเขาไฟรัวเปฮู”

        “งั้นไปกันเถอะ” ไป๋อี้พยักหน้าหลังจากได้รับคำยืนยันจากมาร์ติน

        ว่ากันว่าสวนคือพื้นที่ธรรมชาติเชิงนิเวศแบบดั้งเดิม ยิ่งเข้ามาลึกเท่าไหร่ ถนนที่แต่เดิมกว้างขวางนั้นก็ถูกวัชพืชปกคลุมไปเกือบทั้งหมด สุดท้ายก็เลยต้องให้รถบรรทุกขับอยู่ด้านหน้าบดถนนนำไปก่อน เพื่อให้รถยนต์อีกสองสามคันข้างหลังขับตามได้อย่างราบรื่น แต่เมื่อเข้าสู่พื้นที่ป่าไม้ ถนนเส้นนี้ก็ถูกรากไม้ที่ทั้งหนาทั้งใหญ่ปกคลุมทั่วไปหมด จนไม่สามารถผ่านไปได้เลย

        “หงฉี่ฮว๋า เฮลัวส์ ไปดูสถานการณ์ข้างหน้าให้หน่อย ถ้าถนนมันพังเป็นระยะทางยาวมาก พวกเราคงต้องทิ้งรถแล้วล่ะ” หลังจากที่ไป๋อี้ลงจากรถไปดูแล้วจึงได้หันมาพูดกับหงฉี่ฮว๋าและเฮลัวส์

        “โอเค” ฮงฉี่ฮว๋าตอบรับแล้ววิ่งไปพร้อมกับเฮลัวส์

        “ขอพูดหน่อยนะ ไป๋อี้ นายน่าจะให้ฉันไปกับเฮลัวส์” วูล์ฟลงจากรถมาพูดกับไป๋อี้

        “ไม่ได้ รูปร่างและความคล่องตัวของนายไม่เหมาะกับงานสำรวจถนนแบบนี้ ฮงฉี่ฮว๋ากับเฮลัวส์มียีนของแมวอยู่ ให้พวกเธอทำงานแบบนี้งานมันจะง่ายขึ้นเยอะ เอาเถอะ อย่ามัวแต่สนใจทางนั้นเลย ทุกคนระวังพวกแมลงหรือสัตว์แปลก ๆ จู่โจมเข้ามานะ” ไป๋อี้เมินวูล์ฟ แล้วหันไปพูดกับคนอื่น ๆ แทน

        บริเวณนี้ยังอยู่ใกล้กับถนนและยังมีพื้นที่โล่งเล็กน้อยในบริเวณรอบ ๆ หญ้าแถวนี้นั้นรกสูงกว่าคนเสียอีก

        หลังจากผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง ฮงฉี่ฮว๋ากับเฮลัวส์ก็วิ่งกลับมาแล้วส่ายหัวให้กับไป๋อี้

        “ไปไม่ได้แล้วแหละ ถนนที่ผ่านป่านี้พังเสียหายไปหมดแล้ว ถ้าจะซ่อมแซมมันก็คงต้องเสียเวลาค่อนข้างมากเลย” หงฉี่ฮว๋าบอก

        “งั้นก็ทิ้งรถเถอะ เก็บข้าวของทั้งหมดแล้วเดินเท้ากัน” ไปอี้พูด

        “ต้องทิ้งรถซะแล้วเหรอ โชคร้ายจริง ๆ เลย” วูล์ฟเกาหัวของเขาแกรก ๆ วูล์ฟในตอนนี้สูงเกือบ 2.8 เมตร ดูแล้วเหมือนสัตว์ประหลาดไม่มีผิด  รูปร่างกำยำแบบนี้แน่นอนว่าเหมาะกับงานขนย้ายแบกสัมภาระเป็นอย่างยิ่ง

        พวกไป๋อี้ได้เตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์แบบนี้ไว้แล้ว ดังนั้นหลังจากเก็บอาหาร ยา และอาวุธเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เริ่มออกเดินทางทันที อย่างที่คิดเอาไว้ว่าวูล์ฟคนเดียวก็สามารถแบกกระเป๋าหนังสัตว์สูงเกือบ 4 เมตรที่ใส่อาหารทั้งหมดเอาไว้ได้จริง ๆ แล้วนั่นก็ไม่ได้ถือว่าหนักมากสำหรับวูล์ฟในตอนนี้เลย ทุกคนแข็งแกร่งกันมากยิ่งขึ้นแล้ว

