Immortal and Martial Dual Cultivation 105 ความโกลาหลที่ก่อตัว

Now you are reading Immortal and Martial Dual Cultivation Chapter 105 ความโกลาหลที่ก่อตัว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 105 ความโกลาหลที่ก่อตัว

“เจียงหยุ่นเสอทะนงตนเกินไป เขาฝืนระงับพลังของกระบี่เอาไว้และคิดไปเองว่าเจ้าหนุ่มคนนั้นก็ทำเช่นเดียวกัน”

“ตามนั้น…เป็นความพ่ายแพ้ที่น่าทุเรศ หากเขาไม่ตื่นตระหนกเกินไป,ชัยชนะของเขาก็อยู่ไม่ไกลหลังจากแลกกัน 500 กระบวณท่า”

“จังหวะสุดท้ายของเจ้าหนุ่มนั้นช่างน่ากลัว เขาอดทนถนอมพลังของเขาเอาไว้เพื่อที่จะปลดปล่อยออกมาพลิกเอาชนะในครั้งเดียว”

เหล่าผู้บ่มเพาะพลังที่ยืนดูอยู่ต่างส่ายหัวให้กับความพ่ายแพ้ของเจียงหยุ่นเสอ พวกเขาต่างคิดว่าเขาเป็นต่ออยู่มาก,แต่พวกเขาก็รู้สึกว่าการโจมตีของเซียวเฉินก็น่ากลัวเช่นกัน

เมื่อเห็นเซียวเฉินที่กำลังเดินเข้ามาใกล้,เจียงหยุ่นเสอก็สัมผัสได้ถึงเงาแห่งความตายกำลังคืบคลานเข้ามา เขารีบวิ่งไปที่ประตูเมืองและตะโกนสั่งลูกน้องของเขา “สกัดมันไว้!”

คนที่เหลือทั้งสิบคนเป็นหน่วยกล้าตายของตระกูลเจียง แม้ว่าพวกเขาจะดูถูกการกระทำของเจียงหยุ่นเสออยู่ในใจ,พวกเขาก็ไม่ลังเลที่จะยืนกันหลัง

เป็นเพราะครอบครัวของเขาก็อยู่ในตระกูลเจียง,หากพวกเขาขัดคำสั่งหรือวิ่งหนี,ไม่ใช่แค่พวกเขาที่จะถูกลงโทษแต่ครอบครัวของพวกเขาก็โดนไปด้วยเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางเลือก ยิ่งกว่านั้นหากพวกเขาตายในการต่อสู้,ครอบครัวของพวกเขาก็จะได้เงินชดเชยเป็นจำนวนมาก

เซียวเฉินยังคงมีสีหน้านิ่งพร้อมกับเดินตรงไปข้างหน้า,ราวกับไม่มีอะไรขวางทางเขา ผู้คนต่างตกตะลึงเมื่อเห็นเซียวเฉินเดินผ่านพวกเขาไปเฉยๆ

“ชี่!ชี่!”

เซียวเฉินดูเหมือนว่าไม่ได้ลงมือทำอะไร,แต่ร่างของผู้บ่มเพาะพลังตระกูลเจียงทั้งสิบคนต่างลุกเป็นไฟสีม่วง พวกเขาถูกเผากลายเป็นเถ้าถ่านในทันที

เจียงหยุ่นเสอหันกลับไปมองว่าเซียวเฉินทำอะไร เมื่อเขาเห็นดังนั้น,เขาก็หวาดกลัวยิ่งกว่าเดิมและสับตีนแตกเร่งความเร็ววิ่งไปที่ประตูเมืองทันที

“แคร้ง!”

