[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 129 เดินทางเยือนหุบเขาหิมะ

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 129 เดินทางเยือนหุบเขาหิมะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        หุบเขาหิมะไวราราปาตั้งอยู่ ณ เทือกเขาธารารัวซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับเมืองไวราราปา ดังนั้นมันจึงได้ใช้ชื่อนี้ พวกไป๋อี้ใช้เวลาเดินทางไปทั้งหมดราว ๆ ครึ่งเดือนถึงได้เดินทางมาถึง ณ หุบเขาหิมะแห่งนี้ หลังจากที่มนุษย์สูญเสียเครื่องมือยานพาหนะการเดินทางที่สะดวกสบายไปแล้ว มนุษย์ก็ได้กลับเข้าสู่รูปแบบการเดินทางโดยพื้นฐานที่พึ่งพาการเดินด้วยเท้าเหมือนดังสมัยโบราณอีกครั้ง อีกทั้งในตอนนี้นิวซีแลนด์ไม่มีแม้กระทั่งทางเดินเล็ก ๆ ที่เป็นกิจจะลักษณะ และนอกจากนี้ระหว่างทางยังมักจะเจอะเจอกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ นานาอีกมากมาย ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเลยว่ามันจะน่าขยะแขยงเพียงใด

        แม้ไม่มีผู้ใดยินยอมที่จะใช้ชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ แต่สุดท้ายแล้วทุกคนก็ต้องจำทนดิ้นรนอาศัยอยู่ภายในสภาพแวดล้อมเช่นนี้อยู่ดี

        ขณะที่ยังไม่ได้เข้าสู่หุบเขาหิมะ พวกไป๋อี้ก็ได้เริ่มทยอยเห็นร่องรอยที่หลงเหลือจากการทำกิจกรรมของมนุษย์อย่างต่อเนื่อง ส่วนสิ่งมีชีวิตรูปร่างใหญ่โตที่อยู่บริเวณรอบ ๆ นั้นก็พบเห็นได้น้อยลงมาก มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม และในขณะเดียวกันการที่คนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งได้รวมตัวกันอยู่ ณ หุบเขาหิมะแห่งนี้ ทำให้สิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอก็จะถูกไล่ล่าอยู่เรื่อยไป จากนั้นก็นำมากลายเป็นอาหารของมนุษย์

        แน่นอนว่าบริเวณรอบ ๆ ที่กล่าวถึงนั้น อันที่จริงก็ไม่ได้กว้างขวางเท่าไหร่นัก เพราะอิทธิพลของมนุษย์ในปัจจุบันห่างไกลจากเมื่อครั้งอดีตมาก ภายในสภาพแวดล้อมเช่นนี้หากยังมีสถานที่ขนาดเล็กสำหรับให้ผู้คนพำนักอาศัยอยู่ได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีมากแล้ว

  ……

        “ผักสวิสชาร์ดอีกแล้วเหรอ น่าขยะแขยงสิ้นดี” พวกไป๋อี้ได้ยินเสียงบ่นที่หยาบคายดังมาจากไกล ๆ จากนั้นพวกเขาก็มองเห็น ‘สิ่งมีชีวิตมนุษย์’ สามคนที่มีความสูง 2 เมตรกว่าเกือบ 3 เมตรซึ่งกำลังขะมักเขม้นอยู่กับการทำงานรอบ ๆ บริเวณแปลงผักบีทรูทไม้วงศ์ชะคราม 

        ผักสวิสชาร์ด บีทรูทไม้วงศ์ชะครามถือว่าเป็นการกลายพันธุ์จากภายใน โดยมีใบที่หนา ลำต้นมีลักษณะคล้ายกับต้นปาล์มพัด ขณะที่นิวซีแลนด์ยังไม่ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงก่อนหน้านี้ เดิมทีผักชนิดนี้เอาไว้ใช้เป็นอาหารสีเขียวของสัตว์ในสัตวบาล พืชชนิดนี้ไม่ได้เก็บเกี่ยวได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น แค่เพียงปล่อยให้รากของมันเจริญเติบโตอยู่ภายในดินเราก็จะสามารถเด็ดใบของมันมาบริโภคได้ตลอด เพียงแต่ห้ามทำลายบริเวณรากของมันเท่านั้น ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วมันก็จะไม่ตาย

        ภายนอกของหุบเขาหิมะไวราราปานั้นมีผักสวิสชาร์ดกลายพันธุ์เจริญเติบโตอยู่เป็นบริเวณกว้าง นั่นเป็นเพราะเซลล์ดัดแปลงทำให้ผักสวิสชาร์ดเหล่านี้มีลักษณะลำต้นที่สูงใหญ่มาก ต้นที่ใหญ่ที่สุดนั้นมีความสูงไม่น้อยกว่า 3-4 เมตร ซึ่งคุณสมบัติเฉพาะที่สามารถเก็บเกี่ยวได้ต่อเนื่องของผักสวิสชาร์ดรวมถึงอัตราการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของมัน ทำให้แปลงผักสวิสชาร์ดผืนนี้กลายเป็นอาหารในชีวิตประจำวันของผู้คนจำนวนมาก

        “อย่าบ่นเลย ถ้านายไม่ยอมกินก็ไปล่าสัตว์ประหลาดอยู่ข้างนอกก็ได้นะ” อีกเสียงหนึ่งพูดแนะนำขึ้นมา

        “ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถอะ ถึงแม้ผักสวิสชาร์ดจะไม่อร่อยแต่อย่างน้อยมันก็ไม่มีอันตรายอะไร พวกนายได้ยินข่าวแล้วหรือยังว่าทีมเทพแห่งสงครามถูกทำลายไปแล้ว มีคนตายไปถึงเจ็ดแปดคน”

        “แน่นอนว่าเคยได้ยินมาแล้ว ฉันยังได้ยินมาอีกว่าพวกเขาได้เผชิญหน้ากับร่างทดลองระยะแรกและมีคนตายไปห้าคน สำหรับคนอื่น ๆ อีกสามคนตายขณะที่เข้าสู่ระยะดุร้ายและไปสู้รัดฟัดเหวี่ยงอย่างเอาเป็นเอาตายกับสัตว์ประหลาดตัวอื่น ส่วนคนที่เหลือก็หนีออกมา คนที่หนีออกมาได้นั้นต่างก็ได้รับบาดเจ็บเหมือนกัน หากมีผู้ที่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้คนผู้นั้นก็นับว่าเป็นคนโชคดีมาก หัวหน้าทีมของทีมเทพแห่งสงครามที่ชื่อว่าเบรย์ก็กลับมาหุบเขาหิมะแล้ว แต่ยังไม่ทันได้รับการรักษาก็ตายไปซะแล้ว ฉะนั้นถือว่าทีมทีมนี้ดับสิ้นไปแล้วล่ะ”

        “ฉันก็ได้ยินมาเหมือนกันว่าหมอปรุงยาที่อยู่ในทีมของพวกเขาก็กำลังถูกเชื้อเชิญเข้าไปอยู่ในทีมของคนอื่นเหมือนกัน” อีกคนที่เหลือกล่าวเสริม

        “เป็นหมอปรุงยานี่ดีจริง ๆ เลยนะ แค่หลบอยู่ข้างหลังของทีม ก็จะมีคนคอยปกป้องอยู่ข้างหน้าเสมอ”

        “เสียดายที่นายไม่มีพรสวรรค์นั้นนะ ฮ่า ๆ” อีกสองคนหัวเราะออกมาในทันที

        ณ นิวซีแลนด์ในตอนนี้ หมอปรุงยาเป็นอาชีพหนึ่งที่ได้รับความนิยมสูงสุด แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คืออาชีพนี้ต้องอาศัยพรสวรรค์ ซึ่งแม้กระทั่งผู้ใดอยากจะร่ำเรียนก็ยังไร้ซึ่งหนทาง สิ่งที่หมอปรุงยาพึ่งพาอยู่นั้นล้วนแต่เป็นพรสวรรค์ไม่ใช่การศึกษา ซึ่งหมอปรุงยาที่ค้นหาวิธีการผสมยาสมุนไพรออกมาได้ก็จะเก็บสูตรต่าง ๆ ไว้เป็นความลับ น้อยคนมากที่จะใจกว้างเผยแพร่สูตรออกมาสู่ภายนอก

        คนสองสามคนนี้กำลังสนทนากันไปมาพร้อมกับเด็ดใบของผักสวิสชาร์ดไปด้วย สิ่งเหล่านี้ก็คืออาหารของพวกเขา

        ทันใดนั้น ใบหูของคนหนึ่งในกลุ่มนั้นก็ตั้งผึ่งขึ้นมา จากนั้นเขาก็หันขวับมองมายังพวกไป๋อี้

        “มีอะไรเหรอเบล?” เมื่ออีกคนมองเห็นท่าทางของเบลจึงถามขึ้นอย่างกระวนกระวายในทันที ผู้ที่ชื่อเบลนั้นได้ผสานยีนของค้างคาวเข้าไป ถึงแม้ว่ายีนของค้างคาวจะทำให้ความสามารถในการมองเห็นของเบลย่ำแย่มาก แต่ก็ทำให้เบลมีความสามารถในการฟังที่ดีมากเช่นกัน

        “ชู่ มีอะไรบางอย่างกำลังเดินเข้ามา”

        “ไม่หรอกมั้ง ปกติแล้วสถานที่แห่งนี้ถ้ามีสิ่งมีชีวิตอะไรอยู่ก็จะถูกไล่ฆ่าไปหมดแล้วนี่นา คงจะไม่ใช่ว่ามีสัตว์ประหลาดปรากฏตัวออกมาหรอกใช่ไหม” คนที่รูปร่างสูงที่สุด 3 เมตรกว่า ๆ และยังมีร่างกายอ้วนท้วมกล่าวขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว

        “อาจจะไม่ใช่สัตว์ประหลาด บางทีอาจจะเป็นมนุษย์ …… ซวยแล้ว!” อีกคนกำลังจะพูดว่ามนุษย์ ก่อนจะเหลือบมองไปเห็นเงาร่างของชาร์ไป่เดินออกมา

        ร่างกายของชาร์ไป่ในตอนนี้มีความสูงอยู่ที่ 2 เมตรกว่า มันมีรูปร่างมหึมาและหน้าตาที่ดูเหี้ยมโหดนั้นเต็มไปด้วยพละกำลังที่น่าเกรงขาม ชาร์ไป่เดินนำอยู่เบื้องหน้าจึงทำให้คนเหล่านั้นตกใจแทบแย่ สิ่งนี้แค่มองคราเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่รับมือได้ไม่ง่ายเลย เห็นได้ชัดเป็นอย่างมากว่ามันเกิดขึ้นมาจากการวิวัฒนาการของสัตว์จำพวกสุนัขของนิวซีแลนด์เมื่อครั้งอดีตก่อนหน้านี้ หลังจากที่คนเหล่านั้นมองเห็นชาร์ไป่ จึงทิ้งผักสวิสชาร์ดทิ้งในทันทีและวิ่งหนีไปอย่างเร็วที่สุด

        “เหมียว เหมียว ๆ!” อยู่ ๆ ก็มีเสียงแมวร้องที่อ่อนนุ่มและเล็กแหลมดังออกมาจากบนหัวของชาร์ไป่ คล้ายกับว่ามันกำลังขู่ให้ฝ่ายตรงข้ามตกใจกลัวอย่างไรอย่างนั้น

        เสียงแมวร้องเหรอ?

        ถึงแม้คนเหล่านั้นจะตกใจกลัวชาร์ไป่แต่ก็ยังมีความสงสัยแวบผ่านเข้ามาในใจ พวกเขาจึงอดไม่ได้จนต้องหันกลับไปมองดูอีกครั้งหนึ่ง

        ในเวลานี้ชินชิล่ากำลังกระโดดโลดเต้นอยู่บนหัวของชาร์ไป่อยู่ พร้อมทั้งโก่งร่างกายขึ้นและส่งเสียงร้องข่มขู่ไปยังสามคนนั้น แต่ทว่าชินชิล่าซึ่งมีขนาดร่างกายเพียงเท่าฝ่ามือนั้นไม่ได้มีพละกำลังที่น่าเกรงขามเลยแม้แต่น้อย พวกเขากลับมองว่าร่างกายของมันดูน่ารักน่าเอ็นดูเป็นอย่างมาก บางทีอาจจะเป็นเพราะมันกระโดดอย่างดีอกดีใจจนเกินไป ชินชิล่าจึงได้ลื่นไถลลงมาจากบนศีรษะของชาร์ไป่ในทันที จากนั้นก็ได้ตกลงสู่จมูกของชาร์ไป่ อุ้งมือลูกแมวเกี่ยวอยู่บนจมูกของชาร์ไป่ ส่วนชินชิล่าก็มองไปยังดวงตาคู่นั้นของชาร์ไป่ที่ใหญ่กว่าร่างกายของตนเองเสียอีก

        จมูกของสุนัขถือว่าเป็นอวัยวะที่สำคัญเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าตอนนี้ชาร์ไป่จะวิวัฒนาการกลายพันธุ์ไปแล้วแต่ทว่าประเด็นนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม ในทางตรงกันข้ามกลับมีความสำคัญยิ่งขึ้นไปอีก และในขณะนี้อุ้งมือน้อย ๆ ของชินชิล่าก็กำลังเกี่ยวอยู่บนจมูกของชาร์ไป่ แต่ก็ยังถือว่าไม่สามารถทำร้ายชาร์ไป่ได้ แต่มันเพียงรู้สึกที่จั๊กจี้และชา ๆ เท่านั้น พฤติกรรมเช่นนี้ทำให้ชาร์ไป่อยากจะเขมือบกินเจ้าตัวน้อยนี่ในคำเดียวไปเสียเลย

        คล้ายกับรู้ว่าตัวเองกำลังรนหาที่ตายอยู่ ชินชิล่าจึงได้ส่งเสียงร้องออกมาในทันที “เหมียว~!”

        ในเวลานี้การทำตัวน่ารักไม่ได้มีประโยชน์อันใดแล้ว ดวงตาคู่นั้นของชาร์ไป่ได้ปรากฏเป็นรังสีของความดุดันออกมา มันได้ยกอุ้งมือขวาขึ้นมาจากนั้นก็ตะปบไปยังจมูกของตนเอง แต่ทว่าชาร์ไป่ยังคงไม่ได้ลงมือสั่งสอนชินชิล่า เพียงแค่โบกอุ้งมือแล้วปัดชินชิล่าลงไปอยู่ข้าง ๆ พูพูเท่านั้น ชินชิล่าตีลังกาอยู่บนอากาศหลายตลบจากนั้นก็ห้อยตัวอยู่บนลำตัวของพูพู

        “อู๊ด ๆ ~!” พูพูร้องอู๊ด ๆ อยู่หลายครั้งคล้ายกับกำลังบ่นอะไรบางอย่างอยู่

        พักนี้พูพูเองก็ถูกลูกแมวตัวนี้ทรมานจนแทบแย่เกินพอแล้ว คล้ายกับว่าชินชิล่าเป็นโรคสมาธิสั้นอย่างไรอย่างนั้น จนทำให้พูพูที่กินง่าย ขี้เกียจและชอบนอนนั้นนอนหลับไม่สบายเลย แต่ทว่าพูพูเองก็รู้สึกว่าตัวเองยังถือว่าเป็นผู้โชคดีอยู่เพราะผู้ที่น่าเวทนาที่สุดก็คือชาร์ไป่ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะแรงดึงดูดซึ่งกันและกันโดยธรรมชาติระหว่างแมวและสุนัขหรือไม่ ชินชิล่าจึงชอบเกาะแกะอยู่แต่กับชาร์ไป่มากที่สุด ถึงแม้ว่าชาร์ไป่จะตอบโต้กลับอย่างหงุดหงิดหรือว่ากัดฟันกรอดใส่อย่างไรก็ตาม

        ครั้นในเวลานี้ สามคนนั้นที่เดิมทีตั้งใจว่าจะวิ่งหนีไปก็พบว่าผู้มาเยือนคือทีมทีมหนึ่งและผู้ที่เดินนำอยู่เบื้องหน้าก็คือสุนัขพันธุ์ชาร์ไป่ อีกทั้งข้าง ๆ ยังมีคนอื่นอีกสองสามคนเดินตามกันมาและยังมีหมูอ้วนที่ตัวใหญ่มากตัวหนึ่งอีกด้วย

        นี่คือทีมอะไรเหรอ?

        ปัจจุบันยังถือว่ามีผู้ที่เลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงอยู่ แต่ทว่าปกติแล้วส่วนมากจะเป็นสัตว์เลี้ยงที่ใช้ในการสู้รบและช่วยรับมือกับการต่อสู้ แต่นี่พวกเขาเลี้ยงหมู นี่มันเกิดอะไรขึ้น มองดูแล้วมันก็ไม่ได้คล้ายกับว่าเป็นอาหารของพวกเขาเลย

        “รบกวนหน่อยครับ ขอถามหน่อยว่าหุบเขาหิมะไวราราปา ต้องเดินไปอีกไกลเท่าไหร่” ไป๋อี้ถามขึ้น

        และนี่ไม่เป็นเพียงการถามทางเท่านั้น ยังเป็นการพิสูจน์กับพวกเขาเหล่านี้ว่าพวกไป๋อี้คือมนุษย์ที่สามารถสื่อสารได้ จะต้องทราบว่ามนุษย์ส่วนใหญ่ในตอนนี้ล้วนมีรูปร่างลักษณะที่เป็นสัตว์ประหลาด การที่มีมนุษย์เดินทางอยู่ภายนอก ไม่มีผู้ใดรู้ว่าผู้นั้นเป็นมนุษย์ที่เกิดการวิวัฒนาการมาหรือไม่ หากไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้ก็จะต้องตกอยู่ในความโชคร้ายหากถูกผู้อื่นมองว่าเป็นสัตว์ประหลาดก็จะถูกจับเชือดทิ้งเสีย ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้แต่บริเวณภายนอกนั้นก็ยังมีเรื่องราวที่ว่ามนุษย์วิวัฒนาการไล่ฆ่ากันเอง เพียงแค่ว่าทุกคนล้วนแต่รู้อยู่แก่ใจโดยไม่ต้องอธิบายเท่านั้น

        “อยู่ข้างหน้าไม่ไกลนี่แหละ” เมื่อได้ยินคำถามของไป๋อี้ ก็มีคนตอบกลับในทันที

        “อย่างนั้นเหรอ ขอบคุณนะ” ไป๋อี้พยักหน้าพร้อมกล่าวขอบคุณพอเป็นพิธี

        “ไม่เป็นไร” สามคนนั้นตอบกลับมา จากนั้นจึงเคลื่อนสายตามองไปยังวูล์ฟและเหยื่อขนาดมหึมาบนหลังของชาร์ไป่ด้วยความอิจฉาตาร้อน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมองไม่ออกว่าสัตว์ตัวนี้คืออะไรกันแน่แต่เพียงมองเห็นรูปร่างอันมหึมาของมันแล้วก็รู้ทันทีว่ามันแข็งแกร่งมาก ๆ

        ในเวลานี้จู่ ๆ โม่โม่ก็พุ่งเข้าไปยังสามคนนั้น ร่างกายที่เล็กกระจิดริดพุ่งเข้าไปอย่างกะทันหันด้วยความรวดเร็ว จากนั้นโม่โม่ก็ชักมีดสั้นออกมาทันทีจนเกิดเสียงเสียดสีดัง ฉับ เสร็จแล้วเธอก็นำมีดเก็บเข้าฝักคืนเช่นเดิม ภายในสายตาที่ตกตะลึงของทั้งสามคนนั้น พวกเขาก็สังเกตเห็นว่าเบื้องล่างของมีดสั้นของโม่โม่นั้นคือไส้เดือนฝอยขนาดหนาเท่านิ้วโป้งตัวสีเขียวอ่อนที่ขาดออกเป็นสี่ส่วนตัวหนึ่ง

        ไส้เดือนฝอย!

