Immortal and Martial Dual Cultivation 219 การทดสอบศิษย์แก่นกลาง

Now you are reading Immortal and Martial Dual Cultivation Chapter 219 การทดสอบศิษย์แก่นกลาง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 219 การทดสอบศิษย์แก่นกลาง

นับตั้งแต่ที่หลิวสุยเฟิงกลับลงมาจากจุดยอดเขา เขาก็ได้ฝึกหนักยิ่งกว่าปกติ:เขาไม่ได้ออกจากยอดเขาฉิงหยุนมาตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมา

 

หลิวหรูเยว่รู้สึกแปลกที่จู่ๆก็พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ นางได้ถามเซี่ยวเฉินว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เซี่ยวเฉินเชื่อว่าหลิวสุยเฟิงนั้นคงไม่อยากให้พี่สาวของเขารู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงทําได้เพียงบอกนางว่าเขาก็ไม่รู้อะไร

 

เซี่ยวเฉินพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นเขาก็นึกอะไรขึ้นได้ เขาหยิบเอากลีบดอกดาวเรืองแสงไหลออกมาจากแหวนห้วงจักรวาลและยื่นให้กับหลิวสุยเฟิง “นี่สําหรับเจ้า มันน่าจะช่วยเจ้าได้ก่อนที่จะถึงการทดสอบศิษย์แก่นกลาง

 

หลิวสุยเฟิงมองไปที่กลีบดอกดาวเรืองแสงไหล เขาเต็มไปด้วยความงุนงงพร้อมกับถามขึ้น “นี่คือดอกอะไร? กลิ่นของมันเข้มข้นมาก”

 

เมื่อกลิ่นของดาวเรืองแสงไหลพุ่งออกไป,มันดึงดูดความสนใจของหลิวหรูเยว่ในทันที เมื่อนางเห็นดอกดาวเรืองแสงไหลในมือของหลิวสุยเฟิงนางก็เผยสีหน้าประหลาดใจ นางรีบเดินตรงเข้ามาและ ถามขึ้นด้วยน้ําเสียงตกตะลึง “ดอกดาวเรืองแสงไหล? เย่เฉิน,เจ้าไป ได้มันมาจากไหน? อ้าเนี่มันไม่ใช่ดอกดาวเรืองแสงไหลทั่วไป,มันเกือบจะไปถึงสมบัติระดับอมตะ”

 

หลิวหนูเยว่หยุดลงหลังจากกล่าวไป.สีหน้าของนางเปลี่ยนจากตกตะลึงเป็นตกใจ นางรีบคว้าดอกดาวเรืองแสงไหลจากมือของหลิวสุยเฟิงและยื่นมันกลับไปให้เซี่ยวเฉิน “เยาเฉิน,ดอกดาวเรืองแสงไหลนี้มันล้ําค่ามากเกินไป สุยเฟิงรับมันเอาไว้ไม่ได้”

 

“ดอกดาวเรืองแสงไหล?” หลิวสุยเฟิงสีหน้าเปลี่ยน “ดอกดาวเรืองแสงไหลในตํานานที่สามารถยกระดับความสามารถในการเข้าใจ และช่วยชุบร่างกายให้เกิดใหม่?!”

 

เซี่ยวเฉินโบกมือและหยิบเอาออกมาอีกกลีบ “มันเป็นสิ่งอัศจรรย์ที่ข้าพบในเหมืองวิญญาณ ข้าได้ใช้มันไปแล้วหนึ่งกลีบ,ไม่มีประโยชน์ที่จะใช้ไปมากกว่านี้ ข้าก็ได้เตรียมอีกหนึ่งกลีบไว้ให้พี่สาวหรูเยว่ สําหรับตอนที่กําลังจะทะลวงขึ้นระดับขอบเขตกษัตริย์ยุทธ แต่ข้าจะให้มันไปเสียเลยในตอนนี้”

 

หลิวหรูเยว่เป็นคนซื่อตรงตลอด เมื่อนางได้ยินถึงเรื่องราวทั้งหมด,นางก็รับมันเอาไว้และกล่าวอย่างขอบคุณกับเซี่ยวเฉิน “ พวกเราทั้งสองติดหนี้เจ้าก้อนใหญ่”

 

สีหน้าของหลิวสุยเฟิงเปลี่ยนเป็นจริงจังเช่นกัน เขาตบลงที่หลังของเซี่ยวเฉินซ้ําๆและกล่าวขึ้น “พี่น้อง,ข้าจะจดจําเรื่องนี้เอาไว้ ด้วยดอกดาวเรืองแสงไหลกลีบนี้ไม่มีปัญหาที่ข้าจะทะลวงขึ้นสู่ระดับขอบเขตนักบุญในสิ้นปีนี้”

“ใครจะรู้,พวกในสามวันนี้,ข้าอาจจะบรรลุถึงที่กษะกระบี่ผ่าภูผาและฝึกฝนขึ้นไปถึงระดับสมบูรณ์ขั้นยอดเยี่ยม ข้าจะผ่านการทดสอบและกลายเป็นศิษย์แก่นกลาง”

 

สามวันต่อมา,ที่ด้านหลังของยอดเขาฉิงหยุน:

บยอดเขา!”

