[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 58 ความหวังในความสิ้นหวัง

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 58 ความหวังในความสิ้นหวัง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        “คุณจะต้านทานพลังของมันได้อย่างไร?” มอริคที่รูปร่างราวกับช้างถามออกมาด้วยความสงสัย เหล็กแท่งนี้ของเขานั้นมันมีพลังอำนาจมาก มีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่รู้ถึงพลังที่แท้จริงของมัน ด้วยรูปร่างของร่างกายที่เล็กของหงฉี่ฮว๋านั้น ไม่มีทางที่เธอจะสามารถต้านทานพลังนี้ได้อย่างแน่นอน

         “ครั้งแรกไม่ได้ แต่ถ้ากระจายพลังต้องทำได้อย่างแน่นอน” หงฉี่ฮว๋าถือดาบสั้นทั้งสองไว้ข้างกาย แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

          “กระจายพลังงั้นเหรอ?”

          ถ้ากระจายพลังในการต่อสู้ต้องทำได้อย่างแน่นอน!

           ตัวอย่างเช่น เหล็กแท่งใหญ่เส้นนั้น ตามทฤษฎีแล้ว การใช้มีดสั้นเล่มเล็กในการต้านทานพลังในระหว่างการปะทะนั้นจะไม่สามารถเป็นไปได้เลย ถ้าไม่ปะทะจนผละออก ดาบก็ต้องแตกหักหรือหักงออย่างแน่นอน แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงดาบของเด็กเล่น แต่ถ้าถูกแรงปะทะผละออกในเวลาเดียวกันก็จะสามารถต้านทานพลังของเหล็กแท่งนั้นได้ สิ่งที่หงฉี่ฮว๋าทำนั่นคือเธอใช้ดาบสั้นทั้งสองรับแรงปะทะเมื่อพลังนั้นกระทบลงมา แล้วจึงอาศัยจังหวะนั้นในการผลักตัวออก หลังจากนั้นก็ใช้ช่องว่างในช่วงเวลาสั้น ๆ ต้านทานแรงปะทะจากเหล็กแท่งหลายครั้งติดต่อกัน จนสามารถกระจายพลังออกมาได้

          ถ้าเป็นเมื่อก่อนหงฉี่ฮว๋าคงไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ แต่ในตอนนี้เธอสามารถทำได้แล้ว

          แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่ไป๋อี้และคนอื่น ๆ กล่าวไว้ว่า เมื่อก่อนนั้น พลังของดาบเป็นหนึ่งในสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับมนุษย์

           เห็นได้ชัดว่าหงฉี่ฮว๋าไม่คุ้นชินกับการตอบข้อสงสัยของศัตรูมากนัก เพราะหลังจากที่เธอพูดเพียงแค่ประโยคเดียว เธอก็กระชับมีดสั้นในมือทั้งสองข้างแน่น แล้วพุ่งตัวออกไปในทันที  มอริคที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็เกิดอาการตกใจ เขาจึงก็ยกเหล็กขึ้นในทันที เขาได้ใช้เหล็กแท่งนั้นทุบลงหนึ่งครั้งและในครั้งนี้หงฉี่ฮว๋าได้รอการโจมตีของอีกฝ่ายอยู่ก่อนแล้ว เธอเคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็วราวกับชะมด  เมื่ออีกฝ่ายเหวี่ยงเหล็กแท่งนั้นลงมาอีกครั้ง ทันใดนั้นเธอก็อาศัยพลังของมันในการทะยานร่างกายของเธอขึ้นสู่อากาศในทันที

           มีดสั้นทั้งสองเล่มนั้นขยับไปซ้ายทีขวาทีจนตัดเข้าที่คอของผู้ชายคนนั้น

           เมื่อร่างกายของเธอตกลงสู่พื้น หงฉี่ฮว๋าก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มืดมิด ความโศกเศร้าปรากฏขึ้นภายในดวงตาของเธอ

          ถ้าพูดอย่างตรงไปตรงมาแล้วนั้น หงฉี่ฮว๋าทำได้ไม่ดีนักและเธอก็ไม่พร้อมที่จะต่อสู้กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แต่ว่าตั้งแต่คนกลุ่มนี้เริ่มกินคน มันก็เป็นความคิดที่ไม่ดีต่อตัวพวกเขาเอง  และแน่นอนว่าเธอจะไม่โง่ยอมปล่อยคนพวกนี้ให้รอดชีวิตไปเด็ดขาด ความเมตตาไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ความเมตตาที่ไร้ความหมายหลายครั้งจะส่งผลร้ายต่อตนเอง

            “เร็ว….มาก!” 

