Immortal and Martial Dual Cultivation 224 ผู้โดดเด่น

Now you are reading Immortal and Martial Dual Cultivation Chapter 224 ผู้โดดเด่น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 224 ผู้โดดเด่น

“ศิษย์พี่หนูเชียน คนผู้นี้รับมือได้ไม่ง่ายนัก” ศิษย์ยอดเขาปี้อวิ๋นผู้หนึ่งกล่าวกับผู้นํากลุ่ม

 

หยูเชียนสีหน้ากลายเป็นจริงจังและเขากล่าวขึ้น “ไม่จําเป็นต้องกังวล ตามที่ท่านเจ้ายอดเขาได้กล่าวไว้ตราบใดที่พวกเราสามารถทําให้มันสอบตกในการทดสอบศิษย์แก่นกลางได้ เขาจะมอบหินวิญญาณะดับต่ําให้แก่พวกเราคนละหนึ่งพันก้อน”

 

“ด้วยหินวิญญาณมากมายขนาดนี้,มันไม่เป็นปัญหาแม้ว่าพวกเราจะสอบตกการทดสอบศิษย์แก่นกลาง หินวิญญาณพวกนั้นจะเพียงพอสําหรับการบ่มเพาะพลังของพวกเรา นอกจากนั้น พวกเรายังมีโอกาสอยู่อีกในปีหน้า ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวลแม้แต่น้อย หากมันจําเป็น, พวกเราต้องลากเขาสอบตกไปพร้อมกันให้ได้”

 

เมื่อคนอื่นได้ยินดังนั้น,เขาเหลืมมองเซี่ยวเฉินและกล่าวขึ้น “ใช่แล้ว หินวิญญาณระดับต่ําหนึ่งพันก้อนมันมากเพียงพอที่จะทําให้ข้าทะลวงระดับขอบเขตนักบุญขึ้นไปได้ มันจะเป็นเรื่องง่ายดายที่จะผ่านการทดสอบศิษย์แก่นกลางในปีต่อไป”

ทั้งสองพูดคุยกันต่อหน้าเซี่ยวเฉิน,ราวกับว่าเขาไม่ได้มีตัวตน เซี่ยวเฉินรักษาสีหน้าสงบนิ่ง,จับกระบี่เงาจันทร์ของเขาไว้แน่น เขาไม่สั่นไหวไปตามคําพูดพวกนั้น

 

“เย่เฉิน,ระวังตัว!” ทันใดนั้นหลิวสุยเฟิงก็ตะโกนขึ้นมา

 

พวกมันทั้งสองคนยั่วยุเซี่ยวเฉินอย่างตั้งใจ เพื่อหักเหความสนใจของเขา มองดูสถานการณ์แล้วเห็นโอกาส,คนที่อยู่ด้านหลังของเขาลงมืออย่างเงียบเชียบ

 

เขายิ้มขึ้นเย็นชา ให้ฉันได้เข้าไปในระยะสามเมตร,เจ้าเสร็จข้าแล้ว! “ร่วงไปซะ! ภูเขาไฟปราบปราม!”

 

ขุนเขาใหญ่ปรากฏขึ้นดานหลังของเขา สามารถมองเห็นได้ถึงสิงสาราสัตว์และนกวิหคอยู่ด้านบน

 

ไม่เลว! ใช้ออกภูเขาไท่ปราบปรามพร้อมกับปรากฏการณ์ลึกลับ ขณะที่อยู่ระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธระดับสูง หากพิจารณาจากปรากฏการณ์ลึกลับเพียงอย่างเดียว,เขาก็เทียบเท่าได้กับซ่งเฉวในวัยเดียวกัน

มุมปากของเซี่ยวเฉินยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางเบา หัวใจของเขานิ่งสงบอย่างไม่น่าเชื่อพร้อมกับประเมินถึงทักษะต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้า

สัมผัสวิญญาณของเขาขยายออกไปประมาณ 500 เมตรรอบตัวของเขา การเคลื่อนไหวทั้งหมดของศิษย์ยอดเขาปี้อวิ๋นทั้งสี่อยู่ในการรับรู้ของเขา

 

ปรากฏการณ์ลึกลับนี้ใช้ออกมาค่อนข้างดี น่าเสียดาย,ทักษะต่อสู้ที่แข็งแกร่งต้องการรากฐานที่มั่นคง เท่านั้นถึงจะสามารถดึงพลังที่แท้จริงออกมาได้ มิฉะนั้นมันก็มีเพียงผิวเผิน

“ปะ! ปะ! ปะ! ปะ!”

สลักร่างพยัคฆ์มังกรหมุนเวียนอย่างรวดเร็ว กระดูกของเซี่ยวเฉินส่งเสียงกรอบแกรบอย่างต่อเนื้อ เขาเก็บกระบี่เงาจันทร์เข้าไปในแหวนห้วงจักรวาลและกํามือขวาของเขาขึ้นเป็นหมัด เขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานอันไร้ขอบเขตภายในร่างของเขาพร้อมกับหันตัวซัดออก

ภาพร่างพยัคฆ์ขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นด้านหลังของเซี่ยวเฉิน พยัคฆ์ร้องคํารามเสียงดังและกระแสพลังของเซี่ยวเฉินทันใดนั้นก็พุ่งสูงถึงขีดสุด,ราวกับว่าเขากลายเป็นเจ้าแห่งสัตว์อสูร

“ปัง!”

