Immortal and Martial Dual Cultivation 270 ความภาคภูมิใจ? ข้าไม่เห็นจากตัวเจ้า

Now you are reading Immortal and Martial Dual Cultivation Chapter 270 ความภาคภูมิใจ? ข้าไม่เห็นจากตัวเจ้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 270 ความภาคภูมิใจ? ข้าไม่เห็นจากตัวเจ้า

“หยุดก่อน! ข้าบอกให้เจ้าไปได้? ข้าบอกว่าข้าจะเลี้ยงอาหารพวกเจ้าทดแทนที่ข้าแย่งโต๊ะของเจ้า หรือคนของศาบากระบี่สวรรค์ไม่คิดที่จะไว้หน้าข้า?”

ชรือเฟิงก้าวขึ้นหน้าสองก้าวและถามขึ้นอย่าง เผด็จการพร้อมกับจ้องมองไปที่เซียวเฉินที่หันห ลังจากไป

คนจากสามนิกายใหญ่ในอาณาจักรต้าฉันไม่ ค่อยจะลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อพวกเขามาพบกัน,มักจะมีข้อพิพาทรุนแรงกันเป็นประจํา โดยเฉพาะสําหรับนิกายศาบากระบี่สวรรค์และนิกายดาบ เงาหมอกในตอนที่สานุศิษย์ทั้งสองนิกายมาพบกัน,พวกเขามักจบลงที่ตบตีกันเป็นปกติ โดยไม่ได้บอกกล่าวพูดคุยกันด้วยซ้ํา

ในสามนิหลกายใหญ่,ความแข็งแกร่งโดยรวมของตําหนักจิตวิญญาณค่ําคืนคือต่ําที่สุด หากชรือเฟิงสามารถเหยียบย่ําสานุศิษย์ศาลากระบี่สวรรค์สองคนตรงนี้ได้,มู่เยียนเสวี่ยจะประทับใจไม่น้อย

ชรือเฟิงจะต้องคิดว่าสองคนตรวหน้าของเขา เป็นเพียงระดับขอบเขตนักบุญขั้นต้นธรรมดาสามัญ นอกจากนั้น,ที่นี่คือเมืองซีเหอ:เขาสามารถมั่นใจได้ว่าต้องชนะ

เซียวเฉินหยุดเท้าลงและเจตนาฆ่าฟันวูบผ่านดวงตาของเขา กระแสพลังของเขาสงวนเอาไว้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีเส้นที่ห้ามข้าม เพียงเพราะเขาไม่อยากทําตัวเป็นที่เตะตาไม่ได้หมายความว่าเขาจะถูกรังแกได้

หลิวสุยเฟิงกระซิบ “เย่เฉิน,หรือเฟิงผู้นี้คือบุตรชายสองของผู้นําตระกูลชรือ,หนึ่งในสามตระกูลชั้นสูงแห่งแคว้นซีเหอ เขามีจิตวิญญาณสืบทอดและอยู่ระดับขอบเขตนักบุญขั้นกลาง ในหมู่รุ่นเยาว์แห่งแคว้นซีเหอ,เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียง”

ที่โต๊ะห่างออกไป มีหนึ่งชายและหนึ่งหญิงที่แต่งกายชุดเครื่องแบบของนิกายดาบเงาหมอกนั่งอยู่,กําลังกินดื่มพร้อมกับพูดคุย เมื่อหญิงสาวมองเห็นคนที่อยู่ตรงข้ามกับพวกเขา นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ดังนั้นนางจึงมองไปทางฝั่งของเซี่ยวเฉิน

หลังจากที่นางเห็นถึงสถานการณ์,หญิงสาว เผยสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย นางกระซิบ “นั่นมัน คนของศาบากระบี่สวรรค์และคนของตําหนักจิตวิญญาณค่ําคืน คนของศาบากระบี่สวรรค์จะต้องพ่ายแพ้ พวกเขามีคนน้อยกว่า ศิษย์พี่ลู่,ท่านจําพวกเขาได้หรือไม่?”

บุรุษผู้นี้แบกดาบไว้บนหลังและมีความนิ่งสงบบนใบหน้าอะนหล่อเหลาของเขา คนผู้นี้คือฉู่ฉ่าวอวิ๋นที่เซียวเฉินเกรงกลัวหนักหนา

ฉู่ฉ่าวอวิ๋นส่ายหัวเล็กน้อย หลังจากที่เขาหยิบเหล้าขึ้นมาจิบ,เขากล่าวขึ้น “เขาดูคุ้นตา,แต่ข้าจําไม่ได้ว่าเคยพบเขาที่ไหน มาดูกันต่อเถอะ”

รูปร่างของเซี่ยวเฉินดูคุ้นตาสําหรับฉู่ฉ่าวอวิ๋น แต่อย่างไรก็ตามเขาไม่อาจนึกออกว่าเขาเคยเห็นใบหน้าแสนธรรมดานั้นที่ไหนมาก่อน

นอกจากนั้น จิตวิญญาณยุทธของเซี่ยวเฉินในตอนนี้ได้ผสานเข้ากับร่างกายของเขา ดังนั้นจี่ฉาวอวิ่นจึงไม่รู้สึกถึงกระแสพลังของมังกรฟ้า ดังนั้น,สัญชาตญาณของเขาบอกกับเขาว่าเคยพบกันมาก่อน แต่เขาไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นใคร

เมื่อชรือเฟิงเห็นเซียวเฉินหยุดเท้าลง,ความภาคภูมิปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา เขากล่าว”ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นก็ได้ แค่อย่าขยับไปไหนจนกว่าพวกข้าจะดื่มกินเสร็จ ไม่ว่าพวกเจ้าอยากจะกินดื่มเท่าไหร,ขาจะเลี้ยงเอง ศิษย์น้องหญิง,ไปกันเถอะ!