            “การต่อสู้ที่แท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่อันตรายถึงชีวิต!” หงฉี่ฮว๋าหันกลับมา  เนื่องจากเธอสามารถในการฆ่าคู่ต่อสู้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น และเมื่อเป็นเช่นนั้นจึงไม่มีความจำจะเป็นต้องถ่วงเวลาอีก หลังจากที่มีการรวมยีนทางชีววิทยาแล้วนั่นก็จะไม่ใช่การต่อสู้ที่แท้จริงอีกต่อไป หงฉี่ฮว๋าได้เดินนำคนอื่น ๆ ออกไปข้างหน้า

            เกิดรอยยิ้มขึ้นที่มุมปากของมอริคผู้ที่มีรูปร่างเหมือนช้าง ก่อนที่หัวของเขาจะกลิ้งออกไป

            แม้ว่าความสามารถของเซลล์สิ่งมีชีวิตจะแข็งแรงมากก็ตาม แต่การได้รับบาดเจ็บที่หัวเช่นนี้ ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะสามารถหวนกลับคืนสู่สภาพเดิม

        …………………

           “ลงมือซะเถอะ ตอนนี้ฉันหมดหวังกับโลกใบนี้แล้ว และอันที่จริงพวกเขาก็หมดหวังด้วยเช่นกัน บางทีความตายอาจจะเป็นสิ่งที่ช่วยบรรเทาได้ ถ้าคุณมีความสามารถมากพอ ฉันหวังว่าคุณจะทำให้พวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้”  หลังจากที่โจดี้ตะโกนออกมาด้วยความอัดอั้น มันก็ทำให้เขาดูสงบลง

           “ฉันคงต้องขออภัยด้วย ฉันไม่ได้มีความสามารถมากพอ” ไป๋อี้ได้ปฏิเสธก่อนที่โจดี้จะพูดคำสุดท้าย

           “แต่ว่าถ้าหากฉันให้ความหวังพวกเขา  มันก็เหมือนกับให้ความหวังในความสิ้นหวัง” ไป๋อี้ได้กล่าวออกมา ท่ามกลางความสงสัยและโล่งใจของโจดี้หลังจากที่ไป๋อี้ได้ดึงดาบออก

        …………………

        ในไม่ช้าทุกคนก็ได้กลับมารวมตัวกันที่ซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้ การต่อสู้ในครั้งนั้นจบลงอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับที่ไป๋อี้ได้พูดไว้ในตอนแรก จริง ๆ แล้วชีวิตนั้นเปราะบางอย่างยิ่ง เมื่อคุณได้เปรียบในการต่อสู้ จงใช้เวลาเพียงชั่วครู่นั้นในการสังหารคู่ต่อสู้ซะ อาวุธปืนของคนอื่น ๆ ถูกยึดไว้และถูกนำไปกองทิ้งรวมไว้ตรงกลาง เดิมทีคนที่อยู่ฝั่งเดียวกับโจดี้ นอกจากคนที่ตายแล้ว คนอื่น ๆ ที่เหลือทั้งหมดก็คุกเข่าอยู่บริเวณรอบ ๆ กำแพง 

        เมื่อเธอคนนั้นถูกเรียกชื่อ ก็ได้เงยหน้าขึ้นมามองไป๋อี้ด้วยสายตาที่จริงจัง แววตาของเธอเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ แต่สุดท้ายมันก็ปรากฏความโศกเศร้าขึ้นมาภายในแววตาของเธอ ที่จริงแล้วเธอต้องการให้ไป๋อี้และคนอื่น ๆ ออกไปจากที่นี่ แต่เธอคิดไม่ถึงว่า ….

        “ในตอนแรก โจดี้ไม่ได้มีความคิดริเริ่มที่จะฆ่าคนเพื่อนำมากิน เพราะเดิมทีแล้วพวกเรานั้นไม่ได้อาศัยอยู่ด้วยกัน แต่ในเวลาต่อมาไม่นานพวกเราก็เริ่มทยอยมาอยู่ด้วยกัน ไม่กี่วันก่อนหน้านี้  พวกเราเกิดความขัดแย้งขึ้นและเกิดการต่อสู้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายคน โจดี้และคนอื่น ๆ นั้นหิวมาก และคนอื่น ๆ เองก็ไม่สามารถอดทนต่อความหิวได้  พวกเขาจึงเริ่มที่จะกินเนื้อคน แต่คนที่เหลือยืนยันว่าจะไม่กินเด็ดขาด นั่นก็คือฉัน และในระยะเวลาอันสั้นร่างกายก็เริ่มซูบผอม” ดอล์ริสอธิบายออกมา

        “หลังจากนั้นล่ะ?”

        “โจดี้เห็นว่าพวกคุณมีอาหารมากมาย ดังนั้นเขาจึงต้องการตัวพวกคุณไว้” ดอล์ริสกระซิบออกมาเสียงเบา

        “อย่างนี้นี่เอง พวกคุณยังมีอาหารเหลืออยู่เท่าไหร่ล่ะ?” ไป๋อี้ถามออกมาในทันที

        “ไม่มีแล้ว”  ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างพากันส่ายหัว

        “ไป๋อี้!”  ซาร่าได้เห็นท่าทีของไป๋อี้แล้ว เธอจึงอยากจะพูดบางอย่าง แต่ว่าเธอกลับถูกเมย์ริสห้ามไว้ก่อน

        “ไปเก็บศพคนอื่น ๆ ขึ้นมา” ไป๋อี้ยืนอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานาน แต่จู่ ๆ เขาก็ถอนหายใจออกมาและกล่าวบางอย่าง