        สามคนนั้นตกใจเป็นการใหญ่ในทันที นี่คือสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ภายในผักสวิสชาร์ด ถึงแม้ว่าปกติแล้วจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่กินพืชเป็นอาหารแต่หากมันถูกกระตุ้น มันก็จะโจมตีมนุษย์เช่นเดียวกัน ร่างกายของมันเมื่อยืดตัวออกมาจะมีความแข็งแรงเป็นอย่างมาก อีกทั้งมันยังสามารถกระเด้งตัวแล้วเข้าสู่ภายในร่างกายของมนุษย์ได้

        “ขอบ … ขอบใจนะ!” ทั้งสามคนไม่รู้ว่าควรจะกล่าวขอบคุณอย่างไรดี

        “เรื่องเล็กน้อยค่ะ” โม่โม่โบกไม้โบกมือพร้อมส่งรอยยิ้ม

        ทีมแปลกประหลาดที่มีมนุษย์สี่คน สัตว์เลี้ยงสามตัวกำลังเดินไปตามทางที่ถูกเดินย่ำเป็นทางเล็ก ๆ ซึ่งมุ่งตรงไปยังหุบเขาหิมะไวราราปา ขณะที่เดินผ่านสามคนนั้น ชินชิล่าก็เหลือบไปมองพวกเขาพร้อมส่งเสียงร้องเหมียวขึ้นมาหนึ่งครั้ง คล้ายกับว่ามันมีความสงสัยต่อทุก ๆ คนและทุก ๆ สถานการณ์เป็นอย่างมาก ชินชิล่าที่เพิ่งติดตามมากับพวกไป๋อี้และเพิ่งจะได้มองเห็นโลกที่กว้างขวางเช่นนี้ ดูเหมือนว่ามันจะมีความคึกคักเป็นพิเศษ

        “ชินชิล่าอย่าวุ่นวาย” โม่โม่เรียกปรามชินชิล่าเอาไว้

        จนกระทั่งพวกไป๋อี้เดินออกมาเป็นระยะทางที่ไกลแล้ว สามคนนี้จึงหูตาสว่างขึ้นมา โดยเฉพาะการที่พวกเขามองเห็นโม่โม่ที่มีความสูงยังไม่ถึง 1 เมตรแต่กลับพกมีดเล่มสั้นพร้อมทั้งมีท่าทางที่ทะมัดทะแมงเต็มไปด้วยความสามารถและประสบการณ์เช่นนี้ พวกเขาจึงรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา

        ในเวลานี้คนทั้งสามก็มองไปยังใบของผักสวิสชาร์ดที่วางกองกันพะเนินเทินทึกอยู่บนพื้น ทันในนั้นเองก็รู้สึกขยะแขยงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เป็นความขยะแขยงจริง ๆ ไม่เพียงแค่เพราะสิ่งนี้รสชาติไม่อร่อยแต่ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งก็คือความรู้สึกสะอิดสะเอียนของตนเอง

        อันที่จริงมนุษย์นั้นมีสติปัญญาโดยแท้จริง แต่เป็นเพราะสติปัญญาเช่นนี้เองจึงทำให้ธรรมชาติของมนุษย์มีความอ่อนแอ ขอเพียงสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ก็เพียงพอแล้ว ขอเพียงสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ฉะนั้นหลังจากที่มนุษย์ค้นพบพืชที่สามารถรับประทานได้เหล่านี้ หลายคนจึงยินยอมที่จะอดทนกินอาหารที่มีรสชาติจืดชืดคล้ายกับอาหารหมูเช่นนี้แทนที่จะออกไปล่าหมูจริง ๆ

        ความจริงแล้ว มนุษย์และสัตว์ที่เกิดการวิวัฒนาการนั้นต่างยืนอยู่บนลู่วิ่งเส้นเดียวกัน แต่สำหรับสามคนนี้น้อยครั้งมากที่จะใช้ร่างกายของตนเองในการต่อสู้

        “ฉันสุดจะทนแล้วนะ!” หนึ่งในนั้นพร่ำบ่นขึ้นมา

        “หรือไม่พวกเราก็ไปเข้าร่วมทีมของคนอื่นด้วยซะเลย จากนั้นก็ออกไปล่าหมูกันเถอะ ฉันไม่อยากใช้ชีวิตแบบนี้แล้ว เหมือนกับปศุสัตว์ที่ถูกเลี้ยงอยู่ในคอกอย่างนั้นแหละ แต่ที่ไม่เหมือนกันก็คือเรายังต้องลงมือเตรียมอาหารหมูด้วยตัวเองอีก” อีกคนหนึ่งมองผักสวิสชาร์ดที่อยู่บนพื้นกองนั้นพร้อมพูดขึ้นมา

        “เราอาจตายได้เลยนะ!”

        “จะตายก็ตายเถอะ ยังไงซะช่วงเวลาในตอนนี้ก็สุดจะทนแล้ว หรือว่าความสามารถของพวกนายจะสู้เด็กผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เลยงั้นเหรอ!”

        พวกไป๋อี้คิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงเลยว่า สามคนนี้เพียงแค่มองเห็นการกระทำของโม่โม่เมื่อชั่วครู่นี้แล้วจะเกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นมา ทั้งยังคิดเชื่อมโยงไปถึงเรื่องที่ว่าความสามารถของพวกเขาไม่สามารถเทียบชั้นกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งได้อีกด้วย บางทีในใจของพวกเขาเหล่านี้เดิมทีอาจจะมีความคิดอะไรบางอย่างอยู่แล้วก็เป็นได้ แต่ทว่าเมื่อก่อนพวกเขาได้แต่อดทนมาโดยตลอด และเมื่อเห็นพฤติกรรมของโม่โม่จึงได้เกิดเป็นความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองขึ้นมาพอดีเท่านั้น

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 129 เดินทางเยือนหุบเขาหิมะ

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 129 เดินทางเยือนหุบเขาหิมะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        หุบเขาหิมะไวราราปาตั้งอยู่ ณ เทือกเขาธารารัวซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับเมืองไวราราปา ดังนั้นมันจึงได้ใช้ชื่อนี้ พวกไป๋อี้ใช้เวลาเดินทางไปทั้งหมดราว ๆ ครึ่งเดือนถึงได้เดินทางมาถึง ณ หุบเขาหิมะแห่งนี้ หลังจากที่มนุษย์สูญเสียเครื่องมือยานพาหนะการเดินทางที่สะดวกสบายไปแล้ว มนุษย์ก็ได้กลับเข้าสู่รูปแบบการเดินทางโดยพื้นฐานที่พึ่งพาการเดินด้วยเท้าเหมือนดังสมัยโบราณอีกครั้ง อีกทั้งในตอนนี้นิวซีแลนด์ไม่มีแม้กระทั่งทางเดินเล็ก ๆ ที่เป็นกิจจะลักษณะ และนอกจากนี้ระหว่างทางยังมักจะเจอะเจอกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ นานาอีกมากมาย ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเลยว่ามันจะน่าขยะแขยงเพียงใด

        แม้ไม่มีผู้ใดยินยอมที่จะใช้ชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ แต่สุดท้ายแล้วทุกคนก็ต้องจำทนดิ้นรนอาศัยอยู่ภายในสภาพแวดล้อมเช่นนี้อยู่ดี

        ขณะที่ยังไม่ได้เข้าสู่หุบเขาหิมะ พวกไป๋อี้ก็ได้เริ่มทยอยเห็นร่องรอยที่หลงเหลือจากการทำกิจกรรมของมนุษย์อย่างต่อเนื่อง ส่วนสิ่งมีชีวิตรูปร่างใหญ่โตที่อยู่บริเวณรอบ ๆ นั้นก็พบเห็นได้น้อยลงมาก มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม และในขณะเดียวกันการที่คนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งได้รวมตัวกันอยู่ ณ หุบเขาหิมะแห่งนี้ ทำให้สิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอก็จะถูกไล่ล่าอยู่เรื่อยไป จากนั้นก็นำมากลายเป็นอาหารของมนุษย์

        แน่นอนว่าบริเวณรอบ ๆ ที่กล่าวถึงนั้น อันที่จริงก็ไม่ได้กว้างขวางเท่าไหร่นัก เพราะอิทธิพลของมนุษย์ในปัจจุบันห่างไกลจากเมื่อครั้งอดีตมาก ภายในสภาพแวดล้อมเช่นนี้หากยังมีสถานที่ขนาดเล็กสำหรับให้ผู้คนพำนักอาศัยอยู่ได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีมากแล้ว

  ……

        “ผักสวิสชาร์ดอีกแล้วเหรอ น่าขยะแขยงสิ้นดี” พวกไป๋อี้ได้ยินเสียงบ่นที่หยาบคายดังมาจากไกล ๆ จากนั้นพวกเขาก็มองเห็น ‘สิ่งมีชีวิตมนุษย์’ สามคนที่มีความสูง 2 เมตรกว่าเกือบ 3 เมตรซึ่งกำลังขะมักเขม้นอยู่กับการทำงานรอบ ๆ บริเวณแปลงผักบีทรูทไม้วงศ์ชะคราม 