ขุนเขาแตกสลายไปด้วยกําปั้นเดียว ทันทีที่ปรากฏการณ์ลึกลับพังทลายลง,ผู้ที่ลอบเข้าโจมตีเซี่ยวเฉินกระอักเลือดออกมาคําใหญ่ สีหน้าของเขาซีดขาว,ราวกับว่าถูกสูบเลือดออกจนแห้ง

 

ร่างของเขาแกว่งไปเหมือนกับว่าวที่เชือกขาดพร้อมกับตกลงจากท้องฟ้า ขณะที่เขากําลังจะถูกหอกแหลมแทงทะลุเมีร่างสีขาวลอยผ่านและรับร่างของเขาเอาไว้ และจากนั้น,นางก็ลงจอดที่ด้านนอกของค่ายกล

 

สลักร่างพยัคฆ์มังกรพร้อมกับพยัคฆ์ร้ายทะลวงภูผามันเพียงพอที่จะรวบรวมความแข็งแกร่งของร่างกายและพลังปราณของเซี่ยวเฉิน เพียงแค่พลังกายของเขาเพียงอย่างเดียวก็ให้พลังมากถึง 6,000 กิโลกรัม

 

นี่มันไม่ได้ด้อยไปกว่าพลังปราณของระดับขอบเขตนักบุญขั้นต้น ผู้ที่มีพลังกว่า 5,000 กิโลกรัม เมื่อเปรียบเทียบกัน,หมัดของเซี่ยวเฉินในตอนนี้แบกพลังมากกว่า 10,000 กิโลกรัม

 

ด้วยพลังที่น่าหวาดกลัว,สิ่งที่เรียกว่า “ภูเขาไม่ปราบปราม” ได้กลายเป็นเรื่องตลกขบขัน ระดับขอบเขตนักบุญขั้นต้นก็ไม่กล้าที่จะรับหมัดนี้

“ไม่! ศิษย์น้องเหยา! ข้าจะฆ่าเจ้า! ตัดภูผาผ่าโลกา!”

 

“ฟันไขว้ผ่าเมฆา!”

“ พลิกเมฆาล้างสมุทร!”

 

เมื่อพวกเขาเห็นศิษย์น้องเหยาของพวกเขาลอบโจมตีล้มเหลว และบาดเจ็บสาหัสจากผลย้อนกลับของปรากฏการณ์ลึกลับ, พวกที่เหลือสูญเสียเหตุผลและพุ่งเข้าใส่เซี่ยวเฉินอย่างเร่งรีบ

 

กระบวณท่าสังหารทั้งหลายถูกปลดปล่อยออกมา

 

สามระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธขั้นสูงสุดทั้งหมดใช้ออกกระบวณท่าสังหารของพวกเขาตามธรรมดา,พลังของพวกมันจักต้องไม่อาจดูแคลน อากาศที่ร้อนอยู่แต่เดิมตอนนี้ถึงกับเรื่มหายใจไม่ออก

 

เซี่ยวเฉินยิ้มขึ้นและเคลื่อนไหวมือซ้ายของเขาไปสู่ทวงท่ามังกร และมือซ้ายไปสู่ท่าพยัคฆ์ จากนั้นเขาก็ไขว้แขนของเขาและจากนั้นสัตว์อสูรทั้งสองก็ผสานเข้ากับร่างของเขา มังกรสะท้านและพยัคฆ์ร้ายกําลังเคลื่อนไปรอบตัวของเขา

เมื่อเซี่ยวเฉินหมุนเวียนสลักร่างพยัคฆ์มังกรในขณะเดียวกันเรื่องแสงสีทองทันใดนั้นก็ล้อมรอบร่างกายของเขามองดูตราตรึงใจ พลังงานอันไร้ขอบเขตเริ่มสะสมขึ้นในร่างของเขา

พลังอํานาจของพยัคฆ์และมังกรไหลอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย พยัคฆ์หมอบมังกรซ่อน,ร้องคํารามลั่น,ไม่เกรงกลัวภูผาหรือนที่

“ปัง! ปัง! ปัง!”

 

เพียงก่อนหน้าที่สามกระบวณท่าสังหารจะมาถึงตัวของเขาืมันก็ปะทะเข้ากับม่านพลังที่มองไม่เห็น ไม่อาจทะลุผ่านไปได้

 

“ระเบิด!”

 

เซี่ยวเฉินตะโกนและพลังงานที่เขาได้สะสมเอาไว้ก็ปะทุออกราวกับภูเขาไฟ พยัคฆ์และมังกรกับละลอกคลื่นนับไม่ถ้วนก่อตัวขึ้นในอากาศ,ราวกับผิวน้ําไหว

 

เผชิญหน้ากับพลังงานที่หนักหน่วง,สามคนที่เหลือนี้ไม่เหลือวิธีต่อต้านและถูกเปาย้อนกลับไป

 

ในช่วงเวลานี้ เซี่ยวเฉินได้บ่มเพาะขั้นที่สี่ของสลักร่างพยัคฆ์มังกรไปถึงระดับสมบูรณ์ขั้นต้นดังนั้นตอนนี้เขาจึงสามารถแยกพลังงานส่วนหนึ่งของมันออกมาใช้ได้

เมื่อเขาขึ้นไปถึงระดับสมบูรณ์ขั้นยอดเยี่ยม,เขาจะสามารถดึงพลังของมันทั้งหมดออกมาใช้ได้ ยิ่งทําให้พยัคฆ์ข่มมังกรคํารามน่ากลัวมากยิ่งขึ้น

 

มู่เหิงผู้ที่ยืนหลับตานิ่งราวกับต้นสนกลางฤดูหนาว ทันใดนั้นก็ลืมตาขึ้น:เรื่องแสงความประหลาดใจฉายออกมา ช่างเป็นพลังร่างกายที่แข็งแกร่ง! พยัคฆ์และมังกรผสานเข้ากับร่างกายทักษะบ่มเพาะร่างกายนี้จะต้องอยู่ในระดับเดียวกับของข้าเป็นแน่

 