ท่ามกลางกองขี้เถ้า,คันธนูและลูกศรที่ส่องประกายระยิบระยับหล่นลงมา นี้เป็นอาวุธวิญญาณที่เจียงหยุ่นเสอใช่ยิงใส่เซียวเฉินเมื่อคราวก่อน

เซียวเฉินหยิบธนูขึ้นมาและประทับลูกศรขึ้นสาย เขาหมุนเวียนพลังปราณไปที่มือขวา เมื่อเขาพยายามจะดึงสายธนูกลับพบว่ามันไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว

มันมีอะไรมากกว่าที่ตาเห็น,ธนูคันนี้มันสลายพลังปราณไปโดยอัตโนมัติ,เซียวเฉินคิดกับตัวเอง จากนั้นเขาก็สลายพลังปราณที่มืออกไปและใช้พลังกายเพียงอย่างเดียวเพื่อดึงสายธนูออกมาเป็นรูปจันทร์เต็มดวง

เขาใช้สัมผัสวิญญาณของเขาเล็งไปที่หน้าอกของเจียงหยุ่นเสอ เขาจับตำแหน่งได้อย่างชัดเจน,ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวเช่นไรก็สลัดเซียวเฉินไม่หลุด

“ฮ่ะ!”

ลูกศรพุ่งแหวกอากาศออกไปราวกับสายฟ้า,มันดูเหมือนกับทักษะต่อสู้ล่าดาราคว้าจันทรา ทันทีที่ลูกศรขึ้นมาประทับบนธนู,ในอีกวินาทีต่อมามันก็พุ่งทะลุหน้าอกของเจียงหยุ่นเสอ

ความรุนแรงของลูกธนูไม่ได้ลดลงและลากพาร่างของเจียงหยุ่นเสอพุ่งตรงไปที่กำแพงเมือง ลูกธนูปักเข้ากับกำแพงเมืองอย่างรุนแรงเกิดเสียงดัง,แขวนเจียงหยุ่นเสอไว้กับกำแพง

ผู้อาวุโสหนึ่งแห่งตระกูลเจียง,ตระกูลอันดับหนึ่งแห่งเมืองไป๋สุ่ย,ถูกแขวนติดไว้กับกำแพงเมืองไป๋สุ่ยด้วยน้ำมือของเด็กหนุ่ม สถานการณฺ์รอบข้างกลายเป็นใบ้,ทุกคนเปิดปากกว้างโดยไร้เสียงออกมา

“เจ้าหนุ่มนั้นสามารถดึงสายของธนูล่าวิญญาณกลับจนเป็นจันทร์เต็มดวง,ช่างเหลื่อเชื่อ!”

“แน่นอน,ตระกูลเจียงจ่ายศิลาแสงจันทร์ไปมากมายเพื่อซื้อมันมาจากหมู่บ้านหุบเขาทักษะสวรรค์ ผู้ใช้ไม่อาจใช้พลังปราณเพื่อง้างมันได้,พวกเขาจะต้องพึ่งพลังกายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ในตระกูลเจียง,มีเพียงเจียงหยุ่นเสอเท่านั้นที่สามารถง้างมันได้ ถูกคนนับไม่ถ้วนจบชีวิตลงด้วยธนูคันนี้”

“ฮ่ะฮ่ะ! เจียงหยุ่นเสอคงคาดไม่ถึงว่าจะต้องมาจบชีวิตลงด้วยธนูของตัวเอง”

“เขาใช้ธนูคันนั้นสังหารคนนับไม่ถ้วนที่มาเผชิญหน้ากับตระกูลเจียง ตอนนี้เขากลับถูกมันจับแขวนเข้ากับกำแพง,เรียกได้ว่ากรรมตามสนองเขาแล้ว”

หลังจากนั้นช่วงเวลาสั้นๆ,ผู้บ่มเพาะพลังเหล่านั้นก็เรียกสติคืนมาได้ พวกเขาต่างมองไปที่สีหน้าคับอกคับใจของเจียงหยุ่นเสอ,พึงพอใจกับความโชคร้ายของเขา เห็นได้ชัดว่าผู้บ่มเพาะพลังหล่านี้มักจะถูกตระกูลเจียงกดขี่

เซียวเฉินมองไปที่ธนูล่าวิญญาณที่อยู่ในมือของเขา,เขารู้สึกตกใจ,เขาไม่คิดว่าธนูที่ดูแสนธรรมดาคันนี้จะมีเบื้องหลังไม่ธรรมดา

เซียวเฉินเก็บธนูล่าวิญญาณเข้าไปในแหวนห้วงจักรวาลและมองไปที่เจียงหยุ่นเสอที่ถูกแขวนอยู่บนกำแพง เขาเดินตรงเข้าไปในเมืองไป๋สุ่ยโดยไม่ลังเล

