[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 91 ป่าทึบ

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 91 ป่าทึบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

       ไม่นานหลังจากการเปลี่ยนแปลงในนิวซีแลนด์เริ่มต้นขึ้นทุกคนก็ด้เรียนรู้เกี่ยวกับยาฟื้นคืนสภาพร่างกายมนุษย์จากมาร์ติน ดังนั้นจึงรีบไปที่สถาบันวิจัยอุทยานแห่งชาติตองการิโร ในระหว่างทางมีหลายสิ่งเกิดขึ้นมากมาย ในสถาบันวิจัยพวกเขาได้ผ่านประสบการณ์การต่อสู้ฆ่าฟันที่ดุเดือด อีกทั้งสูญเสียเพื่อนที่มีค่าที่สุดไปจนในที่สุดถึงได้ยา PrototyDrug มา แม้ว่าจะพักผ่อนและรักษาตัวในสถาบันวิจัยอยู่ระยะหนึ่ง ตอนที่คิดหาวิธีออกจากที่นี่ไป๋อี้ก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะทำอย่างไรต่อหลังจากที่พวกเขาออกมาได้

       เพราะว่านั่นมันไม่มีความหมาย!

       ถ้าแม้แต่การออกมาจากสถาบันวิจัยยังทำไม่ได้ อย่าว่าแต่จะคิดเรื่องที่จะทำอย่างไรต่อไปเลย ไม่อย่างนั้นมันจะมีความหมายอะไรล่ะ แต่ว่าตอนนี้ทุกคนจำเป็นต้องคิดวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบในเรื่องที่จะตามมาหลังจากนี้ อันที่จริงควรจะปรึกษาหารือกันเรื่องนี้กันมาก่อนแล้ว แต่เป็นเพราะว่าทุกคนอยากที่จะตั้งใจทำความเข้าใจกับร่างกายที่เปลี่ยนไปจากการกลืนกินร่างแม่แบบ ดังนั้นจึงไม่มีเวลามากวนใจกับเรื่องนี้เท่าไรนัก

       หลังจากไป๋อี้พูดจบก็ได้มองไปที่ทุกคนและยิ้มออกมา

       “พรุ่งนี้ค่อยมาปรึกษากันเรื่องนี้ วันนี้พักผ่อนเถอะ” หลังจากที่หนีออกมาจากสถาบันวิจัย พวกเขาก็พบกับสถานที่พักผ่อนแห่งนี้เข้าและทุกคนก็ดูเหนื่อยล้ามาก

       หลังจากได้ยินคำพูดของไป๋อี้ทุกคนก็ผ่อนคลายขึ้นมาทันที จากนั้นก็พิงโขดหินกันอย่างเหนื่อยล้า โม่โม่มาหาไป๋อี้และมองไปที่เขาในขณะที่ไป๋อี้ยิ้มให้โม่โม่และยื่นมือทั้งสองออกมา หลังจากโม่โม่ได้รับการพยักหน้าอนุมัติจากไป๋อี้เธอก็โผเข้าไปในอ้อมกอดของไป๋อี้อย่างมีความสุขทันที โม่โม่ปีนไปนอนในอ้อมกอดของไป๋อี้ เธอหายใจแผ่วเบาและค่อย ๆ เข้าสู่ห้วงนิทรา ส่วนชาร์ไป่เองก็เข้ามานอนเงียบ ๆ ตรงพื้นด้านข้างไป๋อี้เช่นกัน

        ในเส้นทางที่โรยไปด้วยเศษซากหินกรวด ทุกคนมองดูแสงจันทร์ที่สว่างไสวอย่างสงบและมีความหวัง

        ………………

       ในช่วงเวลากลางคืนถูกล้อมรอบไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการมากกว่าสิบตัว พวกมันเข้ามาทีละตัวอย่างต่อเนื่อง เจ้าพวกนี้ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกดึงดูดโดยกลิ่นของร่างแม่แบบ สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ไม่นับว่ามีขนาดที่ใหญ่มากนักแต่ทั้งหมดนั้นล้วนมีรูปร่างแปลกประหลาด เมื่อตอนที่เจ้าสิ่งมีชีวิตนี้ตัวแรกได้เข้ามาใกล้ไป๋อี้เขาก็ลืมตาทั้งสองขึ้นและในตอนนี้การรับรู้ของทุกคนรุนแรงขึ้นมาอย่างไม่ต้องสงสัย

       ในตอนที่ชาร์ไป่โผออกไปมือซ้ายของไป๋อี้ก็กดลงไปบนหัวของชาร์ไป่และใช้สายตามองไปที่ตรงนั้น

       ม่านตาจำลอง —— ทำให้ตกใจกลัว!

       สิ่งมีชีวิตพวกนั้นที่แต่เดิมคิดจะเข้ามาใกล้เจ้าต่างก็ต้องตกใจจนกระโดดโหยงออกมาหลังจากที่ใช้พลังม่านตาสีสันเตือนภัยกับพวกมัน พวกมันพบว่ากลุ่มของไป๋อี้ไม่มีใครเคลื่อนไหวใด ๆ เลยแม้แต่คนเดียว เจ้าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้เฝ้าดูสักพักและค่อย ๆ ถอยกลับไปช้า ๆ อย่างระมัดระวัง หลังจากแขกไม่ได้รับเชิญจากไปไป๋อี้จึงหลับตาลงอีกครั้ง

       วันรุ่งขึ้น ทุกคนตื่นกันแต่เช้าตรู่

       “จู่ ๆ ก็คิดถึงช่วงเวลาแสนสั้นในสถาบันวิจัยขึ้นมา” เฮลัวส์ลูบร่างกายที่แข็งทื่อของตนแล้วพูดขึ้น ที่เธอพูดมาอย่างนั้นมันก็ไม่ผิด ในสถาบันวิจัยแม้จะถูกล็อคปิดตายอยู่ด้านในแต่ก็ไม่มีปัญหาการขาดแคลนน้ำและไฟฟ้าอีกทั้งภายในสถาบันวิจัยยังมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก ไหนเลยจะเหมือนป่าที่ด้านนอกนี้ ไม่เพียงแต่วุ่นวายเท่านั้นแถมยังมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญเข้ามาเยี่ยมเยียนตลอดคืน แม้ว่าทุกครั้งจะโดนไป๋อี้ทำให้ตกใจจนหนีไปแต่ทุกคนก็ยังเจอกับพวกมันเป็นระยะ ๆ

       “สถานที่นั้นมีอะไรมากมายให้คิดถึงนักหนา เอาล่ะ พวกเราเริ่มมาปรึกษากันเถอะว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี” ไป๋อี้เอ่ยขึ้น

       “ตั้งแต่แรกพวกเราต้องการยาฟื้นคืนร่างกายมนุษย์นั่นคือเหตุผลที่พวกเราเดินทางไปยังสถาบันวิจัย ตอนนี้เป้าหมายบรรลุแล้ว พวกเราควรคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป” ไป๋อี้เปิดประเด็น

       “พวกเราจำเป็นต้องเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันของนิวซีแลนด์โดยรวมถึงโลกทั้งใบ หลังจากเข้าใจสถานการณ์โดยละเอียดแล้วพวกเราจะสามารถกำหนดเส้นทางในอนาคตได้ว่าจะอยู่ในนิวซีแลนด์หรือไปที่อื่น”

        “ทำไมต้องต้องอยู่ที่นิวซีแลนด์?”