        ผักสวิสชาร์ด บีทรูทไม้วงศ์ชะครามถือว่าเป็นการกลายพันธุ์จากภายใน โดยมีใบที่หนา ลำต้นมีลักษณะคล้ายกับต้นปาล์มพัด ขณะที่นิวซีแลนด์ยังไม่ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงก่อนหน้านี้ เดิมทีผักชนิดนี้เอาไว้ใช้เป็นอาหารสีเขียวของสัตว์ในสัตวบาล พืชชนิดนี้ไม่ได้เก็บเกี่ยวได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น แค่เพียงปล่อยให้รากของมันเจริญเติบโตอยู่ภายในดินเราก็จะสามารถเด็ดใบของมันมาบริโภคได้ตลอด เพียงแต่ห้ามทำลายบริเวณรากของมันเท่านั้น ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วมันก็จะไม่ตาย

        ภายนอกของหุบเขาหิมะไวราราปานั้นมีผักสวิสชาร์ดกลายพันธุ์เจริญเติบโตอยู่เป็นบริเวณกว้าง นั่นเป็นเพราะเซลล์ดัดแปลงทำให้ผักสวิสชาร์ดเหล่านี้มีลักษณะลำต้นที่สูงใหญ่มาก ต้นที่ใหญ่ที่สุดนั้นมีความสูงไม่น้อยกว่า 3-4 เมตร ซึ่งคุณสมบัติเฉพาะที่สามารถเก็บเกี่ยวได้ต่อเนื่องของผักสวิสชาร์ดรวมถึงอัตราการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของมัน ทำให้แปลงผักสวิสชาร์ดผืนนี้กลายเป็นอาหารในชีวิตประจำวันของผู้คนจำนวนมาก

        “อย่าบ่นเลย ถ้านายไม่ยอมกินก็ไปล่าสัตว์ประหลาดอยู่ข้างนอกก็ได้นะ” อีกเสียงหนึ่งพูดแนะนำขึ้นมา

        “ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถอะ ถึงแม้ผักสวิสชาร์ดจะไม่อร่อยแต่อย่างน้อยมันก็ไม่มีอันตรายอะไร พวกนายได้ยินข่าวแล้วหรือยังว่าทีมเทพแห่งสงครามถูกทำลายไปแล้ว มีคนตายไปถึงเจ็ดแปดคน”

        “แน่นอนว่าเคยได้ยินมาแล้ว ฉันยังได้ยินมาอีกว่าพวกเขาได้เผชิญหน้ากับร่างทดลองระยะแรกและมีคนตายไปห้าคน สำหรับคนอื่น ๆ อีกสามคนตายขณะที่เข้าสู่ระยะดุร้ายและไปสู้รัดฟัดเหวี่ยงอย่างเอาเป็นเอาตายกับสัตว์ประหลาดตัวอื่น ส่วนคนที่เหลือก็หนีออกมา คนที่หนีออกมาได้นั้นต่างก็ได้รับบาดเจ็บเหมือนกัน หากมีผู้ที่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้คนผู้นั้นก็นับว่าเป็นคนโชคดีมาก หัวหน้าทีมของทีมเทพแห่งสงครามที่ชื่อว่าเบรย์ก็กลับมาหุบเขาหิมะแล้ว แต่ยังไม่ทันได้รับการรักษาก็ตายไปซะแล้ว ฉะนั้นถือว่าทีมทีมนี้ดับสิ้นไปแล้วล่ะ”

        “ฉันก็ได้ยินมาเหมือนกันว่าหมอปรุงยาที่อยู่ในทีมของพวกเขาก็กำลังถูกเชื้อเชิญเข้าไปอยู่ในทีมของคนอื่นเหมือนกัน” อีกคนที่เหลือกล่าวเสริม

        “เป็นหมอปรุงยานี่ดีจริง ๆ เลยนะ แค่หลบอยู่ข้างหลังของทีม ก็จะมีคนคอยปกป้องอยู่ข้างหน้าเสมอ”

        “เสียดายที่นายไม่มีพรสวรรค์นั้นนะ ฮ่า ๆ” อีกสองคนหัวเราะออกมาในทันที

        ณ นิวซีแลนด์ในตอนนี้ หมอปรุงยาเป็นอาชีพหนึ่งที่ได้รับความนิยมสูงสุด แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คืออาชีพนี้ต้องอาศัยพรสวรรค์ ซึ่งแม้กระทั่งผู้ใดอยากจะร่ำเรียนก็ยังไร้ซึ่งหนทาง สิ่งที่หมอปรุงยาพึ่งพาอยู่นั้นล้วนแต่เป็นพรสวรรค์ไม่ใช่การศึกษา ซึ่งหมอปรุงยาที่ค้นหาวิธีการผสมยาสมุนไพรออกมาได้ก็จะเก็บสูตรต่าง ๆ ไว้เป็นความลับ น้อยคนมากที่จะใจกว้างเผยแพร่สูตรออกมาสู่ภายนอก

        คนสองสามคนนี้กำลังสนทนากันไปมาพร้อมกับเด็ดใบของผักสวิสชาร์ดไปด้วย สิ่งเหล่านี้ก็คืออาหารของพวกเขา

        ทันใดนั้น ใบหูของคนหนึ่งในกลุ่มนั้นก็ตั้งผึ่งขึ้นมา จากนั้นเขาก็หันขวับมองมายังพวกไป๋อี้

        “มีอะไรเหรอเบล?” เมื่ออีกคนมองเห็นท่าทางของเบลจึงถามขึ้นอย่างกระวนกระวายในทันที ผู้ที่ชื่อเบลนั้นได้ผสานยีนของค้างคาวเข้าไป ถึงแม้ว่ายีนของค้างคาวจะทำให้ความสามารถในการมองเห็นของเบลย่ำแย่มาก แต่ก็ทำให้เบลมีความสามารถในการฟังที่ดีมากเช่นกัน

        “ชู่ มีอะไรบางอย่างกำลังเดินเข้ามา”

        “ไม่หรอกมั้ง ปกติแล้วสถานที่แห่งนี้ถ้ามีสิ่งมีชีวิตอะไรอยู่ก็จะถูกไล่ฆ่าไปหมดแล้วนี่นา คงจะไม่ใช่ว่ามีสัตว์ประหลาดปรากฏตัวออกมาหรอกใช่ไหม” คนที่รูปร่างสูงที่สุด 3 เมตรกว่า ๆ และยังมีร่างกายอ้วนท้วมกล่าวขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว

        “อาจจะไม่ใช่สัตว์ประหลาด บางทีอาจจะเป็นมนุษย์ …… ซวยแล้ว!” อีกคนกำลังจะพูดว่ามนุษย์ ก่อนจะเหลือบมองไปเห็นเงาร่างของชาร์ไป่เดินออกมา

        ร่างกายของชาร์ไป่ในตอนนี้มีความสูงอยู่ที่ 2 เมตรกว่า มันมีรูปร่างมหึมาและหน้าตาที่ดูเหี้ยมโหดนั้นเต็มไปด้วยพละกำลังที่น่าเกรงขาม ชาร์ไป่เดินนำอยู่เบื้องหน้าจึงทำให้คนเหล่านั้นตกใจแทบแย่ สิ่งนี้แค่มองคราเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่รับมือได้ไม่ง่ายเลย เห็นได้ชัดเป็นอย่างมากว่ามันเกิดขึ้นมาจากการวิวัฒนาการของสัตว์จำพวกสุนัขของนิวซีแลนด์เมื่อครั้งอดีตก่อนหน้านี้ หลังจากที่คนเหล่านั้นมองเห็นชาร์ไป่ จึงทิ้งผักสวิสชาร์ดทิ้งในทันทีและวิ่งหนีไปอย่างเร็วที่สุด

        “เหมียว เหมียว ๆ!” อยู่ ๆ ก็มีเสียงแมวร้องที่อ่อนนุ่มและเล็กแหลมดังออกมาจากบนหัวของชาร์ไป่ คล้ายกับว่ามันกำลังขู่ให้ฝ่ายตรงข้ามตกใจกลัวอย่างไรอย่างนั้น

        เสียงแมวร้องเหรอ?

        ถึงแม้คนเหล่านั้นจะตกใจกลัวชาร์ไป่แต่ก็ยังมีความสงสัยแวบผ่านเข้ามาในใจ พวกเขาจึงอดไม่ได้จนต้องหันกลับไปมองดูอีกครั้งหนึ่ง

        ในเวลานี้ชินชิล่ากำลังกระโดดโลดเต้นอยู่บนหัวของชาร์ไป่อยู่ พร้อมทั้งโก่งร่างกายขึ้นและส่งเสียงร้องข่มขู่ไปยังสามคนนั้น แต่ทว่าชินชิล่าซึ่งมีขนาดร่างกายเพียงเท่าฝ่ามือนั้นไม่ได้มีพละกำลังที่น่าเกรงขามเลยแม้แต่น้อย พวกเขากลับมองว่าร่างกายของมันดูน่ารักน่าเอ็นดูเป็นอย่างมาก บางทีอาจจะเป็นเพราะมันกระโดดอย่างดีอกดีใจจนเกินไป ชินชิล่าจึงได้ลื่นไถลลงมาจากบนศีรษะของชาร์ไป่ในทันที จากนั้นก็ได้ตกลงสู่จมูกของชาร์ไป่ อุ้งมือลูกแมวเกี่ยวอยู่บนจมูกของชาร์ไป่ ส่วนชินชิล่าก็มองไปยังดวงตาคู่นั้นของชาร์ไป่ที่ใหญ่กว่าร่างกายของตนเองเสียอีก

        จมูกของสุนัขถือว่าเป็นอวัยวะที่สำคัญเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าตอนนี้ชาร์ไป่จะวิวัฒนาการกลายพันธุ์ไปแล้วแต่ทว่าประเด็นนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม ในทางตรงกันข้ามกลับมีความสำคัญยิ่งขึ้นไปอีก และในขณะนี้อุ้งมือน้อย ๆ ของชินชิล่าก็กำลังเกี่ยวอยู่บนจมูกของชาร์ไป่ แต่ก็ยังถือว่าไม่สามารถทำร้ายชาร์ไป่ได้ แต่มันเพียงรู้สึกที่จั๊กจี้และชา ๆ เท่านั้น พฤติกรรมเช่นนี้ทำให้ชาร์ไป่อยากจะเขมือบกินเจ้าตัวน้อยนี่ในคำเดียวไปเสียเลย

        คล้ายกับรู้ว่าตัวเองกำลังรนหาที่ตายอยู่ ชินชิล่าจึงได้ส่งเสียงร้องออกมาในทันที “เหมียว~!”