        “โมโม่อยากขึ้นมานั่งไหม?” วูล์ฟถามโม่โม่

        โมโม่มองไปที่กระเป๋าหนังสัตว์ที่โยกไปมาตามจังหวะการเดินของวูล์ฟ แล้วหันกลับมามองชาร์ไป่ที่อยู่ข้าง ๆ หนูน้อยส่ายหัวปฏิเสธ จากนั้นก็เตรียมที่จะขึ้นขี่หลังของชาร์ไป่แทน ตั้งแต่ชาร์ไป่ตัวใหญ่ขึ้น โม่โม่ก็ชอบขี่หลังมันเป็นประจำ

        “โมโม่ เดินเอง อย่าแตกกลุ่ม” ไป๋อี้พูดขึ้นมา

        โม่โม่ที่กำลังจะปีนขึ้นหลังชาร์ไป่อยู่นั้น เมื่อได้ยินที่ไป๋อี้บอกก็เหลือบตามองดูพ่อ เมื่อเวลาผ่านไปครู่หนึ่งก็ไม่เห็นท่าทีว่าพ่อจะเปลี่ยนคำพูด จึงทำได้แค่ส่งเสียงตอบรับออกไปคำหนึ่ง “อือ!”

        คนอื่นเมื่อเห็นสายตาขอความช่วยเหลือของโมโม่ ถึงใจจะอยากช่วยแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้  แน่นอนว่าไป๋อี้รักโม่โม่มาก แต่ทุกครั้งที่ไป๋อี้ต้องการจะสอนอะไรโม่โม่ คนอื่น ๆ ก็จะไม่สามารถเข้าไปยุ่งได้ แม้แต่เมย์ริสและซาร่าก็ช่วยพูดให้ไม่ได้ ก็เหมือนที่ไป๋อี้พูดไว้ ว่าการรักมากเกินไปอาจเป็นการทำร้ายหนูน้อยทางอ้อมได้

        ไป๋อี้เดินอยู่ข้างกายโม่โม่  เขาปล่อยให้โม่โม่วิ่งตามทุกคนด้วยตัวเอง และไม่คิดที่จะเปลี่ยนใจ เขาไม่แม้แต่จะดึงโม่โม่ให้วิ่งไปพร้อมกับเขาด้วยซ้ำ โม่โม่มองไปที่ไป๋อี้ด้วยดวงตาที่เอ่อคลอหลายครั้ง แต่เธอก็รู้ว่าพ่อไม่มีทางเปลี่ยนใจแน่นอน เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น โม่โม่จึงจำเป็นต้องเดินด้วยสองเท้าเล็ก ๆ ของตัวเอง พยายามวิ่งตามทุกคนอยู่ข้างหลัง แม้แต่ไป๋อี้และคนอื่นยังรู้สึกว่าเดินอย่างลำบาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโม่โม่เลย แค่พื้นที่ที่มีน้ำขังอยู่เล็กน้อยก็ดูเหมือนจะสามารถท่วมโม่โม่ได้ทั้งตัวอยู่แล้ว

        ไม่นานนัก หงฉี่ฮว๋าและคนอื่น ๆ ก็เดินนำไปไกลจนลับตา เหลือแค่เพียงโม่โม่ ไป๋อี้และชาร์ไป่เท่านั้นที่ตามอยู่ด้านหลัง

        “พ่อ!” โม่โม่ล้มอีกครั้ง ดวงตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยน้ำตา ดูแล้วทั้งน่าสงสารทั้งน่าเอ็นดูไปพร้อมกัน

        “ลุกขึ้นมา ถ้ามีกิ่งไม้ขวางทางอยู่ก็ตัดมันทิ้งด้วยตัวเอง!” ไปอี้พูดพร้อมกับดึงดาบคะตะนะออกมา  แล้วตัดกิ่งไม้ที่ขวางทางออกไป เห็นดังนั้นโม่โม่ก็เม้มปากแล้วดึงมีดของตัวเองออกมาโดยเรียนรู้วิธีต่าง ๆ จากไป๋อี้

        “ถือมีดของตัวเองให้ดี ระวังองศาการถือ ถ้าโดนตัวเองขึ้นมาคงเป็นเรื่องที่โง่เกินไปแล้วแหละ ใช่ไหม? เร็วขึ้นหน่อย หนูจะให้ทุกคนรอหนูไปจนถึงเมื่อไหร่” ไป๋อี้พูดกับโม่โม่