 

เซี่ยวเฉินยืนอยู่ในป่าและหันกลับ เขายิงออกอย่างรวดเร็วไปด้านหน้าของเขาและกระบี่ในมือของเขาเคลื่อนไหวเป็นประกาย ลมหมุนรุนแรงก่อตัวขึ้นโดยรอบ,มุ่งหน้ามายังคมกระบี่สีขาวหิมะของกระบี่เงาจันทร์

 

กระแสพลังของเขารวมตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผ่านไปครู่หนึ่ง,ยอดเขาเล็กควบรวมขึ้นที่ด้านหลังของเซี่ยวเฉิน กระแสพลังของเขาทันใดนั้นเร่งขึ้นถึงขีดสุด,ราวกับว่าเขากําลังยืนอยู่บนจุดยอดภูเขา

 

ไม่! ยังไม่ใช่ เจตนารมณ์ของเบี่ยงวิถีรอบขุนยอดเขาจะต้องไม่ใช่แบบนี้ เซี่ยวเฉินทันใดนั้นก็ส่ายหัวและครุ่นคิดกับตัวเอง ความหมายของเบี่ยงวิถีรอบยอดเขาเป็นผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงที่ค้นพบเมื่อไปถึงจุดสิ้นสุด

 

อย่างไรก็ตามเจตนารมณ์ที่ข้าได้แสดงออกมาตอนนี้เข้าถึงความไม่เกรงกลัวและคับแค้น,แต่กระแสพลังดุร้ายรุนแรงและกระหายชัยชนะ มันไม่มีการเบี่ยงบิดแม้แต่น้อย

 

ความงุนงงปรากฏขึ้นในใจของเซี่ยวเฉิน กระแสพลังที่เขาควบรวมขึ้นมาก็รั่วไหล ยอดเขาเล็กด้านหลังของเขาทันใดนั้นก็หายลับไปสู่ความว่างเปล่า

เขาถอนกระบี่ของเขากลับมาใบหน้าของเขาซีดเล็กน้อย นี่เป็นผลย้อนกลับจากกระบวนท่าที่ล้มเหลว

 

“ไม่เป็นไร,ดูเหมือนเวลานั้นยังมาไม่ถึง มันเป็นเพียงการทดสอบศิษย์แก่นกลาง ด้วยความแข็งแกร่งของข้า แม้ว่าจะปราศจากการบรรลุถึงสิ่งนี้, กระบวณท่าที่สิบหกของที่กษะกระบี่หลิงหยุนก็เพียงพอที่จะผ่านไปได้” เซี่ยวเฉินกล่าวขึ้นหลังจากที่เขาควบคุม พลังปราณที่ปั่นป่วนในร่างของเขา

เช้าวันต่อมา ท้องฟ้าเพิ่งจะแจ้ง หลิวหรูเยว่และหลิวสุยเฟิงก็ได้ มาถึงที่ลานบ้านของเขาแล้ว มีนกสีเขียวยืนนิ่งเงียบอยู่ที่ด้านข้างของพวกเขา

“ได้เวลาไปแล้ว ข้าจะไม่ได้ไปส่งพวกเจ้าทั้งสองที่การทดสอบศิษย์แก่นกลาง สุยเฟิงรู้สถานที่ ข้าขอให้พวกเจ้าโชคดี” หลิวหรูเยว่ยิ้มบางไปที่เซี่ยวเฉิน ผู้ที่เพิ่งเดินออกมา

 

เซี่ยวเฉินพยักหน้าและกระโดดขึ้นไปบนนกสีเขียวที่ นกสีเขียวกระพือปีกของมันอย่างแรง,เกิดเป็นสายลมรุนแรงพร้อมกับทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า มันโผไปในแสงอาทิตย์ที่สาดส่องและบินไปทางทิศตะวันออก

 

สายลมไหลผ่านหูของพวกเขา เซี่ยวเฉินยืนอยู่ด้านหลังของหลิวสุยเฟิง เขาสามารถรู้สึกได้ว่ากระแสพลังของหลิวสุยเฟิงแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าจากสามวันก่อน เขาพูดขึ้น “ยินดีด้วย ความแข็งแกร่งของเจ้าเพิ่มขึ้นอย่างมากภายในสามวันที่ผ่านมา”

 

หลิวสุยเฟิงเผยรอยยิ้มพึงพอใจ “อืม! มันต้องขอบคุณดอกดาวเรืองแสงไหลที่เจ้ามอบให้ข้า ข้าฝึกฝนทักษะกระบี่ผ่าภูผาจนถึงระดับสมบูรณ์ขั้นต้นได้ภายในสามวัน ด้วยการใช้ทักษะระดับปฐพีนี้ ข้าเชื่อว่าข้าจะกลายเป็นศิษย์แก่นกลางได้ภายในปีนี้”

“การทดสอบศิษย์แก่นกลางมันยากนัก? ทําไมข้ารู้สึกว่าเหล่าศิษย์แก่นกลางพวกนั้นไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมากมาย?” เซี่ยวเฉินถามขึ้นขณะที่เขายืนอยู่ด้านหลังของหลิวสุยเฟิง

สีหน้าของหลิวสุยเฟิงจมลึก เขาพยักหน้าและพูดขึ้น “ยากสาหัส จาก 5,000 ศิษย์ชั้นทั่วทั้งศาลากระบี่สวรรค์, มีเพียง 500 ที่นั่ง สําหรับศิษย์แก่นกลาง”

 

“ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า,การทดสอบศิษย์แก่นกลางน่าจะไม่ใช่ปัญหา เหตุที่ว่าทําไมเจ้าถึงไม่ได้พบเจอกับศิษย์แก่นกลางที่แข็งแกร่ง มันเป็นเพราะพวกเขาทั้งหมดล้วนฝึกฝนตัวเองอยู่ภายนอก พวกเขาจะไม่กลับมาที่ศาลากระบี่สวรรค์จนกว่าจะถึงสิ้นปี”

ศาลากระบี่สวรค์,ฐานส่องสวรรค์, พื้นที่ฝึก

 