        ในเวลานี้การทำตัวน่ารักไม่ได้มีประโยชน์อันใดแล้ว ดวงตาคู่นั้นของชาร์ไป่ได้ปรากฏเป็นรังสีของความดุดันออกมา มันได้ยกอุ้งมือขวาขึ้นมาจากนั้นก็ตะปบไปยังจมูกของตนเอง แต่ทว่าชาร์ไป่ยังคงไม่ได้ลงมือสั่งสอนชินชิล่า เพียงแค่โบกอุ้งมือแล้วปัดชินชิล่าลงไปอยู่ข้าง ๆ พูพูเท่านั้น ชินชิล่าตีลังกาอยู่บนอากาศหลายตลบจากนั้นก็ห้อยตัวอยู่บนลำตัวของพูพู

        “อู๊ด ๆ ~!” พูพูร้องอู๊ด ๆ อยู่หลายครั้งคล้ายกับกำลังบ่นอะไรบางอย่างอยู่

        พักนี้พูพูเองก็ถูกลูกแมวตัวนี้ทรมานจนแทบแย่เกินพอแล้ว คล้ายกับว่าชินชิล่าเป็นโรคสมาธิสั้นอย่างไรอย่างนั้น จนทำให้พูพูที่กินง่าย ขี้เกียจและชอบนอนนั้นนอนหลับไม่สบายเลย แต่ทว่าพูพูเองก็รู้สึกว่าตัวเองยังถือว่าเป็นผู้โชคดีอยู่เพราะผู้ที่น่าเวทนาที่สุดก็คือชาร์ไป่ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะแรงดึงดูดซึ่งกันและกันโดยธรรมชาติระหว่างแมวและสุนัขหรือไม่ ชินชิล่าจึงชอบเกาะแกะอยู่แต่กับชาร์ไป่มากที่สุด ถึงแม้ว่าชาร์ไป่จะตอบโต้กลับอย่างหงุดหงิดหรือว่ากัดฟันกรอดใส่อย่างไรก็ตาม

        ครั้นในเวลานี้ สามคนนั้นที่เดิมทีตั้งใจว่าจะวิ่งหนีไปก็พบว่าผู้มาเยือนคือทีมทีมหนึ่งและผู้ที่เดินนำอยู่เบื้องหน้าก็คือสุนัขพันธุ์ชาร์ไป่ อีกทั้งข้าง ๆ ยังมีคนอื่นอีกสองสามคนเดินตามกันมาและยังมีหมูอ้วนที่ตัวใหญ่มากตัวหนึ่งอีกด้วย

        นี่คือทีมอะไรเหรอ?

        ปัจจุบันยังถือว่ามีผู้ที่เลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงอยู่ แต่ทว่าปกติแล้วส่วนมากจะเป็นสัตว์เลี้ยงที่ใช้ในการสู้รบและช่วยรับมือกับการต่อสู้ แต่นี่พวกเขาเลี้ยงหมู นี่มันเกิดอะไรขึ้น มองดูแล้วมันก็ไม่ได้คล้ายกับว่าเป็นอาหารของพวกเขาเลย

        “รบกวนหน่อยครับ ขอถามหน่อยว่าหุบเขาหิมะไวราราปา ต้องเดินไปอีกไกลเท่าไหร่” ไป๋อี้ถามขึ้น

        และนี่ไม่เป็นเพียงการถามทางเท่านั้น ยังเป็นการพิสูจน์กับพวกเขาเหล่านี้ว่าพวกไป๋อี้คือมนุษย์ที่สามารถสื่อสารได้ จะต้องทราบว่ามนุษย์ส่วนใหญ่ในตอนนี้ล้วนมีรูปร่างลักษณะที่เป็นสัตว์ประหลาด การที่มีมนุษย์เดินทางอยู่ภายนอก ไม่มีผู้ใดรู้ว่าผู้นั้นเป็นมนุษย์ที่เกิดการวิวัฒนาการมาหรือไม่ หากไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้ก็จะต้องตกอยู่ในความโชคร้ายหากถูกผู้อื่นมองว่าเป็นสัตว์ประหลาดก็จะถูกจับเชือดทิ้งเสีย ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้แต่บริเวณภายนอกนั้นก็ยังมีเรื่องราวที่ว่ามนุษย์วิวัฒนาการไล่ฆ่ากันเอง เพียงแค่ว่าทุกคนล้วนแต่รู้อยู่แก่ใจโดยไม่ต้องอธิบายเท่านั้น

        “อยู่ข้างหน้าไม่ไกลนี่แหละ” เมื่อได้ยินคำถามของไป๋อี้ ก็มีคนตอบกลับในทันที

        “อย่างนั้นเหรอ ขอบคุณนะ” ไป๋อี้พยักหน้าพร้อมกล่าวขอบคุณพอเป็นพิธี

        “ไม่เป็นไร” สามคนนั้นตอบกลับมา จากนั้นจึงเคลื่อนสายตามองไปยังวูล์ฟและเหยื่อขนาดมหึมาบนหลังของชาร์ไป่ด้วยความอิจฉาตาร้อน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมองไม่ออกว่าสัตว์ตัวนี้คืออะไรกันแน่แต่เพียงมองเห็นรูปร่างอันมหึมาของมันแล้วก็รู้ทันทีว่ามันแข็งแกร่งมาก ๆ

        ในเวลานี้จู่ ๆ โม่โม่ก็พุ่งเข้าไปยังสามคนนั้น ร่างกายที่เล็กกระจิดริดพุ่งเข้าไปอย่างกะทันหันด้วยความรวดเร็ว จากนั้นโม่โม่ก็ชักมีดสั้นออกมาทันทีจนเกิดเสียงเสียดสีดัง ฉับ เสร็จแล้วเธอก็นำมีดเก็บเข้าฝักคืนเช่นเดิม ภายในสายตาที่ตกตะลึงของทั้งสามคนนั้น พวกเขาก็สังเกตเห็นว่าเบื้องล่างของมีดสั้นของโม่โม่นั้นคือไส้เดือนฝอยขนาดหนาเท่านิ้วโป้งตัวสีเขียวอ่อนที่ขาดออกเป็นสี่ส่วนตัวหนึ่ง

        ไส้เดือนฝอย!

        สามคนนั้นตกใจเป็นการใหญ่ในทันที นี่คือสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ภายในผักสวิสชาร์ด ถึงแม้ว่าปกติแล้วจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่กินพืชเป็นอาหารแต่หากมันถูกกระตุ้น มันก็จะโจมตีมนุษย์เช่นเดียวกัน ร่างกายของมันเมื่อยืดตัวออกมาจะมีความแข็งแรงเป็นอย่างมาก อีกทั้งมันยังสามารถกระเด้งตัวแล้วเข้าสู่ภายในร่างกายของมนุษย์ได้

        “ขอบ … ขอบใจนะ!” ทั้งสามคนไม่รู้ว่าควรจะกล่าวขอบคุณอย่างไรดี

        “เรื่องเล็กน้อยค่ะ” โม่โม่โบกไม้โบกมือพร้อมส่งรอยยิ้ม

        ทีมแปลกประหลาดที่มีมนุษย์สี่คน สัตว์เลี้ยงสามตัวกำลังเดินไปตามทางที่ถูกเดินย่ำเป็นทางเล็ก ๆ ซึ่งมุ่งตรงไปยังหุบเขาหิมะไวราราปา ขณะที่เดินผ่านสามคนนั้น ชินชิล่าก็เหลือบไปมองพวกเขาพร้อมส่งเสียงร้องเหมียวขึ้นมาหนึ่งครั้ง คล้ายกับว่ามันมีความสงสัยต่อทุก ๆ คนและทุก ๆ สถานการณ์เป็นอย่างมาก ชินชิล่าที่เพิ่งติดตามมากับพวกไป๋อี้และเพิ่งจะได้มองเห็นโลกที่กว้างขวางเช่นนี้ ดูเหมือนว่ามันจะมีความคึกคักเป็นพิเศษ

        “ชินชิล่าอย่าวุ่นวาย” โม่โม่เรียกปรามชินชิล่าเอาไว้

        จนกระทั่งพวกไป๋อี้เดินออกมาเป็นระยะทางที่ไกลแล้ว สามคนนี้จึงหูตาสว่างขึ้นมา โดยเฉพาะการที่พวกเขามองเห็นโม่โม่ที่มีความสูงยังไม่ถึง 1 เมตรแต่กลับพกมีดเล่มสั้นพร้อมทั้งมีท่าทางที่ทะมัดทะแมงเต็มไปด้วยความสามารถและประสบการณ์เช่นนี้ พวกเขาจึงรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา

        ในเวลานี้คนทั้งสามก็มองไปยังใบของผักสวิสชาร์ดที่วางกองกันพะเนินเทินทึกอยู่บนพื้น ทันในนั้นเองก็รู้สึกขยะแขยงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เป็นความขยะแขยงจริง ๆ ไม่เพียงแค่เพราะสิ่งนี้รสชาติไม่อร่อยแต่ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งก็คือความรู้สึกสะอิดสะเอียนของตนเอง

        อันที่จริงมนุษย์นั้นมีสติปัญญาโดยแท้จริง แต่เป็นเพราะสติปัญญาเช่นนี้เองจึงทำให้ธรรมชาติของมนุษย์มีความอ่อนแอ ขอเพียงสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ก็เพียงพอแล้ว ขอเพียงสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ฉะนั้นหลังจากที่มนุษย์ค้นพบพืชที่สามารถรับประทานได้เหล่านี้ หลายคนจึงยินยอมที่จะอดทนกินอาหารที่มีรสชาติจืดชืดคล้ายกับอาหารหมูเช่นนี้แทนที่จะออกไปล่าหมูจริง ๆ

        ความจริงแล้ว มนุษย์และสัตว์ที่เกิดการวิวัฒนาการนั้นต่างยืนอยู่บนลู่วิ่งเส้นเดียวกัน แต่สำหรับสามคนนี้น้อยครั้งมากที่จะใช้ร่างกายของตนเองในการต่อสู้

        “ฉันสุดจะทนแล้วนะ!” หนึ่งในนั้นพร่ำบ่นขึ้นมา

        “หรือไม่พวกเราก็ไปเข้าร่วมทีมของคนอื่นด้วยซะเลย จากนั้นก็ออกไปล่าหมูกันเถอะ ฉันไม่อยากใช้ชีวิตแบบนี้แล้ว เหมือนกับปศุสัตว์ที่ถูกเลี้ยงอยู่ในคอกอย่างนั้นแหละ แต่ที่ไม่เหมือนกันก็คือเรายังต้องลงมือเตรียมอาหารหมูด้วยตัวเองอีก” อีกคนหนึ่งมองผักสวิสชาร์ดที่อยู่บนพื้นกองนั้นพร้อมพูดขึ้นมา

        “เราอาจตายได้เลยนะ!”

        “จะตายก็ตายเถอะ ยังไงซะช่วงเวลาในตอนนี้ก็สุดจะทนแล้ว หรือว่าความสามารถของพวกนายจะสู้เด็กผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เลยงั้นเหรอ!”

        พวกไป๋อี้คิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงเลยว่า สามคนนี้เพียงแค่มองเห็นการกระทำของโม่โม่เมื่อชั่วครู่นี้แล้วจะเกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นมา ทั้งยังคิดเชื่อมโยงไปถึงเรื่องที่ว่าความสามารถของพวกเขาไม่สามารถเทียบชั้นกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งได้อีกด้วย บางทีในใจของพวกเขาเหล่านี้เดิมทีอาจจะมีความคิดอะไรบางอย่างอยู่แล้วก็เป็นได้ แต่ทว่าเมื่อก่อนพวกเขาได้แต่อดทนมาโดยตลอด และเมื่อเห็นพฤติกรรมของโม่โม่จึงได้เกิดเป็นความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองขึ้นมาพอดีเท่านั้น

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ 129 เดินทางเยือนหุบเขาหิมะ

Now you are reading [นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ Chapter 129 เดินทางเยือนหุบเขาหิมะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        หุบเขาหิมะไวราราปาตั้งอยู่ ณ เทือกเขาธารารัวซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับเมืองไวราราปา ดังนั้นมันจึงได้ใช้ชื่อนี้ พวกไป๋อี้ใช้เวลาเดินทางไปทั้งหมดราว ๆ ครึ่งเดือนถึงได้เดินทางมาถึง ณ หุบเขาหิมะแห่งนี้ หลังจากที่มนุษย์สูญเสียเครื่องมือยานพาหนะการเดินทางที่สะดวกสบายไปแล้ว มนุษย์ก็ได้กลับเข้าสู่รูปแบบการเดินทางโดยพื้นฐานที่พึ่งพาการเดินด้วยเท้าเหมือนดังสมัยโบราณอีกครั้ง อีกทั้งในตอนนี้นิวซีแลนด์ไม่มีแม้กระทั่งทางเดินเล็ก ๆ ที่เป็นกิจจะลักษณะ และนอกจากนี้ระหว่างทางยังมักจะเจอะเจอกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ นานาอีกมากมาย ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเลยว่ามันจะน่าขยะแขยงเพียงใด

        แม้ไม่มีผู้ใดยินยอมที่จะใช้ชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ แต่สุดท้ายแล้วทุกคนก็ต้องจำทนดิ้นรนอาศัยอยู่ภายในสภาพแวดล้อมเช่นนี้อยู่ดี

        ขณะที่ยังไม่ได้เข้าสู่หุบเขาหิมะ พวกไป๋อี้ก็ได้เริ่มทยอยเห็นร่องรอยที่หลงเหลือจากการทำกิจกรรมของมนุษย์อย่างต่อเนื่อง ส่วนสิ่งมีชีวิตรูปร่างใหญ่โตที่อยู่บริเวณรอบ ๆ นั้นก็พบเห็นได้น้อยลงมาก มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม และในขณะเดียวกันการที่คนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งได้รวมตัวกันอยู่ ณ หุบเขาหิมะแห่งนี้ ทำให้สิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอก็จะถูกไล่ล่าอยู่เรื่อยไป จากนั้นก็นำมากลายเป็นอาหารของมนุษย์

        แน่นอนว่าบริเวณรอบ ๆ ที่กล่าวถึงนั้น อันที่จริงก็ไม่ได้กว้างขวางเท่าไหร่นัก เพราะอิทธิพลของมนุษย์ในปัจจุบันห่างไกลจากเมื่อครั้งอดีตมาก ภายในสภาพแวดล้อมเช่นนี้หากยังมีสถานที่ขนาดเล็กสำหรับให้ผู้คนพำนักอาศัยอยู่ได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีมากแล้ว

  ……

        “ผักสวิสชาร์ดอีกแล้วเหรอ น่าขยะแขยงสิ้นดี” พวกไป๋อี้ได้ยินเสียงบ่นที่หยาบคายดังมาจากไกล ๆ จากนั้นพวกเขาก็มองเห็น ‘สิ่งมีชีวิตมนุษย์’ สามคนที่มีความสูง 2 เมตรกว่าเกือบ 3 เมตรซึ่งกำลังขะมักเขม้นอยู่กับการทำงานรอบ ๆ บริเวณแปลงผักบีทรูทไม้วงศ์ชะคราม 

        ผักสวิสชาร์ด บีทรูทไม้วงศ์ชะครามถือว่าเป็นการกลายพันธุ์จากภายใน โดยมีใบที่หนา ลำต้นมีลักษณะคล้ายกับต้นปาล์มพัด ขณะที่นิวซีแลนด์ยังไม่ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงก่อนหน้านี้ เดิมทีผักชนิดนี้เอาไว้ใช้เป็นอาหารสีเขียวของสัตว์ในสัตวบาล พืชชนิดนี้ไม่ได้เก็บเกี่ยวได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น แค่เพียงปล่อยให้รากของมันเจริญเติบโตอยู่ภายในดินเราก็จะสามารถเด็ดใบของมันมาบริโภคได้ตลอด เพียงแต่ห้ามทำลายบริเวณรากของมันเท่านั้น ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วมันก็จะไม่ตาย

        ภายนอกของหุบเขาหิมะไวราราปานั้นมีผักสวิสชาร์ดกลายพันธุ์เจริญเติบโตอยู่เป็นบริเวณกว้าง นั่นเป็นเพราะเซลล์ดัดแปลงทำให้ผักสวิสชาร์ดเหล่านี้มีลักษณะลำต้นที่สูงใหญ่มาก ต้นที่ใหญ่ที่สุดนั้นมีความสูงไม่น้อยกว่า 3-4 เมตร ซึ่งคุณสมบัติเฉพาะที่สามารถเก็บเกี่ยวได้ต่อเนื่องของผักสวิสชาร์ดรวมถึงอัตราการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของมัน ทำให้แปลงผักสวิสชาร์ดผืนนี้กลายเป็นอาหารในชีวิตประจำวันของผู้คนจำนวนมาก

        “อย่าบ่นเลย ถ้านายไม่ยอมกินก็ไปล่าสัตว์ประหลาดอยู่ข้างนอกก็ได้นะ” อีกเสียงหนึ่งพูดแนะนำขึ้นมา

        “ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถอะ ถึงแม้ผักสวิสชาร์ดจะไม่อร่อยแต่อย่างน้อยมันก็ไม่มีอันตรายอะไร พวกนายได้ยินข่าวแล้วหรือยังว่าทีมเทพแห่งสงครามถูกทำลายไปแล้ว มีคนตายไปถึงเจ็ดแปดคน”

        “แน่นอนว่าเคยได้ยินมาแล้ว ฉันยังได้ยินมาอีกว่าพวกเขาได้เผชิญหน้ากับร่างทดลองระยะแรกและมีคนตายไปห้าคน สำหรับคนอื่น ๆ อีกสามคนตายขณะที่เข้าสู่ระยะดุร้ายและไปสู้รัดฟัดเหวี่ยงอย่างเอาเป็นเอาตายกับสัตว์ประหลาดตัวอื่น ส่วนคนที่เหลือก็หนีออกมา คนที่หนีออกมาได้นั้นต่างก็ได้รับบาดเจ็บเหมือนกัน หากมีผู้ที่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้คนผู้นั้นก็นับว่าเป็นคนโชคดีมาก หัวหน้าทีมของทีมเทพแห่งสงครามที่ชื่อว่าเบรย์ก็กลับมาหุบเขาหิมะแล้ว แต่ยังไม่ทันได้รับการรักษาก็ตายไปซะแล้ว ฉะนั้นถือว่าทีมทีมนี้ดับสิ้นไปแล้วล่ะ”