        โม่โม่พยายามอดทน  และหนูน้อยก็ยังหวังให้ทุกคนมาช่วย หวังให้พ่อของเธอใจอ่อน …… แต่น่าเสียดาย หนูน้อยต้องเดินด้วยตัวเองมาตลอดทั้งบ่าย ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยเหงื่อและฝุ่น หนูน้อยไม่ได้เจอหงฉี่ฮว๋ากับซาร่าเลย ไม่มีใครมาช่วยเธอสักคนเดียว  แม้แต่ซาร่าที่เอ็นดูเธอมากเป็นพิเศษยังไม่มาเหลียวแลเลย ในขณะที่โม่โม่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังอยู่นั้น ขณะเดียวกันความคิดของหนูน้อยก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป

        อันที่จริงพ่อของหนูน้อยเอาจริงเอาจังอย่างน่าตกใจเลยทีเดียว!  

        การได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่น ๆ นั้นเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่เธอไม่ควรที่จะตั้งความหวังทั้งหมดไว้กับเรื่องนี้ ….. โม่โม่!

        เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดลง ไป๋อี้จึงพาโม่โม่เร่งความเร็วขึ้น  1 ชั่วโมงต่อมา พวกเขาจึงไล่ตามหงฉี่ฮว๋าและคนอื่น ๆ ได้ทัน เวลานั้นพวกหงฉี่ฮว๋าได้สร้างค่ายพักแรมขนาดเล็กตรงบริเวณถนนที่ยังพอจะสภาพดีอยู่เสร็จพอดี ในยามปกติอาจจะรู้สึกว่าพื้นยางมะตอยนั้นแสนจะสกปรก แต่ในเวลานี้ถือว่ายังดีกว่าพื้นดินที่รกไปด้วยวัชพืชรอบนอกนั้นเป็นอย่างมาก

        โม่โม่ทำความสะอาดอย่างลวก ๆ หลังจากที่กินอาหารเสร็จแล้วเธอก็หลับไปอย่างรวดเร็ว  การวิ่งด้วยความรวดเร็วตลอดช่วงบ่ายนี้ทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยสายตัวแทบขาด  ยังดีที่เป็นร่างกายที่ได้รับการดัดแปลงเซลล์มาแล้ว ถ้าเป็นสภาพร่างกายปกติคงไม่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้อย่างแน่นอน

        “นายเข้มงวดเกินไปแล้ว!” เมย์ริสกล่าว

        “ประเทศจีนมีคำกล่าวนึงว่า มารดาผู้เมตตามากด้วยบุตรล้างผลาญ! (สุภาษิต : ลูกที่แม่ตามใจเกินไปมักไร้อนาคต)” ไป๋อี้กล่าว

        “นายมันปีศาจ พ่อปีศาจ!” ซาร่าพูดด้วยความโมโห พูดตามตรง เธอรู้สึกเจ็บปวดมากเมื่อเห็นไป๋อี้สอนโม่โม่ด้วยวิธีแบบนั้น โม่โม่อายุแค่ไม่เท่าไหร่เอง ปกติเด็กสิบกว่าขวบยังอ้อนพ่อแม่อยู่เลย “ทำไมตอนนั้นโม่โม่ถึงได้มองตานายนักนะ ถ้ารู้แบบนี้แต่แรก ……. ” ซาร่าเอาแต่คิดถึงเรื่องนี้

        “ฮ่า~!” ไป๋อี้หัวเราะ เขาไม่มีข้อโต้แย้งหรือข้อแก้ตัวใด ๆ ทั้งนั้น

        ……

        ใช้เวลาไปหลายวัน ทุกคนก็มาถึงส่วนที่เรียกว่า ‘สถาบันวิจัย’ สักที เหมือนว่าตอนนี้ทุกคนได้รับความทุกข์ทรมานจนเข้าใจอย่างแจ่มชัดแล้วว่า ระหว่างการนั่งรถกับการเดินช่างแตกต่างกันอย่างมาก โดยเฉพาะในนิวซีแลนด์ที่ได้กลายเป็นป่าดึกดำบรรพ์แบบนี้ นี่ยังดีที่เป็นการเดินตามเส้นถนนที่ยังพอสามารถเดินได้ ถ้าหากเป็นการเดินตามป่าเขาลำเนาไพร ก็ไม่รู้ว่าจะเดินได้ถึงหนึ่งในสิบของพื้นที่รึเปล่า