พื้นที่ผู้ชมหนาแน่นไปด้วยศิษย์ชั้นใน พวกเขามาที่นี่เพื่อชมการทดสอบศิษย์แก่นกลางที่จัดขึ้นปีละครั้ง และมีส่วนร่วมในความตื่นเต้น

งานนี้เป็นรองเพียงสงครามจัดอันดับในตอนสิ้นปี หลายคนเลือกที่จะวางสิ่งที่กําลังทําและเข้ามาชมความตื่นเต้นที่นี่ แม้พวกเขาจะไม่ได้เข้าร่วมก็ตาม

มีผู้อาวุโสหลายคนนั่งอยู่บนฐานสูง พวกเขาเป็นคนจากสภาสูง:พวกเขาเป็นผู้คุมกฏที่แท้จริงของศาลากระบี่สวรรค์

 

เจ็ดท่านเจ้ายอดเขานั่งอยู่ที่ด้านข้างด้วยสีหน้าสงบนิ่ง อย่างไรก็ตาม,ไม่มีใครรู้สึกถึงอารมณ์ของพวกเขาในตอนนี้

 

ด้วยทรัพยากรที่มีอยู่จํากัดของศาลากระบี่สวรรค์, แม้แต่ท่านเจ้ายอดเขาก็ไม่มีอํานาจที่จะแต่งตั้งศิษย์แก่นกลางขึ้นมา เพื่อที่จะกลายเป็นศิษย์แก่นกลางผู้นั้นจะต้องผ่านการทดสอบที่จัดขึ้นมาโดยโถงหลักเท่านั้น

 

เป็นเป็นวิธีวัดระดับที่ดียิ่งว่ายอดเขาใดที่แข็งแกร่งที่สุดะยิ่งมีศิษย์แก่นกลางเยอะ,ยอดเขาก็จะยิ่งแข็งแกร่ง

 

ในตอนนี้ ยอดเขาที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือยอดเขาเทียนเยว่ พวกเขาจับจองที่นั่งศิษย์แก่นกลางไปเกือบครึ่ง,ซึ่งมากกว่า 200 คน

 

นอกจากยอดเขาฉิงหยุนที่อ่อนแอที่สุดและยอดเขาสตรีหยกที่ล้วนมีแต่สตรี,ยอดเขาอื่นมีความแข็งแกร่งที่ทัดเทียมกันมาก ไม่มีความแตกต่างกันมากนักระหว่างพวกเขา

 

ซึ่งเฉวผู้ที่เป็นไอ้ด้วนแขนเดียวไม่ได้มีเปลวแสงในดวงตามากนัก เขาได้เสียแขนไปหนึ่งข้าง เป็นผลให้เขาสูญเสียการแข่งขันในการขึ้นบนท้านเจ้าศาลา

 

ทันใดนั้น,ซ่งเฉียวมองออกไปไกลและจ้องมองไปที่ท่านเจ้ายอดเขาเทียนเยว่ผู้นิ่งสงบ เหลิ่งเทียนเฉิง เขายิ้มและกล่าวขึ้น “ดูเหมือนพี่เหลิ่งจะกล่าวตําแหน่งศิษย์แก่นกลางถล่มทลายอีกแล้วในครานี้ ข้าสงสัยว่ายอดเขาเทียนเยว่จะส่งสานุศิษย์เข้ามาเท่าไหรในครั้งนี้”

เหลิ่งเทียนเจิ้งจ้องมองไปยังซ่งเฉว่และหัวเราะเย็นชาในใจของเขา เขารอยยิ้มอ่อนพร้อมกับกล่าวขึ้นอย่างเฉยเมย “ประมาณหนึ่งร้อยได้,ข้าก็ไม่แน่ใจนัก”

 

เมื่อท่านเจายอดเขาอื่นได้ยินดังนั้น,พวกเขาสีหน้าเปลี่ยน มันมีเพียง 50 ตําแหน่งศิษย์แก่นกลางในการทดสอบแต่ละปี แม้ว่าจะมีผู้มากพรสวรรค์มากมายเพียงใด,จํานวนที่นั่งก็ไม่มีเพิ่มขึ้น

ศิษย์ชั้นในผู้ที่ต้องการจะเข้าร่วมการทดสอบศิษย์แก่นกลางจะต้องยกระดับพลังให้ถึงขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธขั้นสูงก่อนที่จะอายุสิบเก้าปี ยอดเขาอื่นอย่างดีที่สุดก็มีศิษย์เพียงยี่สิบกว่าคนที่สามารถผ่านข้อกําหนดนี้

 

เมื่อเทียบกับยอดเขาเทียนเยา,พวกเขาไม่มีค่าให้กล่าวถึง หากพวกเขาอยากจะแข่งขัน, พวกเขาไม่มีทางที่จะชนะได้ ดูเหมือนยอดเขาเทียนเยว่จะกวาดที่นั่งไปอย่างน้อยก็ครึ่งนึงในการทดสอบศิษย์แก่นกลางครั้งนี้

 

ค่าตอบแทนและเบี้ยเลี้ยงศิษย์แก่นกลางมันมากกว่าศิษย์ชั้นในทั่วไปอย่างน้อยก็สามเท่า การบ่มเพาะพลังของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก

 

หากทุกที่นั่งถูกยอดเขาเทียนเยว่กวาดเอาไปเช่นนั้น พวกเขาก็ต้องลืมเกี่ยวกับการขึ้นแซงยอดเขาเทียนเยว่ไปอีกยาวนาน;พวกเขามีเพียงถูกกดข่มเอาไว้

 

เมื่อพวกเขาคิดถึงตรงนี้,ท่าเจ้ายอดเขาอื่นๆต่างแลกเปลี่ยนสายตากัน มีความช่วยไม่ได้เจืออยู่ในสายตาของพวกเขา

