Immortal and Martial Dual Cultivation 129 สวรรค์และมนุษย์

Now you are reading Immortal and Martial Dual Cultivation Chapter 129 สวรรค์และมนุษย์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 129 สวรรค์และมนุษย์

วันเวลาในการบ่มเพาะพลังช่างเปล่าเปลี่ยวอย่างไม่น่าเชื่อ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นและตกลง;หมู่เมฆรวมตัวและแตกกระจายไป เซียวเฉินราวกับรูปปั้น,ไม่เคลื่อนไหว หลังจากครึ่งเดือน สัญลักษณ์ค่ายกลเริ่มแตกร้าวอย่างช้าๆ,หินวิญญาณขั้นกลางทั้งหมดสิบชิ้นกลายเป็นฝุ่นผง

“บูม!” เซี่ยวเฉินลืมตาของเขาและยิงลําแสงสีม่วงออกมา หลังจากบ่มเพาะพลังอย่างสาหัสและตั้งตนรู้แจ้งมามากกว่าหนึ่งเดือน,บวกกับการบ่มเพาะพลังที่เขาฝึกในค่าย กลรวบรวมจิตวิญญาณ,ในที่สุดเขาก็มาถึงระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธขั้นสูงสุด

มีรอยยิ้มบางๆบนใบหน้าของเซี่ยวเฉินในที่สุดเขาก็มีสีหน้าพึงพอใจ อย่างไรก็ตาม เมื่อเขานึกขึ้นได้ว่าจี้ชาง คงก้าวขึ้นสู่ระดับขอบเขตนักบุญเมื่อนานมาแล้วได้เช่นไรและผู้สืบทอดของตระกูลชั้นสูงพร้อมจิตวิญญาณยุทธที่ตกทอดผู้ที่อยู่ระดับขอบเขตปรมจารย์ขั้นสูงสุด,เขาก็หมดกําลังใจอย่างช่วยไม่ได้

**จิตวิญญาณต่อสู้ เปลี่ยนเป็นจิตวิญญาณยุทธนะครับ

หากเพียงแค่เขาเป็นเหมือนคนพวกนั้น,ปลุกจิตวิญญาณยุทธของเขาขึ้นมาได้ตั้งแต่กําเนิดจากนั้นเขาไม่จําเป็นต้องเสียเวลาไปกว่า 15 ปี ด้วยพรสวรรค์ของเขา,ระดับการบ่มเพาะพลังของเขาจะต้องไม่ด้อยไปกว่าคนพวกนั้น

“บูม!”

เรือสงครามขนาดมหึมาค่อยๆลงจอดบนยอดเขา หลังจากที่ฟื้นฟูด้วยสายฟ้ามาเป็นเวลา 49 วัน,สมบัติลับชิ้นนี้ฟื้นคืนกลับไปอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ที่สุดของมัน

อย่างไรก็ตามเรือสงครามขนาดยักษ์ลํานี้ช่างดูประเจิดประเจ้อ เพียงความนึกคิดของเซี่ยวเฉิน,ธงบนหัวเรือลอยไปที่ดวงตาของเซียวเฉินและเรือสงครามก็หดขนาดลงอย่างรวดเร็ว

หลังจากผ่านไปไม่นานเรือสงครามสีเงินขนาดเล็กปรากฏขึ้น เซี่ยวเฉินยิ้มบางๆและกระโดดขึ้นไปบนเรือขนาดเล็ก เขามองไปยังเมืองไปสู่ยที่อยู่ไกลออกไปและพูดขึ้น เบาๆ “ได้เวลากลับไปแล้ว!”

ค่ายกลเริ่มทํางาน,และเรือสงครามสีเงินลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า มันไหลไปตามสายลมและรวดเร็วราวกับสายฟ้าเร็วกว่าคาถาแรงโน้มถ่วงของเซี่ยวเฉินไปหลายเท่าตัว

สายลมคํารามอยู่ในหูของเซี่ยวเฉิน เซี่ยวเฉินยืนอยู่ที่หัวเรือและมือของเขาไพล่ไปข้างหลังเสื้อผ้าหน้าผมของเขาไหวไปตามสายลม ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาเผยความสุขุม,มีความรู้สึกคลุมเครือของความอมตะ

เซี่ยวเฉินรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากเขาไม่เคยบินได้รวดเร็วและนุ่มนวลได้เช่นนี้มาก่อน ทุกอณูในร่างของเขาผ่อนคลาย