อย่างไรก็ตาม,ร่างกายของเขาก็ยังไม่แข็งแกร่งเท่า หลังจากที่ศิลปะเสริมกายหยกม่วงของข้าหมุนเวียนเต็มกําลัง,ร่างกายของข้าจะราวกับเหล็กน้ําค้างเหมันต์อายุนับร้อยปี เป็นผลทําให้ข้าสามารถตัดเหล็กและทําลายหยกได้ด้วยมือเปล่า

 

อย่างไรก็ตาม,มันเป็นไปได้ว่านี่ยังไม่ใช่ไม่ตายของเขา ความคิดเช่นนี้วูบผ่านความคิดของมู่เหิง,ดูเหมือนว่าจะมีผู้ท้าชิงอันดับหนึ่งในการทดสอบศิษย์แก่นกลางครั้งนี้เพิ่มขึ้นมาอีกคน

 

เมื่อกลุ่มสานุศิษย์ยอดเขาเทียนเยว่มองเห็นฉากตรงหน้าของพวกเขา,พวกเขาเกิดตกตะลึงขึ้นในใจ พวกเขายืนอยู่บนปลายหอกหอกก็แทบจะเต็มกลืน พวกเขาไม่คาดคิดว่าเซี่ยวเฉินจะหาญกล้าระเบิดพลังออกมาได้เช่นนี้

 

หวู่ปิง ผู้ที่อยู่ด้านข้างจางเลี่ย,ครุ่นคิดอยู่ครูหนึ่งก่อนที่จะกล่าวขึ้น “ศิษย์น้องจาง,พวกเราควรรวบรวมศิษย์พี่สักจํานวนหนึ่ง และลงมือก่อนหรือไม่? ด้วยพลังที่เขาแสดงออกมาในตอนนี้ เขาจะเป็นอุปสรรคใหญ่ที่ขวางเจ้ากับอันดับหนึ่งเอาไว้”

 

จากนั้น,สานุศิษย์ชั้นในของยอดเขาเทียนเยวที่แข็งแกร่งสิบคนก็ขยับเข้ามา เหมือนกับคนของยอดเขาปี้อวิ๋น,พวกเขาสามารถเคลื่อนไปบนปลายหอกได้อย่างอิสระ ความแข็งแกร่งของพวกเขาอยู่ระดับแนวหน้า

 

คนที่นํากลุ่มมองไปที่จางเลี่ย “ศิษย์น้องจาง,หากเจ้าต้องการก็เพียงแค่บอกกล่าว ท่านเจ้ายอดเขาได้กําชับไว้ว่าหากเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นระหว่างการทดสอบ,ศิษย์น้องจางจะรับหน้าที่เป็นคนสั่งการและตัดสินใจ

 

เมื่อจางเลี่ยได้ยินเช่นนั้นเขาก็รู้สึกเป็นสุข เขาไม่คาดคิดว่าท่านเจ้ายอดเขาจะเชื่อใจเขาถึงเพียงนี้ อย่างไรก็ตาม หลังจากพึมพําอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ได้ตัดสินใจ เขาคํานับมือด้วยความเคารพและกล่าว “ศิษย์พี่,ขอบคุณสําหรับข้อแนะนํา ข้าจะเติมเต็มความคาด หวังของท่านเจ้ายอดเขาให้ได้เข้าจะคว้าอันดับหนึ่งของการทดสอบครั้งนี้”

 

อย่างไรก็ตาม,เซี่ยวเฉินนั่นไม่ใช่ศัตรูที่เราต้องจัดการเป็นอันดับแรก หากมีเพียงความแข็งแกร่งที่เขาแสดงออกมาในตอนนี้ข้าสามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย อุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเราก็คือคนนั้น!”

หลังจากที่จางเลี่ยกล่าวจบ,เขาหันตัวและชี้ไปยังมู่เหิงแห่งยอด เขาเปยเฉินที่เก็บตัวนิ่งเงียบ เมื่อมู่เพิ่งรู้สึกได้ถึงสายตาของจางเลีย,เขามองกลับมาและยิ้มอย่างสงบนิ่ง,ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก

 

ผู้คนที่อยู่ด้านข้างขาวเลี่ยค่อนข้างประหลาดใจ มู่เหิงเป็นเห็นง ระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธขั้นต้น ทําไมต้องไปใส่ใจกับเขามาก ถึงเพียงนั้น?

 

จางเลี่ยไม่ได้อธิบาย,กลับกัน เขาพูดขึ้น “สถานการณ์อาจจะแปลเปลี่ยนในภายหลัง รอดูก่อน หากข้าคาดเดาผิดพลาดไป,เช่นนั้นพวกเราจะลงมือทันที”

การจู่โจมของศิษย์ยอดเขาปี้อวิ๋นทั้งสี่มันกระทันหันเกินไปเป็นผลทําให้สานุศิษย์จากยอดเขาอื่นระมัดระวังตัวมากขึ้น หากมันมีใครเข้าใลอบโจมตีพวกเขาเช่นกันล่ะ?

 

ผู้บ่มเพาะพลังผู้หนึ่งจากบอดเขาเขียนตัวน,พร้อมกระบี่เล่มมที่มาบนหลังของเขาเยืนนิ่งเงียบบนยอดปลายหอก กระบี่บนหลังของเขายาวเกือบจะสองเมตร,กว้าง 7 เซนติเมตรและหนาประมาณ 1 เซนติเมตร ขนาดของมันกล่าวได้ว่าเป็น “กระบี่เล่มมหึมา” :น้ําหนักของมัน 250 กิโลกรัม

 

เขายืนอยู่บนปลายหอกพร้อมกระบี่หนักเช่นนี้ อีกทั้งยังไม่ไหวนิ่งแม้แต่น้อย,แบกมันเอาไว้ราวกับขนนก มันดูเหมือนไม่มีน้ําหนักสําหรับเขา นี่ทําให้ผู้คนต่างตกตะลึง

 

เมื่อบางคนด้านข้างเขามองเห็นคนจากยอดเขาเทียนเยว่กําลังถกเถียงกัน,เขารีบแจ้ง “ศิษย์พี่เกาหยาง,ดูเหมือนทางฝั่งยอดเขา เทียนเยว่จะมีการเคลื่อนไหว พวกเราควรทําอะไรสักอย่าง?”