 

ความมืดมัวเย็นยะเยือกปรากฏขึ้นในสายตาของซ่งเฉว เขาเหล่มองไปที่หลิวหรูเยว่และกล่าวขึ้น “ถึงอย่างไร, ข้าเกรงว่าคงไม่มีใครจากยอดเขาของพี่เหสิ่งที่จะขึ้นเป็นที่หนึ่ง”

 

ท่านเจ้ายอดเขาว่านเหริน ว่านเฟิง ผู้ที่นั่งด้านข้างของเขาเกิดไม่เข้าใจ จึงถามขึ้น “ทําไม? อันดับหนึ่งตกเป็นของยอดเขาเทียนเยว่ตลอดสองสามปีที่ผ่านมา”

ซึ่งเฉวจ้องมองไปที่หลิวหรูเยว่อย่างเย็นชาพร้อมกับกล่าวขึ้น “ดูเหมือนจะมีบางอย่างที่น้องว่านยังไม่ทราบ ศิษย์แก่นกลางของเจ้า

-หยางฉี ถูกโค่นลงโดยศิษย์ใหม่ของท่านเจ้ายอดเขาหลิวที่โถงคุณความชอบ นอกจากนั้น เขายังไม่ต้องใช้ถึงหนึ่งร้อยกระบวณท่า”

“นอกจากนั้นยังมีกระบี่เร็วหลินเฟิง เขาเป็นที่ขบขันเสียยิ่งกว่าเขาล้มลงด้วยกําปั้นเดียว”

 

ว่านเพิ่งเผยสีหน้างุนงง เขามักจะเก็บตัวฝึกฝนอย่างสันโดษ หากไม่ใช่เพราะการทดสอบศิษย์แก่นกลางมันสําคัญยิ่ง เขาก็คงไม่ออกมา ดังนั้น เขาไม่รู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นภายในเทือกเขานัก

 

ว่านเฟิงหน้าตึงเล็กน้อย,มองหน้าผู้อาวุโสยอดเขาว่านเหรินที่อยู่ด้านหลังของเขา และถามขึ้น “ผู้อาวุโสซู, มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น?”

 

ผู้อาวุโสซูมีสีหน้าไม่น่าดู แต่เขาก็ยังคงบอกรายละเอียดทุกอย่างที่เขารู้กับว่านเฟิง

 

หลังจากที่ว่านเพิ่งฟังคําอธิบายจากผู้อาวุโสซูเขามีสีหน้ามืดมัว เขามองไปที่หลิวหรูเยว่และถามขึ้น หลังจากที่ไม่ได้ออกมาเสียระยะหนึ่ง,ยอดเขาฉิงหยุนในตอนนี้ก็ได้มีผู้สืบทอดที่คาดไม่ถึง

หลิวหรูเยว่ไร้สีหน้านางรู้ว่าซ่งเฉวพยายามจะสร้างความขัดแย้ง นางจ้องมองซ่งเฉวอย่างเย็นชาและกล่าวอย่างไม่แยแส “เจ้าเหลือเพียงแขนเดียวแต่ความคิดยังชั่วร้ายเหมือนเดิม ระวังเอาไว้ เดี๋ยวเจ้าจะกัดลิ้นตัวเองขาดไปอีก”

 

ขณะที่ซ่งเฉิวกําลังจะกล่าวตอบโต้,เหลิ่งเทียนเจิ้งมองไปที่เขาอย่างรังเกียจ “น้องซ่ง เจ้ายุ่งเพียงเรื่องของตัวเองเถอะ เป็นการดีที่สุดที่จะพูดน้อยเกี่ยวกับเรื่องของคนอื่น”

ท่าเจ้ายอดเขาสตรีหยก,ผู้ที่นิ่งเงียบมาตลอด,กล่าวขึ้น “น้องซ่ง,ตามจริงไม่จําเป็นต้องไปตัดสินเรื่องนี้รวดเร็วนัก ความแข็งแกร่งของหยางฉีในหมู่ศิษย์แก่นกลางก็นับได้ว่าไม่โดดเด่นนัก มันก็ไม่น่าแปลกใจอะไรที่จะมีศิษย์ชั้นในล้มเขาลงได้ มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นทุกปีภายในศาลากระบี่สวรรค์”

 

“นอกจากนั้น,หมัดที่ล้มหลินเฟิงลงได้ยังมีค่าให้พูดถึงเสียมากกว่าไม่มีเรื่องอะไรให้แปลกใจเกินไปนัก ที่สําคัญยิ่งกว่านั้น,ข้าได้ยินมาว่ายอดเขาเทียนเยว่เมื่อเร็วๆนี้ได้รับศิษย์เข้ามาใหม่ เขาได้ฝึกฝนทักษะกระบี่หลิงหยุนจนถึงระดับสมบูรณ์ขั้นยอดเยี่ยม ไม่มีใครที่ฝึกฝนทักษะกระบี่หลิงหยุนจนไปถึงระดับสมบูรณ์ขั้นยอดเยี่ยมมานานนับร้อยปีแล้ว”

 

เขาฝึกฝนทักษะกระบี่หลิงหยุนจนไปถึงระดับสมบูรณ์ขั้นยอดเยี่ยม! เมื่อคนที่เหลือได้ยินเช่นนี้,พวกเขาต่างเผยสีหน้าตะลึง นั่นมันเทียบเท่าได้กับทักษะกระบี่ระดับปฐพีขั้นสูง หากเขาสามารถฝึกฝนมันจนไปถึงขั้นยอดเยี่ยม,จะไม่มีนักบ่มเพาะพลังที่อยู่ระดับขอบเขตเดียวกันคนใดจะมาเทียบชั้นกับเขาได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Immortal and Martial Dual Cultivation 219 การทดสอบศิษย์แก่นกลาง