หลังจากนั้นครู่ใหญ่,สามระดับขอบเขตปรมจารย์ของตระกูลเจียงนำกำลังผู้บ่มเพาะพลัง 200 คนออกมาจากป่าอำมหิตอย่างน่าเกรงขาม เมื่อพวกเขาเห็นเจียงหยุ่นเสอที่ถูกแขวนอยู่บนกำแพง,พวกเขาก็ตกใจหน้าซีด

……

ตอนนี้เป็นเวลากลางคืน,ท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมู่เมฆไร้ซึ่งแสงดาว มีเพียงพระจันทร์ลอยสูงอยู่บนท้องฟ้า,ฉายแสงอ่อนโยนลงมาที่ผืนดิน

ภายในตระกูลเจียงแห่งเมืองไป๋สุ่ย,ผู้อาวุโสทุกคนถูกเรียกไปที่โถงใหญ่ เจียงหมิงชุ่นนั่งอยู่ที่ตรงกลางห้องโถงไม่ปรากฎสีหน้าออกมา

ทั้งสองด้านซ้ายขวาของเขามีหกผู้อุทิศตนของตระกูลเจียง,ทั้งหมดล้วนอยู่ระดับขอบเขตนักบุญด้านหลังพวกเขา,มีสิบระดับขอบเขตปรมจารย์ ในห้องโถงใหญ่ดูค่อนข้างแออัด

นี่คือเหล่าหัวกะทิของตระกูลเจียง,คนเหล่านี้คือคนที่ตระกูลเจียงพึ่งพามากว่าหลายร้อยปี พวกเขาคือคนที่ทำให้ตระกูลเจียงสามารถกร่างไปทั่วเมืองไป๋สุ่ย

ในตอนนี้,คนพวกนี้,ผู้ที่มีอำนาจในเมืองไป๋สุ่ยและเป็นที่เคารพนับถือ,มีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างไม่น่าเชื่อ บรรยากาศภายในห้องโถงใหญ่ช่างมืดมัวและเปล่าเปลี่ยว

เจียงหมิงชุ่นเริ่มพูดขึ้นช้าๆ “ข้าคิดว่าพวกเจ้าทั้งหมดคงรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนี้ ผู้อาวุโสหนึ่งเจียงหยุ่นเสอกลายเป็นศพไร้วิญญาณถูกแขวนไว้ที่กำแพงเมื่อง”

ผู้อุทิศตนที่อยู่ด้านขวาพูดขึ้น “พี่น้องเจียง,ไม่ต้องไปใส่ใจกับมันมากนัก,มันก็แค่ระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธขั้นกลาง ข้าสามารถบี้มันให้ตายด้วยมือเดียว ข้ารู้สึกว่าจะเป็นการดีกว่าถ้าปล่อยให้มันผ่านไปซะ พวกเราควรจดจ่อไปที่ซากโบราณ,นั้นสิเป็นสิ่งที่ตระกูลเจียงจะใช้มาเป็นฐานขยายอำนาจ”

หลังจากที่เขาพูดจบชายนวัยกลางคนที่อยู่ด้านหลังก็พูดขึ้น,เขามีท่าทีกระวนกระวายอย่างมาก “ผู้อาวุโสไป๋! ท่านหมายความเช่นไร!? พี่ใหญ่ของข้าถูกแขวนเป็นศพอยู่บนกำแพงเมือง ท่านจะปล่อยให้เขาตายไปเฉยๆ?”

ผู้อุทิศตนแส่ไป๋คิ้วขมวดและพูดขึ้นอย่างดุร้าย “เจ้าคิดว่าเป็นอะไร? ช่างกล้ามาใช้น้ำเสียงเช่นนั้นกับข้า ข้าได้บอกเจ้ารึว่าข้าไม่ได้ใส่ใจ? ข้ายินดีจะไปตามล้างแค้นเป็นการส่วนตัวให้พี่ใหญ่ของเจ้า,แต่มันมีเรื่องที่เร่งด่วนยิ่งกว่า แม้แต่ผู้นำตรกูลยังไม่เปิดปากกล่าวอะไร,เจ้าเป็นใครถึงพูดขึ้นมา?”