หลังจากที่ชรือเฟิงกล่าวจบ,เขานําอีกสี่คนเข้าไปที่โต๊ะ คนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเขายิ้มและกล่าว”ศิษย์พี่ชรือ,ข้าไม่คิดว่าเพียงท่านกล่าวไม่กี่คําก็ทําให้คนของศาบากระบี่สวรรค์ไม่กล้าขยับไปไหน ท่านช่างสุดยอด”

สีหน้าภูมิใจของชรือเฟิงกลายเป็นมั่นหน้ายิ่งกว่าเดิม เขาเพียงเหลียวมองไปทางมู่เยี่ยนเสวี่ยและยิ้มขึ้น” พวกมันเป็นแค่ระดับขอบเขตนักบุญขั้นต้น ไม่ต้องถึงมือตระกูลชรือของข้า,ข้าก็จัดการพวกมันได้อย่างง่ายดาย ไม่มีอะไรให้ชื่นชม

อย่างไรก็ตาม,สีหน้าของมู่เยี่ยนเสวี่ยไม่ได้เปลี่ยนอะไรนัก;นางฝืนหัวเราะออกมา นางรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง,แต่นางไม่อาจไปแตะต้อง

“ข้าก็ไม่ได้อยากจะโอ้อวด,แต่ไม่มีใครกล้าหือ กับตระกูลชรือของข้า เพียงกล่าวมาว่ามีอะไรที่ต้องตาเจ้าในงานประมูล ตระกูลชรือของข้าจะประมูลมาในนามของเจ้า แม้แต่ระดับขอบเขตกษัตริย์ยุทธก็ไม่กล้าหือกับพวกเรา ชรือเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มพร้อมกับเดินไป

“ฟู ฟิว! “

ในจังหวะนั้นเอง,สายลมรุนแรงเป่ามาทางข้างหลังของชรือเฟิง มีเจตนาฆ่าฟันเข้มขันระเบิดออกมาจากทางข้างหลังของเขามันค่อนข้างทรงพลัง นี่ทําให้ทั้งห้าคนหลวาดกลัว

การตอบสนองของชรือเฟิงรวดเร็วที่สุด ทันทีที่ ได้ยินถึงเสียงลม,เขาหมุนตัวไปในทันที ในตอนที่เขามองเห็นเซียวเฉิน,เขาไม่ได้เผยความตื่นกลัว กลับกัน,เขาเกิดตื่นเต้น เขากล่าวพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ”หากเจ้าไม่ลงมือ,ข้าไม่อาจแตะต้องเจ้าได้ ตอนนี้เจ้ากล้าลงมือกับข้า,เจ้าลืมที่จะเดินออกจากศาบาหลับไหลไปได้”

เซียวเฉินไม่คิดไปวอแวกับเขา เขาเพิ่มความเร็วขึ้นอีก และหมุนเวียนสลักร่างพยัคฆ์มังกร จากนั้น,เขาซัดกําปั้นลอยไปที่ใบหน้าของชรือเฟิง

ชรือเฟิงเย้ยหยัน”เจ้ากล้ามาโอ้อวดพลังกายภาพต่อหน้าของข้า หลมองหาที่ตาย!”

หลังจากที่ชรือเฟิงกล่าวจบ,หินสีเขียวปรากฎขึ้นใต้เท้าของเขา นี่คือจิตวิญญาณยุทธสืบทอดของตระกูลชรือ ผืนศาลาฟ้า

ก้อนศิลากลายไปเป็นเส้นสายพร้อมกับมัน ขยายไปที่มือขวาของเขาอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้า,มันเปลี่ยนกลายเป็นวังวนประหลาดที่ฝ่ามือของเขา

ชรือเฟิงกํามือของเขาและวังวนพลันหายไปในทันที มันได้ผสานลงไปในผิวหนังบนมือขวาของเขา,ก่อเกิดพลังน่ากลัวพร้อมกับเขาชกตรงไปที่กําปั้นของเซี่ยวเฉินอย่างรุนแรง

“ปัง!”

ในตอนที่หมัดทั้งสองปะทะกัน เกิดเสียงอันดัง,ระเบิดขึ้นบนชั้นสี่ที่เงียบสงบ คลื่นกระแทกอันนาาหวาดกลัวขยายออกไป,ซัดโต๊ะที่อยู่โดยรอบแหลกเป็นชิ้น

ชรือเฟิงถูกส่งตัวลอยกลับหลัง ศิลาบนมือของเขาเคลื่อนจากฝ่ามือไปที่ไหล่ของเขา จากนั้นมันระเบิดออกอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนกลายเป็นกองหิน,ร่วงหล่นลงบนพื้น

เซียวเฉินไม่ขยับแม้แต่น้อย;กระแสพลังของ เขาพลุ่งพล่าน กระดูกในร่างของเขาส่งเสียงแตกกร้าว ภาพร่างของพยัคฆ์และมังกรเลื้อยพันกัน

เซียวเฉินร้องตะโกนและกดเท้าดีดตัวออกจากพื้น,ไล่ตามชรือเฟิงไปโดยไม่ลังเล

“เป็นไปได้อย่างไร? ชรือเฟิงผู้นั้นพ่ายแพ้ในด้านของพลังกายภาพได้อย่างไร?” สานุศิษย์ตําหนักจิตวิญญาณค่ําคียชนผู้หนึ่งถามขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา

“จิตวิญญาณยุทธสืบทอดของตระกูลชรือเพิ่มพลังกายภาพของผู้บ่มเพาะพลังมากที่สุดถึงห้า ในสิบส่วน ทั้งพลังและการป้องกันเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เขาพ่ายแพ้อย่างหมดท่าได้อย่างไร?”

