[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 137 ความเข้าใจซึ่งกันและกัน

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 137 ความเข้าใจซึ่งกันและกัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

  หลังจากที่เวร่าและลอเทียร์แนะนำตัวเสร็จ พวกเธอก็รอการตัดสินใจของไป๋อี้ เพราะในสถานการณ์ปัจจุบันการสอนหนังสือไม่ได้มีคุณค่าอะไรเลยในนิวซีแลนด์ ตรงกันข้ามตอนนี้ทุกคนกลับมุ่งเน้นไปที่ความสามารถในการเอาชีวิตรอดในป่ากันมากกว่า ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงไม่พบทีมที่เหมาะสมเสียที ทำให้ท้ายที่สุดไม่มีทีมใดยอมแบกภาระอย่างเธอทั้งสอง

  “ถึงคุณจะไม่รู้วิธีการต่อสู้ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร พวกคุณสามารถเรียนรู้ได้ตั้งแต่เริ่มต้น โดยทั่วไปคุณไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ทรงพลังขนาดนั้น แต่ก็ยังจำเป็นต้องมีความสามารถในการป้องกันตัวเองได้บ้าง ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่สามารถพัฒนาได้ ทุกคนเริ่มจากการทดลองลงมือทำด้วยตนเอง อย่างน้อยคุณจะพัฒนาได้ไม่น้อยไปกว่าโม่โม่แน่” ไป๋อี้ยิ้มและชี้ไปที่โม่โม่

  “โม่โม่ลูกสาวของผม ปีนี้อายุห้าขวบ เธอเก่งเรื่องดาบและสามารถมองเห็นวิญญาณได้ แต่เธอไม่ชอบเรียนหนังสือ”

  “วิญญาณ!” ลอเทียร์และมัลวีย์มองไปที่โม่โม่ด้วยความตกใจ

  “ฉันจะสอนหนูโม่โม่ให้ดี นอกจากนี้ฉันเชื่อว่าฉันสามารถพัฒนาความสามารถตามหนูโม่โม่ได้แน่” เวร่าดูไม่แปลกใจเลยสักนิดที่ไป๋อี้บอกว่าหนูน้อยเก่งเรื่องดาบ เธอทั้งสองไม่รู้เรื่องนี้มากนัก แต่ถ้าให้เทียบกับเด็กผู้หญิงอายุห้าขวบ พวกเธอก็ไม่น้อยหน้าไปกว่าหนูน้อยสักเท่าไหร่หรอกน่า

  ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าทำไมไป๋อี้ถึงเลือกครูมาร่วมทีม นั่นก็เพื่อพัฒนาการการเรียนรู้ของลูกสาวของเขาเอง แม้ว่าตอนนี้ชีวิตในนิวซีแลนด์จะยุ่งยากลำบากมากเพียงใด แต่เห็นได้ชัดว่าไป๋อี้ไม่ต้องการให้ลูกสาวของเขากลายเป็นเด็กสาวที่แข็งแกร่งดุจชายชาตรีเพราะสภาพแวดล้อมเช่นนี้ หลังจากที่โม่โม่ได้ยินคำพูดของไป๋อี้จู่ ๆ เธอก็กอดแขนเขาไว้เหมือนเด็กทารกและเริ่มบ่นพึมพำ เธอไม่ชอบการเรียนหนังสือ จะทำอะไรได้บ้าง

  หลังจากเวร่าและลอเทียร์แนะนำตัวแล้วก็ถึงคราของมัลวีย์บ้างแล้ว

  “อะฮึ่ม” มัลวีย์แสร้งทำเป็นกระแอมสองครั้ง แต่ก็พบว่าไม่มีใครสนใจเขาเลย

  “ฉันชื่อมัลวีย์ ฉันเคยอยู่กับทีมอื่นมาก่อน แต่ครั้งหนึ่งพวกเราได้พบกับสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่ทรงพลังมาก พวกเราถูกมันฆ่า โดยมีเพียงบอนนี่และฉันเท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้ ตั้งแต่นั้นมาเราสองคนเลยไม่ต้องการเข้าร่วมกับทีมอื่นเพื่อต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์เหล่านั้นอีก เพื่อที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้นเราสองคนจึงเริ่มเรียนรู้เพื่อเป็นช่างหลอมอาวุธและหมอปรุงยา ในเวลานั้นทั้งสองอาชีพนี้เป็นอาชีพใหม่และเป็นที่ต้องการมาก แต่ดูเหมือนฉันจะไม่มีพรสวรรค์อะไรเลยและยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากทีมไหน ๆ การสืบเสาะหาแนวทางเรียนรู้ก็เชื่องช้ามาก อันที่จริงฉันไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมหัวหน้าไป๋อี้ถึงเชิญฉันเข้าร่วมทีม” มัลวีย์พูดขึ้นมาก่อนจะรอคำตอบของไป๋อี้

  “มัลวีย์ นายไม่รู้พรสวรรค์ของนายเหรอ?”

  “อะไร?”

  “พรสวรรค์ของช่างหลอมอาวุธ!”

  “ปัจจุบัน สิ่งที่เรียกว่าช่างหลอมอาวุธบนเกาะปีศาจนิวซีแลนด์แห่งนี้ไม่ใช่ช่างหลอมอาวุธเหมือนอย่างในภาพยนตร์หรือเกม แต่จริง ๆ แล้วคือการประมวลผลการแปรรูปฟัน กระดูก หนังหนา และส่วนอื่น ๆ ของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ให้กลายเป็นอาวุธที่ใช้งานได้ หรือแม้แต่ชุดเกราะที่สามารถใส่ได้อย่างง่ายดาย ไม่ใช่ลึกลับซับซ้อน ตอนนี้อาชีพช่างหลอมอาวุธที่หลายคนเรียกไม่เพียงแต่ต้องมีเทคนิคในการหลอม แต่ยังรวมไปถึงการเพิ่มทักษะการประมวลผลที่ดีด้วย อย่างไรก็ตามฉันไม่เคยพบคนที่นำวัสดุมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพได้แบบนี้เลยแม้แต่คนเดียว” ไป๋อี้พูดก่อนจะดึงดาบเขี้ยวออกมา

  “ดาบเขี้ยวเป็นฟันของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่ถูกนำมาขัดขึ้นรูป ซึ่งมันแข็งเกินกว่าจะขัดได้ ดังนั้นมันจึงถูกนำมากัดกร่อนด้วยกรดของสัตว์ร้ายที่เน่าเปื่อยเสียก่อน โดยสิ่งนี้จะทำให้มันอ่อนขึ้นก่อนที่จะเริ่มแปรรูป แม้ว่าในภายหลังจะมีการคิดค้นสูตรยาที่เกี่ยวข้องเพื่อทำให้กรดนี้เป็นกลางมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงวัสดุของดาบเขี้ยวนี้ก็ได้ถูกทำลายไปแล้ว ความแข็งและความหนาแน่นลดลงไปหลายเท่า ยิ่งไปกว่านั้นยังเสียวัสดุส่วนใหญ่ไปกับขั้นตอนการบดและขัดอีกด้วย” ไป๋อี้ชักดาบออกมาและอธิบายให้หลาย ๆ คนฟัง

  ทุกคนมองไปที่ดาบเขี้ยวของไป๋อี้ มันเป็นมีดดาบยาวที่ค่อนข้างบอบบาง แต่ก็เหมือนกับที่ไป๋อี้กล่าว เมื่อมองดูแล้ว ความมันวาวของมันไม่ได้เกิดการหล่อลื่นทั้งยังมีความหยาบกระด้าง และในส่วนของคมดาบยังคงมีช่องว่างและรอยแตกเล็ก ๆ ปรากฏอยู่