ใบหน้าของชายกลางคนคนนั้นแดงป่องขึ้นมา,ด้วยสถานะของเขาแน่นอนว่าเขาไม่ควรพูดกล่าวกับผู้อาวุโสเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม,พี่ใหญ่ของเขาได้ตายจากไป,และเขารู้สึกไม่พอใจอย่างมาก

เจียงหมิงชุ่นพูดขึ้น “หยุ่นฟง,เจ้าไม่ต้องไปกังวลกับมันมาก ในหลายปีที่ผ่านมา,เจ้าก็เห็นว่าพวกคนที่กล้ามาแหยมกับตรกูลเจียงมันมีจุดจบเช่นไร?”

“ในตอนนี้,ที่ข้าเรียกพวกเจ้าทุกคนมาก็ไม่ได้เพื่อมาคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้ามีความคิดเดียวกับผู้อาสุโสไป๋ พวกเราควรจัดอันดับความสำคัญ อย่าให้แค่ระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธขั้นกลางคนนั้นมาทำให้เสียเรื่อง”

“สิ่งเดียวที่ข้าเป็นกังวลตอนนี้ก็คือคนคนนั้นอาจทำให้แผนที่รั่วไหลออกไป ดังนั้น,ที่ข้าเรียกทุกคนมาก็เพื่อเตรียมตัวเข้าไปยังซากโบราณ”

เจียงหมิงชุ่นพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย,หลังจากที่เขาพูดจบ,ทุกคนต่างสีหน้าเปลี่ยน พึ่งเพียงกำลังของพวกเขาจะบุกเขาซากโบราณได้หรือ?

“บูม!บูม!”

ขณะที่กำลังไต่ตรองกับคำพูดของเจียงหมิงชุ่น,ก็มีเสียงกรีดร้องดังเข้ามาจากด้านนอก “ปัง!ปัง!”ศิษย์ตระกูลเจียงสองสามคนถูกใครบางคนจับโยนเข้ามาจากด้านนอก

ศิษย์ตระกูลเจียงที่ถูกโยนเข้ามาด้วยพลังมหาศาลและระดับขอบเขตปรมจารย์สองสามคนที่อยู่รอบนอกไม่อาจต้านแรงไว้ได้และถูกผลักกระเด็นถอยหลังไป

ห้องโถงใหญ่ที่แออัดถูกแหวกเป็นทางในทันที เจียงหมิงชุ่นและผู้อุทิศตนสองสามคนเคลื่อนไหวและจับตัวศิษย์ตระกูลเจียงที่ถูกโยนเข้ามาเอาไว้

หลังจากที่จับพวกเขาไว้ได้,คลื่นกระแทกพุ่งออกมาจากตัวของพวกเขา,ปะทุไปทั่วทุกทิศทาง ทำให้โต๊ะเก้าอี้ทั้งหมดล้มกระจาย

ถ้วยและแจกันถูกเทลงไปกองเรี่ยราดบนพื้น เห็นได้ชัดผู้โจมตีมีความแข็งแกร่งเกินคาด

เจียงหมิงชุ่นวางตัวคนที่เขารับไว้ลงกับพื้นและมองไปที่ฮวาหยุ่นเฟยและตวนมู่ฉิงที่ยินอยู่ด้านนอกห้องโถงใหญ่ ด้านหลังของพวกเขามีกองกำลังที่ไม่ทราบความแข็งแกร่ง เขาพูดอย่างขุ่นเคือง “นี่มันหมายความว่าอะไร? ทำไมถึงมาทำร้ายคนของตระกูลข้า?”

จากนั้นเขาก็มองไปที่ฉู่เฉาหยุ่นที่ยืนอยู่ห่างออกไป เขาพูดด้วยน้ำเสียงยินดี “หลานเฉาหยุ่น,พ่อของเจ้ากับข้านับได้ว่าเป็นสหายที่ดีต่อกัน เจ้าคิดจะสร้างความบาดหมาง?”

