[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 124 บทสรุป

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 124 บทสรุป at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

   ในเมื่อไม่มีหมอปรุงยาในกลุ่มของไป๋อี้ พวกเขาจึงไม่สามารถสกัดส่วนผสมสมุนไพรของดอกไม้มรณะได้ แต่ไป๋อี้และคนอื่น ๆ ก็อยู่บริเวณใจกลางเมืองผีแห่งเวลลิงตัน ที่นี่ไม่มีความขาดแคลนดอกไม้มรณะ ทำให้ไป๋อี้และเพื่อน ๆ สามารถพบเห็นทุ่งดอกไม้มรณะที่เติบโตอยู่ด้านบนของซากศพได้ทุกแห่งหน

  “ไม่อยากจะเชื่อเลยจริง ๆ!”

  เมื่อพวกเขาเห็นทุ่งดอกไม้มรณะขนาดใหญ่เป็นครั้งแรกทุกคนต่างก็ตกใจ อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาเห็นซากศพหนาแน่นมากมายใต้ทุ่งดอกไม้มรณะอารมณ์ของทุกคนก็ไม่สู้ดีนัก ดอกไม้มรณะมีข่าวลือว่าพวกมันดูดซับการเติบโตจากวิญญาณ แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ฉากของดอกไม้มรณะเหล่านี้ที่ลู่ลมไปมาบนซากศพนั้นช่างสวยงามและน่าตะลึงอย่างยิ่ง

  “ดอกไม้มรณะมากมายเต็มไปหมด!” วูล์ฟอุทานด้วยความตกตะลึง

  “ไม่ นี่มันไม่ได้เยอะเลยสักนิด” ไป๋อี้ส่ายหัว

  “แม้ว่าดอกไม้มรณะเหล่านี้จะดูเหมือนกินพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นบริเวณกว้าง แต่ทว่าหากคุณประเมินอย่างรอบคอบ แม้ในเวลลิงตันจำนวนดอกไม้มรณะเหล่านี้น่าจะมีราว ๆ 10,000 ดอก แต่ถ้าข่าวลือเรื่องดอกไม้มรณะเหล่านี้เป็นเรื่องจริง หากว่าพวกมันดูดซับวิญญาณในการเจริญเติบโต โดยพื้นฐานแล้วสามารถถือได้ว่ามันเป็นดอกไม้ชนิดหนึ่งที่ไม่มีการหมุนเวียนและมันจะกลายเป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างแน่นอนเมื่อมันถูกใช้ไปเรื่อย ๆ” ไป๋อี้มองดอกไม้มรณะเหล่านี้และพูดอย่างช้า ๆ

  “น่าเสียดาย ถ้ามีเรามีหมอปรุงยาที่ยอดเยี่ยมผู้ซึ่งสามารถค้นพบวิธีที่เหมาะสมในการสกัดอับเรณูของดอกไม้มรณะและทำให้มันสามารถใช้เป็นยาได้ นั่นจะเป็นวิธีที่เป็นประโยชน์ที่สุดในการใช้ดอกไม้มรณะ” เมย์ริสกล่าว

  “อืม เป็นอย่างนั้นจริง ๆ” ไป๋อี้พยักหน้า

  “ดอกไม้มรณะไม่เพียงแต่สามารถหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและลดระยะเวลาของการเข้าสู่ระยะดุร้ายได้เท่านั้น จากสถานการณ์ในตอนนี้กล่าวได้ว่าดอกไม้มรณะยังมีความสามารถในการซ่อมแซมความเสียหายของจิตวิญญาณอีกด้วย แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถพบดอกไม้มรณะได้จากที่อื่นเลย พืชที่มีลักษณะเช่นนี้คาดการณ์ได้ว่ามันจะต้องมีค่ามากแน่ ๆ” ไป๋อี้พูด ก่อนจะจบประโยคอย่างช้า ๆ

  “มันเป็นทรัพยากรที่มีประโยชน์อย่างยิ่งและไม่สามารถเจริญเติบโตหมุนเวียนได้ มันจะเป็นสิ่งที่หายากในอนาคตอย่างแน่นอน” เมย์ริสกล่าวเสริม

  “พวกนายรู้ได้ยังไง?” วูล์ฟเอ่ยถาม

  “มันเป็นเพียงการอนุมานขั้นพื้นฐาน จริง ๆ เลย นายใช้หัวคิดสักหน่อยสิ” ไป๋อี้ไม่สนใจวูล์ฟ ผู้ชายคนนี้เขาหัวไม่ดีนัก ตั้งแต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยจะใช้หัวคิดอะไรมากมาย 

  “เรื่องนั้นละไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้เราควรรักษาบาดแผลให้หายก่อนแล้วจึงเก็บดอกไม้มรณะให้มากขึ้นเพื่อเป็นวัตถุดิบในการรักษา” ไป๋อี้พูดในตอนท้าย นี่เป็นแผนการที่ดีที่สุดในตอนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่สุดท้ายไป๋อี้และคนอื่น ๆ คาดว่าพวกเขาคงจะไม่สามารถเก็บได้มากนักเพราะในกระเป๋าเดินทางใบนั้นไม่ได้มีน้ำสกัดจากต้นไม้วิญญาณบริสุทธิ์มากนักเท่าไหร่ ไป๋อี้และคนอื่น ๆ ไม่เคยเห็นน้ำสกัดจากต้นไม้ชนิดนี้และพวกเขาไม่รู้ว่ามันถูกเก็บมาจากที่ไหน

  ในช่วงเวลาที่ต้องพักฟื้นอาการบาดเจ็บ ทุกคนต่างก็นึกถึงสิ่งที่ได้และความสูญเสียจากการต่อสู้ครั้งนี้อย่างเงียบ ๆ

  ไป๋อี้คุยกับเมย์ริสทุกวันและเริ่มมีความอ่อนโยนอย่างที่เคยมีเหมือนก่อนหน้านี้ แต่อย่างไรก็ตามเมย์ริสสัมผัสได้ว่าหัวใจของไป๋อี้เปลี่ยนไป ระหว่างการเดินทางมายังเมืองผีแห่งเวลลิงตัน ไป๋อี้เข้าใจบางสิ่งบางอย่างอย่างลึกซึ้ง ตอนนี้ไป๋อี้มีทั้งความอ่อนโยนและความเย็นชารวมเข้าด้วยกันกับความขัดแย้งและความกลมเกลียว

  วูล์ฟหยิบง้าวของเขาขึ้นมาและเต้นเบา ๆ ราวกับว่าเขาคุ้นเคยกับร่างกายนี้เป็นอย่างดีแล้ว ง้าวของเขาเป็นอาวุธที่มีโอกาสถูกทำลายน้อยที่สุด ดาบเขี้ยวของไป๋อี้มีรอยแตกอีกครั้ง เป็นไปตามที่คาดไว้อาวุธที่หนาและเรียบง่ายกว่านั้นแข็งแรงกว่าและไม่ได้เสียหายง่าย ๆ

  พูพูมักนอนหันหน้าไปทางเดียวอย่างเงียบ ๆ เมื่อดูจากท่าทางของพูพูนับว่านี่เป็นภาพที่เห็นได้ไม่บ่อย ตอนนี้เวอร์เนอร์ได้หายไปและพูพูก็เป็นกังวลมากจริง ๆ เวอร์เนอร์จะกล่าวได้อย่างไรว่าเขาเป็นเจ้าของพูพูที่แท้จริง ในเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของและสัตว์เลี้ยงจะเริ่มลดน้อยถอยลงเรื่อย ๆ

  โม่โม่มักจะเดินไปรอบ ๆ ต้นไม้ปลิดวิญญาณ ดูเหมือนว่าเธอจะรู้สึกสบายใจกับต้นไม้นี้มาก