  “ต้องรู้ว่าวัสดุชีวภาพนั้นแตกต่างจากโลหะ เพราะโลหะมีความอ่อนตัวยืดหยุ่นได้จึงง่ายต่อการแปรรูป อย่างไรก็ตามวัสดุชีวภาพส่วนใหญ่สามารถขัดได้แต่เพียงเท่านั้น เพราะหากเปลี่ยนรูปทรงแล้วมันอาจจะแตกได้ ยิ่งไปกว่านั้นมันไม่สามารถเชื่อมต่อกันได้ ดังนั้นจึงทำให้มีชิ้นส่วนที่สูญสิ้นไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่นาย มัลวีย์!” ไป๋อี้มองมัลวีย์อย่างเคร่งขรึม

  “เห็นได้ชัดว่าอาวุธของนายเกิดจากการหลอมรวมวัสดุชีวภาพเหล่านี้โดยตรงด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง จนเกิดเป็นอาวุธขึ้นมา นายได้พัฒนาล้ำหน้าช่างหลอมอาวุธทั้งหลายแล้ว ดูเหมือนว่านายจะยังไม่รู้ตัวสินะ”

  มัลวีย์ตะลึงงัน ขนาดนั้นเลยเหรอ!

  “แต่ว่าฉันทำช้ามาก”

  “ไม่เป็นไร อาวุธที่มีคุณภาพนั้นไม่อาจเทียบราคาได้ ถ้าอาวุธมีประสิทธิภาพ ใช้แค่ด้ามเดียวก็เพียงพอแล้ว” ไป๋อี้นำดาบเขี้ยวเก็บกลับเข้าไปในฝักของเขาอีกครั้งและมองไปที่มัลวีย์อย่างให้กำลังใจ

  “ฉันจะตั้งใจทำงานให้ดี” มัลวีย์พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม

  “สำหรับคนสุดท้ายนี้ ทุกคนอาจจะยังไม่คุ้นเคยกับเขา นักรบบ้าดีเดือดเรย์มอนด์” ไป๋อี้ชี้ไปที่เรย์มอนด์ที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงพลางกล่าวขึ้น

  “ไม่กลัวว่าเขาจะเข้าสู่สภาวะคลุ้มคลั่งอีกเหรอ หลาย ๆ ทีมยังต้องยอมแพ้เขาด้วยเหตุผลนี้เลยนะ” เวร่าถาม

  “ไม่ต้องห่วง นี่คือประโยชน์ของการเข้าร่วมทีมนี้ ตราบใดที่อยู่ในทีมของเรา โดยพื้นฐานแล้วคุณไม่ต้องกังวลเลยว่าจะเข้าสู่ระยะดุร้าย เว้นแต่จะเกิดสถานการณ์พิเศษขึ้น” เฮลัวส์กล่าวด้วยรอยยิ้ม

  ขณะนี้ไป๋อี้ก็ชี้ไปที่ดวงตาของเขา เมื่อทั้งสามคนมองไปที่ดวงตาของไป๋อี้ ดวงตาของเขาก็เปลี่ยนจากรูม่านตาธรรมดาอย่างช้า ๆ ราวกับดอกไม้ที่หมุนกลับด้านและบานสะพรั่ง ทันใดนั้นพวกเขาทั้งสามก็รู้สึกสับสนมึนงงเล็กน้อยทันทีที่พวกเขาหันศีรษะมองตาม

  “ม่านตาบุษบาผกผัน ความสามารถของฉันมีฤทธิ์ยับยั้งและสะกดจิตได้เป็นอย่างดี โดยทั่วไปแล้วถ้าไม่ใช่จิตวิญญาณที่รุนแรงฉันสามารถสะกดจิตให้เข้าสู่ห้วงนิทราได้ ในปัจจุบันฉันได้เผยแพร่ข้อมูลที่จำเป็นที่สุดในขั้นตอนนี้แล้ว มันคือการประสานอย่างสอดคล้องกันของร่างกายและจิตวิญญาณ นอกจากนี้ยังไม่มีการประสานใดที่จะดีไปกว่าการนอนหลับอย่างสนิท พืชที่ทำให้จิตใจสงบที่โลกภายนอกกำลังมองหากันไปทั่วทุกหนทุกแห่งเป็นเพียงหนึ่งในวิธีที่จะทำให้ผู้คนหลับไปอย่างสงบเท่านั้น” ไป๋อี้อธิบาย

  “จริงสิ อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่าเราจะปิดบังข้อมูลนี้โดยเจตนา และอันที่จริงมันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรที่จะบอกเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับดวงตาของฉัน ซึ่งมันเกิดการเปลี่ยนแปลงจากการผสานรวมยีนจนเกิดการกลายพันธุ์และความบังเอิญเช่นนั้นก็ไม่สามารถเลียนแบบกันได้” ไป๋อี้อธิบายอีกครั้ง ถึงเขาจะไม่ได้อธิบายมันก็ไม่มีอะไรสำคัญเท่าไหร่ก็ตาม แต่นั่นก็เพื่อไม่ให้มีบางคนคิดว่าพวกไป๋อี้จงใจไม่บอกคนอื่นเกี่ยวกับวิธีการนี้

  “แน่นอนว่าดวงตาของฉันไม่สามารถใช้ได้อย่างไม่จำกัด ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วมีเพียงสมาชิกในทีมเท่านั้นที่ฉันจะสามารถใช้ความสามารถนี้ในการรักษาเยียวยาจิตใจได้ อันที่จริงดวงตาของฉันก็ตาบอดไปนานกว่าหนึ่งเดือนเพราะใช้งานมันมากเกินไป” ไป๋อี้อธิบายอีกครั้ง

  เวร่าและอีกหลายคนเป็นคนฉลาด พวกเขาเข้าใจสิ่งที่ไป๋อี้พูดได้ในทันที ความสามารถชนิดหนึ่งที่มีเพียงไป๋อี้เท่านั้นที่สามารถทำได้ ส่วนคนอื่น ๆ ที่ต้องการเรียนรู้จะไม่สามารถเรียนรู้มันได้ และไป๋อี้ไม่สามารถช่วยเหลือคนอื่นได้ทุกคน หากเขาบอกคนอื่นอย่างบุ่มบ่ามมันจะทำให้พวกเขาเกิดความอิจฉาไป๋อี้ขึ้นมาเสียเปล่า

  “อย่างไรก็ตามฉันต้องบอกทุกคนคร่าว ๆ ก่อนในครั้งนี้” ไป๋อี้พูดเบา ๆ

  จากการปรึกษาหารือกันระหว่างไป๋อี้และแกรี่ ก่อนอื่นต้องรวมมนุษย์กลายพันธุ์ทั้งหมดที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยมองหาทรัพยากรที่เป็นประโยชน์ รวมทั้งผู้ที่มีความสามารถที่สามารถวิจัยค้นหาวิธีกลับคืนสู่ร่างมนุษย์ได้ อย่างน้อยก็ต้องสามารถอาศัยอยู่ในนิวซีแลนด์ได้อย่างมั่นคง ซึ่งไป๋อี้ได้เป็นผู้เชื่อมโยงทุกคนเข้าด้วยกันเพราะมีเพียงเขาเท่านั้นที่มีชื่อเสียงทางด้านนี้ แต่แน่นอนว่าหยูหานเองก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่ใครจะรู้กันว่าตอนนี้หยูหานอยู่ที่ไหน

  ในฐานะที่เป็นผู้ที่เชื่อมต่อผู้คนทั้งหมด อัตราการเปิดรับไป๋อี้จะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงเตรียมที่จะประกาศความสามารถขั้นพื้นฐานของเขาก่อน ซึ่งการเข้าหาเชิงรุกจะถูกยอมรับมากกว่าหารที่อยู่เฉย ๆ