        คนอื่น ๆ ที่ยังอยู่ในซุปเปอร์มาเก็ตไม่สามารถคาดเดาความคิดของไป๋อี้ได้เลย แต่ทว่าหงฉี่ฮว๋ากลับเบิกตากว้างในทันที นี่ใช่การกระทำของไป๋อี้จริง ๆ ใช่ไหม หวังว่าเธอคงเดาไม่ผิด แต่ในไม่ช้าหงฉี่ฮว๋าก็รู้ได้ทันทีว่าเธอนั้นเดาไม่ผิดจริง ๆ นี่คือสิ่งที่ไป๋อี้ตั้งใจจะทำจริง ๆ

        การต่อสู้ในครั้งนี้ ทำให้มีคนตายทั้งหมดเก้าคน ศพทั้งหมดถูกรวบรวมมาไว้ตรงกลาง กลิ่นเลือดฟุ้งกระจายส่วกลิ่นไปทั่วบริเวณ

        “ถ้าฉันจะบอกว่าให้พวกคุณกินเนื้อมนุษย์ล่ะ!”

        มันดูเป็นเรื่องที่ไม่ได้สำคัญมาก  แต่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างพากันตกใจ พวกเขามองไปที่ไป๋อี้ด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ แม้แต่วูล์ฟที่ไว้วางใจไป๋อี้ก็ยังต้องตกใจและเบิกตากว้าง ซาร่าและมาร์ตินอดไม่ได้ที่จะต้องพูดบางอย่างออกมา แต่ว่ากลับถูกหงฉี่ฮว๋าและเมย์ริสห้ามไว้เสียก่อน

        “ในสถานการณ์ ณ ตอนนี้ ถ้าพวกคุณไม่กินศพของพวกเขา พวกคุณจะต้องอดตาย! ถึงแม้ว่าพวกเราจะใจดีที่จะแบ่งอาหารไว้ที่นี่บ้าง แต่มันไม่เพียงพอสำหรับพวกคุณทุกคนอย่างแน่นอน”

        “ความเป็นจริงแล้ว มนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก ในทางเดียวกันกลับมีส่วนประกอบที่ซับซ้อนของกล้ามเนื้อ ไขมัน และโปรตีน เช่นเดียวกัน  เพียงแต่จิตสำนึกของมนุษย์คือศีลธรรม ศาสนา และกฎหมาย จึงทำให้ศพของมนุษย์มีความหมาย อย่างไรก็ตามสถานการณ์ทางสังคมในนิวซีแลนด์ตอนนี้ ไม่ใช่สังคมของการอาศัยอยู่ของมนุษย์อีกต่อไป แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่พื้นฐานของการมีชีวิต แทนที่จะปล่อยให้ศพเหล่านี้เน่าเปื่อยอยู่ใต้ดิน สู้ทำให้พวกคุณมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ดีกว่าเหรอ” ไป๋อี้กล่าวออกมาช้า ๆ

        คนอื่น ๆ ไม่สามารถอธิบายความรู้สึกภายในใจออกมาได้เลย เสียงกระซิบราวกับปีศาจเช่นนี้จะทำให้คนมีจิตใจเย็นชา  คำพูดที่ทำให้รู้สึกราวกับว่าจมดิ่งลงเหวแบบนี้มันคืออะไร

        “ถ้าพวกคุณหิวมากจริง ๆ และถ้าคุณต้องการที่จะกินพวกเขา ฉันก็จะไม่คัดค้านแต่อย่างใด”

        “แต่ว่า!”

         “ฉันหวังว่าคุณจะรู้ถึงความรู้สึกในการกินพวกเขา ฉันไม่ได้หมายความว่าจะให้พวกคุณออกล่ามนุษย์ด้วยกันเพื่อนำมาเป็นอาหาร แต่ฉันอยากให้พวกคุณจำไว้ ถึงแม้ว่าพวกคุณจะกินพวกเดียวกัน แต่ต้องมีความคิดที่ดีที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป เมื่อคุณทานพวกเขาเข้าไป ชีวิตของพวกคุณจะต้องแบกรับภาระและความหวังเอาไว้ ไม่ใช่เพียงแค่ใช้ชีวิตอย่างตรงไปตรงมา แต่คุณต้องดูด้วยว่าทำไมโลกใบนี้ถึงได้เปลี่ยนเป็นโลกที่โหดร้ายเช่นนี้!” ไป๋อี้พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

         หลังจากที่พูดจบ ไป๋อี้ก็ดึงดาบคะตะนะออกมาและดึงร่างของโจดี้ขึ้น หลังจากนั้นเขาก็ใช้ดาบตัดแขนข้างขวาที่มีรูปร่างไม่เหมือนแขนมนุษย์ออกไป

          ไป๋อี้หยิบแขนข้างขวาขึ้นมา หลังจากนั้นทุกคนก็ต้องอ้าปากค้าง!

          หงับ!