 

เกาหยางมีใบหน้ากว้างพร้อมกับคิ้วเส้นหนา เมื่อมองดู มันให้ความรู้สึกห้าวหาญ เขาเหล่มองไปที่คนของยอดเขาเทียนเยวและกล่าวอย่างเฉยเมย “ พวกเราจะมองดูอย่างนิ่งเงียบและเคลื่อนไหวไปตามสถานการณ์ ไม่มีประโยชน์สําหรับพวกเราศิษย์ยอดเขาเชียนต้วน,ที่จะไปประมือบนหอกแหลม”

 

ประโยคคล้ายกันถูกพูดขึ้นโดยศิษย์ยอดเขาอื่นๆ ทุกยอดเขามีศิษย์อย่างน้อยหนึ่งคนที่หยิ่งผยอง แม้ว่าพวกเขาจะไม่แข็งแกร่งเทียบเท่าจางเลี่ยหรือคนอื่นๆ, พวกเขาก็โดดเด่นในหมู่พวกเขาเอง

 

ทุกคนล้วนกําลังพูดถึงวิธีรับมือเรื่องไม่คาดคิด,ป้องกันการลอบโจมตีจากยอดเขาอื่น

 

หลิวสุยเฟิงมองดูเหี่ยวเฉินที่รับมือศิษย์ยอดเขาปี้อวิ๋นสี่คนที่ลอบโจมตีเขาได้อย่างง่ายดาย เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกต่ําใจ พวกเขาทั้งอยู่อยู่ระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธขั้นสูงเช่นเดียวกัน แต่มีความแตกต่างอย่างมากในความแข็งแกร่งของพวกเขา

“เย่เฉิน,ทุกอย่างเรียบร้อยหรือไม่?” หลิวสุยเฟิงถามขึ้น

 

เซี่ยวเฉินตอบกลับ “ไม่มีปัญหา,ข้าเสียพลังปราณไปเพียงเล็กน้อย ระวังตัวเอาไว้ ยังมีคนของยอดเขาปี้อวิ๋นที่ยังไม่ได้เคลื่อนไหว”

 

หลังจากเซี่ยวเฉินซัดลอยไปสามคน,เขาก็ได้ใช้สัมผัสวิญญาณ ตรวจดูสานุศิษย์ที่เหลือของยอดเขาปี้อวิ๋น เขาพบคนที่มีกระแสพลังอันแข็งแกร่ง,เขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าคนเมื่อก่อนหน้านี้เขาปิดซ่อนตัวเองไว้อย่างดี

 

แต่เดิมเซี่ยวเฉินอยากจะพุ่งเข้าไปเพื่อกดดันให้เขาเผยตัวออกมา อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาครุ่นคิดดู.มันยังมีจางเลี่ยที่กําลังจ้องมองเขาอยู่ มันไม่มีความจําเป็นที่จะเผยความแข็งแกร่งของเขามากเกินดังนั้นเขาจึงปล่อยไปก่อน

 

เวลาไหลผ่านไปอย่างช้าๆ ละภายในพริบตาเก็ผ่านไปครึ่งชั่วโมง การทดสอบด่านนี้ได้ผ่านไปครึ่งทางแล้ว ยังมีสานุศิษย์มากกว่า 80 คนที่เหลืออยู่ในค่ายกลหอก

หากไม่เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น,คนทั้ง 80 คนนี้ไม่น่าจะมีปัญหาในการผ่านครึ่งชั่วโมงหลังนี้ไป

 

จางเลี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย,เขามีความรู้สึกตะขิดตะขวงใจว่าการทดสอบรอบนี้มันง่ายดายเกินไป ตอนนี้ผ่านมาครึ่งชั่วโมงแล้วแต่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น, บางเริ่มก็เริ่มรู้สึกสงสัย

ไม่เป็นไร, ข้าจะไม่ลังเลอีกต่อไป ข้าจะเริ่มลงมือก่อน เจตนาฆ่าฟันวูบผ่านดวงตาของจางเลี่ย ดวงตาของเขาราวกับตะเกียงพร้อมกับส่องไปที่มู่เหิงแห่งยอดเขาเปยเฉิน เจตนารมณ์กระบี่รุนแรงรวมตัวกันในดวงตาของเขา

“ฟ้าว!”

กระบี่ฉีหลายเล่มปรากฏขึ้นในอากาศ พวกมันราวกับกระบี่เฉียบคม,ตัดผ่านอากาศไปอย่างง่ายดายและสร้างละลอกคลื่นพร้อมกับพวกมันพุ่งเข้าไปหามู่เพิ่ง

มู่เหิงคาดการณ์ถึงการลงมือฉับพลันของจางเลี่ยเอาไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้คาดคิดว่าเจตนารมณ์กระบี่ของจางเลี่ยจะแข็งแกร่งพอที่จะปล่อยกระบี่ฉีออกมาจากอากาศ

 

“ปัง! ปัง! ปัง!”