  ความสามารถจากดวงตาของไป๋อี้มีความหมายสื่อถึงความรอดชีวิต สำหรับมนุษย์กลายพันธุ์นั้นต่างก็กลัวการเข้าสู่ระยะดุร้ายเป็นอย่างมากและกลัวว่าพวกเขาจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดโดยไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะไปตลอดกาล หลังจากตกอยู่ในสภาวะดุร้ายจะมีอะไรที่มีค่าไปกว่าดวงตาของไป๋อี้อีกหรือ? กล่าวได้ว่า แม้ว่าไป๋อี้จะไม่สามารถช่วยเหลือทุกคนได้ แต่เขาก็ยังเป็นความหวังของทุกคน แม้ว่าจะตกอยู่ในสภาวะดุร้ายเขาก็จะสามารถฟื้นคืนสติกลับมาได้

  “เอาล่ะ นี่คือวูล์ฟคนเซ่อ ๆ ประมาทเลินเล่อ” หลังจากไป๋อี้พูดเบา ๆ เขาก็เริ่มแนะนำคนอื่น ๆ ในทีมให้เวร่ารู้จัก

  “สวัสดีทุกคน ฉันชื่อวูล์ฟ” วูล์ฟแนะนำตัวด้วยรอยยิ้มอย่างหยาบ ๆ

  วูล์ฟ, เฮลัวส์, โม่โม่, ชาร์ไป่, พูพู, ชินชิล่า, เวร่า, ลอทเทียร์ และมัลวีย์ ในไม่ช้าเขาทุกคนก็คงได้รู้จักกันและจากนี้ไปพวกเขาก็กลายเป็นสมาชิกทีมเดียวกันแล้ว แน่นอนว่าในตอนแรกมันอาจจะแปลก ๆ อยู่บ้างเล็กน้อย แต่ไป๋อี้เชื่อว่าพวกเขาจะสามารถเข้ากันได้ดีในภายหลัง ส่วนเรย์มอนด์ที่หลับไปนั้นยังอยากจะหนีอยู่หรือไม่

  “จริงสิ มัลวีย์ บอนนี่ที่นายพูดถึงเขาอยู่ที่ไหนล่ะ?” ไป๋อี้ถามอย่างสงสัย ก่อนหน้านี้มัลวีย์บอกว่ามีเด็กผู้หญิงอีกคนที่รอดชีวิตมาพร้อมกับเขาซึ่งเป็นหมอปรุงยา ถ้าเธอมีบุคลิกที่ดีก็จะชักชวนเธอเข้าร่วมทีมด้วยอย่างแน่นอน

  มัลวีย์เงียบไปชั่วขณะก่อนที่จะตอบกลับด้วยเสียงเบา ๆ “ตายแล้ว! ตอนที่เธอทดลองใช้สรรพคุณทางยาในครั้งนั้น พืชธรรมดาหลายชนิดถูกผสมเข้าด้วยกันจนกลายเป็นยาพิษร้ายแรง ตอนที่ฉันไปตามหาเธอในวันรุ่งขึ้นก็พบว่าเธอหกล้มอยู่ในห้องของเธอ ซึ่งที่จริงแล้วเธอเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง วิธีการแก้ปัญหาที่ฉันใช้ในการหลอมรวมวัสดุชีวภาพทั้งหลายก็เป็นสูตรของเธอ แต่น่าเสียดายที่ ……”

  เมื่อไป๋อี้ได้ยินคำพูดนั้นก็ตบบ่ามัลวีย์เล็กน้อยเพื่อเป็นการปลอบประโลม

  นิวซีแลนด์ในปัจจุบันนี้ช่างโหดร้ายเหลือเกิน อุบัติเหตุใด ๆ ที่เกิดขึ้นอาจจะทำให้เสียชีวิตได้โดยเฉพาะอาชีพหมอปรุงยา การมองหายาที่เหมาะสมจากพืชกลายพันธุ์หลากหลายชนิดในนิวซีแลนด์โดยไม่มีประสบการณ์ใด ๆ ให้เรียนรู้ แต่ต้องอาศัยความรู้สึกเท่านั้น ด้วยเหตุนี้อาชีพหมอปรุงยาจึงต้องเป็นคนที่มีพรสวรรค์เป็นอย่างมาก

  “จริงสิ เนื่องจากตอนนี้พวกเราทั้งหมดก็เป็นทีมเดียวกันแล้ว ตอนนี้นายพอจะช่วยฉันซ่อมดาบเขี้ยวได้ไหม แม้ว่ากระดูกจะยังแข็งมาก แต่ส่วนของใบมีดไม่สามารถรองรับได้” ไป๋อี้พูดดึงความสนใจของมัลวีย์

  “ให้ฉันดูหน่อย มันน่าจะซ่อมได้ แต่ถ้ามีวัสดุอื่นที่สามารถเสริมเพิ่มเข้ามาอีกก็คงจะดีกว่านี้” มัลวีย์ดึงดาบเขี้ยวของไป๋อี้ออกมาตรวจดูอย่างละเอียดนานกว่าสิบนาทีก่อนจะกล่าวออกมาอย่างจริงจัง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 137 ความเข้าใจซึ่งกันและกัน

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 137 ความเข้าใจซึ่งกันและกัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

  หลังจากที่เวร่าและลอเทียร์แนะนำตัวเสร็จ พวกเธอก็รอการตัดสินใจของไป๋อี้ เพราะในสถานการณ์ปัจจุบันการสอนหนังสือไม่ได้มีคุณค่าอะไรเลยในนิวซีแลนด์ ตรงกันข้ามตอนนี้ทุกคนกลับมุ่งเน้นไปที่ความสามารถในการเอาชีวิตรอดในป่ากันมากกว่า ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงไม่พบทีมที่เหมาะสมเสียที ทำให้ท้ายที่สุดไม่มีทีมใดยอมแบกภาระอย่างเธอทั้งสอง

  “ถึงคุณจะไม่รู้วิธีการต่อสู้ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร พวกคุณสามารถเรียนรู้ได้ตั้งแต่เริ่มต้น โดยทั่วไปคุณไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ทรงพลังขนาดนั้น แต่ก็ยังจำเป็นต้องมีความสามารถในการป้องกันตัวเองได้บ้าง ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่สามารถพัฒนาได้ ทุกคนเริ่มจากการทดลองลงมือทำด้วยตนเอง อย่างน้อยคุณจะพัฒนาได้ไม่น้อยไปกว่าโม่โม่แน่” ไป๋อี้ยิ้มและชี้ไปที่โม่โม่

  “โม่โม่ลูกสาวของผม ปีนี้อายุห้าขวบ เธอเก่งเรื่องดาบและสามารถมองเห็นวิญญาณได้ แต่เธอไม่ชอบเรียนหนังสือ”

  “วิญญาณ!” ลอเทียร์และมัลวีย์มองไปที่โม่โม่ด้วยความตกใจ

  “ฉันจะสอนหนูโม่โม่ให้ดี นอกจากนี้ฉันเชื่อว่าฉันสามารถพัฒนาความสามารถตามหนูโม่โม่ได้แน่” เวร่าดูไม่แปลกใจเลยสักนิดที่ไป๋อี้บอกว่าหนูน้อยเก่งเรื่องดาบ เธอทั้งสองไม่รู้เรื่องนี้มากนัก แต่ถ้าให้เทียบกับเด็กผู้หญิงอายุห้าขวบ พวกเธอก็ไม่น้อยหน้าไปกว่าหนูน้อยสักเท่าไหร่หรอกน่า

  ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าทำไมไป๋อี้ถึงเลือกครูมาร่วมทีม นั่นก็เพื่อพัฒนาการการเรียนรู้ของลูกสาวของเขาเอง แม้ว่าตอนนี้ชีวิตในนิวซีแลนด์จะยุ่งยากลำบากมากเพียงใด แต่เห็นได้ชัดว่าไป๋อี้ไม่ต้องการให้ลูกสาวของเขากลายเป็นเด็กสาวที่แข็งแกร่งดุจชายชาตรีเพราะสภาพแวดล้อมเช่นนี้ หลังจากที่โม่โม่ได้ยินคำพูดของไป๋อี้จู่ ๆ เธอก็กอดแขนเขาไว้เหมือนเด็กทารกและเริ่มบ่นพึมพำ เธอไม่ชอบการเรียนหนังสือ จะทำอะไรได้บ้าง

  หลังจากเวร่าและลอเทียร์แนะนำตัวแล้วก็ถึงคราของมัลวีย์บ้างแล้ว

  “อะฮึ่ม” มัลวีย์แสร้งทำเป็นกระแอมสองครั้ง แต่ก็พบว่าไม่มีใครสนใจเขาเลย

  “ฉันชื่อมัลวีย์ ฉันเคยอยู่กับทีมอื่นมาก่อน แต่ครั้งหนึ่งพวกเราได้พบกับสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่ทรงพลังมาก พวกเราถูกมันฆ่า โดยมีเพียงบอนนี่และฉันเท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้ ตั้งแต่นั้นมาเราสองคนเลยไม่ต้องการเข้าร่วมกับทีมอื่นเพื่อต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์เหล่านั้นอีก เพื่อที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้นเราสองคนจึงเริ่มเรียนรู้เพื่อเป็นช่างหลอมอาวุธและหมอปรุงยา ในเวลานั้นทั้งสองอาชีพนี้เป็นอาชีพใหม่และเป็นที่ต้องการมาก แต่ดูเหมือนฉันจะไม่มีพรสวรรค์อะไรเลยและยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากทีมไหน ๆ การสืบเสาะหาแนวทางเรียนรู้ก็เชื่องช้ามาก อันที่จริงฉันไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมหัวหน้าไป๋อี้ถึงเชิญฉันเข้าร่วมทีม” มัลวีย์พูดขึ้นมาก่อนจะรอคำตอบของไป๋อี้

  “มัลวีย์ นายไม่รู้พรสวรรค์ของนายเหรอ?”

  “อะไร?”

  “พรสวรรค์ของช่างหลอมอาวุธ!”

  “ปัจจุบัน สิ่งที่เรียกว่าช่างหลอมอาวุธบนเกาะปีศาจนิวซีแลนด์แห่งนี้ไม่ใช่ช่างหลอมอาวุธเหมือนอย่างในภาพยนตร์หรือเกม แต่จริง ๆ แล้วคือการประมวลผลการแปรรูปฟัน กระดูก หนังหนา และส่วนอื่น ๆ ของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ให้กลายเป็นอาวุธที่ใช้งานได้ หรือแม้แต่ชุดเกราะที่สามารถใส่ได้อย่างง่ายดาย ไม่ใช่ลึกลับซับซ้อน ตอนนี้อาชีพช่างหลอมอาวุธที่หลายคนเรียกไม่เพียงแต่ต้องมีเทคนิคในการหลอม แต่ยังรวมไปถึงการเพิ่มทักษะการประมวลผลที่ดีด้วย อย่างไรก็ตามฉันไม่เคยพบคนที่นำวัสดุมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพได้แบบนี้เลยแม้แต่คนเดียว” ไป๋อี้พูดก่อนจะดึงดาบเขี้ยวออกมา

  “ดาบเขี้ยวเป็นฟันของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่ถูกนำมาขัดขึ้นรูป ซึ่งมันแข็งเกินกว่าจะขัดได้ ดังนั้นมันจึงถูกนำมากัดกร่อนด้วยกรดของสัตว์ร้ายที่เน่าเปื่อยเสียก่อน โดยสิ่งนี้จะทำให้มันอ่อนขึ้นก่อนที่จะเริ่มแปรรูป แม้ว่าในภายหลังจะมีการคิดค้นสูตรยาที่เกี่ยวข้องเพื่อทำให้กรดนี้เป็นกลางมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงวัสดุของดาบเขี้ยวนี้ก็ได้ถูกทำลายไปแล้ว ความแข็งและความหนาแน่นลดลงไปหลายเท่า ยิ่งไปกว่านั้นยังเสียวัสดุส่วนใหญ่ไปกับขั้นตอนการบดและขัดอีกด้วย” ไป๋อี้ชักดาบออกมาและอธิบายให้หลาย ๆ คนฟัง

  ทุกคนมองไปที่ดาบเขี้ยวของไป๋อี้ มันเป็นมีดดาบยาวที่ค่อนข้างบอบบาง แต่ก็เหมือนกับที่ไป๋อี้กล่าว เมื่อมองดูแล้ว ความมันวาวของมันไม่ได้เกิดการหล่อลื่นทั้งยังมีความหยาบกระด้าง และในส่วนของคมดาบยังคงมีช่องว่างและรอยแตกเล็ก ๆ ปรากฏอยู่

  “ต้องรู้ว่าวัสดุชีวภาพนั้นแตกต่างจากโลหะ เพราะโลหะมีความอ่อนตัวยืดหยุ่นได้จึงง่ายต่อการแปรรูป อย่างไรก็ตามวัสดุชีวภาพส่วนใหญ่สามารถขัดได้แต่เพียงเท่านั้น เพราะหากเปลี่ยนรูปทรงแล้วมันอาจจะแตกได้ ยิ่งไปกว่านั้นมันไม่สามารถเชื่อมต่อกันได้ ดังนั้นจึงทำให้มีชิ้นส่วนที่สูญสิ้นไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่นาย มัลวีย์!” ไป๋อี้มองมัลวีย์อย่างเคร่งขรึม

  “เห็นได้ชัดว่าอาวุธของนายเกิดจากการหลอมรวมวัสดุชีวภาพเหล่านี้โดยตรงด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง จนเกิดเป็นอาวุธขึ้นมา นายได้พัฒนาล้ำหน้าช่างหลอมอาวุธทั้งหลายแล้ว ดูเหมือนว่านายจะยังไม่รู้ตัวสินะ”

  มัลวีย์ตะลึงงัน ขนาดนั้นเลยเหรอ!

  “แต่ว่าฉันทำช้ามาก”

  “ไม่เป็นไร อาวุธที่มีคุณภาพนั้นไม่อาจเทียบราคาได้ ถ้าอาวุธมีประสิทธิภาพ ใช้แค่ด้ามเดียวก็เพียงพอแล้ว” ไป๋อี้นำดาบเขี้ยวเก็บกลับเข้าไปในฝักของเขาอีกครั้งและมองไปที่มัลวีย์อย่างให้กำลังใจ

  “ฉันจะตั้งใจทำงานให้ดี” มัลวีย์พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม

  “สำหรับคนสุดท้ายนี้ ทุกคนอาจจะยังไม่คุ้นเคยกับเขา นักรบบ้าดีเดือดเรย์มอนด์” ไป๋อี้ชี้ไปที่เรย์มอนด์ที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงพลางกล่าวขึ้น

  “ไม่กลัวว่าเขาจะเข้าสู่สภาวะคลุ้มคลั่งอีกเหรอ หลาย ๆ ทีมยังต้องยอมแพ้เขาด้วยเหตุผลนี้เลยนะ” เวร่าถาม

  “ไม่ต้องห่วง นี่คือประโยชน์ของการเข้าร่วมทีมนี้ ตราบใดที่อยู่ในทีมของเรา โดยพื้นฐานแล้วคุณไม่ต้องกังวลเลยว่าจะเข้าสู่ระยะดุร้าย เว้นแต่จะเกิดสถานการณ์พิเศษขึ้น” เฮลัวส์กล่าวด้วยรอยยิ้ม