Now you are reading Immortal and Martial Dual Cultivation Chapter 219 การทดสอบศิษย์แก่นกลาง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 219 การทดสอบศิษย์แก่นกลาง

นับตั้งแต่ที่หลิวสุยเฟิงกลับลงมาจากจุดยอดเขา เขาก็ได้ฝึกหนักยิ่งกว่าปกติ:เขาไม่ได้ออกจากยอดเขาฉิงหยุนมาตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมา

 

หลิวหรูเยว่รู้สึกแปลกที่จู่ๆก็พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ นางได้ถามเซี่ยวเฉินว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เซี่ยวเฉินเชื่อว่าหลิวสุยเฟิงนั้นคงไม่อยากให้พี่สาวของเขารู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงทําได้เพียงบอกนางว่าเขาก็ไม่รู้อะไร

 

เซี่ยวเฉินพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นเขาก็นึกอะไรขึ้นได้ เขาหยิบเอากลีบดอกดาวเรืองแสงไหลออกมาจากแหวนห้วงจักรวาลและยื่นให้กับหลิวสุยเฟิง “นี่สําหรับเจ้า มันน่าจะช่วยเจ้าได้ก่อนที่จะถึงการทดสอบศิษย์แก่นกลาง

 

หลิวสุยเฟิงมองไปที่กลีบดอกดาวเรืองแสงไหล เขาเต็มไปด้วยความงุนงงพร้อมกับถามขึ้น “นี่คือดอกอะไร? กลิ่นของมันเข้มข้นมาก”

 

เมื่อกลิ่นของดาวเรืองแสงไหลพุ่งออกไป,มันดึงดูดความสนใจของหลิวหรูเยว่ในทันที เมื่อนางเห็นดอกดาวเรืองแสงไหลในมือของหลิวสุยเฟิงนางก็เผยสีหน้าประหลาดใจ นางรีบเดินตรงเข้ามาและ ถามขึ้นด้วยน้ําเสียงตกตะลึง “ดอกดาวเรืองแสงไหล? เย่เฉิน,เจ้าไป ได้มันมาจากไหน? อ้าเนี่มันไม่ใช่ดอกดาวเรืองแสงไหลทั่วไป,มันเกือบจะไปถึงสมบัติระดับอมตะ”

 

หลิวหนูเยว่หยุดลงหลังจากกล่าวไป.สีหน้าของนางเปลี่ยนจากตกตะลึงเป็นตกใจ นางรีบคว้าดอกดาวเรืองแสงไหลจากมือของหลิวสุยเฟิงและยื่นมันกลับไปให้เซี่ยวเฉิน “เยาเฉิน,ดอกดาวเรืองแสงไหลนี้มันล้ําค่ามากเกินไป สุยเฟิงรับมันเอาไว้ไม่ได้”

 

“ดอกดาวเรืองแสงไหล?” หลิวสุยเฟิงสีหน้าเปลี่ยน “ดอกดาวเรืองแสงไหลในตํานานที่สามารถยกระดับความสามารถในการเข้าใจ และช่วยชุบร่างกายให้เกิดใหม่?!”

 

เซี่ยวเฉินโบกมือและหยิบเอาออกมาอีกกลีบ “มันเป็นสิ่งอัศจรรย์ที่ข้าพบในเหมืองวิญญาณ ข้าได้ใช้มันไปแล้วหนึ่งกลีบ,ไม่มีประโยชน์ที่จะใช้ไปมากกว่านี้ ข้าก็ได้เตรียมอีกหนึ่งกลีบไว้ให้พี่สาวหรูเยว่ สําหรับตอนที่กําลังจะทะลวงขึ้นระดับขอบเขตกษัตริย์ยุทธ แต่ข้าจะให้มันไปเสียเลยในตอนนี้”

 

หลิวหรูเยว่เป็นคนซื่อตรงตลอด เมื่อนางได้ยินถึงเรื่องราวทั้งหมด,นางก็รับมันเอาไว้และกล่าวอย่างขอบคุณกับเซี่ยวเฉิน “ พวกเราทั้งสองติดหนี้เจ้าก้อนใหญ่”

 

สีหน้าของหลิวสุยเฟิงเปลี่ยนเป็นจริงจังเช่นกัน เขาตบลงที่หลังของเซี่ยวเฉินซ้ําๆและกล่าวขึ้น “พี่น้อง,ข้าจะจดจําเรื่องนี้เอาไว้ ด้วยดอกดาวเรืองแสงไหลกลีบนี้ไม่มีปัญหาที่ข้าจะทะลวงขึ้นสู่ระดับขอบเขตนักบุญในสิ้นปีนี้”

“ใครจะรู้,พวกในสามวันนี้,ข้าอาจจะบรรลุถึงที่กษะกระบี่ผ่าภูผาและฝึกฝนขึ้นไปถึงระดับสมบูรณ์ขั้นยอดเยี่ยม ข้าจะผ่านการทดสอบและกลายเป็นศิษย์แก่นกลาง”

 

สามวันต่อมา,ที่ด้านหลังของยอดเขาฉิงหยุน:

บยอดเขา!”