ฉู่เฉาหยุ่นยิ้มบางๆและพูดขึ้นเบาๆ “ท่านลุงเจียง,ในตอนที่ข้ามาที่นี่,พ่อข้าบอกข้าแล้ว ไม่ต้องเป็นกังวล,ข้าไม่ได้ทำร้ายคนของตระกูลเจียงเมื่อครู่”

ฮวาหยุ่นเฟยยิ้มเย็นชา “เจียงหมิงชุ่น,เจ้าไม่ต้องมามากความ ข้าอัดคนของเจ้าเอง ข้ามีเพียงคำถามเดียว,เจ้าจะถ่วงเวลาพวกข้าไปถึงเมื่อไหร? อย่ามาทำกับเราเหมือนคนโง่”

ท่าทีของฮวาหยุ่นเฟยช่างหยิ่งยโส ดูถูกเขาโดยการเรียกชื่อห้วนๆ,ไม่มีความเคารพกันระหว่างรุ่นใหญ่และรุ่นเยาว์แม้แต่น้อย

เจียงหมิงชุ่นในใจเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ,แต่เขาก็ไม่ได้แสดงมันออกมา ท้ายที่สุดตระกูลเจียงของพวกเขาก็เป็นเพียงแต่ตระกูลมั่งคั่งตระกูลหนึ่ง ในขณะที่ตระกูลฮวาเป็นตระกูลชั้นสูงที่ดำนงอยู่มานานนับพันปี เมื่อเอาไปเปรียบเทียบกับตระกูลที่มีสายเลือดต้นกำเนิด,ตระกูลของเขาไม่มีค่าให้พูดถึง

นอกจากนั้นผู้อาวุโสตระกูลฮวาที่ยืนอยู่ด้านหลังฮวาหยุ่นเฟยไม่ได้พูดอะไรออกมา,เห็นชัดว่าพวกเขาถือหางให้ท่าทีของฮวาหยุ่นเฟย มีพวกเขาคอยหนุนหลังอยู่,เจียงหมิงชุ่นไม่กล้าลงมือกับฮวาหยุ่นเฟย

เจียงหมิงชุ่นพึมพำขึ้น””ข้าสัญญากับพวกเจ้าทุกคนไว้ว่าเมื่อข้าตรวจสอบที่ตั้งของซากโบราณได้แน่ชัด,ข้าจะลงมือดำเนินการพร้อมกับพวกเจ้าทุกคน ในตอนนี้,ที่ตั้งของมันยังไม่ยืนยัน,ดังนั้นข้าจะนำทางพวกเจ้าไปได้เช่นไร?

ฮวาหยุ่นเฟยเผยรอยยิ้มน่ากลัวและพูดเย้ยหยัน “เจ้าคิดว่าพวกข้าเป็นไอ้โง่? เจ้าคิดว่าพวกข้าไม่ได้ยินที่เจ้าพูดก่อนหน้านี้? อย่าคิดว่าเพียงแค่เจ้ามีตระกูลจีหนุนหลังอยู่แล้วจะเขี่ยพวกเราทิ้ง?”

เขาหยุดลงครู่หนึ่ง,จากนั้นน้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนเป็นหนักแน่นพร้อมกับชี้นิ้วไปที่เจียงหมิงชุ่นและออกเสียงเน้นทีละคำ “บอกให้เจ้ารู้ไว้,ที่นี่คือเขตตงหมิง,ไม่ใช่เขตหนานหลิง แม้ว่าตระกูลจีจะเข้ามา,พวกเขาก็ไม่มีอำนาจที่นี้”

หลังจากที่เจียงหมิงชุ่นถูกฮวาหยุ่นเฟยชี้หน้าสั่งสอน,สีหน้าเขากลายเป็นมืดมัว โทสะของเขาทวีความรุนแรงพร้อมกับกำหมัดแน่น,เขารู้สึกขุ่นเคืองอย่างไม่น่าเชื่อ

“พูดจาใหญ่โตเสียจริง” ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาดังขึ้นมาในห้องโถงใหญ่ มันสะท้อนกลับไปมาไม่สามารถบอกได้มาเสียงมาจากทิศทางไหน

ร่างสีดำเข้ามาจากด้านนอกปรากฎตัวขึ้นต่อหน้าฮวาหยุ่นเฟย เขาซัดฝ่ามือใส่ฮวาหยุ่นเฟยในทันที,เขาลงมือจบในชั่วอึดใจเดียวรวดเร็วราวกับสายฟ้า ทุกคนในห้องโถงใหญ่ต่างไม่รู้ว่าร่างสีดำนี้เข้ามาในตระกูลเจียงได้เยี่ยงไร

“ปัง!”