  ขณะนี้ไป๋อี้ก็ชี้ไปที่ดวงตาของเขา เมื่อทั้งสามคนมองไปที่ดวงตาของไป๋อี้ ดวงตาของเขาก็เปลี่ยนจากรูม่านตาธรรมดาอย่างช้า ๆ ราวกับดอกไม้ที่หมุนกลับด้านและบานสะพรั่ง ทันใดนั้นพวกเขาทั้งสามก็รู้สึกสับสนมึนงงเล็กน้อยทันทีที่พวกเขาหันศีรษะมองตาม

  “ม่านตาบุษบาผกผัน ความสามารถของฉันมีฤทธิ์ยับยั้งและสะกดจิตได้เป็นอย่างดี โดยทั่วไปแล้วถ้าไม่ใช่จิตวิญญาณที่รุนแรงฉันสามารถสะกดจิตให้เข้าสู่ห้วงนิทราได้ ในปัจจุบันฉันได้เผยแพร่ข้อมูลที่จำเป็นที่สุดในขั้นตอนนี้แล้ว มันคือการประสานอย่างสอดคล้องกันของร่างกายและจิตวิญญาณ นอกจากนี้ยังไม่มีการประสานใดที่จะดีไปกว่าการนอนหลับอย่างสนิท พืชที่ทำให้จิตใจสงบที่โลกภายนอกกำลังมองหากันไปทั่วทุกหนทุกแห่งเป็นเพียงหนึ่งในวิธีที่จะทำให้ผู้คนหลับไปอย่างสงบเท่านั้น” ไป๋อี้อธิบาย

  “จริงสิ อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่าเราจะปิดบังข้อมูลนี้โดยเจตนา และอันที่จริงมันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรที่จะบอกเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับดวงตาของฉัน ซึ่งมันเกิดการเปลี่ยนแปลงจากการผสานรวมยีนจนเกิดการกลายพันธุ์และความบังเอิญเช่นนั้นก็ไม่สามารถเลียนแบบกันได้” ไป๋อี้อธิบายอีกครั้ง ถึงเขาจะไม่ได้อธิบายมันก็ไม่มีอะไรสำคัญเท่าไหร่ก็ตาม แต่นั่นก็เพื่อไม่ให้มีบางคนคิดว่าพวกไป๋อี้จงใจไม่บอกคนอื่นเกี่ยวกับวิธีการนี้

  “แน่นอนว่าดวงตาของฉันไม่สามารถใช้ได้อย่างไม่จำกัด ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วมีเพียงสมาชิกในทีมเท่านั้นที่ฉันจะสามารถใช้ความสามารถนี้ในการรักษาเยียวยาจิตใจได้ อันที่จริงดวงตาของฉันก็ตาบอดไปนานกว่าหนึ่งเดือนเพราะใช้งานมันมากเกินไป” ไป๋อี้อธิบายอีกครั้ง

  เวร่าและอีกหลายคนเป็นคนฉลาด พวกเขาเข้าใจสิ่งที่ไป๋อี้พูดได้ในทันที ความสามารถชนิดหนึ่งที่มีเพียงไป๋อี้เท่านั้นที่สามารถทำได้ ส่วนคนอื่น ๆ ที่ต้องการเรียนรู้จะไม่สามารถเรียนรู้มันได้ และไป๋อี้ไม่สามารถช่วยเหลือคนอื่นได้ทุกคน หากเขาบอกคนอื่นอย่างบุ่มบ่ามมันจะทำให้พวกเขาเกิดความอิจฉาไป๋อี้ขึ้นมาเสียเปล่า

  “อย่างไรก็ตามฉันต้องบอกทุกคนคร่าว ๆ ก่อนในครั้งนี้” ไป๋อี้พูดเบา ๆ

  จากการปรึกษาหารือกันระหว่างไป๋อี้และแกรี่ ก่อนอื่นต้องรวมมนุษย์กลายพันธุ์ทั้งหมดที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยมองหาทรัพยากรที่เป็นประโยชน์ รวมทั้งผู้ที่มีความสามารถที่สามารถวิจัยค้นหาวิธีกลับคืนสู่ร่างมนุษย์ได้ อย่างน้อยก็ต้องสามารถอาศัยอยู่ในนิวซีแลนด์ได้อย่างมั่นคง ซึ่งไป๋อี้ได้เป็นผู้เชื่อมโยงทุกคนเข้าด้วยกันเพราะมีเพียงเขาเท่านั้นที่มีชื่อเสียงทางด้านนี้ แต่แน่นอนว่าหยูหานเองก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่ใครจะรู้กันว่าตอนนี้หยูหานอยู่ที่ไหน

  ในฐานะที่เป็นผู้ที่เชื่อมต่อผู้คนทั้งหมด อัตราการเปิดรับไป๋อี้จะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงเตรียมที่จะประกาศความสามารถขั้นพื้นฐานของเขาก่อน ซึ่งการเข้าหาเชิงรุกจะถูกยอมรับมากกว่าหารที่อยู่เฉย ๆ

  ความสามารถจากดวงตาของไป๋อี้มีความหมายสื่อถึงความรอดชีวิต สำหรับมนุษย์กลายพันธุ์นั้นต่างก็กลัวการเข้าสู่ระยะดุร้ายเป็นอย่างมากและกลัวว่าพวกเขาจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดโดยไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะไปตลอดกาล หลังจากตกอยู่ในสภาวะดุร้ายจะมีอะไรที่มีค่าไปกว่าดวงตาของไป๋อี้อีกหรือ? กล่าวได้ว่า แม้ว่าไป๋อี้จะไม่สามารถช่วยเหลือทุกคนได้ แต่เขาก็ยังเป็นความหวังของทุกคน แม้ว่าจะตกอยู่ในสภาวะดุร้ายเขาก็จะสามารถฟื้นคืนสติกลับมาได้

  “เอาล่ะ นี่คือวูล์ฟคนเซ่อ ๆ ประมาทเลินเล่อ” หลังจากไป๋อี้พูดเบา ๆ เขาก็เริ่มแนะนำคนอื่น ๆ ในทีมให้เวร่ารู้จัก

  “สวัสดีทุกคน ฉันชื่อวูล์ฟ” วูล์ฟแนะนำตัวด้วยรอยยิ้มอย่างหยาบ ๆ

  วูล์ฟ, เฮลัวส์, โม่โม่, ชาร์ไป่, พูพู, ชินชิล่า, เวร่า, ลอทเทียร์ และมัลวีย์ ในไม่ช้าเขาทุกคนก็คงได้รู้จักกันและจากนี้ไปพวกเขาก็กลายเป็นสมาชิกทีมเดียวกันแล้ว แน่นอนว่าในตอนแรกมันอาจจะแปลก ๆ อยู่บ้างเล็กน้อย แต่ไป๋อี้เชื่อว่าพวกเขาจะสามารถเข้ากันได้ดีในภายหลัง ส่วนเรย์มอนด์ที่หลับไปนั้นยังอยากจะหนีอยู่หรือไม่

  “จริงสิ มัลวีย์ บอนนี่ที่นายพูดถึงเขาอยู่ที่ไหนล่ะ?” ไป๋อี้ถามอย่างสงสัย ก่อนหน้านี้มัลวีย์บอกว่ามีเด็กผู้หญิงอีกคนที่รอดชีวิตมาพร้อมกับเขาซึ่งเป็นหมอปรุงยา ถ้าเธอมีบุคลิกที่ดีก็จะชักชวนเธอเข้าร่วมทีมด้วยอย่างแน่นอน

  มัลวีย์เงียบไปชั่วขณะก่อนที่จะตอบกลับด้วยเสียงเบา ๆ “ตายแล้ว! ตอนที่เธอทดลองใช้สรรพคุณทางยาในครั้งนั้น พืชธรรมดาหลายชนิดถูกผสมเข้าด้วยกันจนกลายเป็นยาพิษร้ายแรง ตอนที่ฉันไปตามหาเธอในวันรุ่งขึ้นก็พบว่าเธอหกล้มอยู่ในห้องของเธอ ซึ่งที่จริงแล้วเธอเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง วิธีการแก้ปัญหาที่ฉันใช้ในการหลอมรวมวัสดุชีวภาพทั้งหลายก็เป็นสูตรของเธอ แต่น่าเสียดายที่ ……”

  เมื่อไป๋อี้ได้ยินคำพูดนั้นก็ตบบ่ามัลวีย์เล็กน้อยเพื่อเป็นการปลอบประโลม

  นิวซีแลนด์ในปัจจุบันนี้ช่างโหดร้ายเหลือเกิน อุบัติเหตุใด ๆ ที่เกิดขึ้นอาจจะทำให้เสียชีวิตได้โดยเฉพาะอาชีพหมอปรุงยา การมองหายาที่เหมาะสมจากพืชกลายพันธุ์หลากหลายชนิดในนิวซีแลนด์โดยไม่มีประสบการณ์ใด ๆ ให้เรียนรู้ แต่ต้องอาศัยความรู้สึกเท่านั้น ด้วยเหตุนี้อาชีพหมอปรุงยาจึงต้องเป็นคนที่มีพรสวรรค์เป็นอย่างมาก

  “จริงสิ เนื่องจากตอนนี้พวกเราทั้งหมดก็เป็นทีมเดียวกันแล้ว ตอนนี้นายพอจะช่วยฉันซ่อมดาบเขี้ยวได้ไหม แม้ว่ากระดูกจะยังแข็งมาก แต่ส่วนของใบมีดไม่สามารถรองรับได้” ไป๋อี้พูดดึงความสนใจของมัลวีย์

  “ให้ฉันดูหน่อย มันน่าจะซ่อมได้ แต่ถ้ามีวัสดุอื่นที่สามารถเสริมเพิ่มเข้ามาอีกก็คงจะดีกว่านี้” มัลวีย์ดึงดาบเขี้ยวของไป๋อี้ออกมาตรวจดูอย่างละเอียดนานกว่าสิบนาทีก่อนจะกล่าวออกมาอย่างจริงจัง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 137 ความเข้าใจซึ่งกันและกัน

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 137 ความเข้าใจซึ่งกันและกัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

  หลังจากที่เวร่าและลอเทียร์แนะนำตัวเสร็จ พวกเธอก็รอการตัดสินใจของไป๋อี้ เพราะในสถานการณ์ปัจจุบันการสอนหนังสือไม่ได้มีคุณค่าอะไรเลยในนิวซีแลนด์ ตรงกันข้ามตอนนี้ทุกคนกลับมุ่งเน้นไปที่ความสามารถในการเอาชีวิตรอดในป่ากันมากกว่า ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงไม่พบทีมที่เหมาะสมเสียที ทำให้ท้ายที่สุดไม่มีทีมใดยอมแบกภาระอย่างเธอทั้งสอง

  “ถึงคุณจะไม่รู้วิธีการต่อสู้ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร พวกคุณสามารถเรียนรู้ได้ตั้งแต่เริ่มต้น โดยทั่วไปคุณไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ทรงพลังขนาดนั้น แต่ก็ยังจำเป็นต้องมีความสามารถในการป้องกันตัวเองได้บ้าง ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่สามารถพัฒนาได้ ทุกคนเริ่มจากการทดลองลงมือทำด้วยตนเอง อย่างน้อยคุณจะพัฒนาได้ไม่น้อยไปกว่าโม่โม่แน่” ไป๋อี้ยิ้มและชี้ไปที่โม่โม่

  “โม่โม่ลูกสาวของผม ปีนี้อายุห้าขวบ เธอเก่งเรื่องดาบและสามารถมองเห็นวิญญาณได้ แต่เธอไม่ชอบเรียนหนังสือ”

  “วิญญาณ!” ลอเทียร์และมัลวีย์มองไปที่โม่โม่ด้วยความตกใจ

  “ฉันจะสอนหนูโม่โม่ให้ดี นอกจากนี้ฉันเชื่อว่าฉันสามารถพัฒนาความสามารถตามหนูโม่โม่ได้แน่” เวร่าดูไม่แปลกใจเลยสักนิดที่ไป๋อี้บอกว่าหนูน้อยเก่งเรื่องดาบ เธอทั้งสองไม่รู้เรื่องนี้มากนัก แต่ถ้าให้เทียบกับเด็กผู้หญิงอายุห้าขวบ พวกเธอก็ไม่น้อยหน้าไปกว่าหนูน้อยสักเท่าไหร่หรอกน่า

  ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าทำไมไป๋อี้ถึงเลือกครูมาร่วมทีม นั่นก็เพื่อพัฒนาการการเรียนรู้ของลูกสาวของเขาเอง แม้ว่าตอนนี้ชีวิตในนิวซีแลนด์จะยุ่งยากลำบากมากเพียงใด แต่เห็นได้ชัดว่าไป๋อี้ไม่ต้องการให้ลูกสาวของเขากลายเป็นเด็กสาวที่แข็งแกร่งดุจชายชาตรีเพราะสภาพแวดล้อมเช่นนี้ หลังจากที่โม่โม่ได้ยินคำพูดของไป๋อี้จู่ ๆ เธอก็กอดแขนเขาไว้เหมือนเด็กทารกและเริ่มบ่นพึมพำ เธอไม่ชอบการเรียนหนังสือ จะทำอะไรได้บ้าง

  หลังจากเวร่าและลอเทียร์แนะนำตัวแล้วก็ถึงคราของมัลวีย์บ้างแล้ว

  “อะฮึ่ม” มัลวีย์แสร้งทำเป็นกระแอมสองครั้ง แต่ก็พบว่าไม่มีใครสนใจเขาเลย

  “ฉันชื่อมัลวีย์ ฉันเคยอยู่กับทีมอื่นมาก่อน แต่ครั้งหนึ่งพวกเราได้พบกับสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่ทรงพลังมาก พวกเราถูกมันฆ่า โดยมีเพียงบอนนี่และฉันเท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้ ตั้งแต่นั้นมาเราสองคนเลยไม่ต้องการเข้าร่วมกับทีมอื่นเพื่อต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์เหล่านั้นอีก เพื่อที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้นเราสองคนจึงเริ่มเรียนรู้เพื่อเป็นช่างหลอมอาวุธและหมอปรุงยา ในเวลานั้นทั้งสองอาชีพนี้เป็นอาชีพใหม่และเป็นที่ต้องการมาก แต่ดูเหมือนฉันจะไม่มีพรสวรรค์อะไรเลยและยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากทีมไหน ๆ การสืบเสาะหาแนวทางเรียนรู้ก็เชื่องช้ามาก อันที่จริงฉันไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมหัวหน้าไป๋อี้ถึงเชิญฉันเข้าร่วมทีม” มัลวีย์พูดขึ้นมาก่อนจะรอคำตอบของไป๋อี้

  “มัลวีย์ นายไม่รู้พรสวรรค์ของนายเหรอ?”

  “อะไร?”

  “พรสวรรค์ของช่างหลอมอาวุธ!”