มู่เพิ่งใช้ฝ่ามือของเขาแทนกระบี่และฟันไปยังกระบี่ฉีที่พุ่งมาทางเขา พร้อมกับเสียงเหล็กกระทบ “แคร้ง แคร้ง , มู่เพิ่งสลายกระบี่ฉีได้อย่างง่ายดาย

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Immortal and Martial Dual Cultivation 224 ผู้โดดเด่น

Now you are reading Immortal and Martial Dual Cultivation Chapter 224 ผู้โดดเด่น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 224 ผู้โดดเด่น

“ศิษย์พี่หนูเชียน คนผู้นี้รับมือได้ไม่ง่ายนัก” ศิษย์ยอดเขาปี้อวิ๋นผู้หนึ่งกล่าวกับผู้นํากลุ่ม

 

หยูเชียนสีหน้ากลายเป็นจริงจังและเขากล่าวขึ้น “ไม่จําเป็นต้องกังวล ตามที่ท่านเจ้ายอดเขาได้กล่าวไว้ตราบใดที่พวกเราสามารถทําให้มันสอบตกในการทดสอบศิษย์แก่นกลางได้ เขาจะมอบหินวิญญาณะดับต่ําให้แก่พวกเราคนละหนึ่งพันก้อน”

 

“ด้วยหินวิญญาณมากมายขนาดนี้,มันไม่เป็นปัญหาแม้ว่าพวกเราจะสอบตกการทดสอบศิษย์แก่นกลาง หินวิญญาณพวกนั้นจะเพียงพอสําหรับการบ่มเพาะพลังของพวกเรา นอกจากนั้น พวกเรายังมีโอกาสอยู่อีกในปีหน้า ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวลแม้แต่น้อย หากมันจําเป็น, พวกเราต้องลากเขาสอบตกไปพร้อมกันให้ได้”

 

เมื่อคนอื่นได้ยินดังนั้น,เขาเหลืมมองเซี่ยวเฉินและกล่าวขึ้น “ใช่แล้ว หินวิญญาณระดับต่ําหนึ่งพันก้อนมันมากเพียงพอที่จะทําให้ข้าทะลวงระดับขอบเขตนักบุญขึ้นไปได้ มันจะเป็นเรื่องง่ายดายที่จะผ่านการทดสอบศิษย์แก่นกลางในปีต่อไป”

ทั้งสองพูดคุยกันต่อหน้าเซี่ยวเฉิน,ราวกับว่าเขาไม่ได้มีตัวตน เซี่ยวเฉินรักษาสีหน้าสงบนิ่ง,จับกระบี่เงาจันทร์ของเขาไว้แน่น เขาไม่สั่นไหวไปตามคําพูดพวกนั้น

 

“เย่เฉิน,ระวังตัว!” ทันใดนั้นหลิวสุยเฟิงก็ตะโกนขึ้นมา

 

พวกมันทั้งสองคนยั่วยุเซี่ยวเฉินอย่างตั้งใจ เพื่อหักเหความสนใจของเขา มองดูสถานการณ์แล้วเห็นโอกาส,คนที่อยู่ด้านหลังของเขาลงมืออย่างเงียบเชียบ

 

เขายิ้มขึ้นเย็นชา ให้ฉันได้เข้าไปในระยะสามเมตร,เจ้าเสร็จข้าแล้ว! “ร่วงไปซะ! ภูเขาไฟปราบปราม!”

 

ขุนเขาใหญ่ปรากฏขึ้นดานหลังของเขา สามารถมองเห็นได้ถึงสิงสาราสัตว์และนกวิหคอยู่ด้านบน

 

ไม่เลว! ใช้ออกภูเขาไท่ปราบปรามพร้อมกับปรากฏการณ์ลึกลับ ขณะที่อยู่ระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธระดับสูง หากพิจารณาจากปรากฏการณ์ลึกลับเพียงอย่างเดียว,เขาก็เทียบเท่าได้กับซ่งเฉวในวัยเดียวกัน

มุมปากของเซี่ยวเฉินยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางเบา หัวใจของเขานิ่งสงบอย่างไม่น่าเชื่อพร้อมกับประเมินถึงทักษะต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้า

สัมผัสวิญญาณของเขาขยายออกไปประมาณ 500 เมตรรอบตัวของเขา การเคลื่อนไหวทั้งหมดของศิษย์ยอดเขาปี้อวิ๋นทั้งสี่อยู่ในการรับรู้ของเขา

 

ปรากฏการณ์ลึกลับนี้ใช้ออกมาค่อนข้างดี น่าเสียดาย,ทักษะต่อสู้ที่แข็งแกร่งต้องการรากฐานที่มั่นคง เท่านั้นถึงจะสามารถดึงพลังที่แท้จริงออกมาได้ มิฉะนั้นมันก็มีเพียงผิวเผิน

“ปะ! ปะ! ปะ! ปะ!”

สลักร่างพยัคฆ์มังกรหมุนเวียนอย่างรวดเร็ว กระดูกของเซี่ยวเฉินส่งเสียงกรอบแกรบอย่างต่อเนื้อ เขาเก็บกระบี่เงาจันทร์เข้าไปในแหวนห้วงจักรวาลและกํามือขวาของเขาขึ้นเป็นหมัด เขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานอันไร้ขอบเขตภายในร่างของเขาพร้อมกับหันตัวซัดออก

ภาพร่างพยัคฆ์ขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นด้านหลังของเซี่ยวเฉิน พยัคฆ์ร้องคํารามเสียงดังและกระแสพลังของเซี่ยวเฉินทันใดนั้นก็พุ่งสูงถึงขีดสุด,ราวกับว่าเขากลายเป็นเจ้าแห่งสัตว์อสูร

“ปัง!”