 

เซี่ยวเฉินยืนอยู่ในป่าและหันกลับ เขายิงออกอย่างรวดเร็วไปด้านหน้าของเขาและกระบี่ในมือของเขาเคลื่อนไหวเป็นประกาย ลมหมุนรุนแรงก่อตัวขึ้นโดยรอบ,มุ่งหน้ามายังคมกระบี่สีขาวหิมะของกระบี่เงาจันทร์

 

กระแสพลังของเขารวมตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผ่านไปครู่หนึ่ง,ยอดเขาเล็กควบรวมขึ้นที่ด้านหลังของเซี่ยวเฉิน กระแสพลังของเขาทันใดนั้นเร่งขึ้นถึงขีดสุด,ราวกับว่าเขากําลังยืนอยู่บนจุดยอดภูเขา

 

ไม่! ยังไม่ใช่ เจตนารมณ์ของเบี่ยงวิถีรอบขุนยอดเขาจะต้องไม่ใช่แบบนี้ เซี่ยวเฉินทันใดนั้นก็ส่ายหัวและครุ่นคิดกับตัวเอง ความหมายของเบี่ยงวิถีรอบยอดเขาเป็นผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงที่ค้นพบเมื่อไปถึงจุดสิ้นสุด

 

อย่างไรก็ตามเจตนารมณ์ที่ข้าได้แสดงออกมาตอนนี้เข้าถึงความไม่เกรงกลัวและคับแค้น,แต่กระแสพลังดุร้ายรุนแรงและกระหายชัยชนะ มันไม่มีการเบี่ยงบิดแม้แต่น้อย

 

ความงุนงงปรากฏขึ้นในใจของเซี่ยวเฉิน กระแสพลังที่เขาควบรวมขึ้นมาก็รั่วไหล ยอดเขาเล็กด้านหลังของเขาทันใดนั้นก็หายลับไปสู่ความว่างเปล่า

เขาถอนกระบี่ของเขากลับมาใบหน้าของเขาซีดเล็กน้อย นี่เป็นผลย้อนกลับจากกระบวนท่าที่ล้มเหลว

 

“ไม่เป็นไร,ดูเหมือนเวลานั้นยังมาไม่ถึง มันเป็นเพียงการทดสอบศิษย์แก่นกลาง ด้วยความแข็งแกร่งของข้า แม้ว่าจะปราศจากการบรรลุถึงสิ่งนี้, กระบวณท่าที่สิบหกของที่กษะกระบี่หลิงหยุนก็เพียงพอที่จะผ่านไปได้” เซี่ยวเฉินกล่าวขึ้นหลังจากที่เขาควบคุม พลังปราณที่ปั่นป่วนในร่างของเขา

เช้าวันต่อมา ท้องฟ้าเพิ่งจะแจ้ง หลิวหรูเยว่และหลิวสุยเฟิงก็ได้ มาถึงที่ลานบ้านของเขาแล้ว มีนกสีเขียวยืนนิ่งเงียบอยู่ที่ด้านข้างของพวกเขา

“ได้เวลาไปแล้ว ข้าจะไม่ได้ไปส่งพวกเจ้าทั้งสองที่การทดสอบศิษย์แก่นกลาง สุยเฟิงรู้สถานที่ ข้าขอให้พวกเจ้าโชคดี” หลิวหรูเยว่ยิ้มบางไปที่เซี่ยวเฉิน ผู้ที่เพิ่งเดินออกมา

 

เซี่ยวเฉินพยักหน้าและกระโดดขึ้นไปบนนกสีเขียวที่ นกสีเขียวกระพือปีกของมันอย่างแรง,เกิดเป็นสายลมรุนแรงพร้อมกับทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า มันโผไปในแสงอาทิตย์ที่สาดส่องและบินไปทางทิศตะวันออก

 

สายลมไหลผ่านหูของพวกเขา เซี่ยวเฉินยืนอยู่ด้านหลังของหลิวสุยเฟิง เขาสามารถรู้สึกได้ว่ากระแสพลังของหลิวสุยเฟิงแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าจากสามวันก่อน เขาพูดขึ้น “ยินดีด้วย ความแข็งแกร่งของเจ้าเพิ่มขึ้นอย่างมากภายในสามวันที่ผ่านมา”

 

หลิวสุยเฟิงเผยรอยยิ้มพึงพอใจ “อืม! มันต้องขอบคุณดอกดาวเรืองแสงไหลที่เจ้ามอบให้ข้า ข้าฝึกฝนทักษะกระบี่ผ่าภูผาจนถึงระดับสมบูรณ์ขั้นต้นได้ภายในสามวัน ด้วยการใช้ทักษะระดับปฐพีนี้ ข้าเชื่อว่าข้าจะกลายเป็นศิษย์แก่นกลางได้ภายในปีนี้”

“การทดสอบศิษย์แก่นกลางมันยากนัก? ทําไมข้ารู้สึกว่าเหล่าศิษย์แก่นกลางพวกนั้นไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมากมาย?” เซี่ยวเฉินถามขึ้นขณะที่เขายืนอยู่ด้านหลังของหลิวสุยเฟิง

สีหน้าของหลิวสุยเฟิงจมลึก เขาพยักหน้าและพูดขึ้น “ยากสาหัส จาก 5,000 ศิษย์ชั้นทั่วทั้งศาลากระบี่สวรรค์, มีเพียง 500 ที่นั่ง สําหรับศิษย์แก่นกลาง”

 

“ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า,การทดสอบศิษย์แก่นกลางน่าจะไม่ใช่ปัญหา เหตุที่ว่าทําไมเจ้าถึงไม่ได้พบเจอกับศิษย์แก่นกลางที่แข็งแกร่ง มันเป็นเพราะพวกเขาทั้งหมดล้วนฝึกฝนตัวเองอยู่ภายนอก พวกเขาจะไม่กลับมาที่ศาลากระบี่สวรรค์จนกว่าจะถึงสิ้นปี”

ศาลากระบี่สวรค์,ฐานส่องสวรรค์, พื้นที่ฝึก

 