        “ฉันก็ได้ยินมาเหมือนกันว่าหมอปรุงยาที่อยู่ในทีมของพวกเขาก็กำลังถูกเชื้อเชิญเข้าไปอยู่ในทีมของคนอื่นเหมือนกัน” อีกคนที่เหลือกล่าวเสริม

        “เป็นหมอปรุงยานี่ดีจริง ๆ เลยนะ แค่หลบอยู่ข้างหลังของทีม ก็จะมีคนคอยปกป้องอยู่ข้างหน้าเสมอ”

        “เสียดายที่นายไม่มีพรสวรรค์นั้นนะ ฮ่า ๆ” อีกสองคนหัวเราะออกมาในทันที

        ณ นิวซีแลนด์ในตอนนี้ หมอปรุงยาเป็นอาชีพหนึ่งที่ได้รับความนิยมสูงสุด แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คืออาชีพนี้ต้องอาศัยพรสวรรค์ ซึ่งแม้กระทั่งผู้ใดอยากจะร่ำเรียนก็ยังไร้ซึ่งหนทาง สิ่งที่หมอปรุงยาพึ่งพาอยู่นั้นล้วนแต่เป็นพรสวรรค์ไม่ใช่การศึกษา ซึ่งหมอปรุงยาที่ค้นหาวิธีการผสมยาสมุนไพรออกมาได้ก็จะเก็บสูตรต่าง ๆ ไว้เป็นความลับ น้อยคนมากที่จะใจกว้างเผยแพร่สูตรออกมาสู่ภายนอก

        คนสองสามคนนี้กำลังสนทนากันไปมาพร้อมกับเด็ดใบของผักสวิสชาร์ดไปด้วย สิ่งเหล่านี้ก็คืออาหารของพวกเขา

        ทันใดนั้น ใบหูของคนหนึ่งในกลุ่มนั้นก็ตั้งผึ่งขึ้นมา จากนั้นเขาก็หันขวับมองมายังพวกไป๋อี้

        “มีอะไรเหรอเบล?” เมื่ออีกคนมองเห็นท่าทางของเบลจึงถามขึ้นอย่างกระวนกระวายในทันที ผู้ที่ชื่อเบลนั้นได้ผสานยีนของค้างคาวเข้าไป ถึงแม้ว่ายีนของค้างคาวจะทำให้ความสามารถในการมองเห็นของเบลย่ำแย่มาก แต่ก็ทำให้เบลมีความสามารถในการฟังที่ดีมากเช่นกัน

        “ชู่ มีอะไรบางอย่างกำลังเดินเข้ามา”

        “ไม่หรอกมั้ง ปกติแล้วสถานที่แห่งนี้ถ้ามีสิ่งมีชีวิตอะไรอยู่ก็จะถูกไล่ฆ่าไปหมดแล้วนี่นา คงจะไม่ใช่ว่ามีสัตว์ประหลาดปรากฏตัวออกมาหรอกใช่ไหม” คนที่รูปร่างสูงที่สุด 3 เมตรกว่า ๆ และยังมีร่างกายอ้วนท้วมกล่าวขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว

        “อาจจะไม่ใช่สัตว์ประหลาด บางทีอาจจะเป็นมนุษย์ …… ซวยแล้ว!” อีกคนกำลังจะพูดว่ามนุษย์ ก่อนจะเหลือบมองไปเห็นเงาร่างของชาร์ไป่เดินออกมา

        ร่างกายของชาร์ไป่ในตอนนี้มีความสูงอยู่ที่ 2 เมตรกว่า มันมีรูปร่างมหึมาและหน้าตาที่ดูเหี้ยมโหดนั้นเต็มไปด้วยพละกำลังที่น่าเกรงขาม ชาร์ไป่เดินนำอยู่เบื้องหน้าจึงทำให้คนเหล่านั้นตกใจแทบแย่ สิ่งนี้แค่มองคราเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่รับมือได้ไม่ง่ายเลย เห็นได้ชัดเป็นอย่างมากว่ามันเกิดขึ้นมาจากการวิวัฒนาการของสัตว์จำพวกสุนัขของนิวซีแลนด์เมื่อครั้งอดีตก่อนหน้านี้ หลังจากที่คนเหล่านั้นมองเห็นชาร์ไป่ จึงทิ้งผักสวิสชาร์ดทิ้งในทันทีและวิ่งหนีไปอย่างเร็วที่สุด

        “เหมียว เหมียว ๆ!” อยู่ ๆ ก็มีเสียงแมวร้องที่อ่อนนุ่มและเล็กแหลมดังออกมาจากบนหัวของชาร์ไป่ คล้ายกับว่ามันกำลังขู่ให้ฝ่ายตรงข้ามตกใจกลัวอย่างไรอย่างนั้น

        เสียงแมวร้องเหรอ?

        ถึงแม้คนเหล่านั้นจะตกใจกลัวชาร์ไป่แต่ก็ยังมีความสงสัยแวบผ่านเข้ามาในใจ พวกเขาจึงอดไม่ได้จนต้องหันกลับไปมองดูอีกครั้งหนึ่ง

        ในเวลานี้ชินชิล่ากำลังกระโดดโลดเต้นอยู่บนหัวของชาร์ไป่อยู่ พร้อมทั้งโก่งร่างกายขึ้นและส่งเสียงร้องข่มขู่ไปยังสามคนนั้น แต่ทว่าชินชิล่าซึ่งมีขนาดร่างกายเพียงเท่าฝ่ามือนั้นไม่ได้มีพละกำลังที่น่าเกรงขามเลยแม้แต่น้อย พวกเขากลับมองว่าร่างกายของมันดูน่ารักน่าเอ็นดูเป็นอย่างมาก บางทีอาจจะเป็นเพราะมันกระโดดอย่างดีอกดีใจจนเกินไป ชินชิล่าจึงได้ลื่นไถลลงมาจากบนศีรษะของชาร์ไป่ในทันที จากนั้นก็ได้ตกลงสู่จมูกของชาร์ไป่ อุ้งมือลูกแมวเกี่ยวอยู่บนจมูกของชาร์ไป่ ส่วนชินชิล่าก็มองไปยังดวงตาคู่นั้นของชาร์ไป่ที่ใหญ่กว่าร่างกายของตนเองเสียอีก

        จมูกของสุนัขถือว่าเป็นอวัยวะที่สำคัญเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าตอนนี้ชาร์ไป่จะวิวัฒนาการกลายพันธุ์ไปแล้วแต่ทว่าประเด็นนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม ในทางตรงกันข้ามกลับมีความสำคัญยิ่งขึ้นไปอีก และในขณะนี้อุ้งมือน้อย ๆ ของชินชิล่าก็กำลังเกี่ยวอยู่บนจมูกของชาร์ไป่ แต่ก็ยังถือว่าไม่สามารถทำร้ายชาร์ไป่ได้ แต่มันเพียงรู้สึกที่จั๊กจี้และชา ๆ เท่านั้น พฤติกรรมเช่นนี้ทำให้ชาร์ไป่อยากจะเขมือบกินเจ้าตัวน้อยนี่ในคำเดียวไปเสียเลย

        คล้ายกับรู้ว่าตัวเองกำลังรนหาที่ตายอยู่ ชินชิล่าจึงได้ส่งเสียงร้องออกมาในทันที “เหมียว~!”

        ในเวลานี้การทำตัวน่ารักไม่ได้มีประโยชน์อันใดแล้ว ดวงตาคู่นั้นของชาร์ไป่ได้ปรากฏเป็นรังสีของความดุดันออกมา มันได้ยกอุ้งมือขวาขึ้นมาจากนั้นก็ตะปบไปยังจมูกของตนเอง แต่ทว่าชาร์ไป่ยังคงไม่ได้ลงมือสั่งสอนชินชิล่า เพียงแค่โบกอุ้งมือแล้วปัดชินชิล่าลงไปอยู่ข้าง ๆ พูพูเท่านั้น ชินชิล่าตีลังกาอยู่บนอากาศหลายตลบจากนั้นก็ห้อยตัวอยู่บนลำตัวของพูพู

        “อู๊ด ๆ ~!” พูพูร้องอู๊ด ๆ อยู่หลายครั้งคล้ายกับกำลังบ่นอะไรบางอย่างอยู่

        พักนี้พูพูเองก็ถูกลูกแมวตัวนี้ทรมานจนแทบแย่เกินพอแล้ว คล้ายกับว่าชินชิล่าเป็นโรคสมาธิสั้นอย่างไรอย่างนั้น จนทำให้พูพูที่กินง่าย ขี้เกียจและชอบนอนนั้นนอนหลับไม่สบายเลย แต่ทว่าพูพูเองก็รู้สึกว่าตัวเองยังถือว่าเป็นผู้โชคดีอยู่เพราะผู้ที่น่าเวทนาที่สุดก็คือชาร์ไป่ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะแรงดึงดูดซึ่งกันและกันโดยธรรมชาติระหว่างแมวและสุนัขหรือไม่ ชินชิล่าจึงชอบเกาะแกะอยู่แต่กับชาร์ไป่มากที่สุด ถึงแม้ว่าชาร์ไป่จะตอบโต้กลับอย่างหงุดหงิดหรือว่ากัดฟันกรอดใส่อย่างไรก็ตาม

        ครั้นในเวลานี้ สามคนนั้นที่เดิมทีตั้งใจว่าจะวิ่งหนีไปก็พบว่าผู้มาเยือนคือทีมทีมหนึ่งและผู้ที่เดินนำอยู่เบื้องหน้าก็คือสุนัขพันธุ์ชาร์ไป่ อีกทั้งข้าง ๆ ยังมีคนอื่นอีกสองสามคนเดินตามกันมาและยังมีหมูอ้วนที่ตัวใหญ่มากตัวหนึ่งอีกด้วย

        นี่คือทีมอะไรเหรอ?