 

   ต้นไม้ปลิดวิญญาณ เป็นชื่อที่พวกไป๋อี้ตั้งขึ้นให้กับต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ตรงกลางเมือง เมื่อพูดถึงแล้วดูเหมือนว่าผู้คนที่นี่จะไม่มีใครตั้งชื่อให้สิ่งใดเลย เดิมทีเขาวางแผนที่จะตั้งชื่อต้นไม้เหมือนดอกไม้มรณะ แต่โม่โม่มีความคิดเห็นว่ามันไม่ดี จึงเปลี่ยนเป็นคำพยางค์ที่ใกล้เคียง ซึ่งค่อนข้างให้ความรู้สึกน่าฟังและให้ความรู้สึกละม้ายคล้ายกับศาสนาพุทธและลัทธิเต๋า  

        สำหรับต้นไม้ปลิดวิญญาณมีเพียงโม่โม่เท่านั้นที่รู้สึกสบายใจเมื่อมองมัน ทว่าคนอื่น ๆ มักคิดว่าต้นไม้ปลิดวิญญาณนั้นไม่ค่อยดีนัก มันเติบโตอย่างอุดมสมบูรณ์บนกองของซากศพคนตายเพียงแค่นึกถึงก็ ……. อย่างไรก็ตามเท่าที่รู้เกี่ยวข้องกับต้นไม้ปลิดวิญญาณ มันไม่มีอันตรายอื่นใด อย่างน้อยมันก็ไม่งอกหนวดขึ้นมาเพื่อจับคว้าตัวผู้คนเข้าไป

  แน่นอนว่าเห็นได้อย่างชัดเจนว่าโม่โม่มีความใกล้ชิดกับวิญญาณมากขึ้นและไม่รู้ว่าโม่โม่มีลักษณะพิเศษนี้ด้วยตัวเองหรือได้รับผลกระทบจากหยดเลือดของร่างแม่แบบทดลองกันแน่

  นอกจากนี้ชาร์ไป่เองก็ดูเหมือนจะมีความผิดปกติเกิดขึ้นเล็กน้อย เมื่อเร็ว ๆ นี้โม่โม่คาดไม่ถึงเลยว่าจะเห็นชาร์ไป่กำลังกินศพมนุษย์ซึ่งกองอยู่บริเวณศูนย์กลางเมืองเวลลิงตัน เมื่อมันเห็นว่าโม่โม่พบเข้ามันก็หลีกเลี่ยงออกมา แต่โม่โม่ก็ยังเห็นมันอยู่ดี โม่โม่ที่พบว่าชาร์ไป่กำลังกินซากศพอยู่ไม่ได้เอาไปบอกคนอื่น ๆ แต่อย่างใด เธอจูงชาร์ไป่ด้วยเข็มขัดหนังและดึงมันออกมาอย่างเงียบ ๆ

  โม่โม่ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงทำแบบนี้

  หลังจากนั้นสามวันหลังจากที่ร่างกายสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้นไป๋อี้ก็เรียกทุกคนมารวมตัวกัน

  “ใช้น้ำสกัดที่มีเก็บดอกไม้มรณะให้หมดแล้วพวกเราจะออกไปจากที่นี่กัน” ไป๋อี้พูดกับทุกคน

  “เร็วอะไรขนาดนี้?” วูล์ฟรู้สึกว่าร่างกายของเขายังไม่แข็งแรงสมบูรณ์ดีนัก

  “ใช่ ไม่รู้ว่าเวอร์เนอร์เขาอยู่ที่ไหน ขณะที่เขาอยู่ในระยะดุร้ายรุนแรงภายใต้สถานการณ์ที่จิตใจของเขาได้รับความเจ็บปวด นั่นเป็นสถานการณ์สามารถจินตนาการได้ ก่อนหน้านี้เราไม่สามารถขยับตัวได้ แต่ตอนนี้เราสามารถขยับตัวได้แล้ว เราต้องไปตามหาเวอร์เนอร์กลับมา ส่วนเฮลัวส์หลังจากที่เราแยกจากกันไป หลายวันมาแล้วเธอก็ยังไม่กลับมา ฉันให้โม่โม่ส่งผีเสื้อกลืนกินวิญญาณออกไปตามหาก็ยังไม่พบ กล่าวคคือแม้ว่าอาการบาดเจ็บจะยังไม่หาย แต่เราก็ไม่สามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้” ไป๋อี้อธิบายสถานการณ์ปัจจุบันสั้น ๆ

  หลังจากได้ยินคำพูดของไป๋อี้ ทุกคนก็ไม่มีใครเสนอความคิดเห็นอื่น ๆ หรือก็คือไม่มีใครคัดค้าน

  ทุกคนเริ่มลงมือ อันดับแรกคือวิญญาณร้ายรอบนอกต้นไม้ปลิดวิญญาณ วิญญาณที่ดุร้ายเหล่านี้รู้สึกได้โดยสัญชาตญาณถึงการล่อลวงจากต้นไม้ที่ปลิดวิญญาณ แต่พวกเขาก็รู้สึกกลัวและยังรู้สึกแปลก ๆ อยู่ นั่นทำให้วิญญาณที่ดุร้ายเหล่านี้ได้แต่วนเวียนอยู่รอบ ๆ ต้นไม้ปลิดวิญญาณ

  จะออกไปอย่างไร?

  ในตอนนี้โม่โม่เดินไปที่ต้นไม้ปลิดวิญญาณ มีดสั้นของเธอถูกนำออกจากฝัก จากนั้นกิ่งก้านก็ถูกตัดออกจากต้นและเธอก็เอามันติดมือกลับมาด้วย

  “โม่โม่?”

  “ใช้สิ่งนี้ค่ะ หนูรู้สึกเมื่อทำแบบนี้วิญญาณที่ดุร้ายเหล่านั้นจะไม่โจมตีเรา” โม่โม่กล่าว

  ดีล่ะ แม้ว่าจะไม่มีเหตุผลอะไรเลยก็ตาม แต่หลังจากลองดูทุกคนก็พบว่ามันเป็นเหมือนอย่างที่โม่โม่พูดไม่มีผิด เมื่อถือกิ่งก้านของต้นไม้ปลิดวิญญาณเอาไว้ วิญญาณร้ายที่อยู่รอบนอกก็ไม่ได้โจมตีพวกเขา แต่พวกมันกลับเริ่มสับสนมึนงง หลังจากเรื่องนี้ได้รับการยืนยันทุกคนก็มองโม่โม่ด้วยแววตาประหลาดใจ โม่โม่มีความเปลี่ยนแปลงมากกว่าใครหลังจากเข้ามาในเมืองเวลลิงตันแห่งนี้ จนถึงตอนนี้เธอมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง?

  อย่างไรก็ตามนี่นับว่าไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร

  ……

  หลังจากออกเดินทางอย่างระมัดระวังในเวลลิงตันเป็นเวลานานกว่าหนึ่งสัปดาห์ ในที่สุดไป๋อี้และเพื่อน ๆ ก็พบกับเฮลัวส์ เธอถูกไล่ล่าโดยนกที่น่ากลัว หลังจากที่ทุกคนช่วยเฮลัวส์และพูดคุยกันเกี่ยวกับสถานการณ์ในช่วงที่ผ่านมาก็ต่างถอนใจออกมาอย่างใจหาย น่าเสียดายที่กลุ่มของไป๋อี้ยังไม่พบตัวเวอร์เนอร์ รวมถึงยังไม่พบหยูหานกับเพื่อน ๆ ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าในกรณีใดเวลลิงตันเป็นเมืองหลวงของนิวซีแลนด์ ในสภาพแวดล้อมที่น่ากลัวเช่นนี้การหาใครสักคนต้องใช้โชคช่วยจริง ๆ

  “คิดไม่ถึงจริง ๆ ถ้าฉันอยู่ที่นั่นด้วยล่ะก็ ……” เฮลัวส์มองเมย์ริสอย่างใจหาย

  “ไม่เอาน่า ไม่เป็นอะไรจริง ๆ แต่จากนี้ไปยังมีคนในทีมที่เธอต้องช่วยดูแล” เมย์ริสกล่าวฝากฝัง “อื้ม วางใจเถอะ ฉันจะดูแลวูล์ฟให้ดี” เฮลัวส์พยักหน้า

  “ไป๋อี้!”

  “ฉันหมดปัญญาแล้ว เธอก็รู้” เฮลัวส์ผายมือออก เธอไม่ใช่คนไร้สาระ ถ้าเป็นหงฉี่ฮว๋าล่ะก็ไป๋อี้คงอาจจะเชื่อฟังคำชี้แนะของเธอได้ เธอจะกลับมาได้ไหม แต่ไป๋อี้เองก็มีแผนของตนเอง แม้คาดว่าหลายสิ่งอาจจะไม่สามารถโน้มน้าวให้คนอื่นให้เชื่อฟังได้

  “ช่างเถอะ ถ้างั้นก็เอาอย่างนี้แหละ ค่อยพบกันใหม่นะ”

  “อื้ม เจอกันใหม่” ทุกคนบอกลาเมย์ริสแล้วออกจากที่นี่ด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยเล็กน้อย การเดินทางมาเวลลิงตันครั้งนี้แม้จะไม่นานนัก แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนรู้สึกผูกพันกับที่นี่ เมื่อพวกเขาออกจากที่นี่ไป๋อี้ก็ต้องแบกรับความรับผิดชอบครั้งใหม่ โม่โม่สัญญาว่าจะหาทางชุบชีวิตเมย์ริสให้ได้

  ————————————————

  หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน หยูหานและคนอื่น ๆ ก็บอกลาแนนซี่ ในช่วงเวลานี้หยูหานยังพยายามเชิญชวนแนนซี่อีกครั้ง แต่ในแต่ละครั้งเธอก็ปฏิเสธกลับไปอย่างอ่อนโยน ในเวลานี้หยูหานรู้ว่าแม้ว่าผู้หญิงที่กลายเป็นสัตว์ประหลาดตรงหน้าเธอจะอ่อนโยน แต่เธอก็มั่นคงและจะไม่เปลี่ยนใจตามความประสงค์ของเขาเป็นแน่

  หลังจากที่หยูหานและทั้งสามออกจากที่พักของแนนซี่และมาถึงนอกเมืองเวลลิงตัน อดัมส์ก็หยุดชะงัก หยูหานรู้สึกตื่นตัวเล็กน้อย อดัมส์ไม่ได้ตอบคำถามก่อนหน้านี้ หยูหานจึงคิดว่าพวกเขาจะยังสามารถเป็นแบบนี้ต่อไปได้ แต่เมื่ออดัมส์หยุดอย่างกะทันหันทำให้มีความรู้สึกไม่ดีเกิดขึ้นในใจของหยูหาน

  “หยูหาน!”

  “ฉันจะขอความยุติธรรมจากไป๋อี้ แต่ไม่ใช่การไปกับนาย ขอโทษนะ!” อดัมส์พูดอย่างจริงจัง

  หยูหานรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงในหัวใจของเขา แต่เขาก็ยังแสดงความเข้าใจออกมา หลังจากอดัมส์พูดจบเขาก็พยักหน้าให้หยูหานและหนิงเสวี่ยจากนั้นก็หันหลังเดินไปทางอื่น หยูหานไม่ได้รั้งเขาไว้ อดัมส์คิดเรื่องนี้มานานแล้ว ถ้าเขาเปลี่ยนใจเพียงเพราะประโยคเดียวนั่นคงไม่ใช่อดัมส์แล้วล่ะ

  มีเพียงแต่เขา มีเพียงเขาคนเดียวอีกครั้ง!

  เมื่อเห็นอดัมส์หายไปในระยะไกล ความเจ็บปวดและความมืดที่ไร้ขอบเขตยังคงแพร่กระจายอยู่ในหัวใจของหยูหานราวกับว่าความรู้สึกนั้นดำดิ่งจนจะทำให้หยูหานจมน้ำตาย แต่ในตอนนี้หนิงเสวี่ยก็ได้โอบกอดจากทางด้านหลังของหยูหานเอาไว้ มันไม่ใช่สัมผัสที่อ่อนโยน แต่เป็นความรู้สึกที่อบอุ่น หยูหานมองไปที่ผู้หญิงคนนี้ที่อยู่กับเขามาตลอดและคอยติดตามอยู่เสมอ ทันใดนั้นหัวใจของเขาก็ถูกยึดครองโดยเธอ

  หยูหานโอบกอดหนิงเสวี่ยเอาไว้ จากนี้เป็นต้นไปหนิงเสวี่ยจะอยู่ในใจของหยูหานและครองตำแหน่งคนพิเศษในใจเขา

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 124 บทสรุป

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 124 บทสรุป at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

   ในเมื่อไม่มีหมอปรุงยาในกลุ่มของไป๋อี้ พวกเขาจึงไม่สามารถสกัดส่วนผสมสมุนไพรของดอกไม้มรณะได้ แต่ไป๋อี้และคนอื่น ๆ ก็อยู่บริเวณใจกลางเมืองผีแห่งเวลลิงตัน ที่นี่ไม่มีความขาดแคลนดอกไม้มรณะ ทำให้ไป๋อี้และเพื่อน ๆ สามารถพบเห็นทุ่งดอกไม้มรณะที่เติบโตอยู่ด้านบนของซากศพได้ทุกแห่งหน

  “ไม่อยากจะเชื่อเลยจริง ๆ!”

  เมื่อพวกเขาเห็นทุ่งดอกไม้มรณะขนาดใหญ่เป็นครั้งแรกทุกคนต่างก็ตกใจ อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาเห็นซากศพหนาแน่นมากมายใต้ทุ่งดอกไม้มรณะอารมณ์ของทุกคนก็ไม่สู้ดีนัก ดอกไม้มรณะมีข่าวลือว่าพวกมันดูดซับการเติบโตจากวิญญาณ แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ฉากของดอกไม้มรณะเหล่านี้ที่ลู่ลมไปมาบนซากศพนั้นช่างสวยงามและน่าตะลึงอย่างยิ่ง

  “ดอกไม้มรณะมากมายเต็มไปหมด!” วูล์ฟอุทานด้วยความตกตะลึง

  “ไม่ นี่มันไม่ได้เยอะเลยสักนิด” ไป๋อี้ส่ายหัว

  “แม้ว่าดอกไม้มรณะเหล่านี้จะดูเหมือนกินพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นบริเวณกว้าง แต่ทว่าหากคุณประเมินอย่างรอบคอบ แม้ในเวลลิงตันจำนวนดอกไม้มรณะเหล่านี้น่าจะมีราว ๆ 10,000 ดอก แต่ถ้าข่าวลือเรื่องดอกไม้มรณะเหล่านี้เป็นเรื่องจริง หากว่าพวกมันดูดซับวิญญาณในการเจริญเติบโต โดยพื้นฐานแล้วสามารถถือได้ว่ามันเป็นดอกไม้ชนิดหนึ่งที่ไม่มีการหมุนเวียนและมันจะกลายเป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างแน่นอนเมื่อมันถูกใช้ไปเรื่อย ๆ” ไป๋อี้มองดอกไม้มรณะเหล่านี้และพูดอย่างช้า ๆ

  “น่าเสียดาย ถ้ามีเรามีหมอปรุงยาที่ยอดเยี่ยมผู้ซึ่งสามารถค้นพบวิธีที่เหมาะสมในการสกัดอับเรณูของดอกไม้มรณะและทำให้มันสามารถใช้เป็นยาได้ นั่นจะเป็นวิธีที่เป็นประโยชน์ที่สุดในการใช้ดอกไม้มรณะ” เมย์ริสกล่าว

  “อืม เป็นอย่างนั้นจริง ๆ” ไป๋อี้พยักหน้า

  “ดอกไม้มรณะไม่เพียงแต่สามารถหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและลดระยะเวลาของการเข้าสู่ระยะดุร้ายได้เท่านั้น จากสถานการณ์ในตอนนี้กล่าวได้ว่าดอกไม้มรณะยังมีความสามารถในการซ่อมแซมความเสียหายของจิตวิญญาณอีกด้วย แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถพบดอกไม้มรณะได้จากที่อื่นเลย พืชที่มีลักษณะเช่นนี้คาดการณ์ได้ว่ามันจะต้องมีค่ามากแน่ ๆ” ไป๋อี้พูด ก่อนจะจบประโยคอย่างช้า ๆ

  “มันเป็นทรัพยากรที่มีประโยชน์อย่างยิ่งและไม่สามารถเจริญเติบโตหมุนเวียนได้ มันจะเป็นสิ่งที่หายากในอนาคตอย่างแน่นอน” เมย์ริสกล่าวเสริม

  “พวกนายรู้ได้ยังไง?” วูล์ฟเอ่ยถาม

  “มันเป็นเพียงการอนุมานขั้นพื้นฐาน จริง ๆ เลย นายใช้หัวคิดสักหน่อยสิ” ไป๋อี้ไม่สนใจวูล์ฟ ผู้ชายคนนี้เขาหัวไม่ดีนัก ตั้งแต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยจะใช้หัวคิดอะไรมากมาย 

  “เรื่องนั้นละไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้เราควรรักษาบาดแผลให้หายก่อนแล้วจึงเก็บดอกไม้มรณะให้มากขึ้นเพื่อเป็นวัตถุดิบในการรักษา” ไป๋อี้พูดในตอนท้าย นี่เป็นแผนการที่ดีที่สุดในตอนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่สุดท้ายไป๋อี้และคนอื่น ๆ คาดว่าพวกเขาคงจะไม่สามารถเก็บได้มากนักเพราะในกระเป๋าเดินทางใบนั้นไม่ได้มีน้ำสกัดจากต้นไม้วิญญาณบริสุทธิ์มากนักเท่าไหร่ ไป๋อี้และคนอื่น ๆ ไม่เคยเห็นน้ำสกัดจากต้นไม้ชนิดนี้และพวกเขาไม่รู้ว่ามันถูกเก็บมาจากที่ไหน

  ในช่วงเวลาที่ต้องพักฟื้นอาการบาดเจ็บ ทุกคนต่างก็นึกถึงสิ่งที่ได้และความสูญเสียจากการต่อสู้ครั้งนี้อย่างเงียบ ๆ

  ไป๋อี้คุยกับเมย์ริสทุกวันและเริ่มมีความอ่อนโยนอย่างที่เคยมีเหมือนก่อนหน้านี้ แต่อย่างไรก็ตามเมย์ริสสัมผัสได้ว่าหัวใจของไป๋อี้เปลี่ยนไป ระหว่างการเดินทางมายังเมืองผีแห่งเวลลิงตัน ไป๋อี้เข้าใจบางสิ่งบางอย่างอย่างลึกซึ้ง ตอนนี้ไป๋อี้มีทั้งความอ่อนโยนและความเย็นชารวมเข้าด้วยกันกับความขัดแย้งและความกลมเกลียว

  วูล์ฟหยิบง้าวของเขาขึ้นมาและเต้นเบา ๆ ราวกับว่าเขาคุ้นเคยกับร่างกายนี้เป็นอย่างดีแล้ว ง้าวของเขาเป็นอาวุธที่มีโอกาสถูกทำลายน้อยที่สุด ดาบเขี้ยวของไป๋อี้มีรอยแตกอีกครั้ง เป็นไปตามที่คาดไว้อาวุธที่หนาและเรียบง่ายกว่านั้นแข็งแรงกว่าและไม่ได้เสียหายง่าย ๆ

  พูพูมักนอนหันหน้าไปทางเดียวอย่างเงียบ ๆ เมื่อดูจากท่าทางของพูพูนับว่านี่เป็นภาพที่เห็นได้ไม่บ่อย ตอนนี้เวอร์เนอร์ได้หายไปและพูพูก็เป็นกังวลมากจริง ๆ เวอร์เนอร์จะกล่าวได้อย่างไรว่าเขาเป็นเจ้าของพูพูที่แท้จริง ในเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของและสัตว์เลี้ยงจะเริ่มลดน้อยถอยลงเรื่อย ๆ

  โม่โม่มักจะเดินไปรอบ ๆ ต้นไม้ปลิดวิญญาณ ดูเหมือนว่าเธอจะรู้สึกสบายใจกับต้นไม้นี้มาก

 

   ต้นไม้ปลิดวิญญาณ เป็นชื่อที่พวกไป๋อี้ตั้งขึ้นให้กับต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ตรงกลางเมือง เมื่อพูดถึงแล้วดูเหมือนว่าผู้คนที่นี่จะไม่มีใครตั้งชื่อให้สิ่งใดเลย เดิมทีเขาวางแผนที่จะตั้งชื่อต้นไม้เหมือนดอกไม้มรณะ แต่โม่โม่มีความคิดเห็นว่ามันไม่ดี จึงเปลี่ยนเป็นคำพยางค์ที่ใกล้เคียง ซึ่งค่อนข้างให้ความรู้สึกน่าฟังและให้ความรู้สึกละม้ายคล้ายกับศาสนาพุทธและลัทธิเต๋า  

        สำหรับต้นไม้ปลิดวิญญาณมีเพียงโม่โม่เท่านั้นที่รู้สึกสบายใจเมื่อมองมัน ทว่าคนอื่น ๆ มักคิดว่าต้นไม้ปลิดวิญญาณนั้นไม่ค่อยดีนัก มันเติบโตอย่างอุดมสมบูรณ์บนกองของซากศพคนตายเพียงแค่นึกถึงก็ ……. อย่างไรก็ตามเท่าที่รู้เกี่ยวข้องกับต้นไม้ปลิดวิญญาณ มันไม่มีอันตรายอื่นใด อย่างน้อยมันก็ไม่งอกหนวดขึ้นมาเพื่อจับคว้าตัวผู้คนเข้าไป

  แน่นอนว่าเห็นได้อย่างชัดเจนว่าโม่โม่มีความใกล้ชิดกับวิญญาณมากขึ้นและไม่รู้ว่าโม่โม่มีลักษณะพิเศษนี้ด้วยตัวเองหรือได้รับผลกระทบจากหยดเลือดของร่างแม่แบบทดลองกันแน่

  นอกจากนี้ชาร์ไป่เองก็ดูเหมือนจะมีความผิดปกติเกิดขึ้นเล็กน้อย เมื่อเร็ว ๆ นี้โม่โม่คาดไม่ถึงเลยว่าจะเห็นชาร์ไป่กำลังกินศพมนุษย์ซึ่งกองอยู่บริเวณศูนย์กลางเมืองเวลลิงตัน เมื่อมันเห็นว่าโม่โม่พบเข้ามันก็หลีกเลี่ยงออกมา แต่โม่โม่ก็ยังเห็นมันอยู่ดี โม่โม่ที่พบว่าชาร์ไป่กำลังกินซากศพอยู่ไม่ได้เอาไปบอกคนอื่น ๆ แต่อย่างใด เธอจูงชาร์ไป่ด้วยเข็มขัดหนังและดึงมันออกมาอย่างเงียบ ๆ

  โม่โม่ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงทำแบบนี้

  หลังจากนั้นสามวันหลังจากที่ร่างกายสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้นไป๋อี้ก็เรียกทุกคนมารวมตัวกัน

  “ใช้น้ำสกัดที่มีเก็บดอกไม้มรณะให้หมดแล้วพวกเราจะออกไปจากที่นี่กัน” ไป๋อี้พูดกับทุกคน

  “เร็วอะไรขนาดนี้?” วูล์ฟรู้สึกว่าร่างกายของเขายังไม่แข็งแรงสมบูรณ์ดีนัก

  “ใช่ ไม่รู้ว่าเวอร์เนอร์เขาอยู่ที่ไหน ขณะที่เขาอยู่ในระยะดุร้ายรุนแรงภายใต้สถานการณ์ที่จิตใจของเขาได้รับความเจ็บปวด นั่นเป็นสถานการณ์สามารถจินตนาการได้ ก่อนหน้านี้เราไม่สามารถขยับตัวได้ แต่ตอนนี้เราสามารถขยับตัวได้แล้ว เราต้องไปตามหาเวอร์เนอร์กลับมา ส่วนเฮลัวส์หลังจากที่เราแยกจากกันไป หลายวันมาแล้วเธอก็ยังไม่กลับมา ฉันให้โม่โม่ส่งผีเสื้อกลืนกินวิญญาณออกไปตามหาก็ยังไม่พบ กล่าวคคือแม้ว่าอาการบาดเจ็บจะยังไม่หาย แต่เราก็ไม่สามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้” ไป๋อี้อธิบายสถานการณ์ปัจจุบันสั้น ๆ

  หลังจากได้ยินคำพูดของไป๋อี้ ทุกคนก็ไม่มีใครเสนอความคิดเห็นอื่น ๆ หรือก็คือไม่มีใครคัดค้าน

  ทุกคนเริ่มลงมือ อันดับแรกคือวิญญาณร้ายรอบนอกต้นไม้ปลิดวิญญาณ วิญญาณที่ดุร้ายเหล่านี้รู้สึกได้โดยสัญชาตญาณถึงการล่อลวงจากต้นไม้ที่ปลิดวิญญาณ แต่พวกเขาก็รู้สึกกลัวและยังรู้สึกแปลก ๆ อยู่ นั่นทำให้วิญญาณที่ดุร้ายเหล่านี้ได้แต่วนเวียนอยู่รอบ ๆ ต้นไม้ปลิดวิญญาณ

  จะออกไปอย่างไร?

  ในตอนนี้โม่โม่เดินไปที่ต้นไม้ปลิดวิญญาณ มีดสั้นของเธอถูกนำออกจากฝัก จากนั้นกิ่งก้านก็ถูกตัดออกจากต้นและเธอก็เอามันติดมือกลับมาด้วย

  “โม่โม่?”

  “ใช้สิ่งนี้ค่ะ หนูรู้สึกเมื่อทำแบบนี้วิญญาณที่ดุร้ายเหล่านั้นจะไม่โจมตีเรา” โม่โม่กล่าว

  ดีล่ะ แม้ว่าจะไม่มีเหตุผลอะไรเลยก็ตาม แต่หลังจากลองดูทุกคนก็พบว่ามันเป็นเหมือนอย่างที่โม่โม่พูดไม่มีผิด เมื่อถือกิ่งก้านของต้นไม้ปลิดวิญญาณเอาไว้ วิญญาณร้ายที่อยู่รอบนอกก็ไม่ได้โจมตีพวกเขา แต่พวกมันกลับเริ่มสับสนมึนงง หลังจากเรื่องนี้ได้รับการยืนยันทุกคนก็มองโม่โม่ด้วยแววตาประหลาดใจ โม่โม่มีความเปลี่ยนแปลงมากกว่าใครหลังจากเข้ามาในเมืองเวลลิงตันแห่งนี้ จนถึงตอนนี้เธอมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง?

  อย่างไรก็ตามนี่นับว่าไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร

  ……

  หลังจากออกเดินทางอย่างระมัดระวังในเวลลิงตันเป็นเวลานานกว่าหนึ่งสัปดาห์ ในที่สุดไป๋อี้และเพื่อน ๆ ก็พบกับเฮลัวส์ เธอถูกไล่ล่าโดยนกที่น่ากลัว หลังจากที่ทุกคนช่วยเฮลัวส์และพูดคุยกันเกี่ยวกับสถานการณ์ในช่วงที่ผ่านมาก็ต่างถอนใจออกมาอย่างใจหาย น่าเสียดายที่กลุ่มของไป๋อี้ยังไม่พบตัวเวอร์เนอร์ รวมถึงยังไม่พบหยูหานกับเพื่อน ๆ ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าในกรณีใดเวลลิงตันเป็นเมืองหลวงของนิวซีแลนด์ ในสภาพแวดล้อมที่น่ากลัวเช่นนี้การหาใครสักคนต้องใช้โชคช่วยจริง ๆ

  “คิดไม่ถึงจริง ๆ ถ้าฉันอยู่ที่นั่นด้วยล่ะก็ ……” เฮลัวส์มองเมย์ริสอย่างใจหาย

  “ไม่เอาน่า ไม่เป็นอะไรจริง ๆ แต่จากนี้ไปยังมีคนในทีมที่เธอต้องช่วยดูแล” เมย์ริสกล่าวฝากฝัง “อื้ม วางใจเถอะ ฉันจะดูแลวูล์ฟให้ดี” เฮลัวส์พยักหน้า

  “ไป๋อี้!”

  “ฉันหมดปัญญาแล้ว เธอก็รู้” เฮลัวส์ผายมือออก เธอไม่ใช่คนไร้สาระ ถ้าเป็นหงฉี่ฮว๋าล่ะก็ไป๋อี้คงอาจจะเชื่อฟังคำชี้แนะของเธอได้ เธอจะกลับมาได้ไหม แต่ไป๋อี้เองก็มีแผนของตนเอง แม้คาดว่าหลายสิ่งอาจจะไม่สามารถโน้มน้าวให้คนอื่นให้เชื่อฟังได้

  “ช่างเถอะ ถ้างั้นก็เอาอย่างนี้แหละ ค่อยพบกันใหม่นะ”

  “อื้ม เจอกันใหม่” ทุกคนบอกลาเมย์ริสแล้วออกจากที่นี่ด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยเล็กน้อย การเดินทางมาเวลลิงตันครั้งนี้แม้จะไม่นานนัก แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนรู้สึกผูกพันกับที่นี่ เมื่อพวกเขาออกจากที่นี่ไป๋อี้ก็ต้องแบกรับความรับผิดชอบครั้งใหม่ โม่โม่สัญญาว่าจะหาทางชุบชีวิตเมย์ริสให้ได้

  ————————————————

  หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน หยูหานและคนอื่น ๆ ก็บอกลาแนนซี่ ในช่วงเวลานี้หยูหานยังพยายามเชิญชวนแนนซี่อีกครั้ง แต่ในแต่ละครั้งเธอก็ปฏิเสธกลับไปอย่างอ่อนโยน ในเวลานี้หยูหานรู้ว่าแม้ว่าผู้หญิงที่กลายเป็นสัตว์ประหลาดตรงหน้าเธอจะอ่อนโยน แต่เธอก็มั่นคงและจะไม่เปลี่ยนใจตามความประสงค์ของเขาเป็นแน่

  หลังจากที่หยูหานและทั้งสามออกจากที่พักของแนนซี่และมาถึงนอกเมืองเวลลิงตัน อดัมส์ก็หยุดชะงัก หยูหานรู้สึกตื่นตัวเล็กน้อย อดัมส์ไม่ได้ตอบคำถามก่อนหน้านี้ หยูหานจึงคิดว่าพวกเขาจะยังสามารถเป็นแบบนี้ต่อไปได้ แต่เมื่ออดัมส์หยุดอย่างกะทันหันทำให้มีความรู้สึกไม่ดีเกิดขึ้นในใจของหยูหาน

  “หยูหาน!”

  “ฉันจะขอความยุติธรรมจากไป๋อี้ แต่ไม่ใช่การไปกับนาย ขอโทษนะ!” อดัมส์พูดอย่างจริงจัง

  หยูหานรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงในหัวใจของเขา แต่เขาก็ยังแสดงความเข้าใจออกมา หลังจากอดัมส์พูดจบเขาก็พยักหน้าให้หยูหานและหนิงเสวี่ยจากนั้นก็หันหลังเดินไปทางอื่น หยูหานไม่ได้รั้งเขาไว้ อดัมส์คิดเรื่องนี้มานานแล้ว ถ้าเขาเปลี่ยนใจเพียงเพราะประโยคเดียวนั่นคงไม่ใช่อดัมส์แล้วล่ะ

  มีเพียงแต่เขา มีเพียงเขาคนเดียวอีกครั้ง!

  เมื่อเห็นอดัมส์หายไปในระยะไกล ความเจ็บปวดและความมืดที่ไร้ขอบเขตยังคงแพร่กระจายอยู่ในหัวใจของหยูหานราวกับว่าความรู้สึกนั้นดำดิ่งจนจะทำให้หยูหานจมน้ำตาย แต่ในตอนนี้หนิงเสวี่ยก็ได้โอบกอดจากทางด้านหลังของหยูหานเอาไว้ มันไม่ใช่สัมผัสที่อ่อนโยน แต่เป็นความรู้สึกที่อบอุ่น หยูหานมองไปที่ผู้หญิงคนนี้ที่อยู่กับเขามาตลอดและคอยติดตามอยู่เสมอ ทันใดนั้นหัวใจของเขาก็ถูกยึดครองโดยเธอ

  หยูหานโอบกอดหนิงเสวี่ยเอาไว้ จากนี้เป็นต้นไปหนิงเสวี่ยจะอยู่ในใจของหยูหานและครองตำแหน่งคนพิเศษในใจเขา

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 124 บทสรุป

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 124 บทสรุป at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

   ในเมื่อไม่มีหมอปรุงยาในกลุ่มของไป๋อี้ พวกเขาจึงไม่สามารถสกัดส่วนผสมสมุนไพรของดอกไม้มรณะได้ แต่ไป๋อี้และคนอื่น ๆ ก็อยู่บริเวณใจกลางเมืองผีแห่งเวลลิงตัน ที่นี่ไม่มีความขาดแคลนดอกไม้มรณะ ทำให้ไป๋อี้และเพื่อน ๆ สามารถพบเห็นทุ่งดอกไม้มรณะที่เติบโตอยู่ด้านบนของซากศพได้ทุกแห่งหน

  “ไม่อยากจะเชื่อเลยจริง ๆ!”

  เมื่อพวกเขาเห็นทุ่งดอกไม้มรณะขนาดใหญ่เป็นครั้งแรกทุกคนต่างก็ตกใจ อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาเห็นซากศพหนาแน่นมากมายใต้ทุ่งดอกไม้มรณะอารมณ์ของทุกคนก็ไม่สู้ดีนัก ดอกไม้มรณะมีข่าวลือว่าพวกมันดูดซับการเติบโตจากวิญญาณ แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ฉากของดอกไม้มรณะเหล่านี้ที่ลู่ลมไปมาบนซากศพนั้นช่างสวยงามและน่าตะลึงอย่างยิ่ง

  “ดอกไม้มรณะมากมายเต็มไปหมด!” วูล์ฟอุทานด้วยความตกตะลึง

  “ไม่ นี่มันไม่ได้เยอะเลยสักนิด” ไป๋อี้ส่ายหัว

  “แม้ว่าดอกไม้มรณะเหล่านี้จะดูเหมือนกินพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นบริเวณกว้าง แต่ทว่าหากคุณประเมินอย่างรอบคอบ แม้ในเวลลิงตันจำนวนดอกไม้มรณะเหล่านี้น่าจะมีราว ๆ 10,000 ดอก แต่ถ้าข่าวลือเรื่องดอกไม้มรณะเหล่านี้เป็นเรื่องจริง หากว่าพวกมันดูดซับวิญญาณในการเจริญเติบโต โดยพื้นฐานแล้วสามารถถือได้ว่ามันเป็นดอกไม้ชนิดหนึ่งที่ไม่มีการหมุนเวียนและมันจะกลายเป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างแน่นอนเมื่อมันถูกใช้ไปเรื่อย ๆ” ไป๋อี้มองดอกไม้มรณะเหล่านี้และพูดอย่างช้า ๆ

  “น่าเสียดาย ถ้ามีเรามีหมอปรุงยาที่ยอดเยี่ยมผู้ซึ่งสามารถค้นพบวิธีที่เหมาะสมในการสกัดอับเรณูของดอกไม้มรณะและทำให้มันสามารถใช้เป็นยาได้ นั่นจะเป็นวิธีที่เป็นประโยชน์ที่สุดในการใช้ดอกไม้มรณะ” เมย์ริสกล่าว

  “อืม เป็นอย่างนั้นจริง ๆ” ไป๋อี้พยักหน้า

  “ดอกไม้มรณะไม่เพียงแต่สามารถหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและลดระยะเวลาของการเข้าสู่ระยะดุร้ายได้เท่านั้น จากสถานการณ์ในตอนนี้กล่าวได้ว่าดอกไม้มรณะยังมีความสามารถในการซ่อมแซมความเสียหายของจิตวิญญาณอีกด้วย แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถพบดอกไม้มรณะได้จากที่อื่นเลย พืชที่มีลักษณะเช่นนี้คาดการณ์ได้ว่ามันจะต้องมีค่ามากแน่ ๆ” ไป๋อี้พูด ก่อนจะจบประโยคอย่างช้า ๆ

  “มันเป็นทรัพยากรที่มีประโยชน์อย่างยิ่งและไม่สามารถเจริญเติบโตหมุนเวียนได้ มันจะเป็นสิ่งที่หายากในอนาคตอย่างแน่นอน” เมย์ริสกล่าวเสริม

  “พวกนายรู้ได้ยังไง?” วูล์ฟเอ่ยถาม

  “มันเป็นเพียงการอนุมานขั้นพื้นฐาน จริง ๆ เลย นายใช้หัวคิดสักหน่อยสิ” ไป๋อี้ไม่สนใจวูล์ฟ ผู้ชายคนนี้เขาหัวไม่ดีนัก ตั้งแต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยจะใช้หัวคิดอะไรมากมาย 

  “เรื่องนั้นละไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้เราควรรักษาบาดแผลให้หายก่อนแล้วจึงเก็บดอกไม้มรณะให้มากขึ้นเพื่อเป็นวัตถุดิบในการรักษา” ไป๋อี้พูดในตอนท้าย นี่เป็นแผนการที่ดีที่สุดในตอนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่สุดท้ายไป๋อี้และคนอื่น ๆ คาดว่าพวกเขาคงจะไม่สามารถเก็บได้มากนักเพราะในกระเป๋าเดินทางใบนั้นไม่ได้มีน้ำสกัดจากต้นไม้วิญญาณบริสุทธิ์มากนักเท่าไหร่ ไป๋อี้และคนอื่น ๆ ไม่เคยเห็นน้ำสกัดจากต้นไม้ชนิดนี้และพวกเขาไม่รู้ว่ามันถูกเก็บมาจากที่ไหน