ขุนเขาแตกสลายไปด้วยกําปั้นเดียว ทันทีที่ปรากฏการณ์ลึกลับพังทลายลง,ผู้ที่ลอบเข้าโจมตีเซี่ยวเฉินกระอักเลือดออกมาคําใหญ่ สีหน้าของเขาซีดขาว,ราวกับว่าถูกสูบเลือดออกจนแห้ง

 

ร่างของเขาแกว่งไปเหมือนกับว่าวที่เชือกขาดพร้อมกับตกลงจากท้องฟ้า ขณะที่เขากําลังจะถูกหอกแหลมแทงทะลุเมีร่างสีขาวลอยผ่านและรับร่างของเขาเอาไว้ และจากนั้น,นางก็ลงจอดที่ด้านนอกของค่ายกล

 

สลักร่างพยัคฆ์มังกรพร้อมกับพยัคฆ์ร้ายทะลวงภูผามันเพียงพอที่จะรวบรวมความแข็งแกร่งของร่างกายและพลังปราณของเซี่ยวเฉิน เพียงแค่พลังกายของเขาเพียงอย่างเดียวก็ให้พลังมากถึง 6,000 กิโลกรัม

 

นี่มันไม่ได้ด้อยไปกว่าพลังปราณของระดับขอบเขตนักบุญขั้นต้น ผู้ที่มีพลังกว่า 5,000 กิโลกรัม เมื่อเปรียบเทียบกัน,หมัดของเซี่ยวเฉินในตอนนี้แบกพลังมากกว่า 10,000 กิโลกรัม

 

ด้วยพลังที่น่าหวาดกลัว,สิ่งที่เรียกว่า “ภูเขาไม่ปราบปราม” ได้กลายเป็นเรื่องตลกขบขัน ระดับขอบเขตนักบุญขั้นต้นก็ไม่กล้าที่จะรับหมัดนี้

“ไม่! ศิษย์น้องเหยา! ข้าจะฆ่าเจ้า! ตัดภูผาผ่าโลกา!”

 

“ฟันไขว้ผ่าเมฆา!”

“ พลิกเมฆาล้างสมุทร!”

 

เมื่อพวกเขาเห็นศิษย์น้องเหยาของพวกเขาลอบโจมตีล้มเหลว และบาดเจ็บสาหัสจากผลย้อนกลับของปรากฏการณ์ลึกลับ, พวกที่เหลือสูญเสียเหตุผลและพุ่งเข้าใส่เซี่ยวเฉินอย่างเร่งรีบ

 

กระบวณท่าสังหารทั้งหลายถูกปลดปล่อยออกมา

 

สามระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธขั้นสูงสุดทั้งหมดใช้ออกกระบวณท่าสังหารของพวกเขาตามธรรมดา,พลังของพวกมันจักต้องไม่อาจดูแคลน อากาศที่ร้อนอยู่แต่เดิมตอนนี้ถึงกับเรื่มหายใจไม่ออก

 

เซี่ยวเฉินยิ้มขึ้นและเคลื่อนไหวมือซ้ายของเขาไปสู่ทวงท่ามังกร และมือซ้ายไปสู่ท่าพยัคฆ์ จากนั้นเขาก็ไขว้แขนของเขาและจากนั้นสัตว์อสูรทั้งสองก็ผสานเข้ากับร่างของเขา มังกรสะท้านและพยัคฆ์ร้ายกําลังเคลื่อนไปรอบตัวของเขา

เมื่อเซี่ยวเฉินหมุนเวียนสลักร่างพยัคฆ์มังกรในขณะเดียวกันเรื่องแสงสีทองทันใดนั้นก็ล้อมรอบร่างกายของเขามองดูตราตรึงใจ พลังงานอันไร้ขอบเขตเริ่มสะสมขึ้นในร่างของเขา

พลังอํานาจของพยัคฆ์และมังกรไหลอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย พยัคฆ์หมอบมังกรซ่อน,ร้องคํารามลั่น,ไม่เกรงกลัวภูผาหรือนที่

“ปัง! ปัง! ปัง!”

 

เพียงก่อนหน้าที่สามกระบวณท่าสังหารจะมาถึงตัวของเขาืมันก็ปะทะเข้ากับม่านพลังที่มองไม่เห็น ไม่อาจทะลุผ่านไปได้

 

“ระเบิด!”

 

เซี่ยวเฉินตะโกนและพลังงานที่เขาได้สะสมเอาไว้ก็ปะทุออกราวกับภูเขาไฟ พยัคฆ์และมังกรกับละลอกคลื่นนับไม่ถ้วนก่อตัวขึ้นในอากาศ,ราวกับผิวน้ําไหว

 

เผชิญหน้ากับพลังงานที่หนักหน่วง,สามคนที่เหลือนี้ไม่เหลือวิธีต่อต้านและถูกเปาย้อนกลับไป

 

ในช่วงเวลานี้ เซี่ยวเฉินได้บ่มเพาะขั้นที่สี่ของสลักร่างพยัคฆ์มังกรไปถึงระดับสมบูรณ์ขั้นต้นดังนั้นตอนนี้เขาจึงสามารถแยกพลังงานส่วนหนึ่งของมันออกมาใช้ได้

เมื่อเขาขึ้นไปถึงระดับสมบูรณ์ขั้นยอดเยี่ยม,เขาจะสามารถดึงพลังของมันทั้งหมดออกมาใช้ได้ ยิ่งทําให้พยัคฆ์ข่มมังกรคํารามน่ากลัวมากยิ่งขึ้น

 

มู่เหิงผู้ที่ยืนหลับตานิ่งราวกับต้นสนกลางฤดูหนาว ทันใดนั้นก็ลืมตาขึ้น:เรื่องแสงความประหลาดใจฉายออกมา ช่างเป็นพลังร่างกายที่แข็งแกร่ง! พยัคฆ์และมังกรผสานเข้ากับร่างกายทักษะบ่มเพาะร่างกายนี้จะต้องอยู่ในระดับเดียวกับของข้าเป็นแน่

 