  “ปัจจุบัน สิ่งที่เรียกว่าช่างหลอมอาวุธบนเกาะปีศาจนิวซีแลนด์แห่งนี้ไม่ใช่ช่างหลอมอาวุธเหมือนอย่างในภาพยนตร์หรือเกม แต่จริง ๆ แล้วคือการประมวลผลการแปรรูปฟัน กระดูก หนังหนา และส่วนอื่น ๆ ของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ให้กลายเป็นอาวุธที่ใช้งานได้ หรือแม้แต่ชุดเกราะที่สามารถใส่ได้อย่างง่ายดาย ไม่ใช่ลึกลับซับซ้อน ตอนนี้อาชีพช่างหลอมอาวุธที่หลายคนเรียกไม่เพียงแต่ต้องมีเทคนิคในการหลอม แต่ยังรวมไปถึงการเพิ่มทักษะการประมวลผลที่ดีด้วย อย่างไรก็ตามฉันไม่เคยพบคนที่นำวัสดุมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพได้แบบนี้เลยแม้แต่คนเดียว” ไป๋อี้พูดก่อนจะดึงดาบเขี้ยวออกมา

  “ดาบเขี้ยวเป็นฟันของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่ถูกนำมาขัดขึ้นรูป ซึ่งมันแข็งเกินกว่าจะขัดได้ ดังนั้นมันจึงถูกนำมากัดกร่อนด้วยกรดของสัตว์ร้ายที่เน่าเปื่อยเสียก่อน โดยสิ่งนี้จะทำให้มันอ่อนขึ้นก่อนที่จะเริ่มแปรรูป แม้ว่าในภายหลังจะมีการคิดค้นสูตรยาที่เกี่ยวข้องเพื่อทำให้กรดนี้เป็นกลางมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงวัสดุของดาบเขี้ยวนี้ก็ได้ถูกทำลายไปแล้ว ความแข็งและความหนาแน่นลดลงไปหลายเท่า ยิ่งไปกว่านั้นยังเสียวัสดุส่วนใหญ่ไปกับขั้นตอนการบดและขัดอีกด้วย” ไป๋อี้ชักดาบออกมาและอธิบายให้หลาย ๆ คนฟัง

  ทุกคนมองไปที่ดาบเขี้ยวของไป๋อี้ มันเป็นมีดดาบยาวที่ค่อนข้างบอบบาง แต่ก็เหมือนกับที่ไป๋อี้กล่าว เมื่อมองดูแล้ว ความมันวาวของมันไม่ได้เกิดการหล่อลื่นทั้งยังมีความหยาบกระด้าง และในส่วนของคมดาบยังคงมีช่องว่างและรอยแตกเล็ก ๆ ปรากฏอยู่

  “ต้องรู้ว่าวัสดุชีวภาพนั้นแตกต่างจากโลหะ เพราะโลหะมีความอ่อนตัวยืดหยุ่นได้จึงง่ายต่อการแปรรูป อย่างไรก็ตามวัสดุชีวภาพส่วนใหญ่สามารถขัดได้แต่เพียงเท่านั้น เพราะหากเปลี่ยนรูปทรงแล้วมันอาจจะแตกได้ ยิ่งไปกว่านั้นมันไม่สามารถเชื่อมต่อกันได้ ดังนั้นจึงทำให้มีชิ้นส่วนที่สูญสิ้นไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่นาย มัลวีย์!” ไป๋อี้มองมัลวีย์อย่างเคร่งขรึม

  “เห็นได้ชัดว่าอาวุธของนายเกิดจากการหลอมรวมวัสดุชีวภาพเหล่านี้โดยตรงด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง จนเกิดเป็นอาวุธขึ้นมา นายได้พัฒนาล้ำหน้าช่างหลอมอาวุธทั้งหลายแล้ว ดูเหมือนว่านายจะยังไม่รู้ตัวสินะ”

  มัลวีย์ตะลึงงัน ขนาดนั้นเลยเหรอ!

  “แต่ว่าฉันทำช้ามาก”

  “ไม่เป็นไร อาวุธที่มีคุณภาพนั้นไม่อาจเทียบราคาได้ ถ้าอาวุธมีประสิทธิภาพ ใช้แค่ด้ามเดียวก็เพียงพอแล้ว” ไป๋อี้นำดาบเขี้ยวเก็บกลับเข้าไปในฝักของเขาอีกครั้งและมองไปที่มัลวีย์อย่างให้กำลังใจ

  “ฉันจะตั้งใจทำงานให้ดี” มัลวีย์พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม

  “สำหรับคนสุดท้ายนี้ ทุกคนอาจจะยังไม่คุ้นเคยกับเขา นักรบบ้าดีเดือดเรย์มอนด์” ไป๋อี้ชี้ไปที่เรย์มอนด์ที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงพลางกล่าวขึ้น

  “ไม่กลัวว่าเขาจะเข้าสู่สภาวะคลุ้มคลั่งอีกเหรอ หลาย ๆ ทีมยังต้องยอมแพ้เขาด้วยเหตุผลนี้เลยนะ” เวร่าถาม

  “ไม่ต้องห่วง นี่คือประโยชน์ของการเข้าร่วมทีมนี้ ตราบใดที่อยู่ในทีมของเรา โดยพื้นฐานแล้วคุณไม่ต้องกังวลเลยว่าจะเข้าสู่ระยะดุร้าย เว้นแต่จะเกิดสถานการณ์พิเศษขึ้น” เฮลัวส์กล่าวด้วยรอยยิ้ม

  ขณะนี้ไป๋อี้ก็ชี้ไปที่ดวงตาของเขา เมื่อทั้งสามคนมองไปที่ดวงตาของไป๋อี้ ดวงตาของเขาก็เปลี่ยนจากรูม่านตาธรรมดาอย่างช้า ๆ ราวกับดอกไม้ที่หมุนกลับด้านและบานสะพรั่ง ทันใดนั้นพวกเขาทั้งสามก็รู้สึกสับสนมึนงงเล็กน้อยทันทีที่พวกเขาหันศีรษะมองตาม

  “ม่านตาบุษบาผกผัน ความสามารถของฉันมีฤทธิ์ยับยั้งและสะกดจิตได้เป็นอย่างดี โดยทั่วไปแล้วถ้าไม่ใช่จิตวิญญาณที่รุนแรงฉันสามารถสะกดจิตให้เข้าสู่ห้วงนิทราได้ ในปัจจุบันฉันได้เผยแพร่ข้อมูลที่จำเป็นที่สุดในขั้นตอนนี้แล้ว มันคือการประสานอย่างสอดคล้องกันของร่างกายและจิตวิญญาณ นอกจากนี้ยังไม่มีการประสานใดที่จะดีไปกว่าการนอนหลับอย่างสนิท พืชที่ทำให้จิตใจสงบที่โลกภายนอกกำลังมองหากันไปทั่วทุกหนทุกแห่งเป็นเพียงหนึ่งในวิธีที่จะทำให้ผู้คนหลับไปอย่างสงบเท่านั้น” ไป๋อี้อธิบาย

  “จริงสิ อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่าเราจะปิดบังข้อมูลนี้โดยเจตนา และอันที่จริงมันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรที่จะบอกเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับดวงตาของฉัน ซึ่งมันเกิดการเปลี่ยนแปลงจากการผสานรวมยีนจนเกิดการกลายพันธุ์และความบังเอิญเช่นนั้นก็ไม่สามารถเลียนแบบกันได้” ไป๋อี้อธิบายอีกครั้ง ถึงเขาจะไม่ได้อธิบายมันก็ไม่มีอะไรสำคัญเท่าไหร่ก็ตาม แต่นั่นก็เพื่อไม่ให้มีบางคนคิดว่าพวกไป๋อี้จงใจไม่บอกคนอื่นเกี่ยวกับวิธีการนี้