          ทุกคนเห็นเป็นภาพเดียวกันว่าไป๋อี้กัดเข้าที่แขนข้างนั้นจริง ๆ จากนั้นเขาก็กลืนมันลงไป หลังจากที่เขาได้กัดแขนเข้าไปนั้น ไป๋อี้ก็ได้ยื่นแขนข้างนั้นส่งต่อให้กับหงฉี่ฮว๋าที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ

         หงฉี่ฮว๋าทำได้เพียงยืนมองไปที่แขนข้างนั้นนิ่ง ๆ และคนอื่น ๆ ก็ต่างพากันจ้องเขม็งไปยังหงฉี่ฮว๋าเช่นกัน

        ถ้าจะให้พูด คนที่จะสามารถเข้าใจไป๋อี้ได้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ก็มีเพียงแค่หงฉี่ฮว๋าเท่านั้น ถึงแม้ว่าจะต้องแบกรับชีวิตคนอื่นด้วยก็ตาม แต่ก็ยังคงต้องมีชีวิตต่อไป ในสายตาของคุณ นิวซีแลนด์เป็นสถานที่โหดร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ? หงฉี่ฮว๋ามองไปที่ไป๋อี้และค่อย ๆ รับแขนข้างนั้นมาก่อนจะกัดลงไป หงับ!

         เมื่อไป๋อี้พูดจบ คนอื่น ๆ ก็เข้าใจในทันที แต่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่ต้องทำความเข้าใจว่าคุณจะสามารถยอมรับเรื่องอื่นได้หรือไม่ คนอื่น ๆ อาจจะคิดไม่ถึงว่า พวกเขาจะต้องกินเนื้อมนุษย์

         นอกจากที่จะต้องแบกรับภาระและความหวังของคนอื่นไว้ คุณต้องดูด้วยตาของตัวเองว่าทำไมโลกใบนี้ถึงกลายเป็นโลกที่โหดร้ายเช่นนี้!

         เมื่อมีไป๋อี้และหงฉี่ฮว๋าเป็นคนนำ ทุกคนก็วางใจได้ และได้กัดลงไปที่แขนข้างนั้นคนละครั้ง มันราวกับว่าเป็นคำสาบาน แม้แต่หนูน้อยเวอร์เนอร์ หรือแม้แต่โม่โม่ที่อายุเพียงสี่ขวบก็ได้ไม่เว้น หนูน้อยทนกับกลิ่นเลือดฉุนและกัด ‘เนื้อมนุษย์’ ได้เล็กน้อย

        การกินเนื้อมนุษย์นั้น ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะสามารถทำความเข้าใจได้ง่าย แต่มันก็ทำให้คนกลุ่มหนึ่งกระตุ้นความหวังด้วยความสิ้นหวังจากก้นบึ้งของหัวใจ

         แม้แต่กลุ่มคนที่ยืนยันว่าจะไม่กินเนื้อมนุษย์ แต่ครั้งนี้พวกเขากลับไม่ปฏิเสธ คนอื่น ๆ ต่างเกิดความคิดบางอย่างขึ้นภายในจิตใจ ถึงแม้ว่าจะต้องกินศพพวกเดียวกัน แต่ก็ยังคงต้องมีชีวิตให้ต่อไป การเปลี่ยนแปลงของโลกที่โหดร้ายใบนี้ ทำให้ต้องตระหนักว่าทำไมมันถึงเปลี่ยนไปโหดร้ายได้ถึงขนาดนี้

        ความคิดของคนอื่น ๆ กำลังเปลี่ยนไป!

        …………..

        ก่อนที่ไป๋อี้จะไป  เขาได้แบ่งอาหารครึ่งหนึ่งให้กับพวกเขา และในตอนนี้ดอล์ริสได้กลายเป็นหัวหน้ากลุ่มชั่วคราวโดยที่เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด

        “คุณวางแผนจะทำอะไร?” หงฉี่ฮว๋าถามออกมา

        “ ฝังศพของโจดี้และคนอื่นลงใต้พื้นดิน” ดอล์ริสตอบกลับมาทันที

        “น่าศรัทธาอะไรอย่างนี้!”

        “ก็อย่างที่ลุงไป๋บอก พวกเราต้องแบกรับภาระและความความหวังของคนอื่น ถ้าจะอยู่บนโลกใบนี้ต่อไปต้องเข้มแข็งให้มากกว่านี้ มองดูโลกใบนี้สิ ทำไมถึงได้เปลี่ยนเป็นโลกที่โหดร้ายเช่นนี้กันนะ” ดอล์ริสกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง คนอื่น ๆ ที่อยู่รอบตัวดอล์ริสต่างพากันพยักหน้าด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม ต่างจากอารมณ์และท่าทีที่สิ้นหวังก่อนหน้านี้ราวฟ้ากับเหว

        “ขอให้พวกคุณโชคดี” หงฉี่ฮว๋าหัวเราะออกมาและโบกมือลาพวกเขา

        “พวกเรากล่าวขอบคุณลุงไป๋” ดอล์ริสกล่าวออกมาเสียงดัง ถึงแม้ในนี้จะมีหลายคนที่อายุมากกว่าไป๋อี้ก็ตาม แต่ในเวลานั้นทุกคนก็ต่างกล่าวขอบคุณและเคารพไป๋อี้จากก้นบึ้งของหัวใจ

        “คุณสามารถเรียกเขาว่าพี่ใหญ่ได้” หงฉี่ฮว๋าเดินไปยังขบวนรถโดยทิ้งเงาไว้เบื้องหลัง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 58 ความหวังในความสิ้นหวัง