อย่างไรก็ตาม,ร่างกายของเขาก็ยังไม่แข็งแกร่งเท่า หลังจากที่ศิลปะเสริมกายหยกม่วงของข้าหมุนเวียนเต็มกําลัง,ร่างกายของข้าจะราวกับเหล็กน้ําค้างเหมันต์อายุนับร้อยปี เป็นผลทําให้ข้าสามารถตัดเหล็กและทําลายหยกได้ด้วยมือเปล่า

 

อย่างไรก็ตาม,มันเป็นไปได้ว่านี่ยังไม่ใช่ไม่ตายของเขา ความคิดเช่นนี้วูบผ่านความคิดของมู่เหิง,ดูเหมือนว่าจะมีผู้ท้าชิงอันดับหนึ่งในการทดสอบศิษย์แก่นกลางครั้งนี้เพิ่มขึ้นมาอีกคน

 

เมื่อกลุ่มสานุศิษย์ยอดเขาเทียนเยว่มองเห็นฉากตรงหน้าของพวกเขา,พวกเขาเกิดตกตะลึงขึ้นในใจ พวกเขายืนอยู่บนปลายหอกหอกก็แทบจะเต็มกลืน พวกเขาไม่คาดคิดว่าเซี่ยวเฉินจะหาญกล้าระเบิดพลังออกมาได้เช่นนี้

 

หวู่ปิง ผู้ที่อยู่ด้านข้างจางเลี่ย,ครุ่นคิดอยู่ครูหนึ่งก่อนที่จะกล่าวขึ้น “ศิษย์น้องจาง,พวกเราควรรวบรวมศิษย์พี่สักจํานวนหนึ่ง และลงมือก่อนหรือไม่? ด้วยพลังที่เขาแสดงออกมาในตอนนี้ เขาจะเป็นอุปสรรคใหญ่ที่ขวางเจ้ากับอันดับหนึ่งเอาไว้”

 

จากนั้น,สานุศิษย์ชั้นในของยอดเขาเทียนเยวที่แข็งแกร่งสิบคนก็ขยับเข้ามา เหมือนกับคนของยอดเขาปี้อวิ๋น,พวกเขาสามารถเคลื่อนไปบนปลายหอกได้อย่างอิสระ ความแข็งแกร่งของพวกเขาอยู่ระดับแนวหน้า

 

คนที่นํากลุ่มมองไปที่จางเลี่ย “ศิษย์น้องจาง,หากเจ้าต้องการก็เพียงแค่บอกกล่าว ท่านเจ้ายอดเขาได้กําชับไว้ว่าหากเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นระหว่างการทดสอบ,ศิษย์น้องจางจะรับหน้าที่เป็นคนสั่งการและตัดสินใจ

 

เมื่อจางเลี่ยได้ยินเช่นนั้นเขาก็รู้สึกเป็นสุข เขาไม่คาดคิดว่าท่านเจ้ายอดเขาจะเชื่อใจเขาถึงเพียงนี้ อย่างไรก็ตาม หลังจากพึมพําอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ได้ตัดสินใจ เขาคํานับมือด้วยความเคารพและกล่าว “ศิษย์พี่,ขอบคุณสําหรับข้อแนะนํา ข้าจะเติมเต็มความคาด หวังของท่านเจ้ายอดเขาให้ได้เข้าจะคว้าอันดับหนึ่งของการทดสอบครั้งนี้”

 

อย่างไรก็ตาม,เซี่ยวเฉินนั่นไม่ใช่ศัตรูที่เราต้องจัดการเป็นอันดับแรก หากมีเพียงความแข็งแกร่งที่เขาแสดงออกมาในตอนนี้ข้าสามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย อุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเราก็คือคนนั้น!”

หลังจากที่จางเลี่ยกล่าวจบ,เขาหันตัวและชี้ไปยังมู่เหิงแห่งยอด เขาเปยเฉินที่เก็บตัวนิ่งเงียบ เมื่อมู่เพิ่งรู้สึกได้ถึงสายตาของจางเลีย,เขามองกลับมาและยิ้มอย่างสงบนิ่ง,ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก

 

ผู้คนที่อยู่ด้านข้างขาวเลี่ยค่อนข้างประหลาดใจ มู่เหิงเป็นเห็นง ระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธขั้นต้น ทําไมต้องไปใส่ใจกับเขามาก ถึงเพียงนั้น?

 

จางเลี่ยไม่ได้อธิบาย,กลับกัน เขาพูดขึ้น “สถานการณ์อาจจะแปลเปลี่ยนในภายหลัง รอดูก่อน หากข้าคาดเดาผิดพลาดไป,เช่นนั้นพวกเราจะลงมือทันที”

การจู่โจมของศิษย์ยอดเขาปี้อวิ๋นทั้งสี่มันกระทันหันเกินไปเป็นผลทําให้สานุศิษย์จากยอดเขาอื่นระมัดระวังตัวมากขึ้น หากมันมีใครเข้าใลอบโจมตีพวกเขาเช่นกันล่ะ?

 

ผู้บ่มเพาะพลังผู้หนึ่งจากบอดเขาเขียนตัวน,พร้อมกระบี่เล่มมที่มาบนหลังของเขาเยืนนิ่งเงียบบนยอดปลายหอก กระบี่บนหลังของเขายาวเกือบจะสองเมตร,กว้าง 7 เซนติเมตรและหนาประมาณ 1 เซนติเมตร ขนาดของมันกล่าวได้ว่าเป็น “กระบี่เล่มมหึมา” :น้ําหนักของมัน 250 กิโลกรัม

 

เขายืนอยู่บนปลายหอกพร้อมกระบี่หนักเช่นนี้ อีกทั้งยังไม่ไหวนิ่งแม้แต่น้อย,แบกมันเอาไว้ราวกับขนนก มันดูเหมือนไม่มีน้ําหนักสําหรับเขา นี่ทําให้ผู้คนต่างตกตะลึง

 

เมื่อบางคนด้านข้างเขามองเห็นคนจากยอดเขาเทียนเยว่กําลังถกเถียงกัน,เขารีบแจ้ง “ศิษย์พี่เกาหยาง,ดูเหมือนทางฝั่งยอดเขา เทียนเยว่จะมีการเคลื่อนไหว พวกเราควรทําอะไรสักอย่าง?”