        ระหว่างทาง มีสัตว์ประหลาดทั้งเล็กและใหญ่มาก่อกวนอยู่เป็นระยะ แทบทุกคนถูกจู่โจมจนได้ผสานรวมยีนกันไปคนละ 1-2 ชนิด มีแค่ไป๋อี้กับโม่โม่เท่านั้นที่ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

        “ที่นี่เหรอ?” ไป๋อี้ถามมาร์ติน

        “ใช่ ฉันบังเอิญไปเจอเข้าพร้อมกับข้อมูลที่เกี่ยวกับยาฟื้นคืนร่างมนุษย์ ความจริงแล้วสถานที่ตั้งของสถาบันวิจัยแต่ละแห่ง ถือเป็นข้อมูลลับ แต่ฉันโชคดีที่บังเอิญไปเห็นมันเข้าพอดี”มาร์ตินกล่าวเสริม

        “งั้นพวกเราเข้าไปกันเถอะ ระวังตัวกันด้วย” ไป๋อี้พูดกับทุกคน

        ในตอนนี้ รูปร่างของทุกคนล้วนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง มองดูแล้วเหมือนเป็นการรวมกลุ่มของเผ่าพันธุ์ที่ต่างชนิดกัน

        ทุกคนล้วนตั้งความหวังไว้กับยาที่มาร์ตินบอกว่าสามารถคืนร่างให้มนุษย์ได้ ไม่เช่นนั้นถึงแม้พวกเขาจะสามารถกลับไปยังโลกเดิมได้จริง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถอยู่ได้ด้วยรูปร่างแบบนี้แน่นอน

        เมื่อเข้าไปข้างในตึก พวกเขาก็ค่อย ๆ รื้อค้นดู จนในที่สุดก็เจอเข้ากับรถกระเช้าไฟฟ้าที่นำไปสู่ชั้นใต้ดิน  ไป๋อี้ลองดูก็พบว่าในสถาบันแห่งนี้ยังมีไฟฟ้าใช้อยู่

        “แหล่งจ่ายไฟภายในของทุกสถาบันวิจัยเป็นแบบส่วนตัว และทุกที่ก็ล้วนมีเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็กของตัวเอง” มาร์ตินอธิบาย

        “ล้ำหน้ามาก แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันกังวลอยู่ ฉันรู้สึกว่าฉากนี้มันดูคุ้น ๆ อย่างอยากไม่ถูก” ไป๋อี้มองที่รถกระเช้าไฟฟ้า แต่เขากลับไม่ได้ขึ้นไปในทันที

        “resident evil!” หลายคนพูดขึ้นมาพร้อมกัน

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 59 พ่อปีศาจ~

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 59 พ่อปีศาจ~ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        พวกเขาออกเดินทางใหม่อีกครั้ง อารมณ์และจิตใจของทุกคนในทีมมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ ฉากในซูเปอร์มาเก็ตเมื่อครู่นี้เหมือนเป็นการสาบานร่วมกัน ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่ได้ส่งผลกับแค่กลุ่มของดอล์ริสเท่านั้น จริง ๆ แล้วตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงที่นิวซีแลนด์ กลุ่มของไป๋อี้ก็ถือว่าชีวิตค่อนข้างเป็นไปได้ดีเลยทีเดียว อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ได้ขาดแคลนทรัพยากรด้านอาหารและไม่ได้อดมื้อกินมื้อ ดังนั้นพวกเขาจึงยังไม่รู้สึกอะไรมาก แต่หลังจากได้เห็นคนกลุ่มนั้นทุกคนก็รู้ว่าโลกนี้มีความตึงเครียดมากกว่าที่พวกเขาคิด     

        ต้องมีชีวิตต่อไปเพื่อที่จะได้เห็นด้วยตาตัวเองว่าแท้จริงแล้วเหตุใดโลกจึงเปลี่ยนเป็นโลกที่โหดร้ายได้ถึงเพียงนี้!

        ……

        อุทยานแห่งชาติตองการิโรตั้งอยู่ใจกลางทางตอนเหนือของนิวซีแลนด์ และเป็นอุทยานแห่งชาติที่เก่าแก่ที่สุด ภายในอุทยานมีต้นไม้อย่างหนาแน่น มีภูเขาสูง วิวหิมะ ธารน้ำ  อีกทั้งภูมิทัศน์ก็งดงาม ทั้งยังมีภูเขาไฟที่ตระการตารวมไปถึงการมีระบบนิเวศน์ที่หลากหลาย จึงกลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของนิวซีแลนด์

        หรือถ้าให้อธิบายง่าย ๆ ก็คือ …… มันกว้างใหญ่ไพศาลมาก!