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 58 ความหวังในความสิ้นหวัง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        “คุณจะต้านทานพลังของมันได้อย่างไร?” มอริคที่รูปร่างราวกับช้างถามออกมาด้วยความสงสัย เหล็กแท่งนี้ของเขานั้นมันมีพลังอำนาจมาก มีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่รู้ถึงพลังที่แท้จริงของมัน ด้วยรูปร่างของร่างกายที่เล็กของหงฉี่ฮว๋านั้น ไม่มีทางที่เธอจะสามารถต้านทานพลังนี้ได้อย่างแน่นอน

         “ครั้งแรกไม่ได้ แต่ถ้ากระจายพลังต้องทำได้อย่างแน่นอน” หงฉี่ฮว๋าถือดาบสั้นทั้งสองไว้ข้างกาย แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

          “กระจายพลังงั้นเหรอ?”

          ถ้ากระจายพลังในการต่อสู้ต้องทำได้อย่างแน่นอน!

           ตัวอย่างเช่น เหล็กแท่งใหญ่เส้นนั้น ตามทฤษฎีแล้ว การใช้มีดสั้นเล่มเล็กในการต้านทานพลังในระหว่างการปะทะนั้นจะไม่สามารถเป็นไปได้เลย ถ้าไม่ปะทะจนผละออก ดาบก็ต้องแตกหักหรือหักงออย่างแน่นอน แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงดาบของเด็กเล่น แต่ถ้าถูกแรงปะทะผละออกในเวลาเดียวกันก็จะสามารถต้านทานพลังของเหล็กแท่งนั้นได้ สิ่งที่หงฉี่ฮว๋าทำนั่นคือเธอใช้ดาบสั้นทั้งสองรับแรงปะทะเมื่อพลังนั้นกระทบลงมา แล้วจึงอาศัยจังหวะนั้นในการผลักตัวออก หลังจากนั้นก็ใช้ช่องว่างในช่วงเวลาสั้น ๆ ต้านทานแรงปะทะจากเหล็กแท่งหลายครั้งติดต่อกัน จนสามารถกระจายพลังออกมาได้

          ถ้าเป็นเมื่อก่อนหงฉี่ฮว๋าคงไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ แต่ในตอนนี้เธอสามารถทำได้แล้ว

          แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่ไป๋อี้และคนอื่น ๆ กล่าวไว้ว่า เมื่อก่อนนั้น พลังของดาบเป็นหนึ่งในสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับมนุษย์

           เห็นได้ชัดว่าหงฉี่ฮว๋าไม่คุ้นชินกับการตอบข้อสงสัยของศัตรูมากนัก เพราะหลังจากที่เธอพูดเพียงแค่ประโยคเดียว เธอก็กระชับมีดสั้นในมือทั้งสองข้างแน่น แล้วพุ่งตัวออกไปในทันที  มอริคที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็เกิดอาการตกใจ เขาจึงก็ยกเหล็กขึ้นในทันที เขาได้ใช้เหล็กแท่งนั้นทุบลงหนึ่งครั้งและในครั้งนี้หงฉี่ฮว๋าได้รอการโจมตีของอีกฝ่ายอยู่ก่อนแล้ว เธอเคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็วราวกับชะมด  เมื่ออีกฝ่ายเหวี่ยงเหล็กแท่งนั้นลงมาอีกครั้ง ทันใดนั้นเธอก็อาศัยพลังของมันในการทะยานร่างกายของเธอขึ้นสู่อากาศในทันที

           มีดสั้นทั้งสองเล่มนั้นขยับไปซ้ายทีขวาทีจนตัดเข้าที่คอของผู้ชายคนนั้น

           เมื่อร่างกายของเธอตกลงสู่พื้น หงฉี่ฮว๋าก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มืดมิด ความโศกเศร้าปรากฏขึ้นภายในดวงตาของเธอ

          ถ้าพูดอย่างตรงไปตรงมาแล้วนั้น หงฉี่ฮว๋าทำได้ไม่ดีนักและเธอก็ไม่พร้อมที่จะต่อสู้กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แต่ว่าตั้งแต่คนกลุ่มนี้เริ่มกินคน มันก็เป็นความคิดที่ไม่ดีต่อตัวพวกเขาเอง  และแน่นอนว่าเธอจะไม่โง่ยอมปล่อยคนพวกนี้ให้รอดชีวิตไปเด็ดขาด ความเมตตาไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ความเมตตาที่ไร้ความหมายหลายครั้งจะส่งผลร้ายต่อตนเอง

            “เร็ว….มาก!” 