        “เพราะพวกเราไม่แน่ใจว่ายาที่เราได้มานั้นจะใช้ได้ผลหรือเปล่า ถ้าหากมันไม่ได้ผลล่ะก็ด้วยขนาดของสัตว์ประหลาดแบบนี้ คิดว่าหากเข้าไปในสังคมของมนุษย์แล้วจะได้รับการปฏิบัติแบบไหนกันล่ะ ถ้าหากเราเปลี่ยนกลับไปเป็นมนุษย์ไม่ได้และที่อื่น ๆ ในโลกยังคงสงบอยู่ล่ะก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะเดินทางไปที่ประเทศอื่น ในทางตรงกันข้ามพวกเราจำเป็นต้องอยู่ในนิวซีแลนด์และค้นหาวิธีที่จะทำให้เรากลับไปเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง แน่นอนว่าฉันไม่ต้องการที่จะเป็นวัตถุดิบในการทำวิจัยให้กับคนบางพวกหรอกนะ” ไป๋อี้ค่อย ๆ พูดออกมา เห็นได้ชัดว่าเขามีแผนในใจสำหรับเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว

        “นอกจากนี้พวกเรายังได้เรียนรู้บางอย่างมาจากไนท์ด้วย ในช่วงระยะดุร้ายของ LV1-2 หากพวกเราควบคุมไม่ดีล่ะก็พวกเราจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่สูญเสียการควบคุมสติไปโดยสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้นตามคำที่ไนท์กล่าวมา ยาในสังคมธรรมดาทั่วไปเห็นได้ชัดว่าไม่มีผลอะไรกับสภาวะอย่างพวกเรา ถ้าหากต้องการหาวิธีแก้ไขล่ะก็ยังคงต้องการเซลล์กลายพันธุ์ของสัตว์หรือพืชที่ผสานรวมกับเซลล์ดัดแปลงมาใช้ทำยา”

        “สรุปแล้วตอนนี้พวกเราออกค้นหามนุษย์ผู้รอดชีวิตคนอื่น ๆ ทำความเข้าใจกับสถานการณ์ตอนนี้จากนั้นค่อยวางแผนอนาคตกันต่อไป”

        “ถ้าอย่างนั้นแล้วเราจะไปที่ไหนกันล่ะ?”

       “มุ่งหน้าไปทางใต้กันเถอะ กลับเข้าเมืองใหญ่ ไปวังกานุยก่อน ที่ที่เป็นเมืองท่าเรือน่ะ”

       “ฉันจำได้เหมือนไป๋อี้เคยพูดว่าในเมืองกลุ่มคนจะไม่ค่อยเยอะเป็นเพราะปัญหาเรื่องผลิตผลต่าง ๆ อะไรนั่นน่ะ” วูล์ฟพูดขึ้นมาหนึ่งประโยค

       “นั่นก็คือผู้ผลิตกับผู้บริโภคในระยะหิวโหยผู้คนต้องการอาหารอย่างรุนแรงและโดยทั่วไปแล้วในเมืองต่าง ๆ จะมีอาหารในนั้นเพียงหนึ่งสัปดาห์ถึงหนึ่งเดือนสำหรับทุกคน ในสถานการณ์ปกติดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาใด ๆ เนื่องจากได้รับการเติมและหมุนเวียนอยู่เสมอ” เฮลัวส์กล่าวเสริม เดิมทีที่ไป๋อี้เคยอธิบายให้กับพวกเขาฟัง พวกเขายังจำได้

       “ใช่ เป็นอย่างนั้น แต่ว่านั่นเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น จนถึงตอนนี้ฉันคิดว่าทุกคนคงสามารถที่จะปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมแบบนี้ได้แล้วล่ะ ทุกคนไม่เห็นเลยเหรอว่าหลังจากผ่านขั้นตอนแรกของการกระตุ้นเซลล์ร่างกายแล้ว แม้ว่าการบริโภคอาหารจะยังคงมีปริมาณที่มากอยู่แต่ด้านพื้นฐานต่าง ๆ ก็มีความเสถียรมากขึ้นแล้ว อีกอย่างคิดถึงความรู้สึกของพวกเราเองสิ ในช่วงเวลาที่ต้องค้างคืนตามป่า เมื่อคืนนี้หลับไม่สบายเลยสักนิด หลังจากที่สามารถหาอาหารได้เพียงพอแล้ว พวกมนุษย์คงจะต้องการสถานที่ที่มีสภาพแวดล้อมมั่นคงแน่แล้วยังจะมีสภาพแวดล้อมที่ไหนอีกที่จะดีไปกว่าเมืองเดิมล่ะ” ไป๋อี้อธิบายเพิ่ม

       “ยิ่งไปกว่านั้นถ้าต้องการรับข่าวสารจากโลกภายนอกล่ะก็ต้องเป็นในเมืองนี่แหละถึงจะดี ที่นั่นมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกด้านการสื่อสารที่ทันสมัย ในเมืองมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันทั้งสิ้น”

       “ไปกันเถอะ” ไป๋อี้ตัดสินใจได้ในที่สุด

       ทุกคนพยักหน้าและรู้เหตุผลอีกอย่างที่ไป๋อี้ไม่ได้พูดมันออกมาว่าทำไมยังต้องอยู่ในนิวซีแลนด์ …… หยูหาน ตอนนี้ทุกคนต้องการตามหาหยูหานจากนั้นก็ฆ่าผู้ชายคนนั้นอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต!

        ………………

       ทุกคนไม่ได้คัดค้านอะไร จากนั้นจึงเริ่มออกเดินทางไปยังวังกานุย

       ขณะอยู่บนถนนทุกคนจึงได้รู้ว่าการเดินทางมันยากเย็นเพียงใด หากกล่าวว่าในช่วงแรกที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในนิวซีแลนด์ยังสามารถนั่งรถได้ล่ะก็ตอนนี้ไม่แม้แต่จะมองเห็นถนนทางหลวงแล้ว พวกรถอะไรนั่นพบเจอได้เป็นบางครั้งบางคราวแต่ก็ชำรุดและทรุดโทรมไปกว่าครึ่ง บนท้องถนนมักจะเห็นสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ทั้งใหญ่และเล็กเคลื่อนไหวผ่านป่าอย่างดูมีชีวิตชีวา

       “ฉันคิดว่าห่วงโซ่ชีวภาพของนิวซีแลนด์จะถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง” เมย์ริสมองไปที่ตะขาบหกปีกที่มีความยาวกว่า 30 เซนติเมตร มันนอนอยู่ที่ฐานพร้อมกับดูดซึมน้ำจากต้นไม้ด้วยความประหลาดใจ

       “ในตอนแรกฉันรู้สึกแบบเดียวกัน แต่ว่าตอนนี้ดูเหมือนว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดจะปรับตัวได้ดีนะ เมื่อเราหิวโหยมากก็ไม่มีอะไรที่ไม่สามรถกินได้หรอก ยิ่งไปกว่านั้นพืชเองก็เป็นอาหารที่แพร่หลายที่สุดและเติบโตเร็ว รวมถึงเป็นสิ่งที่ช่วยสนับสนุนห่วงโซ่ชีวภาพของนิวซีแลนด์เพื่อให้สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้” ไป๋อี้กล่าวพร้อมกับยื่นมือขวาออกมา