  ในช่วงเวลาที่ต้องพักฟื้นอาการบาดเจ็บ ทุกคนต่างก็นึกถึงสิ่งที่ได้และความสูญเสียจากการต่อสู้ครั้งนี้อย่างเงียบ ๆ

  ไป๋อี้คุยกับเมย์ริสทุกวันและเริ่มมีความอ่อนโยนอย่างที่เคยมีเหมือนก่อนหน้านี้ แต่อย่างไรก็ตามเมย์ริสสัมผัสได้ว่าหัวใจของไป๋อี้เปลี่ยนไป ระหว่างการเดินทางมายังเมืองผีแห่งเวลลิงตัน ไป๋อี้เข้าใจบางสิ่งบางอย่างอย่างลึกซึ้ง ตอนนี้ไป๋อี้มีทั้งความอ่อนโยนและความเย็นชารวมเข้าด้วยกันกับความขัดแย้งและความกลมเกลียว

  วูล์ฟหยิบง้าวของเขาขึ้นมาและเต้นเบา ๆ ราวกับว่าเขาคุ้นเคยกับร่างกายนี้เป็นอย่างดีแล้ว ง้าวของเขาเป็นอาวุธที่มีโอกาสถูกทำลายน้อยที่สุด ดาบเขี้ยวของไป๋อี้มีรอยแตกอีกครั้ง เป็นไปตามที่คาดไว้อาวุธที่หนาและเรียบง่ายกว่านั้นแข็งแรงกว่าและไม่ได้เสียหายง่าย ๆ

  พูพูมักนอนหันหน้าไปทางเดียวอย่างเงียบ ๆ เมื่อดูจากท่าทางของพูพูนับว่านี่เป็นภาพที่เห็นได้ไม่บ่อย ตอนนี้เวอร์เนอร์ได้หายไปและพูพูก็เป็นกังวลมากจริง ๆ เวอร์เนอร์จะกล่าวได้อย่างไรว่าเขาเป็นเจ้าของพูพูที่แท้จริง ในเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของและสัตว์เลี้ยงจะเริ่มลดน้อยถอยลงเรื่อย ๆ

  โม่โม่มักจะเดินไปรอบ ๆ ต้นไม้ปลิดวิญญาณ ดูเหมือนว่าเธอจะรู้สึกสบายใจกับต้นไม้นี้มาก

 

   ต้นไม้ปลิดวิญญาณ เป็นชื่อที่พวกไป๋อี้ตั้งขึ้นให้กับต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ตรงกลางเมือง เมื่อพูดถึงแล้วดูเหมือนว่าผู้คนที่นี่จะไม่มีใครตั้งชื่อให้สิ่งใดเลย เดิมทีเขาวางแผนที่จะตั้งชื่อต้นไม้เหมือนดอกไม้มรณะ แต่โม่โม่มีความคิดเห็นว่ามันไม่ดี จึงเปลี่ยนเป็นคำพยางค์ที่ใกล้เคียง ซึ่งค่อนข้างให้ความรู้สึกน่าฟังและให้ความรู้สึกละม้ายคล้ายกับศาสนาพุทธและลัทธิเต๋า  

        สำหรับต้นไม้ปลิดวิญญาณมีเพียงโม่โม่เท่านั้นที่รู้สึกสบายใจเมื่อมองมัน ทว่าคนอื่น ๆ มักคิดว่าต้นไม้ปลิดวิญญาณนั้นไม่ค่อยดีนัก มันเติบโตอย่างอุดมสมบูรณ์บนกองของซากศพคนตายเพียงแค่นึกถึงก็ ……. อย่างไรก็ตามเท่าที่รู้เกี่ยวข้องกับต้นไม้ปลิดวิญญาณ มันไม่มีอันตรายอื่นใด อย่างน้อยมันก็ไม่งอกหนวดขึ้นมาเพื่อจับคว้าตัวผู้คนเข้าไป

  แน่นอนว่าเห็นได้อย่างชัดเจนว่าโม่โม่มีความใกล้ชิดกับวิญญาณมากขึ้นและไม่รู้ว่าโม่โม่มีลักษณะพิเศษนี้ด้วยตัวเองหรือได้รับผลกระทบจากหยดเลือดของร่างแม่แบบทดลองกันแน่

  นอกจากนี้ชาร์ไป่เองก็ดูเหมือนจะมีความผิดปกติเกิดขึ้นเล็กน้อย เมื่อเร็ว ๆ นี้โม่โม่คาดไม่ถึงเลยว่าจะเห็นชาร์ไป่กำลังกินศพมนุษย์ซึ่งกองอยู่บริเวณศูนย์กลางเมืองเวลลิงตัน เมื่อมันเห็นว่าโม่โม่พบเข้ามันก็หลีกเลี่ยงออกมา แต่โม่โม่ก็ยังเห็นมันอยู่ดี โม่โม่ที่พบว่าชาร์ไป่กำลังกินซากศพอยู่ไม่ได้เอาไปบอกคนอื่น ๆ แต่อย่างใด เธอจูงชาร์ไป่ด้วยเข็มขัดหนังและดึงมันออกมาอย่างเงียบ ๆ

  โม่โม่ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงทำแบบนี้

  หลังจากนั้นสามวันหลังจากที่ร่างกายสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้นไป๋อี้ก็เรียกทุกคนมารวมตัวกัน

  “ใช้น้ำสกัดที่มีเก็บดอกไม้มรณะให้หมดแล้วพวกเราจะออกไปจากที่นี่กัน” ไป๋อี้พูดกับทุกคน

  “เร็วอะไรขนาดนี้?” วูล์ฟรู้สึกว่าร่างกายของเขายังไม่แข็งแรงสมบูรณ์ดีนัก

  “ใช่ ไม่รู้ว่าเวอร์เนอร์เขาอยู่ที่ไหน ขณะที่เขาอยู่ในระยะดุร้ายรุนแรงภายใต้สถานการณ์ที่จิตใจของเขาได้รับความเจ็บปวด นั่นเป็นสถานการณ์สามารถจินตนาการได้ ก่อนหน้านี้เราไม่สามารถขยับตัวได้ แต่ตอนนี้เราสามารถขยับตัวได้แล้ว เราต้องไปตามหาเวอร์เนอร์กลับมา ส่วนเฮลัวส์หลังจากที่เราแยกจากกันไป หลายวันมาแล้วเธอก็ยังไม่กลับมา ฉันให้โม่โม่ส่งผีเสื้อกลืนกินวิญญาณออกไปตามหาก็ยังไม่พบ กล่าวคคือแม้ว่าอาการบาดเจ็บจะยังไม่หาย แต่เราก็ไม่สามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้” ไป๋อี้อธิบายสถานการณ์ปัจจุบันสั้น ๆ

  หลังจากได้ยินคำพูดของไป๋อี้ ทุกคนก็ไม่มีใครเสนอความคิดเห็นอื่น ๆ หรือก็คือไม่มีใครคัดค้าน

  ทุกคนเริ่มลงมือ อันดับแรกคือวิญญาณร้ายรอบนอกต้นไม้ปลิดวิญญาณ วิญญาณที่ดุร้ายเหล่านี้รู้สึกได้โดยสัญชาตญาณถึงการล่อลวงจากต้นไม้ที่ปลิดวิญญาณ แต่พวกเขาก็รู้สึกกลัวและยังรู้สึกแปลก ๆ อยู่ นั่นทำให้วิญญาณที่ดุร้ายเหล่านี้ได้แต่วนเวียนอยู่รอบ ๆ ต้นไม้ปลิดวิญญาณ

  จะออกไปอย่างไร?

  ในตอนนี้โม่โม่เดินไปที่ต้นไม้ปลิดวิญญาณ มีดสั้นของเธอถูกนำออกจากฝัก จากนั้นกิ่งก้านก็ถูกตัดออกจากต้นและเธอก็เอามันติดมือกลับมาด้วย

  “โม่โม่?”

  “ใช้สิ่งนี้ค่ะ หนูรู้สึกเมื่อทำแบบนี้วิญญาณที่ดุร้ายเหล่านั้นจะไม่โจมตีเรา” โม่โม่กล่าว

  ดีล่ะ แม้ว่าจะไม่มีเหตุผลอะไรเลยก็ตาม แต่หลังจากลองดูทุกคนก็พบว่ามันเป็นเหมือนอย่างที่โม่โม่พูดไม่มีผิด เมื่อถือกิ่งก้านของต้นไม้ปลิดวิญญาณเอาไว้ วิญญาณร้ายที่อยู่รอบนอกก็ไม่ได้โจมตีพวกเขา แต่พวกมันกลับเริ่มสับสนมึนงง หลังจากเรื่องนี้ได้รับการยืนยันทุกคนก็มองโม่โม่ด้วยแววตาประหลาดใจ โม่โม่มีความเปลี่ยนแปลงมากกว่าใครหลังจากเข้ามาในเมืองเวลลิงตันแห่งนี้ จนถึงตอนนี้เธอมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง?

  อย่างไรก็ตามนี่นับว่าไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร

  ……

  หลังจากออกเดินทางอย่างระมัดระวังในเวลลิงตันเป็นเวลานานกว่าหนึ่งสัปดาห์ ในที่สุดไป๋อี้และเพื่อน ๆ ก็พบกับเฮลัวส์ เธอถูกไล่ล่าโดยนกที่น่ากลัว หลังจากที่ทุกคนช่วยเฮลัวส์และพูดคุยกันเกี่ยวกับสถานการณ์ในช่วงที่ผ่านมาก็ต่างถอนใจออกมาอย่างใจหาย น่าเสียดายที่กลุ่มของไป๋อี้ยังไม่พบตัวเวอร์เนอร์ รวมถึงยังไม่พบหยูหานกับเพื่อน ๆ ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าในกรณีใดเวลลิงตันเป็นเมืองหลวงของนิวซีแลนด์ ในสภาพแวดล้อมที่น่ากลัวเช่นนี้การหาใครสักคนต้องใช้โชคช่วยจริง ๆ

  “คิดไม่ถึงจริง ๆ ถ้าฉันอยู่ที่นั่นด้วยล่ะก็ ……” เฮลัวส์มองเมย์ริสอย่างใจหาย

  “ไม่เอาน่า ไม่เป็นอะไรจริง ๆ แต่จากนี้ไปยังมีคนในทีมที่เธอต้องช่วยดูแล” เมย์ริสกล่าวฝากฝัง “อื้ม วางใจเถอะ ฉันจะดูแลวูล์ฟให้ดี” เฮลัวส์พยักหน้า

  “ไป๋อี้!”

  “ฉันหมดปัญญาแล้ว เธอก็รู้” เฮลัวส์ผายมือออก เธอไม่ใช่คนไร้สาระ ถ้าเป็นหงฉี่ฮว๋าล่ะก็ไป๋อี้คงอาจจะเชื่อฟังคำชี้แนะของเธอได้ เธอจะกลับมาได้ไหม แต่ไป๋อี้เองก็มีแผนของตนเอง แม้คาดว่าหลายสิ่งอาจจะไม่สามารถโน้มน้าวให้คนอื่นให้เชื่อฟังได้

  “ช่างเถอะ ถ้างั้นก็เอาอย่างนี้แหละ ค่อยพบกันใหม่นะ”

  “อื้ม เจอกันใหม่” ทุกคนบอกลาเมย์ริสแล้วออกจากที่นี่ด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยเล็กน้อย การเดินทางมาเวลลิงตันครั้งนี้แม้จะไม่นานนัก แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนรู้สึกผูกพันกับที่นี่ เมื่อพวกเขาออกจากที่นี่ไป๋อี้ก็ต้องแบกรับความรับผิดชอบครั้งใหม่ โม่โม่สัญญาว่าจะหาทางชุบชีวิตเมย์ริสให้ได้

  ————————————————

  หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน หยูหานและคนอื่น ๆ ก็บอกลาแนนซี่ ในช่วงเวลานี้หยูหานยังพยายามเชิญชวนแนนซี่อีกครั้ง แต่ในแต่ละครั้งเธอก็ปฏิเสธกลับไปอย่างอ่อนโยน ในเวลานี้หยูหานรู้ว่าแม้ว่าผู้หญิงที่กลายเป็นสัตว์ประหลาดตรงหน้าเธอจะอ่อนโยน แต่เธอก็มั่นคงและจะไม่เปลี่ยนใจตามความประสงค์ของเขาเป็นแน่

  หลังจากที่หยูหานและทั้งสามออกจากที่พักของแนนซี่และมาถึงนอกเมืองเวลลิงตัน อดัมส์ก็หยุดชะงัก หยูหานรู้สึกตื่นตัวเล็กน้อย อดัมส์ไม่ได้ตอบคำถามก่อนหน้านี้ หยูหานจึงคิดว่าพวกเขาจะยังสามารถเป็นแบบนี้ต่อไปได้ แต่เมื่ออดัมส์หยุดอย่างกะทันหันทำให้มีความรู้สึกไม่ดีเกิดขึ้นในใจของหยูหาน

  “หยูหาน!”

  “ฉันจะขอความยุติธรรมจากไป๋อี้ แต่ไม่ใช่การไปกับนาย ขอโทษนะ!” อดัมส์พูดอย่างจริงจัง

  หยูหานรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงในหัวใจของเขา แต่เขาก็ยังแสดงความเข้าใจออกมา หลังจากอดัมส์พูดจบเขาก็พยักหน้าให้หยูหานและหนิงเสวี่ยจากนั้นก็หันหลังเดินไปทางอื่น หยูหานไม่ได้รั้งเขาไว้ อดัมส์คิดเรื่องนี้มานานแล้ว ถ้าเขาเปลี่ยนใจเพียงเพราะประโยคเดียวนั่นคงไม่ใช่อดัมส์แล้วล่ะ

  มีเพียงแต่เขา มีเพียงเขาคนเดียวอีกครั้ง!

  เมื่อเห็นอดัมส์หายไปในระยะไกล ความเจ็บปวดและความมืดที่ไร้ขอบเขตยังคงแพร่กระจายอยู่ในหัวใจของหยูหานราวกับว่าความรู้สึกนั้นดำดิ่งจนจะทำให้หยูหานจมน้ำตาย แต่ในตอนนี้หนิงเสวี่ยก็ได้โอบกอดจากทางด้านหลังของหยูหานเอาไว้ มันไม่ใช่สัมผัสที่อ่อนโยน แต่เป็นความรู้สึกที่อบอุ่น หยูหานมองไปที่ผู้หญิงคนนี้ที่อยู่กับเขามาตลอดและคอยติดตามอยู่เสมอ ทันใดนั้นหัวใจของเขาก็ถูกยึดครองโดยเธอ

  หยูหานโอบกอดหนิงเสวี่ยเอาไว้ จากนี้เป็นต้นไปหนิงเสวี่ยจะอยู่ในใจของหยูหานและครองตำแหน่งคนพิเศษในใจเขา

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+