ฮวาหยุ่นเฟยตอบสนองฉับไวและปล่อยฝ่ามือเข้าไปรับร่างสีดำ เกิดเสียงระเบิดขึ้นเมื่อฝ่ามือของทั้งสองปะทะกัน,ร่างสีดำระเบิดในทันที

“นั้นมันทักษะลับของตระกูลจีประทับร่างดวงดาว นายน้อยจีมาถึงแล้ว” คนของตระกูลเจียงอุทานขึ้นอย่างดีใจเมื่อเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ท่าทีของเจียงหมิงชุ่นผ่อนคลายลงอย่างมาก

ฮวาหยุ่นเฟยที่อยุ่ใกล้ที่สุดถูกกระแทกถอยกลับด้วยแรงระเบิด พลังงานประหลาดไหลเข้ามาในร่างของเขาผ่านทางฝ่ามือ,หมุนเวียนไปในเส้นลมปราณของเขาและกวาดล้างทุกอย่างที่ขวางหน้า

ฮวาหยุ่นเฟยสีหน้ากลายเป็นมืดมัวและใช้พลังงานของจิตวิญญาณยุทธของเขาอย่างร้อนใจ,ธารโลหิตไหลเข้ามาทันที เขาสลายพลังงานประหลาดนั้นไปได้ในเวลาไม่นาน

“จิตวิญญาณยุทธกลายพันธ์ุของตระกูลฮวามันก็งั้นๆ ไม่น่าแปลกใจทำไมถึงไปโดนระดับขอบเขตจอมยุทธฝึกหัดกระทืบมา”

ชายสวมชุดดำเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่อย่างช้าๆ เขามีผมดำยาวเป็นประกายและมีเสน่ห์ ดวงตาของเขาเป็นประกายราวกับดวงดาว ด้วยชุดสีดำของเขา,เขาดูเปล่องประกายราวกับท้องฟ้ายามค่ำตืน

เมื่อเขาเดินเข้ามาในโถงใหญ่,ทั่วทั้งห้องสว่างไสว เขากลายเป็นศูนย์กลางของทุกคนในทันที เขาเป็นตัวละครหลักที่ทั่วทั้งโลกต้องหมุนไปรอบตัวเขา

ใบหน้าสงบเสงี่ยมของฉู่เฉาหยุ่นเผยรอยร้าวใจ จีชางคง,เป็นเขาจริงๆ?

มีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับจีชางคงแห่งเขตหนานหลิง พวกเขาว่ากันว่าเขานั้นได้ฝึกฝนทักษะลับของตระกูลจี,สำเร็จทักษะประทับร่างดวงดาวขั้นกลางตอนอายุ 7 ขวบ,จากนั้นเขาก็ฝึกฝนทักษะลับอีกอย่างของตระกูลจี,ร่ายรำดาบดวงดาวสำเร็จขั้นกลางตอนอายุ 10 ปี

หลังจากนั้น,เขาก็ไม่เคยเจอคนที่เทียบเคียงเขาได้อีกเลย ในปัจจุบันเขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าของรุ่นเยาว์ในเขตหนานหลิง ตอนอายุได้ 16 ปีเขาก็อยู่ระดับขอบเขตปรมจารย์ขั้นสูงเรียบร้อยแล้ว

จีชางคงผู้อหังการจากนั้นก็เตรียมตัวเดินทางเข้าหมืองหลวงในทันทีเพื่อท้าทายเจ้าหญิงหยิงเยว่,ผู้ที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นมหาจักรพรรดิที่กลับชาติมาเกิด เขาเอาชนะรุ่นเยาว์ทุกคนในเมืองหลวงและในที่สุดก็ถูกเจ้าหญิงหยิงเยว่เรียกตัวเข้าไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด