Immortal and Martial Dual Cultivation 252 เพียงแค่ตัวหมาก

Now you are reading Immortal and Martial Dual Cultivation Chapter 252 เพียงแค่ตัวหมาก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Immortal and Martial Dual Cultivation

ตอนที่ 252 เพียงแค่ตัวหมาก

“ศาลากระบี่สวรรค์ไม่เหลือใครอื่นแล้วหรือไร? หรือพวกมันส่งพวกเจ้ามาเพื่อตาย?”

สีหน้าของลูเฉินนิ่งสงบพร้อมกับกล่าว “เจ้าเป็นเพียงภาพเสมือน แค่พวกเราก็เพียงพอที่จะสังหารเจ้า”

แสงเย็นยะเยือกปรากฏขี้เนในดวงตาของแม่ทัพปีศาจโลหิต เขากล่าวอย่างเฉยเมย “เดิมที่ข้าก็กังวลอยู่ว่าศาลากระบี่สวรรค์จะส่งใครมา ดูเหมือนข้าจะเป็นกังวลมากเกินไป ช่างบังเอิญ.ข้ายังคงขาดวัตถุดิบสําหรับพิธีกรรม ในเมื่อพวกเจ้าส่งตัวเองมาหาข้าเองเช่นนั้นข้าก็จะไม่มากพิธีฯ

“บูม!”

สิ้นเสียงของเขา,แสงสีแดงจากจักรพรรดิปีศาจโลหิตพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ฉีฆ่าฟันอันน่าหวาดกลัว ระเบิดไปที่กลุ่มคน

มีหลายสิ่งกําลังเกิดขึ้นในดวงตาของเขา,ราวกับพวกเขาอยู่ในนรกที่เต็มไปด้วยวิญญาณบาปกําลังร้องโหยหวน ภาพลวงตาอันน่าหวาดกลัวปรากฏขึ้นตรงหน้าของพวกเขา มันยากที่จะแยกระหว่างความจริงและความลวงในมิติแห่งนี้

“เคว้ง!” ทุกคนชักกระบี่ออกมาพร้อมกัน ส่งเสียงสะท้อนออกมาอย่างพร้อมเพรียง พร้อมกับเสียง “ฉั๊วะ” ,ภาพลวงตาในอากาศสลายหายไปในทันที

ภายในปา,หลังจากที่หยุนเข่อซินสังหารราชาหมาป่าลง, หมาป่าปีศาจที่เหลือก็กลายเป็นไร้หัว พวกมันแตกหนีไปเมื่อถูกโจมตี

จางเลี่ยและมู่เพิ่งเริ่มเก็บกวาด,ดึงเอาแก่นกลางปีศาจของหมาป่าปีศาจออกมา เซียวเฉินค่อยเฝ้าระวังต่อไป, สอดส่องการลอบโจมตีของพวกปีศาจ

 

“ปูม!”

 

ในจังหวะนั้นเอง เรืองแสงสว่างสีแดงพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าตรงเส้นขอบฟ้าที่ห่างออกไป

 

กระแสพลังอันนาาหวดากลัวขยายออกมาจากระยะไกล จางเลี่ยและมู่เพิ่ง,ผู้ที่กําลังเก็บกวาดสนามรบ.รู้สึกหนาวสั่น

 

มู่เพิ่งหยุดมือและมองไปที่แสงสีแดง เขาพึมพํา “มันคืออะไร? ช่างเป็นกระแสพลังที่น่ากลัว! มันออกมาจากผู้ใด?”

ความจริง,ทุกคนต่างพอจะมีความคิดอยู่ในใจ อย่างไรก็ตาม,พวกเขายังไม่กล้ามั่นใจเกี่ยวกับมัน พวกเขาอดไม่ได้ที่จะเบนสายตาไปที่หยุนเข่อซิน

เมื่อหยุนเข่อซินเห็นแสงสีแดงนั้น,ความเคร่งเครียดเผยออกมาจากใบหน้าอันนิ่งสงบของนาง

เมื่อนางรู้สึกถึงสายตาของทุกคน,นางหันกลับมาและค่อยๆกล่าวขึ้น “ภารกิจของพวกเจ้าสําเร็จแล้ว หากพวกเจ้ามีเครื่องรางเพลิงสวรรค์เจ้ากลับออกไปได้ หากพวกเจ้าไม่มี,ข้าจะให้คนละหนึ่งอัน”

จางเลี่ยและมู่เหิงนิ่งอึ้งเมื่อได้ยินเช่นนั้น ความงุนงงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา,พร้อมกับพวกเขาไม่เข้าใจว่ากําลังเกิดอะไรขึ้น “ศิษย์พี่หยุน,ไม่ใช่ว่าเจ้าว่าพวกเราต้องผ่านปาไปพบกับกลุ่มอื่นๆ?”

“ใช่แล้ว พวกเขาก็จะถึงจุดหมายอยู่ข้างหน้า, ทําไมพวกเราไม่ไปที่นั้น?”

ประโยคที่ไม่คาดคิดจากหยุนเข่อชิ้นทําให้พวกเขาทั้งสองคนไม่รู้จะทําเช่นไร พวกเขาไม่เข้าใจสักน้อยว่ากําลังเกิดอะไรขึ้น แผนคือต้องออกไปจากปาแห่งนี้ ภารกิจจบลงได้อย่างไรเมื่อพวกเรายังไปไม่ถึง?”

 

เมื่อเซี่ยวเฉินได้ยินหยุนเข่อชินกล่าวว่าภารกิจได้จบลงแล้วเขาตะลึงไปเล็กน้อยเช่นกัน จากนั้นเขาก็จ้องมองไปที่แสงสีแดงที่กําลังทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าจากยอดเขาสูง,และรู้สึกได้ว่ากระแสพลังนั้นกําลังเติมเต็มไปทั่วมิติแห่งนี้

ผ่านไปครู่หนึ่งเชี่ยวเฉินก็เข้าใจถึงสถานการณ์ รอยยิ้มขมๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาพร้อมกับมองตรงไปบนท้องฟ้า

เซี่ยวเฉินค่อยๆลุกขึ้นและกล่าวกับจางเลี้ยและมู่เหิง “ไปเถอะ ถึงอย่างไร,พวกเจ้าก็เก็บเกี่ยวแก่นกลางปีศาจได้เยอะแล้ว เจ้าได้ทําภารกิจสําเร็จไปกว่าครึ่งแล้ว หินวิญญาณระดับกลางหนึ่งร้อยก้อนไม่มีทางหนีไปไหน ยังมีแก่นกลางปีศาจอีกจํานวนมาก พวกเจ้าเก็บเกี่ยวไปได้เยอะแล้ว”

หลังจากหยุดพัก,เตี๋ยวเฉินก็กล่าวต่อ “ ที่สําคัญยิ่งกว่าผลการเก็บเกี่ยวก็คือประสบการณ์การต่อสู้อย่างยากลําบากที่เจ้าได้รับ จางเลี่ย หลังจากบ่มเพาะพลังอีกเล็กน้อย,เจ้าสามารถขึ้นไปถึงจุดยอดระดับขอบเขตนักบุญขั้นต้นได้ไม่ยาก”

จากนั้นเซียวเฉินก็หันไปทางมู่เหิง “มู่เหิง แม้ว่าระดับการบ่มเพะาพลังของเจ้าจะไม่ได้เพิ่มขึ้นมามากมายนัก,ข้าเชื่อว่าความแข็งแกร่งของเจ้าที่เพิ่มขึ้นมานั้นมากกว่าจางเลี่ยเสียอีก”

จางเลี่ยครุ่นคิดอยู่นาน ณ จุดนี้เวลานี้ เขาก็ได้เข้าใจถึงสถานการณ์ไม่มากไม่น้อย เขาเผยสีหน้าซับซ้อนและกล่าวขึ้น “เย่เฉิน,ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น,เกาเชียงและคนอื่นๆ

ทันใดนั้น,แสงเฉียบคมปรากฏขึ้นในสายตานิ่งสงบของเซี่ยวเฉิน เขากล่าว “การฝึกฝนสนามจริงมักเต็มไปด้วยอันตรายตลอดเวลา หยุดคิดได้แล้ว ไปซะ!”

มู่เพิ่งจ้องมองลึกลงไปที่หยุนเข่อซินที่นิ่งสงบ เขาไม่ได้กล่าวอะไรพร้อมกับหยิบเอาเครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์ออกมา ผ่านไปครู่หนึ่ง,เขาค่อยๆถูกห่อหุ้มในบอลเพลิง,ลบหายไปจากมิติแห่งนี้

จางเลี่ยถูกสะกิดจากสายตาของเซียวเฉิน เขาหยุดกล่าวอะไรและหยิบเอาเครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์ออกมาเช่นกัน จากนั้นเขาก็กลายเป็นลูกบอลแสงและค่อยๆลบหายไปจากมิติแห่งนี้

หลังจากพวกเขาทั้งสองจากไป, บรรยากาศระหว่างหยุนเข่อซินและเชี่ยวเฉินกลายเป็นแปลกๆ ไม่มีใครกล่าวอะไรออกมาและปากลายเป็นเงียบสงัด

“ยิ้ม”

ทันใดนั้น,พื้นดินสั่นสะเทือน กระนั้น มันไม่ใชพื้นดินที่สั่นสะเทือน แต่เป็นทั่วทั้งมิติย่อยนี้ที่กําลังสั่นสะเทือน

ต้นไม้ถอนรากล้มทีละต้น,สัตว์อสูรปีศาจวิ่งแตกตื่นออกมาจากปาอย่างหวาดกลัว ทั่วทั้งผืนป่ากลายเป็นวุ่นวาย

อย่างไรก็ตาม, บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนก็ยังคงนิ่งดงียบอย่างไม่น่าเชื่อ ราวกับอยู่คนละโลกกับรอบข้างที่กําลังวุ่นวาย

หลังจากผ่านไปนาน,หยุนเข่อซินถอนหายใจเบาๆ “ทําไมเจ้ายังไม่ไป? หากเจ้าไม่มีเครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์,ข้ามีให้เจ้าหนึ่งอัน”

เซียวเฉินสาายหัวและกล่าว “ไม่จําเป็น ข้าขอถามอะไรเจ้าสักสองสามอย่าง?”

ใบหน้าอันสงบนิ่งของหยุ่นเข่อซินไม่มีความไหวหวั่น นางพยักหน้า “ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องกล่าวโทษข้า ข้ายังรู้ว่าเจ้ากําลังจะถามอะไรข้า ข้าบอกเจ้าได้”

“ใช่แล้ว ตั้งแต่เริ่มแรก,สภาสูงไม่ได้มีความตั้งใจจะให้พวกเจ้าทั้งหมดทําภารกิจสําเรจ ทีมที่จะ ทําให้ภารกิจสําเร็จก็คือทีมของลู่เฉิน”

“ภารกิจของพวกเราก็คือดึงความสนใจของแม่ทัพปีศาจโลหิต,เพื่อที่จะทําให้เขาส่งปีศาจโลหิตทั้งหมดออกมาจากราชวัง ขณะที่พวกเขาค่อยกําจัดสิ่งกรีดขวากหนาม,ทีมของลู่เฉินจะสามารถใช้เครื่องรางปกปิดกระแสพลังแทรกซึมเข้าไปในราชวังและมุ่งไปที่การต่อสู้กับแม่ทัพปีศาจโลหิต”

เซียวเฉินกล่าวอย่างเฉยเมย “ข้าก็พอจะเดาได้ด้วยตัวเองแล้ว เจ้าเข้าใจความตั้งใจของข้าผิด ข้าไม่ได้จะโทษเจ้า มีโอกาสเท่าไหรที่ทีมของลู่เฉินจะสังหารแม่ทัพปีศาจโลหิตลงได้”

ขณะที่หยุ่นเข่อซินกําลังอกเล่า เซียวเฉินก็พอจะเดาได้อยู่แล้วจากจากเบาะแสที่เขาพบและสิ่งที่เขาสังเกตเห็น กล่าวง่ายๆก็คือสภาสูงได้ใช้พวกเขาเป็นเหยื่อดึงความสนใจและเปิดโอกาสให้กับทีมของลู่เฉิน

สิ่งที่จางเลี่ยไม่เข้าใจก็คือทําไมสภาสูงไม่ชี้แจงให้กับพวกเขาและส่งพวกเขาไปตายทั้งอย่างนั้น ดังนั้นในตอนที่เขาคาดเดาได้,เขารู้สึกไม่พอใจ

อย่างไรก็ตาม,เชี่ยวเฉินไม่ได้สงสัยในคําถามนี้ เหตุผลก็เพียงเรื่องง่ายๆ:หากสภาสูงบอกพวกเขาล่วงหน้า, จากคนร้อยคน จะเหลือกี่คนที่จะเข้าร่วมภารกิจนี้ ไม่มีใครโง่พอที่จะอาสายอมไปเป็นเป้าล่อปืนใหญ่

จากเหตุผลเดียวกัน, เซียวเฉินไม่อาจไปโทษหยุ่นเข่อซินได้ อย่างน้อยที่สุดนางก็ไม่ได้เป็นคนที่จ่ายภารกิจนี้ ในฐานะที่นางเป็นหัวหน้าทีม,นางได้ทําหน้าที่ของนางแล้ว

ทุกครั้งที่มีการต่อสู้เกิดขึ้น,หยุ่นเข่อซินมักจะอยู่เป็นแนวหน้า หากมีใครบาดเจ็บ,นางไม่ลังเลที่จะมอบเม็ดยาหรือหินวิญญาณให้ นางทําอย่างดีที่สุดแล้วเพื่อความปลอดภัยของทุกคน

อารมณ์ของจางเลี่ยที่กําลังจะหลุด, ดังนั้นเซียวเฉินจึงใช้ความแข็งแกร่งทางจิตของทําให้เขาสงบสติลง

ผู้แข็งแกร่งกินผู้อ่อนแอหากไม่มีกําลังที่เพียงพอ,ในสายตาของผู้ควบคุมแผน,เจ้าก็เป็นเพียงตัวหมากไว้ใช้สอย หากเจ้าแข็งแกร่งพอ,เจ้าจะได้รับเครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์มาเพื่อรับรองความปลอดภัย

เซียวเฉินไม่คิดจะโทษใครหรือนึกเสียใจ เรื่องนี้เพียงทําให้เขามองเห็นโลกได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

หากไม่แข็งแกร่งเพียงพอ,ทุกอย่างก้าวเต็มไปด้วยอันตราย ดังนั้นเขาจะต้องแข็งแกร่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้น, จากนั้นก็แข็งแกร่งขึ้นไปอีก มีเพียงหนทางนี้ที่จะทําให้เขาคุมชะตาของตัวเองได้

ตอนนี้ เซียวเฉินเพียงสงสัยเกี่ยวกับสู่เฉินและคนอื่นๆจะสามารถสังหารแม่ทัพปีศาจโลหิตลงได้ หากพวกเขาสามารถสังหารมันลงได้อย่างง่ายดาย,เช่นนั้นก็ไม่เป็นปัญหา เขาสามารถเป็นภารกิจที่หลิวเทียนยู่มอบให้เขาและออกไปจากที่นี่

หากโอกาสมันลิบหรี่เช่นนั้นเขาก็ต้องไปตรวจสอบดู อย่างน้อยที่สุด เขาจะต้องใช้กระบี่กล้าผ่าสวรรค์ที่หลิวเทียนยู่ซ่อนเอาไว้ในกระบี่เงาจันทร์ก่อนที่เขาจะจากมา

หยุ่นเข่อซินประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นเซี่ยวเฉินยังคงสงบใจเย็น นางครุ่นคิดกับตัวเอง,ก่อนจะพูดขึ้น “พวกเขามีโอกาสประมาณหกในสิบส่วนที่จะชนะ ในกลุ่มของสู่เฉิน,มีเจ็ดคนที่มีทักษะปีศาจเลือดกลืนกาย พวกเขาสามารถเผาผลาญพลังชีวิตเพิ่งความแข็งแกร่งชั่วขณะ

 

“เจ็ดคนนี้ไม่ได้มีความตั้งใจจะกลับออกมาเป็นๆอยู่แล้ว พวกเขาเป็นหน่วยรบกล้าตายของค่ายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ในสถานการณ์ที่ไม่อาจหันหลังกลับได้,พวกเขาสามารถเร่งพลังต่อสู้ขึ้นมาได้ถึงสิบเท่า”

เมื่อเซี่ยวเฉินฟังถึงตรงนี้ เขานิ่งอึ้ง หลิวหรูเยว่ก็อยู่ในสิบคนนั้น หากเจ็ดคนนั้นรวมนางเข้าไปด้วย เขาไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้

“ข้าต้องขอตัวก่อน” เรือสงครามสีเงินลอยออกมาจากตาขวาของเซียวเฉินและเขาเร่งรีบกระโดดขึ้นไป ก่อนที่เขาจะจากไป.นางเหมือนจะคิดอะไรขึ้นได้ เขากล่าวขึ้น “ตามจริง เจ้าไม่จําเป็นต้องโทษตัวเอง เจ้าทําได้ดีที่สุดแลเว”

หลังจากที่เขาพูดจบ,เขี้ยวเฉินก็ขับเรือสงครามสีเงินออกไปและมุ่งหน้าไปยังราชวังที่ตั้งอยู่บนผายื่น เขารวดเณวราวกับสายฟ้า,จางหายไปในพริบตา

หยุนเข่อซินมองดูเซียวเฉินจากไป นางเผยรอยยิ้มจางๆบนใบหน้าอันบอบบางของนาง จากนั้นก็กวัดแกว่งกระบี่มังกรคํารนไปมาพร้อมกับกล่าวกับตัวเอง “น่าสนใจ… มีเรื่องเร่งรีบอะไรถึงกับได้ลืมอาวุธระดับสวรรค์?”

ภายในปา,มู่หลงชงมองเห็นแสงสีแดงพุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้า เขาค่อยๆหยุดลงและครุ่นคิดอยู่นาน

“ศิษย์พี่มู่หลง,ทําไมท่านจึงหยุดเท้า?” หนึ่งในสมาชิกทีมถามขึ้นอย่างงุนงง มู่หลงชงไม่ได้ตอบกลับ เขาหันกลับมาและเดินไปหากลุ่ม เขาเดินไปตรงหน้าของสานุศิษย์ที่บาดเจ็บหนักและค่อยๆวางเครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์ลงบนหน้าอกของเขา

หลังจากนั้น,ต่อหน้าสายตาที่ตะลึงของทุกคน,คนคนนั้นถูกห่อหุ้มด้วยบอลเพลิงและจางหายไปจากมิติแห่งนี้

หลังจากนั้นมู่หลงชงเขาหยิบเอาเครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์ออกมาอีกและกล่าวขึ้น “อยู่ที่นี่ไม่จําเป็นต้องเดินทางต่อแล้ว นี่เป็นเครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์อะนสุดท้ายที่ข้ามี,ข้าจะให้เจ้าและเจ้าตัดสินใจเอาเอง”

หลังจากที่มู่หลงชงกล่าวจบ,เขาทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ขณะที่ร่างของเขาปะทะเข้ากับอาการ, เกิดเป็นคลื่นโซนิคบูมพร้อมกับลอยขึ้นหน้าไปหาราชวังอย่างรวดเร็ว

“ศิษย์พี่มู่หลง! อย่าไป!” ทั้งกลุ่มร้องออกมาหลังจากที่มู่หลงชงทิ้งเครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์เอาไว้แล้วบินออกไป พวกเขาไม่รู้จะทําเช่นไร

พวกเขามาไกลถึงตรงนี้และมีคนตายไปเพียงสามคนก็เพราะความแข็งแกร่งของมู่หลงชง ตอนนี้เขาจากไปแล้ว,พวกเขาตื่นตกใจในทันที

เหตุการณ์แบบเดียวกันเกิดขึ้นกับกลุ่มอื่นๆ ผู้นํากลุ่มหยุดเท้าลงเมื่อพวกเขามองเห็นแสงสีแดงพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า

อย่างไรก็ตาม,พวกเขาทําต่างไปจากมู่หลงชงและหยุ่นเข่อซิน พวกเขาเพียงใช้เครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาและกลับออกไปจากมิติแห่งนี้ ทิ้งกลุ่มสานุศิษย์ที่กําลังงุนงงเอาไว้

เสียงลมนึ่งในหูของเซี่ยวเฉินขณะที่เขายืนอยู่บนหัวเรือ เสื้อผ้าหน้าผมของเขาปลิวไหวไปกับสายลม

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Immortal and Martial Dual Cultivation 252 เพียงแค่ตัวหมาก

Now you are reading Immortal and Martial Dual Cultivation Chapter 252 เพียงแค่ตัวหมาก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Immortal and Martial Dual Cultivation

ตอนที่ 252 เพียงแค่ตัวหมาก

“ศาลากระบี่สวรรค์ไม่เหลือใครอื่นแล้วหรือไร? หรือพวกมันส่งพวกเจ้ามาเพื่อตาย?”

สีหน้าของลูเฉินนิ่งสงบพร้อมกับกล่าว “เจ้าเป็นเพียงภาพเสมือน แค่พวกเราก็เพียงพอที่จะสังหารเจ้า”

แสงเย็นยะเยือกปรากฏขี้เนในดวงตาของแม่ทัพปีศาจโลหิต เขากล่าวอย่างเฉยเมย “เดิมที่ข้าก็กังวลอยู่ว่าศาลากระบี่สวรรค์จะส่งใครมา ดูเหมือนข้าจะเป็นกังวลมากเกินไป ช่างบังเอิญ.ข้ายังคงขาดวัตถุดิบสําหรับพิธีกรรม ในเมื่อพวกเจ้าส่งตัวเองมาหาข้าเองเช่นนั้นข้าก็จะไม่มากพิธีฯ

“บูม!”

สิ้นเสียงของเขา,แสงสีแดงจากจักรพรรดิปีศาจโลหิตพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ฉีฆ่าฟันอันน่าหวาดกลัว ระเบิดไปที่กลุ่มคน

มีหลายสิ่งกําลังเกิดขึ้นในดวงตาของเขา,ราวกับพวกเขาอยู่ในนรกที่เต็มไปด้วยวิญญาณบาปกําลังร้องโหยหวน ภาพลวงตาอันน่าหวาดกลัวปรากฏขึ้นตรงหน้าของพวกเขา มันยากที่จะแยกระหว่างความจริงและความลวงในมิติแห่งนี้

“เคว้ง!” ทุกคนชักกระบี่ออกมาพร้อมกัน ส่งเสียงสะท้อนออกมาอย่างพร้อมเพรียง พร้อมกับเสียง “ฉั๊วะ” ,ภาพลวงตาในอากาศสลายหายไปในทันที

ภายในปา,หลังจากที่หยุนเข่อซินสังหารราชาหมาป่าลง, หมาป่าปีศาจที่เหลือก็กลายเป็นไร้หัว พวกมันแตกหนีไปเมื่อถูกโจมตี

จางเลี่ยและมู่เพิ่งเริ่มเก็บกวาด,ดึงเอาแก่นกลางปีศาจของหมาป่าปีศาจออกมา เซียวเฉินค่อยเฝ้าระวังต่อไป, สอดส่องการลอบโจมตีของพวกปีศาจ

 

“ปูม!”

 

ในจังหวะนั้นเอง เรืองแสงสว่างสีแดงพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าตรงเส้นขอบฟ้าที่ห่างออกไป

 

กระแสพลังอันนาาหวดากลัวขยายออกมาจากระยะไกล จางเลี่ยและมู่เพิ่ง,ผู้ที่กําลังเก็บกวาดสนามรบ.รู้สึกหนาวสั่น

 

มู่เพิ่งหยุดมือและมองไปที่แสงสีแดง เขาพึมพํา “มันคืออะไร? ช่างเป็นกระแสพลังที่น่ากลัว! มันออกมาจากผู้ใด?”

ความจริง,ทุกคนต่างพอจะมีความคิดอยู่ในใจ อย่างไรก็ตาม,พวกเขายังไม่กล้ามั่นใจเกี่ยวกับมัน พวกเขาอดไม่ได้ที่จะเบนสายตาไปที่หยุนเข่อซิน

เมื่อหยุนเข่อซินเห็นแสงสีแดงนั้น,ความเคร่งเครียดเผยออกมาจากใบหน้าอันนิ่งสงบของนาง

เมื่อนางรู้สึกถึงสายตาของทุกคน,นางหันกลับมาและค่อยๆกล่าวขึ้น “ภารกิจของพวกเจ้าสําเร็จแล้ว หากพวกเจ้ามีเครื่องรางเพลิงสวรรค์เจ้ากลับออกไปได้ หากพวกเจ้าไม่มี,ข้าจะให้คนละหนึ่งอัน”

จางเลี่ยและมู่เหิงนิ่งอึ้งเมื่อได้ยินเช่นนั้น ความงุนงงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา,พร้อมกับพวกเขาไม่เข้าใจว่ากําลังเกิดอะไรขึ้น “ศิษย์พี่หยุน,ไม่ใช่ว่าเจ้าว่าพวกเราต้องผ่านปาไปพบกับกลุ่มอื่นๆ?”

“ใช่แล้ว พวกเขาก็จะถึงจุดหมายอยู่ข้างหน้า, ทําไมพวกเราไม่ไปที่นั้น?”

ประโยคที่ไม่คาดคิดจากหยุนเข่อชิ้นทําให้พวกเขาทั้งสองคนไม่รู้จะทําเช่นไร พวกเขาไม่เข้าใจสักน้อยว่ากําลังเกิดอะไรขึ้น แผนคือต้องออกไปจากปาแห่งนี้ ภารกิจจบลงได้อย่างไรเมื่อพวกเรายังไปไม่ถึง?”

 

เมื่อเซี่ยวเฉินได้ยินหยุนเข่อชินกล่าวว่าภารกิจได้จบลงแล้วเขาตะลึงไปเล็กน้อยเช่นกัน จากนั้นเขาก็จ้องมองไปที่แสงสีแดงที่กําลังทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าจากยอดเขาสูง,และรู้สึกได้ว่ากระแสพลังนั้นกําลังเติมเต็มไปทั่วมิติแห่งนี้

ผ่านไปครู่หนึ่งเชี่ยวเฉินก็เข้าใจถึงสถานการณ์ รอยยิ้มขมๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาพร้อมกับมองตรงไปบนท้องฟ้า

เซี่ยวเฉินค่อยๆลุกขึ้นและกล่าวกับจางเลี้ยและมู่เหิง “ไปเถอะ ถึงอย่างไร,พวกเจ้าก็เก็บเกี่ยวแก่นกลางปีศาจได้เยอะแล้ว เจ้าได้ทําภารกิจสําเร็จไปกว่าครึ่งแล้ว หินวิญญาณระดับกลางหนึ่งร้อยก้อนไม่มีทางหนีไปไหน ยังมีแก่นกลางปีศาจอีกจํานวนมาก พวกเจ้าเก็บเกี่ยวไปได้เยอะแล้ว”

หลังจากหยุดพัก,เตี๋ยวเฉินก็กล่าวต่อ “ ที่สําคัญยิ่งกว่าผลการเก็บเกี่ยวก็คือประสบการณ์การต่อสู้อย่างยากลําบากที่เจ้าได้รับ จางเลี่ย หลังจากบ่มเพาะพลังอีกเล็กน้อย,เจ้าสามารถขึ้นไปถึงจุดยอดระดับขอบเขตนักบุญขั้นต้นได้ไม่ยาก”

จากนั้นเซียวเฉินก็หันไปทางมู่เหิง “มู่เหิง แม้ว่าระดับการบ่มเพะาพลังของเจ้าจะไม่ได้เพิ่มขึ้นมามากมายนัก,ข้าเชื่อว่าความแข็งแกร่งของเจ้าที่เพิ่มขึ้นมานั้นมากกว่าจางเลี่ยเสียอีก”

จางเลี่ยครุ่นคิดอยู่นาน ณ จุดนี้เวลานี้ เขาก็ได้เข้าใจถึงสถานการณ์ไม่มากไม่น้อย เขาเผยสีหน้าซับซ้อนและกล่าวขึ้น “เย่เฉิน,ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น,เกาเชียงและคนอื่นๆ

ทันใดนั้น,แสงเฉียบคมปรากฏขึ้นในสายตานิ่งสงบของเซี่ยวเฉิน เขากล่าว “การฝึกฝนสนามจริงมักเต็มไปด้วยอันตรายตลอดเวลา หยุดคิดได้แล้ว ไปซะ!”

มู่เพิ่งจ้องมองลึกลงไปที่หยุนเข่อซินที่นิ่งสงบ เขาไม่ได้กล่าวอะไรพร้อมกับหยิบเอาเครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์ออกมา ผ่านไปครู่หนึ่ง,เขาค่อยๆถูกห่อหุ้มในบอลเพลิง,ลบหายไปจากมิติแห่งนี้

จางเลี่ยถูกสะกิดจากสายตาของเซียวเฉิน เขาหยุดกล่าวอะไรและหยิบเอาเครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์ออกมาเช่นกัน จากนั้นเขาก็กลายเป็นลูกบอลแสงและค่อยๆลบหายไปจากมิติแห่งนี้

หลังจากพวกเขาทั้งสองจากไป, บรรยากาศระหว่างหยุนเข่อซินและเชี่ยวเฉินกลายเป็นแปลกๆ ไม่มีใครกล่าวอะไรออกมาและปากลายเป็นเงียบสงัด

“ยิ้ม”

ทันใดนั้น,พื้นดินสั่นสะเทือน กระนั้น มันไม่ใชพื้นดินที่สั่นสะเทือน แต่เป็นทั่วทั้งมิติย่อยนี้ที่กําลังสั่นสะเทือน

ต้นไม้ถอนรากล้มทีละต้น,สัตว์อสูรปีศาจวิ่งแตกตื่นออกมาจากปาอย่างหวาดกลัว ทั่วทั้งผืนป่ากลายเป็นวุ่นวาย

อย่างไรก็ตาม, บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนก็ยังคงนิ่งดงียบอย่างไม่น่าเชื่อ ราวกับอยู่คนละโลกกับรอบข้างที่กําลังวุ่นวาย

หลังจากผ่านไปนาน,หยุนเข่อซินถอนหายใจเบาๆ “ทําไมเจ้ายังไม่ไป? หากเจ้าไม่มีเครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์,ข้ามีให้เจ้าหนึ่งอัน”

เซียวเฉินสาายหัวและกล่าว “ไม่จําเป็น ข้าขอถามอะไรเจ้าสักสองสามอย่าง?”

ใบหน้าอันสงบนิ่งของหยุ่นเข่อซินไม่มีความไหวหวั่น นางพยักหน้า “ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องกล่าวโทษข้า ข้ายังรู้ว่าเจ้ากําลังจะถามอะไรข้า ข้าบอกเจ้าได้”

“ใช่แล้ว ตั้งแต่เริ่มแรก,สภาสูงไม่ได้มีความตั้งใจจะให้พวกเจ้าทั้งหมดทําภารกิจสําเรจ ทีมที่จะ ทําให้ภารกิจสําเร็จก็คือทีมของลู่เฉิน”

“ภารกิจของพวกเราก็คือดึงความสนใจของแม่ทัพปีศาจโลหิต,เพื่อที่จะทําให้เขาส่งปีศาจโลหิตทั้งหมดออกมาจากราชวัง ขณะที่พวกเขาค่อยกําจัดสิ่งกรีดขวากหนาม,ทีมของลู่เฉินจะสามารถใช้เครื่องรางปกปิดกระแสพลังแทรกซึมเข้าไปในราชวังและมุ่งไปที่การต่อสู้กับแม่ทัพปีศาจโลหิต”

เซียวเฉินกล่าวอย่างเฉยเมย “ข้าก็พอจะเดาได้ด้วยตัวเองแล้ว เจ้าเข้าใจความตั้งใจของข้าผิด ข้าไม่ได้จะโทษเจ้า มีโอกาสเท่าไหรที่ทีมของลู่เฉินจะสังหารแม่ทัพปีศาจโลหิตลงได้”

ขณะที่หยุ่นเข่อซินกําลังอกเล่า เซียวเฉินก็พอจะเดาได้อยู่แล้วจากจากเบาะแสที่เขาพบและสิ่งที่เขาสังเกตเห็น กล่าวง่ายๆก็คือสภาสูงได้ใช้พวกเขาเป็นเหยื่อดึงความสนใจและเปิดโอกาสให้กับทีมของลู่เฉิน

สิ่งที่จางเลี่ยไม่เข้าใจก็คือทําไมสภาสูงไม่ชี้แจงให้กับพวกเขาและส่งพวกเขาไปตายทั้งอย่างนั้น ดังนั้นในตอนที่เขาคาดเดาได้,เขารู้สึกไม่พอใจ

อย่างไรก็ตาม,เชี่ยวเฉินไม่ได้สงสัยในคําถามนี้ เหตุผลก็เพียงเรื่องง่ายๆ:หากสภาสูงบอกพวกเขาล่วงหน้า, จากคนร้อยคน จะเหลือกี่คนที่จะเข้าร่วมภารกิจนี้ ไม่มีใครโง่พอที่จะอาสายอมไปเป็นเป้าล่อปืนใหญ่

จากเหตุผลเดียวกัน, เซียวเฉินไม่อาจไปโทษหยุ่นเข่อซินได้ อย่างน้อยที่สุดนางก็ไม่ได้เป็นคนที่จ่ายภารกิจนี้ ในฐานะที่นางเป็นหัวหน้าทีม,นางได้ทําหน้าที่ของนางแล้ว

ทุกครั้งที่มีการต่อสู้เกิดขึ้น,หยุ่นเข่อซินมักจะอยู่เป็นแนวหน้า หากมีใครบาดเจ็บ,นางไม่ลังเลที่จะมอบเม็ดยาหรือหินวิญญาณให้ นางทําอย่างดีที่สุดแล้วเพื่อความปลอดภัยของทุกคน

อารมณ์ของจางเลี่ยที่กําลังจะหลุด, ดังนั้นเซียวเฉินจึงใช้ความแข็งแกร่งทางจิตของทําให้เขาสงบสติลง

ผู้แข็งแกร่งกินผู้อ่อนแอหากไม่มีกําลังที่เพียงพอ,ในสายตาของผู้ควบคุมแผน,เจ้าก็เป็นเพียงตัวหมากไว้ใช้สอย หากเจ้าแข็งแกร่งพอ,เจ้าจะได้รับเครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์มาเพื่อรับรองความปลอดภัย

เซียวเฉินไม่คิดจะโทษใครหรือนึกเสียใจ เรื่องนี้เพียงทําให้เขามองเห็นโลกได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

หากไม่แข็งแกร่งเพียงพอ,ทุกอย่างก้าวเต็มไปด้วยอันตราย ดังนั้นเขาจะต้องแข็งแกร่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้น, จากนั้นก็แข็งแกร่งขึ้นไปอีก มีเพียงหนทางนี้ที่จะทําให้เขาคุมชะตาของตัวเองได้

ตอนนี้ เซียวเฉินเพียงสงสัยเกี่ยวกับสู่เฉินและคนอื่นๆจะสามารถสังหารแม่ทัพปีศาจโลหิตลงได้ หากพวกเขาสามารถสังหารมันลงได้อย่างง่ายดาย,เช่นนั้นก็ไม่เป็นปัญหา เขาสามารถเป็นภารกิจที่หลิวเทียนยู่มอบให้เขาและออกไปจากที่นี่

หากโอกาสมันลิบหรี่เช่นนั้นเขาก็ต้องไปตรวจสอบดู อย่างน้อยที่สุด เขาจะต้องใช้กระบี่กล้าผ่าสวรรค์ที่หลิวเทียนยู่ซ่อนเอาไว้ในกระบี่เงาจันทร์ก่อนที่เขาจะจากมา

หยุ่นเข่อซินประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นเซี่ยวเฉินยังคงสงบใจเย็น นางครุ่นคิดกับตัวเอง,ก่อนจะพูดขึ้น “พวกเขามีโอกาสประมาณหกในสิบส่วนที่จะชนะ ในกลุ่มของสู่เฉิน,มีเจ็ดคนที่มีทักษะปีศาจเลือดกลืนกาย พวกเขาสามารถเผาผลาญพลังชีวิตเพิ่งความแข็งแกร่งชั่วขณะ

 

“เจ็ดคนนี้ไม่ได้มีความตั้งใจจะกลับออกมาเป็นๆอยู่แล้ว พวกเขาเป็นหน่วยรบกล้าตายของค่ายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ในสถานการณ์ที่ไม่อาจหันหลังกลับได้,พวกเขาสามารถเร่งพลังต่อสู้ขึ้นมาได้ถึงสิบเท่า”

เมื่อเซี่ยวเฉินฟังถึงตรงนี้ เขานิ่งอึ้ง หลิวหรูเยว่ก็อยู่ในสิบคนนั้น หากเจ็ดคนนั้นรวมนางเข้าไปด้วย เขาไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้

“ข้าต้องขอตัวก่อน” เรือสงครามสีเงินลอยออกมาจากตาขวาของเซียวเฉินและเขาเร่งรีบกระโดดขึ้นไป ก่อนที่เขาจะจากไป.นางเหมือนจะคิดอะไรขึ้นได้ เขากล่าวขึ้น “ตามจริง เจ้าไม่จําเป็นต้องโทษตัวเอง เจ้าทําได้ดีที่สุดแลเว”

หลังจากที่เขาพูดจบ,เขี้ยวเฉินก็ขับเรือสงครามสีเงินออกไปและมุ่งหน้าไปยังราชวังที่ตั้งอยู่บนผายื่น เขารวดเณวราวกับสายฟ้า,จางหายไปในพริบตา

หยุนเข่อซินมองดูเซียวเฉินจากไป นางเผยรอยยิ้มจางๆบนใบหน้าอันบอบบางของนาง จากนั้นก็กวัดแกว่งกระบี่มังกรคํารนไปมาพร้อมกับกล่าวกับตัวเอง “น่าสนใจ… มีเรื่องเร่งรีบอะไรถึงกับได้ลืมอาวุธระดับสวรรค์?”

ภายในปา,มู่หลงชงมองเห็นแสงสีแดงพุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้า เขาค่อยๆหยุดลงและครุ่นคิดอยู่นาน

“ศิษย์พี่มู่หลง,ทําไมท่านจึงหยุดเท้า?” หนึ่งในสมาชิกทีมถามขึ้นอย่างงุนงง มู่หลงชงไม่ได้ตอบกลับ เขาหันกลับมาและเดินไปหากลุ่ม เขาเดินไปตรงหน้าของสานุศิษย์ที่บาดเจ็บหนักและค่อยๆวางเครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์ลงบนหน้าอกของเขา

หลังจากนั้น,ต่อหน้าสายตาที่ตะลึงของทุกคน,คนคนนั้นถูกห่อหุ้มด้วยบอลเพลิงและจางหายไปจากมิติแห่งนี้

หลังจากนั้นมู่หลงชงเขาหยิบเอาเครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์ออกมาอีกและกล่าวขึ้น “อยู่ที่นี่ไม่จําเป็นต้องเดินทางต่อแล้ว นี่เป็นเครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์อะนสุดท้ายที่ข้ามี,ข้าจะให้เจ้าและเจ้าตัดสินใจเอาเอง”

หลังจากที่มู่หลงชงกล่าวจบ,เขาทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ขณะที่ร่างของเขาปะทะเข้ากับอาการ, เกิดเป็นคลื่นโซนิคบูมพร้อมกับลอยขึ้นหน้าไปหาราชวังอย่างรวดเร็ว

“ศิษย์พี่มู่หลง! อย่าไป!” ทั้งกลุ่มร้องออกมาหลังจากที่มู่หลงชงทิ้งเครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์เอาไว้แล้วบินออกไป พวกเขาไม่รู้จะทําเช่นไร

พวกเขามาไกลถึงตรงนี้และมีคนตายไปเพียงสามคนก็เพราะความแข็งแกร่งของมู่หลงชง ตอนนี้เขาจากไปแล้ว,พวกเขาตื่นตกใจในทันที

เหตุการณ์แบบเดียวกันเกิดขึ้นกับกลุ่มอื่นๆ ผู้นํากลุ่มหยุดเท้าลงเมื่อพวกเขามองเห็นแสงสีแดงพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า

อย่างไรก็ตาม,พวกเขาทําต่างไปจากมู่หลงชงและหยุ่นเข่อซิน พวกเขาเพียงใช้เครื่องรางเพลิงศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาและกลับออกไปจากมิติแห่งนี้ ทิ้งกลุ่มสานุศิษย์ที่กําลังงุนงงเอาไว้

เสียงลมนึ่งในหูของเซี่ยวเฉินขณะที่เขายืนอยู่บนหัวเรือ เสื้อผ้าหน้าผมของเขาปลิวไหวไปกับสายลม

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+