มู่เยียนเสวี่ยไม่ได้กล่าวอะไร นางรู้ว่าชรือเฟิงได้เตะไปโดนตอเข้าให้แล้วในครั้งนี้
ก็เป็นเรื่องดีมันจะได้หยุดไม่ให้เขาทําเรื่องโง่เง่าอีกในอนาคต,มู่เยียนเสวี่ยเห็นพ้องกับตัวเอง

ชรือเฟิงตกตะลึงยืนนิ่ง ตั้งแต่ที่เขาออกมาจากนิหลกาย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเสียเปรียบในด้านพลังกายภาพ

“โซว!”

ในจังหวะที่ชรือเฟิงเท้าลงถึงพื้น,ผืนศิลาฟ้าทอดออกมา,รับเขาเอาไว้อย่างมั่นคงและหยุดไม่ ตัวของเขาไหลถอยหลังไปอีก

ชรือเฟิงจ้องมองไปที่เซียวเฉินที่กําลังลอยมาทางเขาพร้อมกับกระแสพลังพลุ่งพล่าน ร่องรอยเจตนาฆ่าฟันวูบผ่านใบหน้าของชรือเฟิง

ชรือเฟิงตะโกนออกมาและผืนศิลาฟ้าปกคลุมร่างของเขา กระแสพลังของจิตวิญญาณยุทธ สืบทอดถูกปลดปล่อยออกมา ผู้บ่มเพาะพลังทั้งหมดบนชั้นสี่รับรู้ได้ถึงแรงกดดัน

ชรือเฟิงกํามือของเขาแน่นและซัดกําปั้นออกไป สายลมจากกําปั้นสทะลวงผ่านอากาศและเกิดเป็นเสียงคําราม,ก่อตัวเป็นวังวนศิลาสีฟ้าขนาดใหญ่ขึ้นในอากาศ

หรือเฟิงกล่าวเสียงเย็น”พลังของกําปั้นนี้ขึ้นไปถึงห้าพันกิโลกรัม ลองดูว่าเจ้าจะทําลายมันได้อย่างไร แหลกไปซะ! “ปัง!

สีหน้าของเซี่ยวเฉินกลายเป็นเคร่งขรึม เขาคํารามออกมาเสียงดัง,ราวกับพยัคฆ์มังกร,กําลังทะลวงผ่านสวรรค์ ร่างของเขาคลุมด้วยเรืองแสงสีทอง ภาพร่างของพยัคฆ์และมังกรผสานเข้าไปในกําปั้นของเขาอย่างรวดเร็ว

“หมัดพยัคฆ์มังกร,มังกรข่มพยัคฆ์คําราม!“

ภายใต้การหมุนเวียนของสลักร่างพยัคฆ์มังกร,พลังของกําปั้นนี้คือกําปั้นที่แข็งแกร่งที่สุด ที่เซียวเฉินสามารถซัดออกมาได้ มันแบกพลังมามากกว่าเก้าพันกิโลกรัม

“ปัง!”

เมื่อกําปั้นปะทะกัน,เกิดเป็นเสียงดังสั่นสะเทือนสวรรค์ ผิวของผืนศิลาสีฟ้าเกิดรอยร้าวและแตกสลาย คลื่นกระแทกขยายออกเปลี่ยนให้มันกลายเป็นผุยผงและสลายไปตามลม

“ฟู ปิ้ว! “

ชรือเฟิงกระอักเลือดออกมาคําใหญ่ ร่างของเขาลอยกลับไปราวกับกระสอบทราย

ชรือเฟิงชนเข้ากับกําแพงของชั้นสี่เกิดเป็นเสียงดังและทะลุตกลงไปที่ชั้นสาม
เมื่อหรือเฟิงตกลงพื้นในสภาพน่าสังเวช,ลูกค้าที่ชั้นสามทั้งหมดขยับออกไปด้านข้าง

คนที่จําหรือเฟิงได้ตกตะลึงยืนนิ่ง พวกเขาไม่รู้ว่าเป็นใครที่กล้าพอที่จะทําร้ายคนของตระกูลชรือในแคว้นซีเหอ”

“ฟูปิ้ว!”

เซียวเฉินกระโดดผ่านรูบนกําแพง,และร่างของเขาวูบไหวไปในอากาศ เขาเหยียบลงบนหน้าอกของชรือเฟิง ,กดคนเท้าลงบนคนที่กําลังดิ้นอยู่กับพื้น

ชรือเฟิงกระอักเลือดออกมาอีกหนึ่งคําและไอ ออกมาอีกสองสามครั้ง เขาชี้ไปที่เซียวเฉินและกล่าวอย่างดุเดือด “ออกไปจากตัวข้าให้เร็ว มิฉะนั้น,เจ้าลืมที่จะออกไปจากเมืองซีเหอแบบมีชีวิตไปได้”

เซี่ยวเฉินยิ้มบางเบาและเมินเฉยคําของเขา เขากล่าวด้วยเสียงรุ่มลึก “เจ้าหมายจะใช้สถานะ สานุศิษย์ศาบากระบี่สวรรค์ของข้าเพื่อที่จะดึงความสนใจหญิงสาว น่าเสียดาย,เจ้าเลือกผิดคนแล้ว”

“เจ้าไม่แม้แต่จะมีค่าพอให้ข้าชักกระบี่ออกมา”

เมื่อเขาพูดจบลง,เซี่ยวเฉินเตะไปที่เอวของชรือเฟิงอยู่สงโหดเหี้ยม,ไม่เก็บแรงเอาไว้แม้แต่น้อย

ชรือเฟิง, ผู้ที่ไม่อาจต่อต้าน,ถูกเตะลอยขึ้นไปในอากาศ เขาลอยโค้งไปที่หน้าต่างของชั้นสามอย่างแม่นยํา,ตกลงไปที่ถนน

ที่ชั้นสี่ของศาลาหลับไหล,ฉู่ฉ่าวอวิ๋นยิ้มขึ้นบางเบาขณะที่มองดูเหี่ยวเฉิน “เป็นเขานั้นเอง ข้าก็สงสัยทําไมถึงได้ตามหาตัวเขาไม่เจอ เขาได้ไปที่ศาลากระบี่สวรรค์”

หญิงสาวที่นั่งตรงข้ามกับฉู่ฉ่าวอวิ๋นถามขึ้นอย่างสงสัย “ศิษย์พี่นู,หรือจะเป็นคนรู้จักของท่าน?”

ฉู่ฉ่าวอวิ๋นลุกและยิ้มขึ้น “สหายเก่า ทุกที่ที่เขาไปมีแต่ความปั่นป่วน เขาราวกับกระบี่คมกริบ ถึงแม้ว่าเจ้าจะเก็บเขาเอาไว้ในฝัก,เขาก็ยังฉายแสงออกมาในทันทีที่เขาถูกชักออกมาจะทําให้เจ้าตื่นตะลึง”

เมื่อมู่เยี่ยนเสวี่ยมองเห็นชรือเฟิงลอยออกหน้า ต่างไปเสีหน้าของนางเปลี่ยน นางรีบกล่าวขึ้น “ลงไปหยุดเขาเอาไว้ หากเขาหนีไปได้ มันจะไม่ ง่ายที่จะอธิบายกับตระกูลชรอ”

ตระกูลชั้นสูงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนิกายใหญ่ต่างๆ พวกเขามีความสัมพันธ์ฉันพันธมิตร,เหมือนกับตระกูลหยุนกับศาบากระบี่สวรรค์,ตระกูลหยานกับนิกายดาบเงาหมอก,และตระกูลชรือกับตําหนักจิตวิญญาณค่ําคืน

ดังนั้น มู่เยียนเสวี่ยจึงไม่อาจนิ่งเฉยได้ หากเซี่ยวเฉินฉีกหน้าหรือเฟิงเช่นนี้ ตําหนักจิตวิญญาณค่ําคืนจะต้องอธิบายถึงเรื่องนี้กับตระกูลชรือหากพวกเขาคิดจะติดตามเรื่องนี้

ทั้งสี่คนหยิบเอาอาวุธของพวกเขาออกมาและกระโดดผ่านรูไป แต่ละคนยึดคนละมุมล้อมรอบเซี่ยวเฉิน

หลิวสุยเฟองกําลังจะกระโดดตามลงไปช่วย,แต่เขาพบว่ามีมือกดลงบนไหล่ห้ามเขาเอาไว้

สีหน้าของหลิวสุยเฟิงพลันเปลี่ยนและเขามองกลับไปพร้อมอุทานขึ้น “ฉู่ฉ่าวอวิ๋น! ทําไมเจ้าถึงได้มาอยู่ที่นี่?!”

ผู้เชี่ยวชาญชั้นแนวหน้าของนิกายดาบเงาหมอก…คู่ปรับชั่วนิรันดร์ของศาบากระบี่สวรรค์,หลิวสุยเฟิงคุ้นเคยกับหน้าตาของคนผู้นี้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม,เขาเคยเห็นเพียงแค่ภาพวาดของเขาเท่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบหน้ากับคนผู้นี้

ฉู่ฉาวเป็นยิ้มและกล่าว “อย่าได้กังวลสหาย ของเจ้าจะไม่เป็นไร หากเจ้าลงไป,เจ้าจะทําให้เรื่องแย่ลงไปอีก”

คําของฉู่ฉ่าวอวิ๋นช่างอ่อนโยน;ไม่มีเจตนาฆ่า ฟันออกมาแม่แต่น้อย อย่างไรก็ตาม มันทําให้หลิวสุยเฟิงรู้สึกถึงแรงกดดันอันไร้รูป,ทําให้เขาไม่กล้าที่จะขยับ

ลูกค้าที่ชั้นสามพากันออกไปกันหมดแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่ได้หายไปไกล:พวกเราอยู่ที่ชั้นสองกําลังมองดูเรื่องน่าตื่นเต้น

“โฮ,มันเป็นคนของศาลากระบี่สวรรค์กับคนของตําหนักจิตวิญญาณค่ําคืนกําลังต่อสู้กัน แต่อย่างไรก็ตาม,ทําไมศาลากระบี่สวรรค์ถึงได้มีเพียงคนเดียว? มันอันตรายที่หนึ่งจะไปสู้สี่”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Immortal and Martial Dual Cultivation 270 ความภาคภูมิใจ? ข้าไม่เห็นจากตัวเจ้า

Now you are reading Immortal and Martial Dual Cultivation Chapter 270 ความภาคภูมิใจ? ข้าไม่เห็นจากตัวเจ้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 270 ความภาคภูมิใจ? ข้าไม่เห็นจากตัวเจ้า

“หยุดก่อน! ข้าบอกให้เจ้าไปได้? ข้าบอกว่าข้าจะเลี้ยงอาหารพวกเจ้าทดแทนที่ข้าแย่งโต๊ะของเจ้า หรือคนของศาบากระบี่สวรรค์ไม่คิดที่จะไว้หน้าข้า?”