            “การต่อสู้ที่แท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่อันตรายถึงชีวิต!” หงฉี่ฮว๋าหันกลับมา  เนื่องจากเธอสามารถในการฆ่าคู่ต่อสู้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น และเมื่อเป็นเช่นนั้นจึงไม่มีความจำจะเป็นต้องถ่วงเวลาอีก หลังจากที่มีการรวมยีนทางชีววิทยาแล้วนั่นก็จะไม่ใช่การต่อสู้ที่แท้จริงอีกต่อไป หงฉี่ฮว๋าได้เดินนำคนอื่น ๆ ออกไปข้างหน้า

            เกิดรอยยิ้มขึ้นที่มุมปากของมอริคผู้ที่มีรูปร่างเหมือนช้าง ก่อนที่หัวของเขาจะกลิ้งออกไป

            แม้ว่าความสามารถของเซลล์สิ่งมีชีวิตจะแข็งแรงมากก็ตาม แต่การได้รับบาดเจ็บที่หัวเช่นนี้ ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะสามารถหวนกลับคืนสู่สภาพเดิม

        …………………

           “ลงมือซะเถอะ ตอนนี้ฉันหมดหวังกับโลกใบนี้แล้ว และอันที่จริงพวกเขาก็หมดหวังด้วยเช่นกัน บางทีความตายอาจจะเป็นสิ่งที่ช่วยบรรเทาได้ ถ้าคุณมีความสามารถมากพอ ฉันหวังว่าคุณจะทำให้พวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้”  หลังจากที่โจดี้ตะโกนออกมาด้วยความอัดอั้น มันก็ทำให้เขาดูสงบลง

           “ฉันคงต้องขออภัยด้วย ฉันไม่ได้มีความสามารถมากพอ” ไป๋อี้ได้ปฏิเสธก่อนที่โจดี้จะพูดคำสุดท้าย

           “แต่ว่าถ้าหากฉันให้ความหวังพวกเขา  มันก็เหมือนกับให้ความหวังในความสิ้นหวัง” ไป๋อี้ได้กล่าวออกมา ท่ามกลางความสงสัยและโล่งใจของโจดี้หลังจากที่ไป๋อี้ได้ดึงดาบออก

        …………………

        ในไม่ช้าทุกคนก็ได้กลับมารวมตัวกันที่ซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้ การต่อสู้ในครั้งนั้นจบลงอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับที่ไป๋อี้ได้พูดไว้ในตอนแรก จริง ๆ แล้วชีวิตนั้นเปราะบางอย่างยิ่ง เมื่อคุณได้เปรียบในการต่อสู้ จงใช้เวลาเพียงชั่วครู่นั้นในการสังหารคู่ต่อสู้ซะ อาวุธปืนของคนอื่น ๆ ถูกยึดไว้และถูกนำไปกองทิ้งรวมไว้ตรงกลาง เดิมทีคนที่อยู่ฝั่งเดียวกับโจดี้ นอกจากคนที่ตายแล้ว คนอื่น ๆ ที่เหลือทั้งหมดก็คุกเข่าอยู่บริเวณรอบ ๆ กำแพง 

        เมื่อเธอคนนั้นถูกเรียกชื่อ ก็ได้เงยหน้าขึ้นมามองไป๋อี้ด้วยสายตาที่จริงจัง แววตาของเธอเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ แต่สุดท้ายมันก็ปรากฏความโศกเศร้าขึ้นมาภายในแววตาของเธอ ที่จริงแล้วเธอต้องการให้ไป๋อี้และคนอื่น ๆ ออกไปจากที่นี่ แต่เธอคิดไม่ถึงว่า ….

        “ในตอนแรก โจดี้ไม่ได้มีความคิดริเริ่มที่จะฆ่าคนเพื่อนำมากิน เพราะเดิมทีแล้วพวกเรานั้นไม่ได้อาศัยอยู่ด้วยกัน แต่ในเวลาต่อมาไม่นานพวกเราก็เริ่มทยอยมาอยู่ด้วยกัน ไม่กี่วันก่อนหน้านี้  พวกเราเกิดความขัดแย้งขึ้นและเกิดการต่อสู้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายคน โจดี้และคนอื่น ๆ นั้นหิวมาก และคนอื่น ๆ เองก็ไม่สามารถอดทนต่อความหิวได้  พวกเขาจึงเริ่มที่จะกินเนื้อคน แต่คนที่เหลือยืนยันว่าจะไม่กินเด็ดขาด นั่นก็คือฉัน และในระยะเวลาอันสั้นร่างกายก็เริ่มซูบผอม” ดอล์ริสอธิบายออกมา

        “หลังจากนั้นล่ะ?”

        “โจดี้เห็นว่าพวกคุณมีอาหารมากมาย ดังนั้นเขาจึงต้องการตัวพวกคุณไว้” ดอล์ริสกระซิบออกมาเสียงเบา

        “อย่างนี้นี่เอง พวกคุณยังมีอาหารเหลืออยู่เท่าไหร่ล่ะ?” ไป๋อี้ถามออกมาในทันที

        “ไม่มีแล้ว”  ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างพากันส่ายหัว

        “ไป๋อี้!”  ซาร่าได้เห็นท่าทีของไป๋อี้แล้ว เธอจึงอยากจะพูดบางอย่าง แต่ว่าเธอกลับถูกเมย์ริสห้ามไว้ก่อน

        “ไปเก็บศพคนอื่น ๆ ขึ้นมา” ไป๋อี้ยืนอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานาน แต่จู่ ๆ เขาก็ถอนหายใจออกมาและกล่าวบางอย่าง