        ไป๋อี้และคนอื่น ๆ แวะพักที่อุทยานแห่งชาติ ที่นี่เป็นเมืองสุดท้ายก่อนที่พวกเขาจะมุ่งหน้าไปอุทยานตองการิโรแล้ว ถนนข้างหน้าถูกปกคลุมไปด้วยวัชพืชไปกว่าครึ่ง อันที่จริงแล้วสาเหตุที่เดินทางได้ช้าแบบนี้ ก็เป็นเพราะพืชพวกนี้โตกันเร็วมาก ถ้าขับรถโดยไม่ระวังล่ะก็อาจจะรถคว่ำหรือไม่ก็ไปติดกับพวกพืชที่แข็ง ๆ เหล่านั้นจนขับต่อไปไม่ได้แน่ ๆ

        ไป๋อี้ขึ้นไปยืนบนหลังคาเพื่อดูเส้นทางที่มุ่งเข้าสู่อุทยานตองการิโร ไกลออกไปเป็นพื้นที่ราบกว้างใหญ่ ไกลกว่านั้นก็จะเป็นภูเขาที่มีหิมะสีขาวโพลนอยู่ตรงด้านบนทอดยาวติดกันหลายลูก เป็นเพราะเซลล์ของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้น การมองเห็นจึงพัฒนาขึ้นจากเดิมจนไม่อาจเทียบกันได้ ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถมองสิ่งต่าง ๆ ในระยะไกลได้อย่างชัดเจน

        ไป๋อี้กระโดดลงมาจากบนหลังคาเบา ๆ และขยับร่างกายเล็กน้อย เขารู้สึกได้ว่าตอนนี้ร่างกายของเขาฟื้นตัวมากกว่าครึ่งแล้ว

        “สถาบันวิจัยอุทยานแห่งชาติตองการิโร!” ไป๋อี้มองไปที่มาร์ติน

        “อือ ที่เชิงเขาของภูเขาไฟรัวเปฮู”

        “งั้นไปกันเถอะ” ไป๋อี้พยักหน้าหลังจากได้รับคำยืนยันจากมาร์ติน

        ว่ากันว่าสวนคือพื้นที่ธรรมชาติเชิงนิเวศแบบดั้งเดิม ยิ่งเข้ามาลึกเท่าไหร่ ถนนที่แต่เดิมกว้างขวางนั้นก็ถูกวัชพืชปกคลุมไปเกือบทั้งหมด สุดท้ายก็เลยต้องให้รถบรรทุกขับอยู่ด้านหน้าบดถนนนำไปก่อน เพื่อให้รถยนต์อีกสองสามคันข้างหลังขับตามได้อย่างราบรื่น แต่เมื่อเข้าสู่พื้นที่ป่าไม้ ถนนเส้นนี้ก็ถูกรากไม้ที่ทั้งหนาทั้งใหญ่ปกคลุมทั่วไปหมด จนไม่สามารถผ่านไปได้เลย

        “หงฉี่ฮว๋า เฮลัวส์ ไปดูสถานการณ์ข้างหน้าให้หน่อย ถ้าถนนมันพังเป็นระยะทางยาวมาก พวกเราคงต้องทิ้งรถแล้วล่ะ” หลังจากที่ไป๋อี้ลงจากรถไปดูแล้วจึงได้หันมาพูดกับหงฉี่ฮว๋าและเฮลัวส์

        “โอเค” ฮงฉี่ฮว๋าตอบรับแล้ววิ่งไปพร้อมกับเฮลัวส์

        “ขอพูดหน่อยนะ ไป๋อี้ นายน่าจะให้ฉันไปกับเฮลัวส์” วูล์ฟลงจากรถมาพูดกับไป๋อี้

        “ไม่ได้ รูปร่างและความคล่องตัวของนายไม่เหมาะกับงานสำรวจถนนแบบนี้ ฮงฉี่ฮว๋ากับเฮลัวส์มียีนของแมวอยู่ ให้พวกเธอทำงานแบบนี้งานมันจะง่ายขึ้นเยอะ เอาเถอะ อย่ามัวแต่สนใจทางนั้นเลย ทุกคนระวังพวกแมลงหรือสัตว์แปลก ๆ จู่โจมเข้ามานะ” ไป๋อี้เมินวูล์ฟ แล้วหันไปพูดกับคนอื่น ๆ แทน

        บริเวณนี้ยังอยู่ใกล้กับถนนและยังมีพื้นที่โล่งเล็กน้อยในบริเวณรอบ ๆ หญ้าแถวนี้นั้นรกสูงกว่าคนเสียอีก

        หลังจากผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง ฮงฉี่ฮว๋ากับเฮลัวส์ก็วิ่งกลับมาแล้วส่ายหัวให้กับไป๋อี้

        “ไปไม่ได้แล้วแหละ ถนนที่ผ่านป่านี้พังเสียหายไปหมดแล้ว ถ้าจะซ่อมแซมมันก็คงต้องเสียเวลาค่อนข้างมากเลย” หงฉี่ฮว๋าบอก

        “งั้นก็ทิ้งรถเถอะ เก็บข้าวของทั้งหมดแล้วเดินเท้ากัน” ไปอี้พูด

        “ต้องทิ้งรถซะแล้วเหรอ โชคร้ายจริง ๆ เลย” วูล์ฟเกาหัวของเขาแกรก ๆ วูล์ฟในตอนนี้สูงเกือบ 2.8 เมตร ดูแล้วเหมือนสัตว์ประหลาดไม่มีผิด  รูปร่างกำยำแบบนี้แน่นอนว่าเหมาะกับงานขนย้ายแบกสัมภาระเป็นอย่างยิ่ง

        พวกไป๋อี้ได้เตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์แบบนี้ไว้แล้ว ดังนั้นหลังจากเก็บอาหาร ยา และอาวุธเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เริ่มออกเดินทางทันที อย่างที่คิดเอาไว้ว่าวูล์ฟคนเดียวก็สามารถแบกกระเป๋าหนังสัตว์สูงเกือบ 4 เมตรที่ใส่อาหารทั้งหมดเอาไว้ได้จริง ๆ แล้วนั่นก็ไม่ได้ถือว่าหนักมากสำหรับวูล์ฟในตอนนี้เลย ทุกคนแข็งแกร่งกันมากยิ่งขึ้นแล้ว

        “โมโม่อยากขึ้นมานั่งไหม?” วูล์ฟถามโม่โม่

        โมโม่มองไปที่กระเป๋าหนังสัตว์ที่โยกไปมาตามจังหวะการเดินของวูล์ฟ แล้วหันกลับมามองชาร์ไป่ที่อยู่ข้าง ๆ หนูน้อยส่ายหัวปฏิเสธ จากนั้นก็เตรียมที่จะขึ้นขี่หลังของชาร์ไป่แทน ตั้งแต่ชาร์ไป่ตัวใหญ่ขึ้น โม่โม่ก็ชอบขี่หลังมันเป็นประจำ

        “โมโม่ เดินเอง อย่าแตกกลุ่ม” ไป๋อี้พูดขึ้นมา

        โม่โม่ที่กำลังจะปีนขึ้นหลังชาร์ไป่อยู่นั้น เมื่อได้ยินที่ไป๋อี้บอกก็เหลือบตามองดูพ่อ เมื่อเวลาผ่านไปครู่หนึ่งก็ไม่เห็นท่าทีว่าพ่อจะเปลี่ยนคำพูด จึงทำได้แค่ส่งเสียงตอบรับออกไปคำหนึ่ง “อือ!”

        คนอื่นเมื่อเห็นสายตาขอความช่วยเหลือของโมโม่ ถึงใจจะอยากช่วยแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้  แน่นอนว่าไป๋อี้รักโม่โม่มาก แต่ทุกครั้งที่ไป๋อี้ต้องการจะสอนอะไรโม่โม่ คนอื่น ๆ ก็จะไม่สามารถเข้าไปยุ่งได้ แม้แต่เมย์ริสและซาร่าก็ช่วยพูดให้ไม่ได้ ก็เหมือนที่ไป๋อี้พูดไว้ ว่าการรักมากเกินไปอาจเป็นการทำร้ายหนูน้อยทางอ้อมได้

        ไป๋อี้เดินอยู่ข้างกายโม่โม่  เขาปล่อยให้โม่โม่วิ่งตามทุกคนด้วยตัวเอง และไม่คิดที่จะเปลี่ยนใจ เขาไม่แม้แต่จะดึงโม่โม่ให้วิ่งไปพร้อมกับเขาด้วยซ้ำ โม่โม่มองไปที่ไป๋อี้ด้วยดวงตาที่เอ่อคลอหลายครั้ง แต่เธอก็รู้ว่าพ่อไม่มีทางเปลี่ยนใจแน่นอน เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น โม่โม่จึงจำเป็นต้องเดินด้วยสองเท้าเล็ก ๆ ของตัวเอง พยายามวิ่งตามทุกคนอยู่ข้างหลัง แม้แต่ไป๋อี้และคนอื่นยังรู้สึกว่าเดินอย่างลำบาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโม่โม่เลย แค่พื้นที่ที่มีน้ำขังอยู่เล็กน้อยก็ดูเหมือนจะสามารถท่วมโม่โม่ได้ทั้งตัวอยู่แล้ว