ชรือเฟิงก้าวขึ้นหน้าสองก้าวและถามขึ้นอย่าง เผด็จการพร้อมกับจ้องมองไปที่เซียวเฉินที่หันห ลังจากไป

คนจากสามนิกายใหญ่ในอาณาจักรต้าฉันไม่ ค่อยจะลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อพวกเขามาพบกัน,มักจะมีข้อพิพาทรุนแรงกันเป็นประจํา โดยเฉพาะสําหรับนิกายศาบากระบี่สวรรค์และนิกายดาบ เงาหมอกในตอนที่สานุศิษย์ทั้งสองนิกายมาพบกัน,พวกเขามักจบลงที่ตบตีกันเป็นปกติ โดยไม่ได้บอกกล่าวพูดคุยกันด้วยซ้ํา

ในสามนิหลกายใหญ่,ความแข็งแกร่งโดยรวมของตําหนักจิตวิญญาณค่ําคืนคือต่ําที่สุด หากชรือเฟิงสามารถเหยียบย่ําสานุศิษย์ศาลากระบี่สวรรค์สองคนตรงนี้ได้,มู่เยียนเสวี่ยจะประทับใจไม่น้อย

ชรือเฟิงจะต้องคิดว่าสองคนตรวหน้าของเขา เป็นเพียงระดับขอบเขตนักบุญขั้นต้นธรรมดาสามัญ นอกจากนั้น,ที่นี่คือเมืองซีเหอ:เขาสามารถมั่นใจได้ว่าต้องชนะ

เซียวเฉินหยุดเท้าลงและเจตนาฆ่าฟันวูบผ่านดวงตาของเขา กระแสพลังของเขาสงวนเอาไว้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีเส้นที่ห้ามข้าม เพียงเพราะเขาไม่อยากทําตัวเป็นที่เตะตาไม่ได้หมายความว่าเขาจะถูกรังแกได้

หลิวสุยเฟิงกระซิบ “เย่เฉิน,หรือเฟิงผู้นี้คือบุตรชายสองของผู้นําตระกูลชรือ,หนึ่งในสามตระกูลชั้นสูงแห่งแคว้นซีเหอ เขามีจิตวิญญาณสืบทอดและอยู่ระดับขอบเขตนักบุญขั้นกลาง ในหมู่รุ่นเยาว์แห่งแคว้นซีเหอ,เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียง”

ที่โต๊ะห่างออกไป มีหนึ่งชายและหนึ่งหญิงที่แต่งกายชุดเครื่องแบบของนิกายดาบเงาหมอกนั่งอยู่,กําลังกินดื่มพร้อมกับพูดคุย เมื่อหญิงสาวมองเห็นคนที่อยู่ตรงข้ามกับพวกเขา นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ดังนั้นนางจึงมองไปทางฝั่งของเซี่ยวเฉิน

หลังจากที่นางเห็นถึงสถานการณ์,หญิงสาว เผยสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย นางกระซิบ “นั่นมัน คนของศาบากระบี่สวรรค์และคนของตําหนักจิตวิญญาณค่ําคืน คนของศาบากระบี่สวรรค์จะต้องพ่ายแพ้ พวกเขามีคนน้อยกว่า ศิษย์พี่ลู่,ท่านจําพวกเขาได้หรือไม่?”

บุรุษผู้นี้แบกดาบไว้บนหลังและมีความนิ่งสงบบนใบหน้าอะนหล่อเหลาของเขา คนผู้นี้คือฉู่ฉ่าวอวิ๋นที่เซียวเฉินเกรงกลัวหนักหนา

ฉู่ฉ่าวอวิ๋นส่ายหัวเล็กน้อย หลังจากที่เขาหยิบเหล้าขึ้นมาจิบ,เขากล่าวขึ้น “เขาดูคุ้นตา,แต่ข้าจําไม่ได้ว่าเคยพบเขาที่ไหน มาดูกันต่อเถอะ”

รูปร่างของเซี่ยวเฉินดูคุ้นตาสําหรับฉู่ฉ่าวอวิ๋น แต่อย่างไรก็ตามเขาไม่อาจนึกออกว่าเขาเคยเห็นใบหน้าแสนธรรมดานั้นที่ไหนมาก่อน

นอกจากนั้น จิตวิญญาณยุทธของเซี่ยวเฉินในตอนนี้ได้ผสานเข้ากับร่างกายของเขา ดังนั้นจี่ฉาวอวิ่นจึงไม่รู้สึกถึงกระแสพลังของมังกรฟ้า ดังนั้น,สัญชาตญาณของเขาบอกกับเขาว่าเคยพบกันมาก่อน แต่เขาไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นใคร

เมื่อชรือเฟิงเห็นเซียวเฉินหยุดเท้าลง,ความภาคภูมิปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา เขากล่าว”ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นก็ได้ แค่อย่าขยับไปไหนจนกว่าพวกข้าจะดื่มกินเสร็จ ไม่ว่าพวกเจ้าอยากจะกินดื่มเท่าไหร,ขาจะเลี้ยงเอง ศิษย์น้องหญิง,ไปกันเถอะ!

หลังจากที่ชรือเฟิงกล่าวจบ,เขานําอีกสี่คนเข้าไปที่โต๊ะ คนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเขายิ้มและกล่าว”ศิษย์พี่ชรือ,ข้าไม่คิดว่าเพียงท่านกล่าวไม่กี่คําก็ทําให้คนของศาบากระบี่สวรรค์ไม่กล้าขยับไปไหน ท่านช่างสุดยอด”

สีหน้าภูมิใจของชรือเฟิงกลายเป็นมั่นหน้ายิ่งกว่าเดิม เขาเพียงเหลียวมองไปทางมู่เยี่ยนเสวี่ยและยิ้มขึ้น” พวกมันเป็นแค่ระดับขอบเขตนักบุญขั้นต้น ไม่ต้องถึงมือตระกูลชรือของข้า,ข้าก็จัดการพวกมันได้อย่างง่ายดาย ไม่มีอะไรให้ชื่นชม

อย่างไรก็ตาม,สีหน้าของมู่เยี่ยนเสวี่ยไม่ได้เปลี่ยนอะไรนัก;นางฝืนหัวเราะออกมา นางรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง,แต่นางไม่อาจไปแตะต้อง

“ข้าก็ไม่ได้อยากจะโอ้อวด,แต่ไม่มีใครกล้าหือ กับตระกูลชรือของข้า เพียงกล่าวมาว่ามีอะไรที่ต้องตาเจ้าในงานประมูล ตระกูลชรือของข้าจะประมูลมาในนามของเจ้า แม้แต่ระดับขอบเขตกษัตริย์ยุทธก็ไม่กล้าหือกับพวกเรา ชรือเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มพร้อมกับเดินไป

“ฟู ฟิว! “

ในจังหวะนั้นเอง,สายลมรุนแรงเป่ามาทางข้างหลังของชรือเฟิง มีเจตนาฆ่าฟันเข้มขันระเบิดออกมาจากทางข้างหลังของเขามันค่อนข้างทรงพลัง นี่ทําให้ทั้งห้าคนหลวาดกลัว

การตอบสนองของชรือเฟิงรวดเร็วที่สุด ทันทีที่ ได้ยินถึงเสียงลม,เขาหมุนตัวไปในทันที ในตอนที่เขามองเห็นเซียวเฉิน,เขาไม่ได้เผยความตื่นกลัว กลับกัน,เขาเกิดตื่นเต้น เขากล่าวพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ”หากเจ้าไม่ลงมือ,ข้าไม่อาจแตะต้องเจ้าได้ ตอนนี้เจ้ากล้าลงมือกับข้า,เจ้าลืมที่จะเดินออกจากศาบาหลับไหลไปได้”

เซียวเฉินไม่คิดไปวอแวกับเขา เขาเพิ่มความเร็วขึ้นอีก และหมุนเวียนสลักร่างพยัคฆ์มังกร จากนั้น,เขาซัดกําปั้นลอยไปที่ใบหน้าของชรือเฟิง

ชรือเฟิงเย้ยหยัน”เจ้ากล้ามาโอ้อวดพลังกายภาพต่อหน้าของข้า หลมองหาที่ตาย!”

หลังจากที่ชรือเฟิงกล่าวจบ,หินสีเขียวปรากฎขึ้นใต้เท้าของเขา นี่คือจิตวิญญาณยุทธสืบทอดของตระกูลชรือ ผืนศาลาฟ้า

ก้อนศิลากลายไปเป็นเส้นสายพร้อมกับมัน ขยายไปที่มือขวาของเขาอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้า,มันเปลี่ยนกลายเป็นวังวนประหลาดที่ฝ่ามือของเขา

ชรือเฟิงกํามือของเขาและวังวนพลันหายไปในทันที มันได้ผสานลงไปในผิวหนังบนมือขวาของเขา,ก่อเกิดพลังน่ากลัวพร้อมกับเขาชกตรงไปที่กําปั้นของเซี่ยวเฉินอย่างรุนแรง

“ปัง!”

ในตอนที่หมัดทั้งสองปะทะกัน เกิดเสียงอันดัง,ระเบิดขึ้นบนชั้นสี่ที่เงียบสงบ คลื่นกระแทกอันนาาหวาดกลัวขยายออกไป,ซัดโต๊ะที่อยู่โดยรอบแหลกเป็นชิ้น

ชรือเฟิงถูกส่งตัวลอยกลับหลัง ศิลาบนมือของเขาเคลื่อนจากฝ่ามือไปที่ไหล่ของเขา จากนั้นมันระเบิดออกอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนกลายเป็นกองหิน,ร่วงหล่นลงบนพื้น

เซียวเฉินไม่ขยับแม้แต่น้อย;กระแสพลังของ เขาพลุ่งพล่าน กระดูกในร่างของเขาส่งเสียงแตกกร้าว ภาพร่างของพยัคฆ์และมังกรเลื้อยพันกัน

เซียวเฉินร้องตะโกนและกดเท้าดีดตัวออกจากพื้น,ไล่ตามชรือเฟิงไปโดยไม่ลังเล

“เป็นไปได้อย่างไร? ชรือเฟิงผู้นั้นพ่ายแพ้ในด้านของพลังกายภาพได้อย่างไร?” สานุศิษย์ตําหนักจิตวิญญาณค่ําคียชนผู้หนึ่งถามขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา

“จิตวิญญาณยุทธสืบทอดของตระกูลชรือเพิ่มพลังกายภาพของผู้บ่มเพาะพลังมากที่สุดถึงห้า ในสิบส่วน ทั้งพลังและการป้องกันเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เขาพ่ายแพ้อย่างหมดท่าได้อย่างไร?”

มู่เยียนเสวี่ยไม่ได้กล่าวอะไร นางรู้ว่าชรือเฟิงได้เตะไปโดนตอเข้าให้แล้วในครั้งนี้
ก็เป็นเรื่องดีมันจะได้หยุดไม่ให้เขาทําเรื่องโง่เง่าอีกในอนาคต,มู่เยียนเสวี่ยเห็นพ้องกับตัวเอง

ชรือเฟิงตกตะลึงยืนนิ่ง ตั้งแต่ที่เขาออกมาจากนิหลกาย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเสียเปรียบในด้านพลังกายภาพ

“โซว!”

ในจังหวะที่ชรือเฟิงเท้าลงถึงพื้น,ผืนศิลาฟ้าทอดออกมา,รับเขาเอาไว้อย่างมั่นคงและหยุดไม่ ตัวของเขาไหลถอยหลังไปอีก

ชรือเฟิงจ้องมองไปที่เซียวเฉินที่กําลังลอยมาทางเขาพร้อมกับกระแสพลังพลุ่งพล่าน ร่องรอยเจตนาฆ่าฟันวูบผ่านใบหน้าของชรือเฟิง

ชรือเฟิงตะโกนออกมาและผืนศิลาฟ้าปกคลุมร่างของเขา กระแสพลังของจิตวิญญาณยุทธ สืบทอดถูกปลดปล่อยออกมา ผู้บ่มเพาะพลังทั้งหมดบนชั้นสี่รับรู้ได้ถึงแรงกดดัน

ชรือเฟิงกํามือของเขาแน่นและซัดกําปั้นออกไป สายลมจากกําปั้นสทะลวงผ่านอากาศและเกิดเป็นเสียงคําราม,ก่อตัวเป็นวังวนศิลาสีฟ้าขนาดใหญ่ขึ้นในอากาศ

หรือเฟิงกล่าวเสียงเย็น”พลังของกําปั้นนี้ขึ้นไปถึงห้าพันกิโลกรัม ลองดูว่าเจ้าจะทําลายมันได้อย่างไร แหลกไปซะ! “ปัง!

สีหน้าของเซี่ยวเฉินกลายเป็นเคร่งขรึม เขาคํารามออกมาเสียงดัง,ราวกับพยัคฆ์มังกร,กําลังทะลวงผ่านสวรรค์ ร่างของเขาคลุมด้วยเรืองแสงสีทอง ภาพร่างของพยัคฆ์และมังกรผสานเข้าไปในกําปั้นของเขาอย่างรวดเร็ว

“หมัดพยัคฆ์มังกร,มังกรข่มพยัคฆ์คําราม!“

ภายใต้การหมุนเวียนของสลักร่างพยัคฆ์มังกร,พลังของกําปั้นนี้คือกําปั้นที่แข็งแกร่งที่สุด ที่เซียวเฉินสามารถซัดออกมาได้ มันแบกพลังมามากกว่าเก้าพันกิโลกรัม

“ปัง!”

เมื่อกําปั้นปะทะกัน,เกิดเป็นเสียงดังสั่นสะเทือนสวรรค์ ผิวของผืนศิลาสีฟ้าเกิดรอยร้าวและแตกสลาย คลื่นกระแทกขยายออกเปลี่ยนให้มันกลายเป็นผุยผงและสลายไปตามลม

“ฟู ปิ้ว! “

ชรือเฟิงกระอักเลือดออกมาคําใหญ่ ร่างของเขาลอยกลับไปราวกับกระสอบทราย

ชรือเฟิงชนเข้ากับกําแพงของชั้นสี่เกิดเป็นเสียงดังและทะลุตกลงไปที่ชั้นสาม
เมื่อหรือเฟิงตกลงพื้นในสภาพน่าสังเวช,ลูกค้าที่ชั้นสามทั้งหมดขยับออกไปด้านข้าง

คนที่จําหรือเฟิงได้ตกตะลึงยืนนิ่ง พวกเขาไม่รู้ว่าเป็นใครที่กล้าพอที่จะทําร้ายคนของตระกูลชรือในแคว้นซีเหอ”

“ฟูปิ้ว!”