ในที่สุด เซี่ยวเฉินลดความเร็วลงและเพิ่มระดับความสูงของเรือ,หลบเลี้ยงสัตว์อสูรวิญญาณประเภทปีกทั้งหลาย เขานั่งลงบนหัวเรือและหยิบเอาขวดเหล้า,รวมถึงของขบเคี้ยวอีกเล็กน้อยออกมาจากแหวนห้วงจักรวาล เขาเพลิดเพลินไปกับเหล้าและอาหาร

สายฝนที่ตกลงมากว่าหนึ่งเดือนได้หยุดลงดวงอาทิตย์หลังฝนนําความอบอุ่นเข้ามา เซียวเฉินเพลิดเพลินไปกับสายลมพร้อมกับกระดกเหล้าและกินของขบเคี้ยวของเขา เขาเผยรอยยิ้มพึ่งพอใจพร้อมกับมองไปยังทิวทัศน์รอบตัวของเขา

ในจังหวะนี้เอง ในที่สุดเขาได้เรียนรู้ว่ามันจะเป็นเช่นไร เมื่อมีความเป็นอมตะ, พเนจรไปรอบโลกพร้อมเหล้าสุรา,มองดูหมู่เมฆรวมตัวและแตกสลาย,บุปผาผลิบานและร่วงโรย,มองดูทั่วทั้งอาณาจักรทุกวันและคืนรู้สึกอิสระและเสรี

เซี่ยวเฉินนั่งบนหัวเรือ,ท่องไปบนฟ้าสูง ขณะที่เขากําลังจะพ้นเขตป่าอํามหิต,สัมผัสวิญญาณของเซียวเฉินตรวจจับเรือสีดําด้านล่างของเขาได้

เซี่ยวเฉินรู้สึกประหลาดใจ เขารีบเพิ่มระดับความสูงของเรือและตรวจสอบโดยรอบของเขาอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นครู่หนึ่ง,ราชวังน้ำแข็งลึกล้ำของตระกูลต้วนมู่เรือรบสีทองของขุนนางกุยยี่,และเรือรบทมิฬของตระกูลฮวาต่างปรากฏตัวขึ้น

เซี่ยวเฉินเผยรอยยิ้มบางเบา “คนพวกนี้ช่างอุตสาหะ เป็นเวลามากกว่าหนึ่งเดือนแล้ว และพวกเขายัง ม่กลับออกไปอีก”

“ฮู่ ชี!”

เรือสงครามสีเงินทันใดนั้นก็เพิ่มความเร็ว เซี่ยวเฉินขยับจากหัวเรือไปที่ท้องเรือ เขาควบคุมค่ายกลของสมบัติลับด้วยพลังทั้งหมดของเขา

สมบัติลับโบราณทันใดนั้นก็แสดงให้เห็นถึงความรวดเร็วอันน่าสะพรึง มันกลายเป็นแสงสีเงินและมุ่งหน้าตรงไปที่เมืองไปสุ่ยด้วยความรวดเร็วมหาศาล

เมื่อมันได้ระยะห่างหนึ่งพันเมตรจากเมืองไปสุ่ย, เซี่ยวเฉินก็หยุดเรือสงครามสีเงินไว้บนท้องฟ้า เขาไม่ได้เร่งรีบที่จะลงไปข้างล่าง

เขาสามารถจินตนาการได้ถึงสถานการณ์ภายในเมืองไป สุ่ยโดยไม่ต้องไปเสียเวลาคิดให้เยอะ ใบประกาศค่าหัวของเขาจะต้องแปะไว้ทั่วทุกมุมเมือง ค่าหัวที่เหล่าตระกูลชั้นสูง ทั้งหลายแปะไว้บนหัวเขา, อย่างไม่ต้องสงสัย,มันมากเกินกว่าที่ตระกูลเจียงสามารถทําได้

เซี่ยวเฉินนึกขึ้นได้ว่าในตําราบ่มเพาะพลังมีคาถาเปลี่ยนลักษณ์ เมื่อฝึกฝนไปถึงขั้นสมบูรณ์สุดยอดเขาจะสามารถเปลี่ยนกายไปเป็นสิ่งของได้มากมายะภูเขาสูงหรือธาร น้ำไหล, อสูรปีศาจประเภทปีกหรือสิ่งมีชีวิตบนบก,หรือแม้แต่ดวงอาทิตย์ จันทรา,หรือดวงดารา