       แม้ว่าตะขาบหกปีกจะสามารถดูดซึมน้ำจากต้นไม้และมีชีวิตได้ แต่มันก็ยังไม่ลืมสัญชาตญาณแห่งการกินเนื้อในตัวของมัน หลังจากที่เห็นไป๋อี้และกลุ่มของเขา ทันใดนั้นมันก็พุ่งเข้ามาหาไป๋อี้ทันที ไป๋อี้ไม่กล้าที่จะดูถูกเจ้าพวกนี้เลย ตอนนี้ไป๋อี้และคนอื่นๆไม่ค่อยจะกลัวสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการขนาดใหญ่ทั่วไปแล้ว แต่พวกเขาจะระวังแมลงตัวเล็ก ๆ เหล่านี้มากกว่า

       มีดวิลโลว์เล่มเล็กอยู่ในมือของไป๋อี้ จากนั้นไป๋อี้ก็เคาะหลังมีดเข้าที่กะโหลกศีรษะของตะขาบหกปีก

        เกิดเสียงปะทะกันดังขึ้น ทันใดนั้นไป๋อี้ก็รู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลจากมือของเขา เห็นได้ชัดว่าหลังจากผสานรวมเซลล์ดัดแปลงแล้วไม่ควรมองข้ามสิ่งมีชีวิตที่ยังอยู่ทั้งหมด แต่ว่าน่าเสียดายที่ความแตกต่างของขนาดนั้นต่างกันมาก ก็เหมือนกับมดที่สามารถแบกวัตถุได้หลายสิบหรือหลายร้อยเท่าของน้ำหนักตัว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับมนุษย์มันก็จะยังคงถูกนิ้วบดขยี้จนตาย

        ตะขาบหกปีกบินออกไปตกลงบนพื้นสองครั้ง จากนั้นจึงคลานเข้าไปในพงหญ้าอย่างรวดเร็วและหายตัวไป

        หลังจากเห็นตะขาบหายไปทุกคนก็เดินทางต่อ

        ขณะที่เดินผ่านป่าไป๋อี้และกลุ่มของเขาได้ค้นพบบ้านหลังหนึ่ง เมื่อดูจากรูปแบบของบ้านแล้วก็เป็นแบบบ้านทั่วไปในนิวซีแลนด์ แต่เมื่อเห็นบ้านหลังนี้แล้วมันก็ยากที่จะจินตนาการว่าเมื่อสองเดือนก่อนยังมีคนอาศัยอยู่ที่นี่ ไป๋อี้เดินผ่านกิ่งไม้ที่แทงทะลุบ้านอย่างระมัดระวังและเข้าไปในบ้านโดยหวังว่าจะพบสิ่งที่เป็นประโยชน์ ส่วนคนอื่นอย่าเข้าไปร่วมด้วยจะดีกว่าเพราะบ้านหลังนี้ไม่เหมาะกับการรองรับคนหลายคน

        หลังจากนั้นไม่นานไป๋อี้ก็เดินออกมาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า

        “นายเจออะไร?”

        “เข็มทิศ!” ไป๋อี้กล่าว

        ดวงตาของทุกคนลุกวาวขึ้นนี่เป็นสิ่งที่ดีจริง ๆ ก่อนหน้านี้ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าตอนนี้การที่กว่าจะก้าวเข้ามาในนิวซีแลนด์ได้นั้นยากมาก เพราะที่นี่กลายเป็นป่าดึกดำบรรพ์อย่างแท้จริง ไป๋อี้และคนอื่น ๆ เดินมาหลายวันแล้วและพวกเขาก็หลงทางมานาน ตอนนี้พวกเขามีสิ่งนี้อย่างน้อยก็คงจะไม่ไปในทิศทางที่ผิดแน่

        หลังจากไป๋อี้ขยับมันไปมาสักหน่อยก็ยิ้มแบบขมขื่นออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ทิศทางที่พวกเขาเพิ่งเดินไปนั้นเป็นทิศตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวก็คือไปผิดทิศทางโดยสิ้นเชิงจากเมืองวังกานุยที่วางแผนไว้ สำหรับสถานที่แห่งนี้คงจะมีเพียงอัจฉริยะเท่านั้นที่จะหยั่งรู้ได้ด้วยตนเอง

        หลังจากที่คนอื่นมองไปที่เข็มทิศพวกเขาก็มองไปยังกันและกัน

        “อ่า สรุปแล้วคือหาที่ที่มีคนอยู่ก่อนแล้วกัน จากนั้นค่อยสอบถามถึงสถานการณ์โดยรวมของนิวซีแลนด์ในตอนนี้” ไป๋อี้กล่าวขึ้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 91 ป่าทึบ

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 91 ป่าทึบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

       ไม่นานหลังจากการเปลี่ยนแปลงในนิวซีแลนด์เริ่มต้นขึ้นทุกคนก็ด้เรียนรู้เกี่ยวกับยาฟื้นคืนสภาพร่างกายมนุษย์จากมาร์ติน ดังนั้นจึงรีบไปที่สถาบันวิจัยอุทยานแห่งชาติตองการิโร ในระหว่างทางมีหลายสิ่งเกิดขึ้นมากมาย ในสถาบันวิจัยพวกเขาได้ผ่านประสบการณ์การต่อสู้ฆ่าฟันที่ดุเดือด อีกทั้งสูญเสียเพื่อนที่มีค่าที่สุดไปจนในที่สุดถึงได้ยา PrototyDrug มา แม้ว่าจะพักผ่อนและรักษาตัวในสถาบันวิจัยอยู่ระยะหนึ่ง ตอนที่คิดหาวิธีออกจากที่นี่ไป๋อี้ก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะทำอย่างไรต่อหลังจากที่พวกเขาออกมาได้

       เพราะว่านั่นมันไม่มีความหมาย!

       ถ้าแม้แต่การออกมาจากสถาบันวิจัยยังทำไม่ได้ อย่าว่าแต่จะคิดเรื่องที่จะทำอย่างไรต่อไปเลย ไม่อย่างนั้นมันจะมีความหมายอะไรล่ะ แต่ว่าตอนนี้ทุกคนจำเป็นต้องคิดวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบในเรื่องที่จะตามมาหลังจากนี้ อันที่จริงควรจะปรึกษาหารือกันเรื่องนี้กันมาก่อนแล้ว แต่เป็นเพราะว่าทุกคนอยากที่จะตั้งใจทำความเข้าใจกับร่างกายที่เปลี่ยนไปจากการกลืนกินร่างแม่แบบ ดังนั้นจึงไม่มีเวลามากวนใจกับเรื่องนี้เท่าไรนัก

       หลังจากไป๋อี้พูดจบก็ได้มองไปที่ทุกคนและยิ้มออกมา

       “พรุ่งนี้ค่อยมาปรึกษากันเรื่องนี้ วันนี้พักผ่อนเถอะ” หลังจากที่หนีออกมาจากสถาบันวิจัย พวกเขาก็พบกับสถานที่พักผ่อนแห่งนี้เข้าและทุกคนก็ดูเหนื่อยล้ามาก