        ไม่นานนัก หงฉี่ฮว๋าและคนอื่น ๆ ก็เดินนำไปไกลจนลับตา เหลือแค่เพียงโม่โม่ ไป๋อี้และชาร์ไป่เท่านั้นที่ตามอยู่ด้านหลัง

        “พ่อ!” โม่โม่ล้มอีกครั้ง ดวงตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยน้ำตา ดูแล้วทั้งน่าสงสารทั้งน่าเอ็นดูไปพร้อมกัน

        “ลุกขึ้นมา ถ้ามีกิ่งไม้ขวางทางอยู่ก็ตัดมันทิ้งด้วยตัวเอง!” ไปอี้พูดพร้อมกับดึงดาบคะตะนะออกมา  แล้วตัดกิ่งไม้ที่ขวางทางออกไป เห็นดังนั้นโม่โม่ก็เม้มปากแล้วดึงมีดของตัวเองออกมาโดยเรียนรู้วิธีต่าง ๆ จากไป๋อี้

        “ถือมีดของตัวเองให้ดี ระวังองศาการถือ ถ้าโดนตัวเองขึ้นมาคงเป็นเรื่องที่โง่เกินไปแล้วแหละ ใช่ไหม? เร็วขึ้นหน่อย หนูจะให้ทุกคนรอหนูไปจนถึงเมื่อไหร่” ไป๋อี้พูดกับโม่โม่

        โม่โม่พยายามอดทน  และหนูน้อยก็ยังหวังให้ทุกคนมาช่วย หวังให้พ่อของเธอใจอ่อน …… แต่น่าเสียดาย หนูน้อยต้องเดินด้วยตัวเองมาตลอดทั้งบ่าย ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยเหงื่อและฝุ่น หนูน้อยไม่ได้เจอหงฉี่ฮว๋ากับซาร่าเลย ไม่มีใครมาช่วยเธอสักคนเดียว  แม้แต่ซาร่าที่เอ็นดูเธอมากเป็นพิเศษยังไม่มาเหลียวแลเลย ในขณะที่โม่โม่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังอยู่นั้น ขณะเดียวกันความคิดของหนูน้อยก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป

        อันที่จริงพ่อของหนูน้อยเอาจริงเอาจังอย่างน่าตกใจเลยทีเดียว!  

        การได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่น ๆ นั้นเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่เธอไม่ควรที่จะตั้งความหวังทั้งหมดไว้กับเรื่องนี้ ….. โม่โม่!

        เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดลง ไป๋อี้จึงพาโม่โม่เร่งความเร็วขึ้น  1 ชั่วโมงต่อมา พวกเขาจึงไล่ตามหงฉี่ฮว๋าและคนอื่น ๆ ได้ทัน เวลานั้นพวกหงฉี่ฮว๋าได้สร้างค่ายพักแรมขนาดเล็กตรงบริเวณถนนที่ยังพอจะสภาพดีอยู่เสร็จพอดี ในยามปกติอาจจะรู้สึกว่าพื้นยางมะตอยนั้นแสนจะสกปรก แต่ในเวลานี้ถือว่ายังดีกว่าพื้นดินที่รกไปด้วยวัชพืชรอบนอกนั้นเป็นอย่างมาก

        โม่โม่ทำความสะอาดอย่างลวก ๆ หลังจากที่กินอาหารเสร็จแล้วเธอก็หลับไปอย่างรวดเร็ว  การวิ่งด้วยความรวดเร็วตลอดช่วงบ่ายนี้ทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยสายตัวแทบขาด  ยังดีที่เป็นร่างกายที่ได้รับการดัดแปลงเซลล์มาแล้ว ถ้าเป็นสภาพร่างกายปกติคงไม่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้อย่างแน่นอน

        “นายเข้มงวดเกินไปแล้ว!” เมย์ริสกล่าว

        “ประเทศจีนมีคำกล่าวนึงว่า มารดาผู้เมตตามากด้วยบุตรล้างผลาญ! (สุภาษิต : ลูกที่แม่ตามใจเกินไปมักไร้อนาคต)” ไป๋อี้กล่าว