        ปัจจุบันยังถือว่ามีผู้ที่เลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงอยู่ แต่ทว่าปกติแล้วส่วนมากจะเป็นสัตว์เลี้ยงที่ใช้ในการสู้รบและช่วยรับมือกับการต่อสู้ แต่นี่พวกเขาเลี้ยงหมู นี่มันเกิดอะไรขึ้น มองดูแล้วมันก็ไม่ได้คล้ายกับว่าเป็นอาหารของพวกเขาเลย

        “รบกวนหน่อยครับ ขอถามหน่อยว่าหุบเขาหิมะไวราราปา ต้องเดินไปอีกไกลเท่าไหร่” ไป๋อี้ถามขึ้น

        และนี่ไม่เป็นเพียงการถามทางเท่านั้น ยังเป็นการพิสูจน์กับพวกเขาเหล่านี้ว่าพวกไป๋อี้คือมนุษย์ที่สามารถสื่อสารได้ จะต้องทราบว่ามนุษย์ส่วนใหญ่ในตอนนี้ล้วนมีรูปร่างลักษณะที่เป็นสัตว์ประหลาด การที่มีมนุษย์เดินทางอยู่ภายนอก ไม่มีผู้ใดรู้ว่าผู้นั้นเป็นมนุษย์ที่เกิดการวิวัฒนาการมาหรือไม่ หากไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้ก็จะต้องตกอยู่ในความโชคร้ายหากถูกผู้อื่นมองว่าเป็นสัตว์ประหลาดก็จะถูกจับเชือดทิ้งเสีย ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้แต่บริเวณภายนอกนั้นก็ยังมีเรื่องราวที่ว่ามนุษย์วิวัฒนาการไล่ฆ่ากันเอง เพียงแค่ว่าทุกคนล้วนแต่รู้อยู่แก่ใจโดยไม่ต้องอธิบายเท่านั้น

        “อยู่ข้างหน้าไม่ไกลนี่แหละ” เมื่อได้ยินคำถามของไป๋อี้ ก็มีคนตอบกลับในทันที

        “อย่างนั้นเหรอ ขอบคุณนะ” ไป๋อี้พยักหน้าพร้อมกล่าวขอบคุณพอเป็นพิธี

        “ไม่เป็นไร” สามคนนั้นตอบกลับมา จากนั้นจึงเคลื่อนสายตามองไปยังวูล์ฟและเหยื่อขนาดมหึมาบนหลังของชาร์ไป่ด้วยความอิจฉาตาร้อน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมองไม่ออกว่าสัตว์ตัวนี้คืออะไรกันแน่แต่เพียงมองเห็นรูปร่างอันมหึมาของมันแล้วก็รู้ทันทีว่ามันแข็งแกร่งมาก ๆ

        ในเวลานี้จู่ ๆ โม่โม่ก็พุ่งเข้าไปยังสามคนนั้น ร่างกายที่เล็กกระจิดริดพุ่งเข้าไปอย่างกะทันหันด้วยความรวดเร็ว จากนั้นโม่โม่ก็ชักมีดสั้นออกมาทันทีจนเกิดเสียงเสียดสีดัง ฉับ เสร็จแล้วเธอก็นำมีดเก็บเข้าฝักคืนเช่นเดิม ภายในสายตาที่ตกตะลึงของทั้งสามคนนั้น พวกเขาก็สังเกตเห็นว่าเบื้องล่างของมีดสั้นของโม่โม่นั้นคือไส้เดือนฝอยขนาดหนาเท่านิ้วโป้งตัวสีเขียวอ่อนที่ขาดออกเป็นสี่ส่วนตัวหนึ่ง

        ไส้เดือนฝอย!

        สามคนนั้นตกใจเป็นการใหญ่ในทันที นี่คือสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ภายในผักสวิสชาร์ด ถึงแม้ว่าปกติแล้วจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่กินพืชเป็นอาหารแต่หากมันถูกกระตุ้น มันก็จะโจมตีมนุษย์เช่นเดียวกัน ร่างกายของมันเมื่อยืดตัวออกมาจะมีความแข็งแรงเป็นอย่างมาก อีกทั้งมันยังสามารถกระเด้งตัวแล้วเข้าสู่ภายในร่างกายของมนุษย์ได้

        “ขอบ … ขอบใจนะ!” ทั้งสามคนไม่รู้ว่าควรจะกล่าวขอบคุณอย่างไรดี

        “เรื่องเล็กน้อยค่ะ” โม่โม่โบกไม้โบกมือพร้อมส่งรอยยิ้ม

        ทีมแปลกประหลาดที่มีมนุษย์สี่คน สัตว์เลี้ยงสามตัวกำลังเดินไปตามทางที่ถูกเดินย่ำเป็นทางเล็ก ๆ ซึ่งมุ่งตรงไปยังหุบเขาหิมะไวราราปา ขณะที่เดินผ่านสามคนนั้น ชินชิล่าก็เหลือบไปมองพวกเขาพร้อมส่งเสียงร้องเหมียวขึ้นมาหนึ่งครั้ง คล้ายกับว่ามันมีความสงสัยต่อทุก ๆ คนและทุก ๆ สถานการณ์เป็นอย่างมาก ชินชิล่าที่เพิ่งติดตามมากับพวกไป๋อี้และเพิ่งจะได้มองเห็นโลกที่กว้างขวางเช่นนี้ ดูเหมือนว่ามันจะมีความคึกคักเป็นพิเศษ

        “ชินชิล่าอย่าวุ่นวาย” โม่โม่เรียกปรามชินชิล่าเอาไว้

        จนกระทั่งพวกไป๋อี้เดินออกมาเป็นระยะทางที่ไกลแล้ว สามคนนี้จึงหูตาสว่างขึ้นมา โดยเฉพาะการที่พวกเขามองเห็นโม่โม่ที่มีความสูงยังไม่ถึง 1 เมตรแต่กลับพกมีดเล่มสั้นพร้อมทั้งมีท่าทางที่ทะมัดทะแมงเต็มไปด้วยความสามารถและประสบการณ์เช่นนี้ พวกเขาจึงรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา

        ในเวลานี้คนทั้งสามก็มองไปยังใบของผักสวิสชาร์ดที่วางกองกันพะเนินเทินทึกอยู่บนพื้น ทันในนั้นเองก็รู้สึกขยะแขยงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เป็นความขยะแขยงจริง ๆ ไม่เพียงแค่เพราะสิ่งนี้รสชาติไม่อร่อยแต่ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งก็คือความรู้สึกสะอิดสะเอียนของตนเอง

        อันที่จริงมนุษย์นั้นมีสติปัญญาโดยแท้จริง แต่เป็นเพราะสติปัญญาเช่นนี้เองจึงทำให้ธรรมชาติของมนุษย์มีความอ่อนแอ ขอเพียงสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ก็เพียงพอแล้ว ขอเพียงสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ฉะนั้นหลังจากที่มนุษย์ค้นพบพืชที่สามารถรับประทานได้เหล่านี้ หลายคนจึงยินยอมที่จะอดทนกินอาหารที่มีรสชาติจืดชืดคล้ายกับอาหารหมูเช่นนี้แทนที่จะออกไปล่าหมูจริง ๆ

        ความจริงแล้ว มนุษย์และสัตว์ที่เกิดการวิวัฒนาการนั้นต่างยืนอยู่บนลู่วิ่งเส้นเดียวกัน แต่สำหรับสามคนนี้น้อยครั้งมากที่จะใช้ร่างกายของตนเองในการต่อสู้

        “ฉันสุดจะทนแล้วนะ!” หนึ่งในนั้นพร่ำบ่นขึ้นมา

        “หรือไม่พวกเราก็ไปเข้าร่วมทีมของคนอื่นด้วยซะเลย จากนั้นก็ออกไปล่าหมูกันเถอะ ฉันไม่อยากใช้ชีวิตแบบนี้แล้ว เหมือนกับปศุสัตว์ที่ถูกเลี้ยงอยู่ในคอกอย่างนั้นแหละ แต่ที่ไม่เหมือนกันก็คือเรายังต้องลงมือเตรียมอาหารหมูด้วยตัวเองอีก” อีกคนหนึ่งมองผักสวิสชาร์ดที่อยู่บนพื้นกองนั้นพร้อมพูดขึ้นมา

        “เราอาจตายได้เลยนะ!”

        “จะตายก็ตายเถอะ ยังไงซะช่วงเวลาในตอนนี้ก็สุดจะทนแล้ว หรือว่าความสามารถของพวกนายจะสู้เด็กผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เลยงั้นเหรอ!”

        พวกไป๋อี้คิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงเลยว่า สามคนนี้เพียงแค่มองเห็นการกระทำของโม่โม่เมื่อชั่วครู่นี้แล้วจะเกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นมา ทั้งยังคิดเชื่อมโยงไปถึงเรื่องที่ว่าความสามารถของพวกเขาไม่สามารถเทียบชั้นกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งได้อีกด้วย บางทีในใจของพวกเขาเหล่านี้เดิมทีอาจจะมีความคิดอะไรบางอย่างอยู่แล้วก็เป็นได้ แต่ทว่าเมื่อก่อนพวกเขาได้แต่อดทนมาโดยตลอด และเมื่อเห็นพฤติกรรมของโม่โม่จึงได้เกิดเป็นความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองขึ้นมาพอดีเท่านั้น

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+