พื้นที่ผู้ชมหนาแน่นไปด้วยศิษย์ชั้นใน พวกเขามาที่นี่เพื่อชมการทดสอบศิษย์แก่นกลางที่จัดขึ้นปีละครั้ง และมีส่วนร่วมในความตื่นเต้น

งานนี้เป็นรองเพียงสงครามจัดอันดับในตอนสิ้นปี หลายคนเลือกที่จะวางสิ่งที่กําลังทําและเข้ามาชมความตื่นเต้นที่นี่ แม้พวกเขาจะไม่ได้เข้าร่วมก็ตาม

มีผู้อาวุโสหลายคนนั่งอยู่บนฐานสูง พวกเขาเป็นคนจากสภาสูง:พวกเขาเป็นผู้คุมกฏที่แท้จริงของศาลากระบี่สวรรค์

 

เจ็ดท่านเจ้ายอดเขานั่งอยู่ที่ด้านข้างด้วยสีหน้าสงบนิ่ง อย่างไรก็ตาม,ไม่มีใครรู้สึกถึงอารมณ์ของพวกเขาในตอนนี้

 

ด้วยทรัพยากรที่มีอยู่จํากัดของศาลากระบี่สวรรค์, แม้แต่ท่านเจ้ายอดเขาก็ไม่มีอํานาจที่จะแต่งตั้งศิษย์แก่นกลางขึ้นมา เพื่อที่จะกลายเป็นศิษย์แก่นกลางผู้นั้นจะต้องผ่านการทดสอบที่จัดขึ้นมาโดยโถงหลักเท่านั้น

 

เป็นเป็นวิธีวัดระดับที่ดียิ่งว่ายอดเขาใดที่แข็งแกร่งที่สุดะยิ่งมีศิษย์แก่นกลางเยอะ,ยอดเขาก็จะยิ่งแข็งแกร่ง

 

ในตอนนี้ ยอดเขาที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือยอดเขาเทียนเยว่ พวกเขาจับจองที่นั่งศิษย์แก่นกลางไปเกือบครึ่ง,ซึ่งมากกว่า 200 คน

 

นอกจากยอดเขาฉิงหยุนที่อ่อนแอที่สุดและยอดเขาสตรีหยกที่ล้วนมีแต่สตรี,ยอดเขาอื่นมีความแข็งแกร่งที่ทัดเทียมกันมาก ไม่มีความแตกต่างกันมากนักระหว่างพวกเขา

 

ซึ่งเฉวผู้ที่เป็นไอ้ด้วนแขนเดียวไม่ได้มีเปลวแสงในดวงตามากนัก เขาได้เสียแขนไปหนึ่งข้าง เป็นผลให้เขาสูญเสียการแข่งขันในการขึ้นบนท้านเจ้าศาลา

 

ทันใดนั้น,ซ่งเฉียวมองออกไปไกลและจ้องมองไปที่ท่านเจ้ายอดเขาเทียนเยว่ผู้นิ่งสงบ เหลิ่งเทียนเฉิง เขายิ้มและกล่าวขึ้น “ดูเหมือนพี่เหลิ่งจะกล่าวตําแหน่งศิษย์แก่นกลางถล่มทลายอีกแล้วในครานี้ ข้าสงสัยว่ายอดเขาเทียนเยว่จะส่งสานุศิษย์เข้ามาเท่าไหรในครั้งนี้”

เหลิ่งเทียนเจิ้งจ้องมองไปยังซ่งเฉว่และหัวเราะเย็นชาในใจของเขา เขารอยยิ้มอ่อนพร้อมกับกล่าวขึ้นอย่างเฉยเมย “ประมาณหนึ่งร้อยได้,ข้าก็ไม่แน่ใจนัก”

 

เมื่อท่านเจายอดเขาอื่นได้ยินดังนั้น,พวกเขาสีหน้าเปลี่ยน มันมีเพียง 50 ตําแหน่งศิษย์แก่นกลางในการทดสอบแต่ละปี แม้ว่าจะมีผู้มากพรสวรรค์มากมายเพียงใด,จํานวนที่นั่งก็ไม่มีเพิ่มขึ้น

ศิษย์ชั้นในผู้ที่ต้องการจะเข้าร่วมการทดสอบศิษย์แก่นกลางจะต้องยกระดับพลังให้ถึงขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธขั้นสูงก่อนที่จะอายุสิบเก้าปี ยอดเขาอื่นอย่างดีที่สุดก็มีศิษย์เพียงยี่สิบกว่าคนที่สามารถผ่านข้อกําหนดนี้

 

เมื่อเทียบกับยอดเขาเทียนเยา,พวกเขาไม่มีค่าให้กล่าวถึง หากพวกเขาอยากจะแข่งขัน, พวกเขาไม่มีทางที่จะชนะได้ ดูเหมือนยอดเขาเทียนเยว่จะกวาดที่นั่งไปอย่างน้อยก็ครึ่งนึงในการทดสอบศิษย์แก่นกลางครั้งนี้

 

ค่าตอบแทนและเบี้ยเลี้ยงศิษย์แก่นกลางมันมากกว่าศิษย์ชั้นในทั่วไปอย่างน้อยก็สามเท่า การบ่มเพาะพลังของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก

 

หากทุกที่นั่งถูกยอดเขาเทียนเยว่กวาดเอาไปเช่นนั้น พวกเขาก็ต้องลืมเกี่ยวกับการขึ้นแซงยอดเขาเทียนเยว่ไปอีกยาวนาน;พวกเขามีเพียงถูกกดข่มเอาไว้

 

เมื่อพวกเขาคิดถึงตรงนี้,ท่าเจ้ายอดเขาอื่นๆต่างแลกเปลี่ยนสายตากัน มีความช่วยไม่ได้เจืออยู่ในสายตาของพวกเขา