       หลังจากได้ยินคำพูดของไป๋อี้ทุกคนก็ผ่อนคลายขึ้นมาทันที จากนั้นก็พิงโขดหินกันอย่างเหนื่อยล้า โม่โม่มาหาไป๋อี้และมองไปที่เขาในขณะที่ไป๋อี้ยิ้มให้โม่โม่และยื่นมือทั้งสองออกมา หลังจากโม่โม่ได้รับการพยักหน้าอนุมัติจากไป๋อี้เธอก็โผเข้าไปในอ้อมกอดของไป๋อี้อย่างมีความสุขทันที โม่โม่ปีนไปนอนในอ้อมกอดของไป๋อี้ เธอหายใจแผ่วเบาและค่อย ๆ เข้าสู่ห้วงนิทรา ส่วนชาร์ไป่เองก็เข้ามานอนเงียบ ๆ ตรงพื้นด้านข้างไป๋อี้เช่นกัน

        ในเส้นทางที่โรยไปด้วยเศษซากหินกรวด ทุกคนมองดูแสงจันทร์ที่สว่างไสวอย่างสงบและมีความหวัง

        ………………

       ในช่วงเวลากลางคืนถูกล้อมรอบไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการมากกว่าสิบตัว พวกมันเข้ามาทีละตัวอย่างต่อเนื่อง เจ้าพวกนี้ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกดึงดูดโดยกลิ่นของร่างแม่แบบ สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ไม่นับว่ามีขนาดที่ใหญ่มากนักแต่ทั้งหมดนั้นล้วนมีรูปร่างแปลกประหลาด เมื่อตอนที่เจ้าสิ่งมีชีวิตนี้ตัวแรกได้เข้ามาใกล้ไป๋อี้เขาก็ลืมตาทั้งสองขึ้นและในตอนนี้การรับรู้ของทุกคนรุนแรงขึ้นมาอย่างไม่ต้องสงสัย

       ในตอนที่ชาร์ไป่โผออกไปมือซ้ายของไป๋อี้ก็กดลงไปบนหัวของชาร์ไป่และใช้สายตามองไปที่ตรงนั้น

       ม่านตาจำลอง —— ทำให้ตกใจกลัว!

       สิ่งมีชีวิตพวกนั้นที่แต่เดิมคิดจะเข้ามาใกล้เจ้าต่างก็ต้องตกใจจนกระโดดโหยงออกมาหลังจากที่ใช้พลังม่านตาสีสันเตือนภัยกับพวกมัน พวกมันพบว่ากลุ่มของไป๋อี้ไม่มีใครเคลื่อนไหวใด ๆ เลยแม้แต่คนเดียว เจ้าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้เฝ้าดูสักพักและค่อย ๆ ถอยกลับไปช้า ๆ อย่างระมัดระวัง หลังจากแขกไม่ได้รับเชิญจากไปไป๋อี้จึงหลับตาลงอีกครั้ง

       วันรุ่งขึ้น ทุกคนตื่นกันแต่เช้าตรู่

       “จู่ ๆ ก็คิดถึงช่วงเวลาแสนสั้นในสถาบันวิจัยขึ้นมา” เฮลัวส์ลูบร่างกายที่แข็งทื่อของตนแล้วพูดขึ้น ที่เธอพูดมาอย่างนั้นมันก็ไม่ผิด ในสถาบันวิจัยแม้จะถูกล็อคปิดตายอยู่ด้านในแต่ก็ไม่มีปัญหาการขาดแคลนน้ำและไฟฟ้าอีกทั้งภายในสถาบันวิจัยยังมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก ไหนเลยจะเหมือนป่าที่ด้านนอกนี้ ไม่เพียงแต่วุ่นวายเท่านั้นแถมยังมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญเข้ามาเยี่ยมเยียนตลอดคืน แม้ว่าทุกครั้งจะโดนไป๋อี้ทำให้ตกใจจนหนีไปแต่ทุกคนก็ยังเจอกับพวกมันเป็นระยะ ๆ

       “สถานที่นั้นมีอะไรมากมายให้คิดถึงนักหนา เอาล่ะ พวกเราเริ่มมาปรึกษากันเถอะว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี” ไป๋อี้เอ่ยขึ้น

       “ตั้งแต่แรกพวกเราต้องการยาฟื้นคืนร่างกายมนุษย์นั่นคือเหตุผลที่พวกเราเดินทางไปยังสถาบันวิจัย ตอนนี้เป้าหมายบรรลุแล้ว พวกเราควรคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป” ไป๋อี้เปิดประเด็น

       “พวกเราจำเป็นต้องเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันของนิวซีแลนด์โดยรวมถึงโลกทั้งใบ หลังจากเข้าใจสถานการณ์โดยละเอียดแล้วพวกเราจะสามารถกำหนดเส้นทางในอนาคตได้ว่าจะอยู่ในนิวซีแลนด์หรือไปที่อื่น”

        “ทำไมต้องต้องอยู่ที่นิวซีแลนด์?”

        “เพราะพวกเราไม่แน่ใจว่ายาที่เราได้มานั้นจะใช้ได้ผลหรือเปล่า ถ้าหากมันไม่ได้ผลล่ะก็ด้วยขนาดของสัตว์ประหลาดแบบนี้ คิดว่าหากเข้าไปในสังคมของมนุษย์แล้วจะได้รับการปฏิบัติแบบไหนกันล่ะ ถ้าหากเราเปลี่ยนกลับไปเป็นมนุษย์ไม่ได้และที่อื่น ๆ ในโลกยังคงสงบอยู่ล่ะก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะเดินทางไปที่ประเทศอื่น ในทางตรงกันข้ามพวกเราจำเป็นต้องอยู่ในนิวซีแลนด์และค้นหาวิธีที่จะทำให้เรากลับไปเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง แน่นอนว่าฉันไม่ต้องการที่จะเป็นวัตถุดิบในการทำวิจัยให้กับคนบางพวกหรอกนะ” ไป๋อี้ค่อย ๆ พูดออกมา เห็นได้ชัดว่าเขามีแผนในใจสำหรับเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว

        “นอกจากนี้พวกเรายังได้เรียนรู้บางอย่างมาจากไนท์ด้วย ในช่วงระยะดุร้ายของ LV1-2 หากพวกเราควบคุมไม่ดีล่ะก็พวกเราจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่สูญเสียการควบคุมสติไปโดยสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้นตามคำที่ไนท์กล่าวมา ยาในสังคมธรรมดาทั่วไปเห็นได้ชัดว่าไม่มีผลอะไรกับสภาวะอย่างพวกเรา ถ้าหากต้องการหาวิธีแก้ไขล่ะก็ยังคงต้องการเซลล์กลายพันธุ์ของสัตว์หรือพืชที่ผสานรวมกับเซลล์ดัดแปลงมาใช้ทำยา”

        “สรุปแล้วตอนนี้พวกเราออกค้นหามนุษย์ผู้รอดชีวิตคนอื่น ๆ ทำความเข้าใจกับสถานการณ์ตอนนี้จากนั้นค่อยวางแผนอนาคตกันต่อไป”

        “ถ้าอย่างนั้นแล้วเราจะไปที่ไหนกันล่ะ?”