        “นายมันปีศาจ พ่อปีศาจ!” ซาร่าพูดด้วยความโมโห พูดตามตรง เธอรู้สึกเจ็บปวดมากเมื่อเห็นไป๋อี้สอนโม่โม่ด้วยวิธีแบบนั้น โม่โม่อายุแค่ไม่เท่าไหร่เอง ปกติเด็กสิบกว่าขวบยังอ้อนพ่อแม่อยู่เลย “ทำไมตอนนั้นโม่โม่ถึงได้มองตานายนักนะ ถ้ารู้แบบนี้แต่แรก ……. ” ซาร่าเอาแต่คิดถึงเรื่องนี้

        “ฮ่า~!” ไป๋อี้หัวเราะ เขาไม่มีข้อโต้แย้งหรือข้อแก้ตัวใด ๆ ทั้งนั้น

        ……

        ใช้เวลาไปหลายวัน ทุกคนก็มาถึงส่วนที่เรียกว่า ‘สถาบันวิจัย’ สักที เหมือนว่าตอนนี้ทุกคนได้รับความทุกข์ทรมานจนเข้าใจอย่างแจ่มชัดแล้วว่า ระหว่างการนั่งรถกับการเดินช่างแตกต่างกันอย่างมาก โดยเฉพาะในนิวซีแลนด์ที่ได้กลายเป็นป่าดึกดำบรรพ์แบบนี้ นี่ยังดีที่เป็นการเดินตามเส้นถนนที่ยังพอสามารถเดินได้ ถ้าหากเป็นการเดินตามป่าเขาลำเนาไพร ก็ไม่รู้ว่าจะเดินได้ถึงหนึ่งในสิบของพื้นที่รึเปล่า

        ระหว่างทาง มีสัตว์ประหลาดทั้งเล็กและใหญ่มาก่อกวนอยู่เป็นระยะ แทบทุกคนถูกจู่โจมจนได้ผสานรวมยีนกันไปคนละ 1-2 ชนิด มีแค่ไป๋อี้กับโม่โม่เท่านั้นที่ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

        “ที่นี่เหรอ?” ไป๋อี้ถามมาร์ติน

        “ใช่ ฉันบังเอิญไปเจอเข้าพร้อมกับข้อมูลที่เกี่ยวกับยาฟื้นคืนร่างมนุษย์ ความจริงแล้วสถานที่ตั้งของสถาบันวิจัยแต่ละแห่ง ถือเป็นข้อมูลลับ แต่ฉันโชคดีที่บังเอิญไปเห็นมันเข้าพอดี”มาร์ตินกล่าวเสริม

        “งั้นพวกเราเข้าไปกันเถอะ ระวังตัวกันด้วย” ไป๋อี้พูดกับทุกคน

        ในตอนนี้ รูปร่างของทุกคนล้วนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง มองดูแล้วเหมือนเป็นการรวมกลุ่มของเผ่าพันธุ์ที่ต่างชนิดกัน

        ทุกคนล้วนตั้งความหวังไว้กับยาที่มาร์ตินบอกว่าสามารถคืนร่างให้มนุษย์ได้ ไม่เช่นนั้นถึงแม้พวกเขาจะสามารถกลับไปยังโลกเดิมได้จริง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถอยู่ได้ด้วยรูปร่างแบบนี้แน่นอน

        เมื่อเข้าไปข้างในตึก พวกเขาก็ค่อย ๆ รื้อค้นดู จนในที่สุดก็เจอเข้ากับรถกระเช้าไฟฟ้าที่นำไปสู่ชั้นใต้ดิน  ไป๋อี้ลองดูก็พบว่าในสถาบันแห่งนี้ยังมีไฟฟ้าใช้อยู่

        “แหล่งจ่ายไฟภายในของทุกสถาบันวิจัยเป็นแบบส่วนตัว และทุกที่ก็ล้วนมีเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็กของตัวเอง” มาร์ตินอธิบาย

        “ล้ำหน้ามาก แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันกังวลอยู่ ฉันรู้สึกว่าฉากนี้มันดูคุ้น ๆ อย่างอยากไม่ถูก” ไป๋อี้มองที่รถกระเช้าไฟฟ้า แต่เขากลับไม่ได้ขึ้นไปในทันที

        “resident evil!” หลายคนพูดขึ้นมาพร้อมกัน

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+