        คนอื่น ๆ ที่ยังอยู่ในซุปเปอร์มาเก็ตไม่สามารถคาดเดาความคิดของไป๋อี้ได้เลย แต่ทว่าหงฉี่ฮว๋ากลับเบิกตากว้างในทันที นี่ใช่การกระทำของไป๋อี้จริง ๆ ใช่ไหม หวังว่าเธอคงเดาไม่ผิด แต่ในไม่ช้าหงฉี่ฮว๋าก็รู้ได้ทันทีว่าเธอนั้นเดาไม่ผิดจริง ๆ นี่คือสิ่งที่ไป๋อี้ตั้งใจจะทำจริง ๆ

        การต่อสู้ในครั้งนี้ ทำให้มีคนตายทั้งหมดเก้าคน ศพทั้งหมดถูกรวบรวมมาไว้ตรงกลาง กลิ่นเลือดฟุ้งกระจายส่วกลิ่นไปทั่วบริเวณ

        “ถ้าฉันจะบอกว่าให้พวกคุณกินเนื้อมนุษย์ล่ะ!”

        มันดูเป็นเรื่องที่ไม่ได้สำคัญมาก  แต่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างพากันตกใจ พวกเขามองไปที่ไป๋อี้ด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ แม้แต่วูล์ฟที่ไว้วางใจไป๋อี้ก็ยังต้องตกใจและเบิกตากว้าง ซาร่าและมาร์ตินอดไม่ได้ที่จะต้องพูดบางอย่างออกมา แต่ว่ากลับถูกหงฉี่ฮว๋าและเมย์ริสห้ามไว้เสียก่อน

        “ในสถานการณ์ ณ ตอนนี้ ถ้าพวกคุณไม่กินศพของพวกเขา พวกคุณจะต้องอดตาย! ถึงแม้ว่าพวกเราจะใจดีที่จะแบ่งอาหารไว้ที่นี่บ้าง แต่มันไม่เพียงพอสำหรับพวกคุณทุกคนอย่างแน่นอน”

        “ความเป็นจริงแล้ว มนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก ในทางเดียวกันกลับมีส่วนประกอบที่ซับซ้อนของกล้ามเนื้อ ไขมัน และโปรตีน เช่นเดียวกัน  เพียงแต่จิตสำนึกของมนุษย์คือศีลธรรม ศาสนา และกฎหมาย จึงทำให้ศพของมนุษย์มีความหมาย อย่างไรก็ตามสถานการณ์ทางสังคมในนิวซีแลนด์ตอนนี้ ไม่ใช่สังคมของการอาศัยอยู่ของมนุษย์อีกต่อไป แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่พื้นฐานของการมีชีวิต แทนที่จะปล่อยให้ศพเหล่านี้เน่าเปื่อยอยู่ใต้ดิน สู้ทำให้พวกคุณมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ดีกว่าเหรอ” ไป๋อี้กล่าวออกมาช้า ๆ

        คนอื่น ๆ ไม่สามารถอธิบายความรู้สึกภายในใจออกมาได้เลย เสียงกระซิบราวกับปีศาจเช่นนี้จะทำให้คนมีจิตใจเย็นชา  คำพูดที่ทำให้รู้สึกราวกับว่าจมดิ่งลงเหวแบบนี้มันคืออะไร

        “ถ้าพวกคุณหิวมากจริง ๆ และถ้าคุณต้องการที่จะกินพวกเขา ฉันก็จะไม่คัดค้านแต่อย่างใด”

        “แต่ว่า!”

         “ฉันหวังว่าคุณจะรู้ถึงความรู้สึกในการกินพวกเขา ฉันไม่ได้หมายความว่าจะให้พวกคุณออกล่ามนุษย์ด้วยกันเพื่อนำมาเป็นอาหาร แต่ฉันอยากให้พวกคุณจำไว้ ถึงแม้ว่าพวกคุณจะกินพวกเดียวกัน แต่ต้องมีความคิดที่ดีที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป เมื่อคุณทานพวกเขาเข้าไป ชีวิตของพวกคุณจะต้องแบกรับภาระและความหวังเอาไว้ ไม่ใช่เพียงแค่ใช้ชีวิตอย่างตรงไปตรงมา แต่คุณต้องดูด้วยว่าทำไมโลกใบนี้ถึงได้เปลี่ยนเป็นโลกที่โหดร้ายเช่นนี้!” ไป๋อี้พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

         หลังจากที่พูดจบ ไป๋อี้ก็ดึงดาบคะตะนะออกมาและดึงร่างของโจดี้ขึ้น หลังจากนั้นเขาก็ใช้ดาบตัดแขนข้างขวาที่มีรูปร่างไม่เหมือนแขนมนุษย์ออกไป

          ไป๋อี้หยิบแขนข้างขวาขึ้นมา หลังจากนั้นทุกคนก็ต้องอ้าปากค้าง!

          หงับ!