       “มุ่งหน้าไปทางใต้กันเถอะ กลับเข้าเมืองใหญ่ ไปวังกานุยก่อน ที่ที่เป็นเมืองท่าเรือน่ะ”

       “ฉันจำได้เหมือนไป๋อี้เคยพูดว่าในเมืองกลุ่มคนจะไม่ค่อยเยอะเป็นเพราะปัญหาเรื่องผลิตผลต่าง ๆ อะไรนั่นน่ะ” วูล์ฟพูดขึ้นมาหนึ่งประโยค

       “นั่นก็คือผู้ผลิตกับผู้บริโภคในระยะหิวโหยผู้คนต้องการอาหารอย่างรุนแรงและโดยทั่วไปแล้วในเมืองต่าง ๆ จะมีอาหารในนั้นเพียงหนึ่งสัปดาห์ถึงหนึ่งเดือนสำหรับทุกคน ในสถานการณ์ปกติดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาใด ๆ เนื่องจากได้รับการเติมและหมุนเวียนอยู่เสมอ” เฮลัวส์กล่าวเสริม เดิมทีที่ไป๋อี้เคยอธิบายให้กับพวกเขาฟัง พวกเขายังจำได้

       “ใช่ เป็นอย่างนั้น แต่ว่านั่นเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น จนถึงตอนนี้ฉันคิดว่าทุกคนคงสามารถที่จะปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมแบบนี้ได้แล้วล่ะ ทุกคนไม่เห็นเลยเหรอว่าหลังจากผ่านขั้นตอนแรกของการกระตุ้นเซลล์ร่างกายแล้ว แม้ว่าการบริโภคอาหารจะยังคงมีปริมาณที่มากอยู่แต่ด้านพื้นฐานต่าง ๆ ก็มีความเสถียรมากขึ้นแล้ว อีกอย่างคิดถึงความรู้สึกของพวกเราเองสิ ในช่วงเวลาที่ต้องค้างคืนตามป่า เมื่อคืนนี้หลับไม่สบายเลยสักนิด หลังจากที่สามารถหาอาหารได้เพียงพอแล้ว พวกมนุษย์คงจะต้องการสถานที่ที่มีสภาพแวดล้อมมั่นคงแน่แล้วยังจะมีสภาพแวดล้อมที่ไหนอีกที่จะดีไปกว่าเมืองเดิมล่ะ” ไป๋อี้อธิบายเพิ่ม

       “ยิ่งไปกว่านั้นถ้าต้องการรับข่าวสารจากโลกภายนอกล่ะก็ต้องเป็นในเมืองนี่แหละถึงจะดี ที่นั่นมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกด้านการสื่อสารที่ทันสมัย ในเมืองมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันทั้งสิ้น”

       “ไปกันเถอะ” ไป๋อี้ตัดสินใจได้ในที่สุด

       ทุกคนพยักหน้าและรู้เหตุผลอีกอย่างที่ไป๋อี้ไม่ได้พูดมันออกมาว่าทำไมยังต้องอยู่ในนิวซีแลนด์ …… หยูหาน ตอนนี้ทุกคนต้องการตามหาหยูหานจากนั้นก็ฆ่าผู้ชายคนนั้นอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต!

        ………………

       ทุกคนไม่ได้คัดค้านอะไร จากนั้นจึงเริ่มออกเดินทางไปยังวังกานุย

       ขณะอยู่บนถนนทุกคนจึงได้รู้ว่าการเดินทางมันยากเย็นเพียงใด หากกล่าวว่าในช่วงแรกที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในนิวซีแลนด์ยังสามารถนั่งรถได้ล่ะก็ตอนนี้ไม่แม้แต่จะมองเห็นถนนทางหลวงแล้ว พวกรถอะไรนั่นพบเจอได้เป็นบางครั้งบางคราวแต่ก็ชำรุดและทรุดโทรมไปกว่าครึ่ง บนท้องถนนมักจะเห็นสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ทั้งใหญ่และเล็กเคลื่อนไหวผ่านป่าอย่างดูมีชีวิตชีวา

       “ฉันคิดว่าห่วงโซ่ชีวภาพของนิวซีแลนด์จะถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง” เมย์ริสมองไปที่ตะขาบหกปีกที่มีความยาวกว่า 30 เซนติเมตร มันนอนอยู่ที่ฐานพร้อมกับดูดซึมน้ำจากต้นไม้ด้วยความประหลาดใจ

       “ในตอนแรกฉันรู้สึกแบบเดียวกัน แต่ว่าตอนนี้ดูเหมือนว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดจะปรับตัวได้ดีนะ เมื่อเราหิวโหยมากก็ไม่มีอะไรที่ไม่สามรถกินได้หรอก ยิ่งไปกว่านั้นพืชเองก็เป็นอาหารที่แพร่หลายที่สุดและเติบโตเร็ว รวมถึงเป็นสิ่งที่ช่วยสนับสนุนห่วงโซ่ชีวภาพของนิวซีแลนด์เพื่อให้สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้” ไป๋อี้กล่าวพร้อมกับยื่นมือขวาออกมา

       แม้ว่าตะขาบหกปีกจะสามารถดูดซึมน้ำจากต้นไม้และมีชีวิตได้ แต่มันก็ยังไม่ลืมสัญชาตญาณแห่งการกินเนื้อในตัวของมัน หลังจากที่เห็นไป๋อี้และกลุ่มของเขา ทันใดนั้นมันก็พุ่งเข้ามาหาไป๋อี้ทันที ไป๋อี้ไม่กล้าที่จะดูถูกเจ้าพวกนี้เลย ตอนนี้ไป๋อี้และคนอื่นๆไม่ค่อยจะกลัวสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการขนาดใหญ่ทั่วไปแล้ว แต่พวกเขาจะระวังแมลงตัวเล็ก ๆ เหล่านี้มากกว่า

       มีดวิลโลว์เล่มเล็กอยู่ในมือของไป๋อี้ จากนั้นไป๋อี้ก็เคาะหลังมีดเข้าที่กะโหลกศีรษะของตะขาบหกปีก

        เกิดเสียงปะทะกันดังขึ้น ทันใดนั้นไป๋อี้ก็รู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลจากมือของเขา เห็นได้ชัดว่าหลังจากผสานรวมเซลล์ดัดแปลงแล้วไม่ควรมองข้ามสิ่งมีชีวิตที่ยังอยู่ทั้งหมด แต่ว่าน่าเสียดายที่ความแตกต่างของขนาดนั้นต่างกันมาก ก็เหมือนกับมดที่สามารถแบกวัตถุได้หลายสิบหรือหลายร้อยเท่าของน้ำหนักตัว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับมนุษย์มันก็จะยังคงถูกนิ้วบดขยี้จนตาย

        ตะขาบหกปีกบินออกไปตกลงบนพื้นสองครั้ง จากนั้นจึงคลานเข้าไปในพงหญ้าอย่างรวดเร็วและหายตัวไป

        หลังจากเห็นตะขาบหายไปทุกคนก็เดินทางต่อ

        ขณะที่เดินผ่านป่าไป๋อี้และกลุ่มของเขาได้ค้นพบบ้านหลังหนึ่ง เมื่อดูจากรูปแบบของบ้านแล้วก็เป็นแบบบ้านทั่วไปในนิวซีแลนด์ แต่เมื่อเห็นบ้านหลังนี้แล้วมันก็ยากที่จะจินตนาการว่าเมื่อสองเดือนก่อนยังมีคนอาศัยอยู่ที่นี่ ไป๋อี้เดินผ่านกิ่งไม้ที่แทงทะลุบ้านอย่างระมัดระวังและเข้าไปในบ้านโดยหวังว่าจะพบสิ่งที่เป็นประโยชน์ ส่วนคนอื่นอย่าเข้าไปร่วมด้วยจะดีกว่าเพราะบ้านหลังนี้ไม่เหมาะกับการรองรับคนหลายคน

        หลังจากนั้นไม่นานไป๋อี้ก็เดินออกมาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า

        “นายเจออะไร?”

        “เข็มทิศ!” ไป๋อี้กล่าว

        ดวงตาของทุกคนลุกวาวขึ้นนี่เป็นสิ่งที่ดีจริง ๆ ก่อนหน้านี้ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าตอนนี้การที่กว่าจะก้าวเข้ามาในนิวซีแลนด์ได้นั้นยากมาก เพราะที่นี่กลายเป็นป่าดึกดำบรรพ์อย่างแท้จริง ไป๋อี้และคนอื่น ๆ เดินมาหลายวันแล้วและพวกเขาก็หลงทางมานาน ตอนนี้พวกเขามีสิ่งนี้อย่างน้อยก็คงจะไม่ไปในทิศทางที่ผิดแน่

        หลังจากไป๋อี้ขยับมันไปมาสักหน่อยก็ยิ้มแบบขมขื่นออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ทิศทางที่พวกเขาเพิ่งเดินไปนั้นเป็นทิศตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวก็คือไปผิดทิศทางโดยสิ้นเชิงจากเมืองวังกานุยที่วางแผนไว้ สำหรับสถานที่แห่งนี้คงจะมีเพียงอัจฉริยะเท่านั้นที่จะหยั่งรู้ได้ด้วยตนเอง

        หลังจากที่คนอื่นมองไปที่เข็มทิศพวกเขาก็มองไปยังกันและกัน

        “อ่า สรุปแล้วคือหาที่ที่มีคนอยู่ก่อนแล้วกัน จากนั้นค่อยสอบถามถึงสถานการณ์โดยรวมของนิวซีแลนด์ในตอนนี้” ไป๋อี้กล่าวขึ้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 91 ป่าทึบ

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 91 ป่าทึบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

       ไม่นานหลังจากการเปลี่ยนแปลงในนิวซีแลนด์เริ่มต้นขึ้นทุกคนก็ด้เรียนรู้เกี่ยวกับยาฟื้นคืนสภาพร่างกายมนุษย์จากมาร์ติน ดังนั้นจึงรีบไปที่สถาบันวิจัยอุทยานแห่งชาติตองการิโร ในระหว่างทางมีหลายสิ่งเกิดขึ้นมากมาย ในสถาบันวิจัยพวกเขาได้ผ่านประสบการณ์การต่อสู้ฆ่าฟันที่ดุเดือด อีกทั้งสูญเสียเพื่อนที่มีค่าที่สุดไปจนในที่สุดถึงได้ยา PrototyDrug มา แม้ว่าจะพักผ่อนและรักษาตัวในสถาบันวิจัยอยู่ระยะหนึ่ง ตอนที่คิดหาวิธีออกจากที่นี่ไป๋อี้ก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะทำอย่างไรต่อหลังจากที่พวกเขาออกมาได้

       เพราะว่านั่นมันไม่มีความหมาย!

       ถ้าแม้แต่การออกมาจากสถาบันวิจัยยังทำไม่ได้ อย่าว่าแต่จะคิดเรื่องที่จะทำอย่างไรต่อไปเลย ไม่อย่างนั้นมันจะมีความหมายอะไรล่ะ แต่ว่าตอนนี้ทุกคนจำเป็นต้องคิดวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบในเรื่องที่จะตามมาหลังจากนี้ อันที่จริงควรจะปรึกษาหารือกันเรื่องนี้กันมาก่อนแล้ว แต่เป็นเพราะว่าทุกคนอยากที่จะตั้งใจทำความเข้าใจกับร่างกายที่เปลี่ยนไปจากการกลืนกินร่างแม่แบบ ดังนั้นจึงไม่มีเวลามากวนใจกับเรื่องนี้เท่าไรนัก

       หลังจากไป๋อี้พูดจบก็ได้มองไปที่ทุกคนและยิ้มออกมา

       “พรุ่งนี้ค่อยมาปรึกษากันเรื่องนี้ วันนี้พักผ่อนเถอะ” หลังจากที่หนีออกมาจากสถาบันวิจัย พวกเขาก็พบกับสถานที่พักผ่อนแห่งนี้เข้าและทุกคนก็ดูเหนื่อยล้ามาก

       หลังจากได้ยินคำพูดของไป๋อี้ทุกคนก็ผ่อนคลายขึ้นมาทันที จากนั้นก็พิงโขดหินกันอย่างเหนื่อยล้า โม่โม่มาหาไป๋อี้และมองไปที่เขาในขณะที่ไป๋อี้ยิ้มให้โม่โม่และยื่นมือทั้งสองออกมา หลังจากโม่โม่ได้รับการพยักหน้าอนุมัติจากไป๋อี้เธอก็โผเข้าไปในอ้อมกอดของไป๋อี้อย่างมีความสุขทันที โม่โม่ปีนไปนอนในอ้อมกอดของไป๋อี้ เธอหายใจแผ่วเบาและค่อย ๆ เข้าสู่ห้วงนิทรา ส่วนชาร์ไป่เองก็เข้ามานอนเงียบ ๆ ตรงพื้นด้านข้างไป๋อี้เช่นกัน

        ในเส้นทางที่โรยไปด้วยเศษซากหินกรวด ทุกคนมองดูแสงจันทร์ที่สว่างไสวอย่างสงบและมีความหวัง

        ………………

       ในช่วงเวลากลางคืนถูกล้อมรอบไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการมากกว่าสิบตัว พวกมันเข้ามาทีละตัวอย่างต่อเนื่อง เจ้าพวกนี้ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกดึงดูดโดยกลิ่นของร่างแม่แบบ สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ไม่นับว่ามีขนาดที่ใหญ่มากนักแต่ทั้งหมดนั้นล้วนมีรูปร่างแปลกประหลาด เมื่อตอนที่เจ้าสิ่งมีชีวิตนี้ตัวแรกได้เข้ามาใกล้ไป๋อี้เขาก็ลืมตาทั้งสองขึ้นและในตอนนี้การรับรู้ของทุกคนรุนแรงขึ้นมาอย่างไม่ต้องสงสัย

       ในตอนที่ชาร์ไป่โผออกไปมือซ้ายของไป๋อี้ก็กดลงไปบนหัวของชาร์ไป่และใช้สายตามองไปที่ตรงนั้น

       ม่านตาจำลอง —— ทำให้ตกใจกลัว!

       สิ่งมีชีวิตพวกนั้นที่แต่เดิมคิดจะเข้ามาใกล้เจ้าต่างก็ต้องตกใจจนกระโดดโหยงออกมาหลังจากที่ใช้พลังม่านตาสีสันเตือนภัยกับพวกมัน พวกมันพบว่ากลุ่มของไป๋อี้ไม่มีใครเคลื่อนไหวใด ๆ เลยแม้แต่คนเดียว เจ้าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้เฝ้าดูสักพักและค่อย ๆ ถอยกลับไปช้า ๆ อย่างระมัดระวัง หลังจากแขกไม่ได้รับเชิญจากไปไป๋อี้จึงหลับตาลงอีกครั้ง

       วันรุ่งขึ้น ทุกคนตื่นกันแต่เช้าตรู่

       “จู่ ๆ ก็คิดถึงช่วงเวลาแสนสั้นในสถาบันวิจัยขึ้นมา” เฮลัวส์ลูบร่างกายที่แข็งทื่อของตนแล้วพูดขึ้น ที่เธอพูดมาอย่างนั้นมันก็ไม่ผิด ในสถาบันวิจัยแม้จะถูกล็อคปิดตายอยู่ด้านในแต่ก็ไม่มีปัญหาการขาดแคลนน้ำและไฟฟ้าอีกทั้งภายในสถาบันวิจัยยังมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก ไหนเลยจะเหมือนป่าที่ด้านนอกนี้ ไม่เพียงแต่วุ่นวายเท่านั้นแถมยังมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญเข้ามาเยี่ยมเยียนตลอดคืน แม้ว่าทุกครั้งจะโดนไป๋อี้ทำให้ตกใจจนหนีไปแต่ทุกคนก็ยังเจอกับพวกมันเป็นระยะ ๆ

       “สถานที่นั้นมีอะไรมากมายให้คิดถึงนักหนา เอาล่ะ พวกเราเริ่มมาปรึกษากันเถอะว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี” ไป๋อี้เอ่ยขึ้น

       “ตั้งแต่แรกพวกเราต้องการยาฟื้นคืนร่างกายมนุษย์นั่นคือเหตุผลที่พวกเราเดินทางไปยังสถาบันวิจัย ตอนนี้เป้าหมายบรรลุแล้ว พวกเราควรคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป” ไป๋อี้เปิดประเด็น

       “พวกเราจำเป็นต้องเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันของนิวซีแลนด์โดยรวมถึงโลกทั้งใบ หลังจากเข้าใจสถานการณ์โดยละเอียดแล้วพวกเราจะสามารถกำหนดเส้นทางในอนาคตได้ว่าจะอยู่ในนิวซีแลนด์หรือไปที่อื่น”

        “ทำไมต้องต้องอยู่ที่นิวซีแลนด์?”

        “เพราะพวกเราไม่แน่ใจว่ายาที่เราได้มานั้นจะใช้ได้ผลหรือเปล่า ถ้าหากมันไม่ได้ผลล่ะก็ด้วยขนาดของสัตว์ประหลาดแบบนี้ คิดว่าหากเข้าไปในสังคมของมนุษย์แล้วจะได้รับการปฏิบัติแบบไหนกันล่ะ ถ้าหากเราเปลี่ยนกลับไปเป็นมนุษย์ไม่ได้และที่อื่น ๆ ในโลกยังคงสงบอยู่ล่ะก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะเดินทางไปที่ประเทศอื่น ในทางตรงกันข้ามพวกเราจำเป็นต้องอยู่ในนิวซีแลนด์และค้นหาวิธีที่จะทำให้เรากลับไปเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง แน่นอนว่าฉันไม่ต้องการที่จะเป็นวัตถุดิบในการทำวิจัยให้กับคนบางพวกหรอกนะ” ไป๋อี้ค่อย ๆ พูดออกมา เห็นได้ชัดว่าเขามีแผนในใจสำหรับเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว

        “นอกจากนี้พวกเรายังได้เรียนรู้บางอย่างมาจากไนท์ด้วย ในช่วงระยะดุร้ายของ LV1-2 หากพวกเราควบคุมไม่ดีล่ะก็พวกเราจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่สูญเสียการควบคุมสติไปโดยสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้นตามคำที่ไนท์กล่าวมา ยาในสังคมธรรมดาทั่วไปเห็นได้ชัดว่าไม่มีผลอะไรกับสภาวะอย่างพวกเรา ถ้าหากต้องการหาวิธีแก้ไขล่ะก็ยังคงต้องการเซลล์กลายพันธุ์ของสัตว์หรือพืชที่ผสานรวมกับเซลล์ดัดแปลงมาใช้ทำยา”

        “สรุปแล้วตอนนี้พวกเราออกค้นหามนุษย์ผู้รอดชีวิตคนอื่น ๆ ทำความเข้าใจกับสถานการณ์ตอนนี้จากนั้นค่อยวางแผนอนาคตกันต่อไป”

        “ถ้าอย่างนั้นแล้วเราจะไปที่ไหนกันล่ะ?”

       “มุ่งหน้าไปทางใต้กันเถอะ กลับเข้าเมืองใหญ่ ไปวังกานุยก่อน ที่ที่เป็นเมืองท่าเรือน่ะ”

       “ฉันจำได้เหมือนไป๋อี้เคยพูดว่าในเมืองกลุ่มคนจะไม่ค่อยเยอะเป็นเพราะปัญหาเรื่องผลิตผลต่าง ๆ อะไรนั่นน่ะ” วูล์ฟพูดขึ้นมาหนึ่งประโยค

       “นั่นก็คือผู้ผลิตกับผู้บริโภคในระยะหิวโหยผู้คนต้องการอาหารอย่างรุนแรงและโดยทั่วไปแล้วในเมืองต่าง ๆ จะมีอาหารในนั้นเพียงหนึ่งสัปดาห์ถึงหนึ่งเดือนสำหรับทุกคน ในสถานการณ์ปกติดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาใด ๆ เนื่องจากได้รับการเติมและหมุนเวียนอยู่เสมอ” เฮลัวส์กล่าวเสริม เดิมทีที่ไป๋อี้เคยอธิบายให้กับพวกเขาฟัง พวกเขายังจำได้

       “ใช่ เป็นอย่างนั้น แต่ว่านั่นเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น จนถึงตอนนี้ฉันคิดว่าทุกคนคงสามารถที่จะปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมแบบนี้ได้แล้วล่ะ ทุกคนไม่เห็นเลยเหรอว่าหลังจากผ่านขั้นตอนแรกของการกระตุ้นเซลล์ร่างกายแล้ว แม้ว่าการบริโภคอาหารจะยังคงมีปริมาณที่มากอยู่แต่ด้านพื้นฐานต่าง ๆ ก็มีความเสถียรมากขึ้นแล้ว อีกอย่างคิดถึงความรู้สึกของพวกเราเองสิ ในช่วงเวลาที่ต้องค้างคืนตามป่า เมื่อคืนนี้หลับไม่สบายเลยสักนิด หลังจากที่สามารถหาอาหารได้เพียงพอแล้ว พวกมนุษย์คงจะต้องการสถานที่ที่มีสภาพแวดล้อมมั่นคงแน่แล้วยังจะมีสภาพแวดล้อมที่ไหนอีกที่จะดีไปกว่าเมืองเดิมล่ะ” ไป๋อี้อธิบายเพิ่ม

       “ยิ่งไปกว่านั้นถ้าต้องการรับข่าวสารจากโลกภายนอกล่ะก็ต้องเป็นในเมืองนี่แหละถึงจะดี ที่นั่นมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกด้านการสื่อสารที่ทันสมัย ในเมืองมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันทั้งสิ้น”

       “ไปกันเถอะ” ไป๋อี้ตัดสินใจได้ในที่สุด

       ทุกคนพยักหน้าและรู้เหตุผลอีกอย่างที่ไป๋อี้ไม่ได้พูดมันออกมาว่าทำไมยังต้องอยู่ในนิวซีแลนด์ …… หยูหาน ตอนนี้ทุกคนต้องการตามหาหยูหานจากนั้นก็ฆ่าผู้ชายคนนั้นอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต!

        ………………

       ทุกคนไม่ได้คัดค้านอะไร จากนั้นจึงเริ่มออกเดินทางไปยังวังกานุย

       ขณะอยู่บนถนนทุกคนจึงได้รู้ว่าการเดินทางมันยากเย็นเพียงใด หากกล่าวว่าในช่วงแรกที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในนิวซีแลนด์ยังสามารถนั่งรถได้ล่ะก็ตอนนี้ไม่แม้แต่จะมองเห็นถนนทางหลวงแล้ว พวกรถอะไรนั่นพบเจอได้เป็นบางครั้งบางคราวแต่ก็ชำรุดและทรุดโทรมไปกว่าครึ่ง บนท้องถนนมักจะเห็นสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ทั้งใหญ่และเล็กเคลื่อนไหวผ่านป่าอย่างดูมีชีวิตชีวา

       “ฉันคิดว่าห่วงโซ่ชีวภาพของนิวซีแลนด์จะถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง” เมย์ริสมองไปที่ตะขาบหกปีกที่มีความยาวกว่า 30 เซนติเมตร มันนอนอยู่ที่ฐานพร้อมกับดูดซึมน้ำจากต้นไม้ด้วยความประหลาดใจ

       “ในตอนแรกฉันรู้สึกแบบเดียวกัน แต่ว่าตอนนี้ดูเหมือนว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดจะปรับตัวได้ดีนะ เมื่อเราหิวโหยมากก็ไม่มีอะไรที่ไม่สามรถกินได้หรอก ยิ่งไปกว่านั้นพืชเองก็เป็นอาหารที่แพร่หลายที่สุดและเติบโตเร็ว รวมถึงเป็นสิ่งที่ช่วยสนับสนุนห่วงโซ่ชีวภาพของนิวซีแลนด์เพื่อให้สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้” ไป๋อี้กล่าวพร้อมกับยื่นมือขวาออกมา

       แม้ว่าตะขาบหกปีกจะสามารถดูดซึมน้ำจากต้นไม้และมีชีวิตได้ แต่มันก็ยังไม่ลืมสัญชาตญาณแห่งการกินเนื้อในตัวของมัน หลังจากที่เห็นไป๋อี้และกลุ่มของเขา ทันใดนั้นมันก็พุ่งเข้ามาหาไป๋อี้ทันที ไป๋อี้ไม่กล้าที่จะดูถูกเจ้าพวกนี้เลย ตอนนี้ไป๋อี้และคนอื่นๆไม่ค่อยจะกลัวสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการขนาดใหญ่ทั่วไปแล้ว แต่พวกเขาจะระวังแมลงตัวเล็ก ๆ เหล่านี้มากกว่า

       มีดวิลโลว์เล่มเล็กอยู่ในมือของไป๋อี้ จากนั้นไป๋อี้ก็เคาะหลังมีดเข้าที่กะโหลกศีรษะของตะขาบหกปีก

        เกิดเสียงปะทะกันดังขึ้น ทันใดนั้นไป๋อี้ก็รู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลจากมือของเขา เห็นได้ชัดว่าหลังจากผสานรวมเซลล์ดัดแปลงแล้วไม่ควรมองข้ามสิ่งมีชีวิตที่ยังอยู่ทั้งหมด แต่ว่าน่าเสียดายที่ความแตกต่างของขนาดนั้นต่างกันมาก ก็เหมือนกับมดที่สามารถแบกวัตถุได้หลายสิบหรือหลายร้อยเท่าของน้ำหนักตัว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับมนุษย์มันก็จะยังคงถูกนิ้วบดขยี้จนตาย

        ตะขาบหกปีกบินออกไปตกลงบนพื้นสองครั้ง จากนั้นจึงคลานเข้าไปในพงหญ้าอย่างรวดเร็วและหายตัวไป

        หลังจากเห็นตะขาบหายไปทุกคนก็เดินทางต่อ

        ขณะที่เดินผ่านป่าไป๋อี้และกลุ่มของเขาได้ค้นพบบ้านหลังหนึ่ง เมื่อดูจากรูปแบบของบ้านแล้วก็เป็นแบบบ้านทั่วไปในนิวซีแลนด์ แต่เมื่อเห็นบ้านหลังนี้แล้วมันก็ยากที่จะจินตนาการว่าเมื่อสองเดือนก่อนยังมีคนอาศัยอยู่ที่นี่ ไป๋อี้เดินผ่านกิ่งไม้ที่แทงทะลุบ้านอย่างระมัดระวังและเข้าไปในบ้านโดยหวังว่าจะพบสิ่งที่เป็นประโยชน์ ส่วนคนอื่นอย่าเข้าไปร่วมด้วยจะดีกว่าเพราะบ้านหลังนี้ไม่เหมาะกับการรองรับคนหลายคน

        หลังจากนั้นไม่นานไป๋อี้ก็เดินออกมาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า

        “นายเจออะไร?”

        “เข็มทิศ!” ไป๋อี้กล่าว

        ดวงตาของทุกคนลุกวาวขึ้นนี่เป็นสิ่งที่ดีจริง ๆ ก่อนหน้านี้ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าตอนนี้การที่กว่าจะก้าวเข้ามาในนิวซีแลนด์ได้นั้นยากมาก เพราะที่นี่กลายเป็นป่าดึกดำบรรพ์อย่างแท้จริง ไป๋อี้และคนอื่น ๆ เดินมาหลายวันแล้วและพวกเขาก็หลงทางมานาน ตอนนี้พวกเขามีสิ่งนี้อย่างน้อยก็คงจะไม่ไปในทิศทางที่ผิดแน่

        หลังจากไป๋อี้ขยับมันไปมาสักหน่อยก็ยิ้มแบบขมขื่นออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ทิศทางที่พวกเขาเพิ่งเดินไปนั้นเป็นทิศตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวก็คือไปผิดทิศทางโดยสิ้นเชิงจากเมืองวังกานุยที่วางแผนไว้ สำหรับสถานที่แห่งนี้คงจะมีเพียงอัจฉริยะเท่านั้นที่จะหยั่งรู้ได้ด้วยตนเอง

        หลังจากที่คนอื่นมองไปที่เข็มทิศพวกเขาก็มองไปยังกันและกัน

        “อ่า สรุปแล้วคือหาที่ที่มีคนอยู่ก่อนแล้วกัน จากนั้นค่อยสอบถามถึงสถานการณ์โดยรวมของนิวซีแลนด์ในตอนนี้” ไป๋อี้กล่าวขึ้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+