 

เกาหยางมีใบหน้ากว้างพร้อมกับคิ้วเส้นหนา เมื่อมองดู มันให้ความรู้สึกห้าวหาญ เขาเหล่มองไปที่คนของยอดเขาเทียนเยวและกล่าวอย่างเฉยเมย “ พวกเราจะมองดูอย่างนิ่งเงียบและเคลื่อนไหวไปตามสถานการณ์ ไม่มีประโยชน์สําหรับพวกเราศิษย์ยอดเขาเชียนต้วน,ที่จะไปประมือบนหอกแหลม”

 

ประโยคคล้ายกันถูกพูดขึ้นโดยศิษย์ยอดเขาอื่นๆ ทุกยอดเขามีศิษย์อย่างน้อยหนึ่งคนที่หยิ่งผยอง แม้ว่าพวกเขาจะไม่แข็งแกร่งเทียบเท่าจางเลี่ยหรือคนอื่นๆ, พวกเขาก็โดดเด่นในหมู่พวกเขาเอง

 

ทุกคนล้วนกําลังพูดถึงวิธีรับมือเรื่องไม่คาดคิด,ป้องกันการลอบโจมตีจากยอดเขาอื่น

 

หลิวสุยเฟิงมองดูเหี่ยวเฉินที่รับมือศิษย์ยอดเขาปี้อวิ๋นสี่คนที่ลอบโจมตีเขาได้อย่างง่ายดาย เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกต่ําใจ พวกเขาทั้งอยู่อยู่ระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธขั้นสูงเช่นเดียวกัน แต่มีความแตกต่างอย่างมากในความแข็งแกร่งของพวกเขา

“เย่เฉิน,ทุกอย่างเรียบร้อยหรือไม่?” หลิวสุยเฟิงถามขึ้น

 

เซี่ยวเฉินตอบกลับ “ไม่มีปัญหา,ข้าเสียพลังปราณไปเพียงเล็กน้อย ระวังตัวเอาไว้ ยังมีคนของยอดเขาปี้อวิ๋นที่ยังไม่ได้เคลื่อนไหว”

 

หลังจากเซี่ยวเฉินซัดลอยไปสามคน,เขาก็ได้ใช้สัมผัสวิญญาณ ตรวจดูสานุศิษย์ที่เหลือของยอดเขาปี้อวิ๋น เขาพบคนที่มีกระแสพลังอันแข็งแกร่ง,เขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าคนเมื่อก่อนหน้านี้เขาปิดซ่อนตัวเองไว้อย่างดี

 

แต่เดิมเซี่ยวเฉินอยากจะพุ่งเข้าไปเพื่อกดดันให้เขาเผยตัวออกมา อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาครุ่นคิดดู.มันยังมีจางเลี่ยที่กําลังจ้องมองเขาอยู่ มันไม่มีความจําเป็นที่จะเผยความแข็งแกร่งของเขามากเกินดังนั้นเขาจึงปล่อยไปก่อน

 

เวลาไหลผ่านไปอย่างช้าๆ ละภายในพริบตาเก็ผ่านไปครึ่งชั่วโมง การทดสอบด่านนี้ได้ผ่านไปครึ่งทางแล้ว ยังมีสานุศิษย์มากกว่า 80 คนที่เหลืออยู่ในค่ายกลหอก

หากไม่เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น,คนทั้ง 80 คนนี้ไม่น่าจะมีปัญหาในการผ่านครึ่งชั่วโมงหลังนี้ไป

 

จางเลี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย,เขามีความรู้สึกตะขิดตะขวงใจว่าการทดสอบรอบนี้มันง่ายดายเกินไป ตอนนี้ผ่านมาครึ่งชั่วโมงแล้วแต่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น, บางเริ่มก็เริ่มรู้สึกสงสัย

ไม่เป็นไร, ข้าจะไม่ลังเลอีกต่อไป ข้าจะเริ่มลงมือก่อน เจตนาฆ่าฟันวูบผ่านดวงตาของจางเลี่ย ดวงตาของเขาราวกับตะเกียงพร้อมกับส่องไปที่มู่เหิงแห่งยอดเขาเปยเฉิน เจตนารมณ์กระบี่รุนแรงรวมตัวกันในดวงตาของเขา

“ฟ้าว!”

กระบี่ฉีหลายเล่มปรากฏขึ้นในอากาศ พวกมันราวกับกระบี่เฉียบคม,ตัดผ่านอากาศไปอย่างง่ายดายและสร้างละลอกคลื่นพร้อมกับพวกมันพุ่งเข้าไปหามู่เพิ่ง

มู่เหิงคาดการณ์ถึงการลงมือฉับพลันของจางเลี่ยเอาไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้คาดคิดว่าเจตนารมณ์กระบี่ของจางเลี่ยจะแข็งแกร่งพอที่จะปล่อยกระบี่ฉีออกมาจากอากาศ

 

“ปัง! ปัง! ปัง!”

มู่เพิ่งใช้ฝ่ามือของเขาแทนกระบี่และฟันไปยังกระบี่ฉีที่พุ่งมาทางเขา พร้อมกับเสียงเหล็กกระทบ “แคร้ง แคร้ง , มู่เพิ่งสลายกระบี่ฉีได้อย่างง่ายดาย

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+