 

ความมืดมัวเย็นยะเยือกปรากฏขึ้นในสายตาของซ่งเฉว เขาเหล่มองไปที่หลิวหรูเยว่และกล่าวขึ้น “ถึงอย่างไร, ข้าเกรงว่าคงไม่มีใครจากยอดเขาของพี่เหสิ่งที่จะขึ้นเป็นที่หนึ่ง”

 

ท่านเจ้ายอดเขาว่านเหริน ว่านเฟิง ผู้ที่นั่งด้านข้างของเขาเกิดไม่เข้าใจ จึงถามขึ้น “ทําไม? อันดับหนึ่งตกเป็นของยอดเขาเทียนเยว่ตลอดสองสามปีที่ผ่านมา”

ซึ่งเฉวจ้องมองไปที่หลิวหรูเยว่อย่างเย็นชาพร้อมกับกล่าวขึ้น “ดูเหมือนจะมีบางอย่างที่น้องว่านยังไม่ทราบ ศิษย์แก่นกลางของเจ้า

-หยางฉี ถูกโค่นลงโดยศิษย์ใหม่ของท่านเจ้ายอดเขาหลิวที่โถงคุณความชอบ นอกจากนั้น เขายังไม่ต้องใช้ถึงหนึ่งร้อยกระบวณท่า”

“นอกจากนั้นยังมีกระบี่เร็วหลินเฟิง เขาเป็นที่ขบขันเสียยิ่งกว่าเขาล้มลงด้วยกําปั้นเดียว”

 

ว่านเพิ่งเผยสีหน้างุนงง เขามักจะเก็บตัวฝึกฝนอย่างสันโดษ หากไม่ใช่เพราะการทดสอบศิษย์แก่นกลางมันสําคัญยิ่ง เขาก็คงไม่ออกมา ดังนั้น เขาไม่รู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นภายในเทือกเขานัก

 

ว่านเฟิงหน้าตึงเล็กน้อย,มองหน้าผู้อาวุโสยอดเขาว่านเหรินที่อยู่ด้านหลังของเขา และถามขึ้น “ผู้อาวุโสซู, มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น?”

 

ผู้อาวุโสซูมีสีหน้าไม่น่าดู แต่เขาก็ยังคงบอกรายละเอียดทุกอย่างที่เขารู้กับว่านเฟิง

 

หลังจากที่ว่านเพิ่งฟังคําอธิบายจากผู้อาวุโสซูเขามีสีหน้ามืดมัว เขามองไปที่หลิวหรูเยว่และถามขึ้น หลังจากที่ไม่ได้ออกมาเสียระยะหนึ่ง,ยอดเขาฉิงหยุนในตอนนี้ก็ได้มีผู้สืบทอดที่คาดไม่ถึง

หลิวหรูเยว่ไร้สีหน้านางรู้ว่าซ่งเฉวพยายามจะสร้างความขัดแย้ง นางจ้องมองซ่งเฉวอย่างเย็นชาและกล่าวอย่างไม่แยแส “เจ้าเหลือเพียงแขนเดียวแต่ความคิดยังชั่วร้ายเหมือนเดิม ระวังเอาไว้ เดี๋ยวเจ้าจะกัดลิ้นตัวเองขาดไปอีก”

 

ขณะที่ซ่งเฉิวกําลังจะกล่าวตอบโต้,เหลิ่งเทียนเจิ้งมองไปที่เขาอย่างรังเกียจ “น้องซ่ง เจ้ายุ่งเพียงเรื่องของตัวเองเถอะ เป็นการดีที่สุดที่จะพูดน้อยเกี่ยวกับเรื่องของคนอื่น”

ท่าเจ้ายอดเขาสตรีหยก,ผู้ที่นิ่งเงียบมาตลอด,กล่าวขึ้น “น้องซ่ง,ตามจริงไม่จําเป็นต้องไปตัดสินเรื่องนี้รวดเร็วนัก ความแข็งแกร่งของหยางฉีในหมู่ศิษย์แก่นกลางก็นับได้ว่าไม่โดดเด่นนัก มันก็ไม่น่าแปลกใจอะไรที่จะมีศิษย์ชั้นในล้มเขาลงได้ มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นทุกปีภายในศาลากระบี่สวรรค์”

 

“นอกจากนั้น,หมัดที่ล้มหลินเฟิงลงได้ยังมีค่าให้พูดถึงเสียมากกว่าไม่มีเรื่องอะไรให้แปลกใจเกินไปนัก ที่สําคัญยิ่งกว่านั้น,ข้าได้ยินมาว่ายอดเขาเทียนเยว่เมื่อเร็วๆนี้ได้รับศิษย์เข้ามาใหม่ เขาได้ฝึกฝนทักษะกระบี่หลิงหยุนจนถึงระดับสมบูรณ์ขั้นยอดเยี่ยม ไม่มีใครที่ฝึกฝนทักษะกระบี่หลิงหยุนจนไปถึงระดับสมบูรณ์ขั้นยอดเยี่ยมมานานนับร้อยปีแล้ว”

 

เขาฝึกฝนทักษะกระบี่หลิงหยุนจนไปถึงระดับสมบูรณ์ขั้นยอดเยี่ยม! เมื่อคนที่เหลือได้ยินเช่นนี้,พวกเขาต่างเผยสีหน้าตะลึง นั่นมันเทียบเท่าได้กับทักษะกระบี่ระดับปฐพีขั้นสูง หากเขาสามารถฝึกฝนมันจนไปถึงขั้นยอดเยี่ยม,จะไม่มีนักบ่มเพาะพลังที่อยู่ระดับขอบเขตเดียวกันคนใดจะมาเทียบชั้นกับเขาได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+