  “แน่นอนว่าดวงตาของฉันไม่สามารถใช้ได้อย่างไม่จำกัด ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วมีเพียงสมาชิกในทีมเท่านั้นที่ฉันจะสามารถใช้ความสามารถนี้ในการรักษาเยียวยาจิตใจได้ อันที่จริงดวงตาของฉันก็ตาบอดไปนานกว่าหนึ่งเดือนเพราะใช้งานมันมากเกินไป” ไป๋อี้อธิบายอีกครั้ง

  เวร่าและอีกหลายคนเป็นคนฉลาด พวกเขาเข้าใจสิ่งที่ไป๋อี้พูดได้ในทันที ความสามารถชนิดหนึ่งที่มีเพียงไป๋อี้เท่านั้นที่สามารถทำได้ ส่วนคนอื่น ๆ ที่ต้องการเรียนรู้จะไม่สามารถเรียนรู้มันได้ และไป๋อี้ไม่สามารถช่วยเหลือคนอื่นได้ทุกคน หากเขาบอกคนอื่นอย่างบุ่มบ่ามมันจะทำให้พวกเขาเกิดความอิจฉาไป๋อี้ขึ้นมาเสียเปล่า

  “อย่างไรก็ตามฉันต้องบอกทุกคนคร่าว ๆ ก่อนในครั้งนี้” ไป๋อี้พูดเบา ๆ

  จากการปรึกษาหารือกันระหว่างไป๋อี้และแกรี่ ก่อนอื่นต้องรวมมนุษย์กลายพันธุ์ทั้งหมดที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยมองหาทรัพยากรที่เป็นประโยชน์ รวมทั้งผู้ที่มีความสามารถที่สามารถวิจัยค้นหาวิธีกลับคืนสู่ร่างมนุษย์ได้ อย่างน้อยก็ต้องสามารถอาศัยอยู่ในนิวซีแลนด์ได้อย่างมั่นคง ซึ่งไป๋อี้ได้เป็นผู้เชื่อมโยงทุกคนเข้าด้วยกันเพราะมีเพียงเขาเท่านั้นที่มีชื่อเสียงทางด้านนี้ แต่แน่นอนว่าหยูหานเองก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่ใครจะรู้กันว่าตอนนี้หยูหานอยู่ที่ไหน

  ในฐานะที่เป็นผู้ที่เชื่อมต่อผู้คนทั้งหมด อัตราการเปิดรับไป๋อี้จะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงเตรียมที่จะประกาศความสามารถขั้นพื้นฐานของเขาก่อน ซึ่งการเข้าหาเชิงรุกจะถูกยอมรับมากกว่าหารที่อยู่เฉย ๆ

  ความสามารถจากดวงตาของไป๋อี้มีความหมายสื่อถึงความรอดชีวิต สำหรับมนุษย์กลายพันธุ์นั้นต่างก็กลัวการเข้าสู่ระยะดุร้ายเป็นอย่างมากและกลัวว่าพวกเขาจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดโดยไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะไปตลอดกาล หลังจากตกอยู่ในสภาวะดุร้ายจะมีอะไรที่มีค่าไปกว่าดวงตาของไป๋อี้อีกหรือ? กล่าวได้ว่า แม้ว่าไป๋อี้จะไม่สามารถช่วยเหลือทุกคนได้ แต่เขาก็ยังเป็นความหวังของทุกคน แม้ว่าจะตกอยู่ในสภาวะดุร้ายเขาก็จะสามารถฟื้นคืนสติกลับมาได้

  “เอาล่ะ นี่คือวูล์ฟคนเซ่อ ๆ ประมาทเลินเล่อ” หลังจากไป๋อี้พูดเบา ๆ เขาก็เริ่มแนะนำคนอื่น ๆ ในทีมให้เวร่ารู้จัก

  “สวัสดีทุกคน ฉันชื่อวูล์ฟ” วูล์ฟแนะนำตัวด้วยรอยยิ้มอย่างหยาบ ๆ

  วูล์ฟ, เฮลัวส์, โม่โม่, ชาร์ไป่, พูพู, ชินชิล่า, เวร่า, ลอทเทียร์ และมัลวีย์ ในไม่ช้าเขาทุกคนก็คงได้รู้จักกันและจากนี้ไปพวกเขาก็กลายเป็นสมาชิกทีมเดียวกันแล้ว แน่นอนว่าในตอนแรกมันอาจจะแปลก ๆ อยู่บ้างเล็กน้อย แต่ไป๋อี้เชื่อว่าพวกเขาจะสามารถเข้ากันได้ดีในภายหลัง ส่วนเรย์มอนด์ที่หลับไปนั้นยังอยากจะหนีอยู่หรือไม่

  “จริงสิ มัลวีย์ บอนนี่ที่นายพูดถึงเขาอยู่ที่ไหนล่ะ?” ไป๋อี้ถามอย่างสงสัย ก่อนหน้านี้มัลวีย์บอกว่ามีเด็กผู้หญิงอีกคนที่รอดชีวิตมาพร้อมกับเขาซึ่งเป็นหมอปรุงยา ถ้าเธอมีบุคลิกที่ดีก็จะชักชวนเธอเข้าร่วมทีมด้วยอย่างแน่นอน

  มัลวีย์เงียบไปชั่วขณะก่อนที่จะตอบกลับด้วยเสียงเบา ๆ “ตายแล้ว! ตอนที่เธอทดลองใช้สรรพคุณทางยาในครั้งนั้น พืชธรรมดาหลายชนิดถูกผสมเข้าด้วยกันจนกลายเป็นยาพิษร้ายแรง ตอนที่ฉันไปตามหาเธอในวันรุ่งขึ้นก็พบว่าเธอหกล้มอยู่ในห้องของเธอ ซึ่งที่จริงแล้วเธอเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง วิธีการแก้ปัญหาที่ฉันใช้ในการหลอมรวมวัสดุชีวภาพทั้งหลายก็เป็นสูตรของเธอ แต่น่าเสียดายที่ ……”

  เมื่อไป๋อี้ได้ยินคำพูดนั้นก็ตบบ่ามัลวีย์เล็กน้อยเพื่อเป็นการปลอบประโลม

  นิวซีแลนด์ในปัจจุบันนี้ช่างโหดร้ายเหลือเกิน อุบัติเหตุใด ๆ ที่เกิดขึ้นอาจจะทำให้เสียชีวิตได้โดยเฉพาะอาชีพหมอปรุงยา การมองหายาที่เหมาะสมจากพืชกลายพันธุ์หลากหลายชนิดในนิวซีแลนด์โดยไม่มีประสบการณ์ใด ๆ ให้เรียนรู้ แต่ต้องอาศัยความรู้สึกเท่านั้น ด้วยเหตุนี้อาชีพหมอปรุงยาจึงต้องเป็นคนที่มีพรสวรรค์เป็นอย่างมาก

  “จริงสิ เนื่องจากตอนนี้พวกเราทั้งหมดก็เป็นทีมเดียวกันแล้ว ตอนนี้นายพอจะช่วยฉันซ่อมดาบเขี้ยวได้ไหม แม้ว่ากระดูกจะยังแข็งมาก แต่ส่วนของใบมีดไม่สามารถรองรับได้” ไป๋อี้พูดดึงความสนใจของมัลวีย์

  “ให้ฉันดูหน่อย มันน่าจะซ่อมได้ แต่ถ้ามีวัสดุอื่นที่สามารถเสริมเพิ่มเข้ามาอีกก็คงจะดีกว่านี้” มัลวีย์ดึงดาบเขี้ยวของไป๋อี้ออกมาตรวจดูอย่างละเอียดนานกว่าสิบนาทีก่อนจะกล่าวออกมาอย่างจริงจัง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+