          ทุกคนเห็นเป็นภาพเดียวกันว่าไป๋อี้กัดเข้าที่แขนข้างนั้นจริง ๆ จากนั้นเขาก็กลืนมันลงไป หลังจากที่เขาได้กัดแขนเข้าไปนั้น ไป๋อี้ก็ได้ยื่นแขนข้างนั้นส่งต่อให้กับหงฉี่ฮว๋าที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ

         หงฉี่ฮว๋าทำได้เพียงยืนมองไปที่แขนข้างนั้นนิ่ง ๆ และคนอื่น ๆ ก็ต่างพากันจ้องเขม็งไปยังหงฉี่ฮว๋าเช่นกัน

        ถ้าจะให้พูด คนที่จะสามารถเข้าใจไป๋อี้ได้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ก็มีเพียงแค่หงฉี่ฮว๋าเท่านั้น ถึงแม้ว่าจะต้องแบกรับชีวิตคนอื่นด้วยก็ตาม แต่ก็ยังคงต้องมีชีวิตต่อไป ในสายตาของคุณ นิวซีแลนด์เป็นสถานที่โหดร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ? หงฉี่ฮว๋ามองไปที่ไป๋อี้และค่อย ๆ รับแขนข้างนั้นมาก่อนจะกัดลงไป หงับ!

         เมื่อไป๋อี้พูดจบ คนอื่น ๆ ก็เข้าใจในทันที แต่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่ต้องทำความเข้าใจว่าคุณจะสามารถยอมรับเรื่องอื่นได้หรือไม่ คนอื่น ๆ อาจจะคิดไม่ถึงว่า พวกเขาจะต้องกินเนื้อมนุษย์

         นอกจากที่จะต้องแบกรับภาระและความหวังของคนอื่นไว้ คุณต้องดูด้วยตาของตัวเองว่าทำไมโลกใบนี้ถึงกลายเป็นโลกที่โหดร้ายเช่นนี้!

         เมื่อมีไป๋อี้และหงฉี่ฮว๋าเป็นคนนำ ทุกคนก็วางใจได้ และได้กัดลงไปที่แขนข้างนั้นคนละครั้ง มันราวกับว่าเป็นคำสาบาน แม้แต่หนูน้อยเวอร์เนอร์ หรือแม้แต่โม่โม่ที่อายุเพียงสี่ขวบก็ได้ไม่เว้น หนูน้อยทนกับกลิ่นเลือดฉุนและกัด ‘เนื้อมนุษย์’ ได้เล็กน้อย

        การกินเนื้อมนุษย์นั้น ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะสามารถทำความเข้าใจได้ง่าย แต่มันก็ทำให้คนกลุ่มหนึ่งกระตุ้นความหวังด้วยความสิ้นหวังจากก้นบึ้งของหัวใจ

         แม้แต่กลุ่มคนที่ยืนยันว่าจะไม่กินเนื้อมนุษย์ แต่ครั้งนี้พวกเขากลับไม่ปฏิเสธ คนอื่น ๆ ต่างเกิดความคิดบางอย่างขึ้นภายในจิตใจ ถึงแม้ว่าจะต้องกินศพพวกเดียวกัน แต่ก็ยังคงต้องมีชีวิตให้ต่อไป การเปลี่ยนแปลงของโลกที่โหดร้ายใบนี้ ทำให้ต้องตระหนักว่าทำไมมันถึงเปลี่ยนไปโหดร้ายได้ถึงขนาดนี้

        ความคิดของคนอื่น ๆ กำลังเปลี่ยนไป!

        …………..

        ก่อนที่ไป๋อี้จะไป  เขาได้แบ่งอาหารครึ่งหนึ่งให้กับพวกเขา และในตอนนี้ดอล์ริสได้กลายเป็นหัวหน้ากลุ่มชั่วคราวโดยที่เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด

        “คุณวางแผนจะทำอะไร?” หงฉี่ฮว๋าถามออกมา

        “ ฝังศพของโจดี้และคนอื่นลงใต้พื้นดิน” ดอล์ริสตอบกลับมาทันที

        “น่าศรัทธาอะไรอย่างนี้!”

        “ก็อย่างที่ลุงไป๋บอก พวกเราต้องแบกรับภาระและความความหวังของคนอื่น ถ้าจะอยู่บนโลกใบนี้ต่อไปต้องเข้มแข็งให้มากกว่านี้ มองดูโลกใบนี้สิ ทำไมถึงได้เปลี่ยนเป็นโลกที่โหดร้ายเช่นนี้กันนะ” ดอล์ริสกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง คนอื่น ๆ ที่อยู่รอบตัวดอล์ริสต่างพากันพยักหน้าด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม ต่างจากอารมณ์และท่าทีที่สิ้นหวังก่อนหน้านี้ราวฟ้ากับเหว

        “ขอให้พวกคุณโชคดี” หงฉี่ฮว๋าหัวเราะออกมาและโบกมือลาพวกเขา

        “พวกเรากล่าวขอบคุณลุงไป๋” ดอล์ริสกล่าวออกมาเสียงดัง ถึงแม้ในนี้จะมีหลายคนที่อายุมากกว่าไป๋อี้ก็ตาม แต่ในเวลานั้นทุกคนก็ต่างกล่าวขอบคุณและเคารพไป๋อี้จากก้นบึ้งของหัวใจ

        “คุณสามารถเรียกเขาว่าพี่ใหญ่ได้” หงฉี่ฮว๋าเดินไปยังขบวนรถโดยทิ้งเงาไว้เบื้องหลัง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+