เซียวเฉินกระโดดผ่านรูบนกําแพง,และร่างของเขาวูบไหวไปในอากาศ เขาเหยียบลงบนหน้าอกของชรือเฟิง ,กดคนเท้าลงบนคนที่กําลังดิ้นอยู่กับพื้น

ชรือเฟิงกระอักเลือดออกมาอีกหนึ่งคําและไอ ออกมาอีกสองสามครั้ง เขาชี้ไปที่เซียวเฉินและกล่าวอย่างดุเดือด “ออกไปจากตัวข้าให้เร็ว มิฉะนั้น,เจ้าลืมที่จะออกไปจากเมืองซีเหอแบบมีชีวิตไปได้”

เซี่ยวเฉินยิ้มบางเบาและเมินเฉยคําของเขา เขากล่าวด้วยเสียงรุ่มลึก “เจ้าหมายจะใช้สถานะ สานุศิษย์ศาบากระบี่สวรรค์ของข้าเพื่อที่จะดึงความสนใจหญิงสาว น่าเสียดาย,เจ้าเลือกผิดคนแล้ว”

“เจ้าไม่แม้แต่จะมีค่าพอให้ข้าชักกระบี่ออกมา”

เมื่อเขาพูดจบลง,เซี่ยวเฉินเตะไปที่เอวของชรือเฟิงอยู่สงโหดเหี้ยม,ไม่เก็บแรงเอาไว้แม้แต่น้อย

ชรือเฟิง, ผู้ที่ไม่อาจต่อต้าน,ถูกเตะลอยขึ้นไปในอากาศ เขาลอยโค้งไปที่หน้าต่างของชั้นสามอย่างแม่นยํา,ตกลงไปที่ถนน

ที่ชั้นสี่ของศาลาหลับไหล,ฉู่ฉ่าวอวิ๋นยิ้มขึ้นบางเบาขณะที่มองดูเหี่ยวเฉิน “เป็นเขานั้นเอง ข้าก็สงสัยทําไมถึงได้ตามหาตัวเขาไม่เจอ เขาได้ไปที่ศาลากระบี่สวรรค์”

หญิงสาวที่นั่งตรงข้ามกับฉู่ฉ่าวอวิ๋นถามขึ้นอย่างสงสัย “ศิษย์พี่นู,หรือจะเป็นคนรู้จักของท่าน?”

ฉู่ฉ่าวอวิ๋นลุกและยิ้มขึ้น “สหายเก่า ทุกที่ที่เขาไปมีแต่ความปั่นป่วน เขาราวกับกระบี่คมกริบ ถึงแม้ว่าเจ้าจะเก็บเขาเอาไว้ในฝัก,เขาก็ยังฉายแสงออกมาในทันทีที่เขาถูกชักออกมาจะทําให้เจ้าตื่นตะลึง”

เมื่อมู่เยี่ยนเสวี่ยมองเห็นชรือเฟิงลอยออกหน้า ต่างไปเสีหน้าของนางเปลี่ยน นางรีบกล่าวขึ้น “ลงไปหยุดเขาเอาไว้ หากเขาหนีไปได้ มันจะไม่ ง่ายที่จะอธิบายกับตระกูลชรอ”

ตระกูลชั้นสูงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนิกายใหญ่ต่างๆ พวกเขามีความสัมพันธ์ฉันพันธมิตร,เหมือนกับตระกูลหยุนกับศาบากระบี่สวรรค์,ตระกูลหยานกับนิกายดาบเงาหมอก,และตระกูลชรือกับตําหนักจิตวิญญาณค่ําคืน

ดังนั้น มู่เยียนเสวี่ยจึงไม่อาจนิ่งเฉยได้ หากเซี่ยวเฉินฉีกหน้าหรือเฟิงเช่นนี้ ตําหนักจิตวิญญาณค่ําคืนจะต้องอธิบายถึงเรื่องนี้กับตระกูลชรือหากพวกเขาคิดจะติดตามเรื่องนี้

ทั้งสี่คนหยิบเอาอาวุธของพวกเขาออกมาและกระโดดผ่านรูไป แต่ละคนยึดคนละมุมล้อมรอบเซี่ยวเฉิน

หลิวสุยเฟองกําลังจะกระโดดตามลงไปช่วย,แต่เขาพบว่ามีมือกดลงบนไหล่ห้ามเขาเอาไว้

สีหน้าของหลิวสุยเฟิงพลันเปลี่ยนและเขามองกลับไปพร้อมอุทานขึ้น “ฉู่ฉ่าวอวิ๋น! ทําไมเจ้าถึงได้มาอยู่ที่นี่?!”

ผู้เชี่ยวชาญชั้นแนวหน้าของนิกายดาบเงาหมอก…คู่ปรับชั่วนิรันดร์ของศาบากระบี่สวรรค์,หลิวสุยเฟิงคุ้นเคยกับหน้าตาของคนผู้นี้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม,เขาเคยเห็นเพียงแค่ภาพวาดของเขาเท่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบหน้ากับคนผู้นี้

ฉู่ฉาวเป็นยิ้มและกล่าว “อย่าได้กังวลสหาย ของเจ้าจะไม่เป็นไร หากเจ้าลงไป,เจ้าจะทําให้เรื่องแย่ลงไปอีก”

คําของฉู่ฉ่าวอวิ๋นช่างอ่อนโยน;ไม่มีเจตนาฆ่า ฟันออกมาแม่แต่น้อย อย่างไรก็ตาม มันทําให้หลิวสุยเฟิงรู้สึกถึงแรงกดดันอันไร้รูป,ทําให้เขาไม่กล้าที่จะขยับ

ลูกค้าที่ชั้นสามพากันออกไปกันหมดแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่ได้หายไปไกล:พวกเราอยู่ที่ชั้นสองกําลังมองดูเรื่องน่าตื่นเต้น

“โฮ,มันเป็นคนของศาลากระบี่สวรรค์กับคนของตําหนักจิตวิญญาณค่ําคืนกําลังต่อสู้กัน แต่อย่างไรก็ตาม,ทําไมศาลากระบี่สวรรค์ถึงได้มีเพียงคนเดียว? มันอันตรายที่หนึ่งจะไปสู้สี่”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+