เซี่ยวเฉินคิดว่ามันช่างมีประโยชน์ในสถานการณ์เช่นนี้ เซี่ยวเฉินไม่ได้คาดหวังว่าจะสําเร็จไปถึงขั้นระดับตํานาน; ทั้งหมดที่เขาต้องการมีเพียงแค่สามารถเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาของเขาเล็กน้อยเท่านั้น

ในไม่ช้า, ดวงอาทิตย์จมลงขอบฟ้า:มันเริ่มค่ํามืด เซี่ยวเฉินฝึกฝนคาถาเปลี่ยนลักษณ์ถึงระดับแรกเริ่มเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม,เขาก็ยังไม่คุ้นชินกับมัน;เขาไม่สามารถเปลี่ยนความสูงหรือรูปร่างของเขาได้

ตั้งแต่ที่ทักษะอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาถึงชั้นที่สาม, เขาสามารถฝึกฝนคาถาขั้นรองส่วนใหญ่ในตําราบ่มเพาะพลังได้หมด อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้มีเวลาไปศึกษา เป็นผลให้เซี่ยวเฉินต้องมาเรียนเอาหน้างานในตอนที่เขาจําเป็นต้องใช้คาถาเปลี่ยนลักษณ์

จันทร์เต็มดวงลอยสูงบนท้องฟ้า,ล้อมรอบด้วยดวงดาวนับไม่ถ้วน เซี่ยวเฉินเปลี่ยนกายเป็นชายกลางคนผิวคล้ำ เขาจะใช้ท้องฟ้ายามค่ําคืนแอบเข้าไปในเมืองไปสุ่ย

“ก้อง! ก๊อง!”

ในจังหวะนั้นเอง,หยกวิญญาณสีเลือดบนหน้าอกของเซี่ยวเฉินทันใดนั้นก็ขยับ เซี่ยวเฉินรู้สึกปิติยินดี หลังจากนั้นไม่นาน เสี่ยวไป๋ก็กระโดดออกมาจากหยกวิญญาณสีเลือด

หลังจากที่หลับลึกไปเป็นเวลานาน

ในจังหวะที่เสี่ยวไปกระโดดออกมามันกระโดดขึ้นไปในอ้อมกอดของเซี่ยวเฉินในทันที มองเห็นเซี่ยวเฉินที่ตัวดําคล้ำ,มันไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นมันมองไปที่เซี่ยวเฉินด้วยดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจ

เซี่ยวเฉินยิ้มออกมาอย่างเป็นสุขและกลับคืนรูปร่างเดิม เสี่ยวไป๋กลายเป็นคุ้นเคยในทันทีเซี่ยวเฉินยิ้มขึ้น “ในตอนนี้ข้าถูกไล่ล่าโดยพวกคนไม่ดีและไม่อาจเผยรูปร่างหน้าตาที่แท้จริงได้ เจ้าควรหลบซ่อนอยู่ในหยกวิญญาณสีเลือดไปก่อนเข้าจะเลี้ยงข้าวต้มปลาเจ้าที่หลัง”

เสี่ยวไปพยักหน้าท่าทางน่ารัก มันกุมอุ้งเท้าของมันราวกับกําลังถือชามใบใหญ่ มันหมายความว่าอยากจะกินข้าวต้มปลาชามโตขนาดเท่านี้ ช่างน่ารักเป็นที่สุด:เซี่ยวเฉินหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้

เซียวเฉินขยายสัมผัสวิญญาณของเขาออกไปและพบสถานที่ไร้ผู้คน จากนั้นเขาก็ลดระดับลงมาจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว,กลายร่างเป็นชายกลางคนผิวสีดําเหมือเมื่อครู่ ตอนนี้เขาดูแตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง เขามุ่งหน้าเดินตรงไปที่ประตูเมืองอย่างวางมาด

มีใบค่าหัวของเซียวเฉินหกแผ่นแปะอยู่บนกําแพงเมือง ใต้แผ่นประกาศจับแต่ละแผ่นมีรายการรางวัลจับมหาศาล นอกจากเงิน,ตระกูลชั้นสูงแต่ละตระกูลยังเสนออาวุธวิญ ญาณและทักษะต่อสู้ระดับสูง

ที่ทําให้เซี่ยวเฉินต้องประหลาดใจก็คือใบป ระกาศจับจากตระกูลหยานจากเขตซีเขอ เขาส่ายหัวไปมาอย่าช่วยไม่ได้ “เมื่อตระกูลชั้นสูงลงมือ,พวกเขาช่างลงมือได้ เผด็จการเหลือเกิน”

“เขตตงหมิง,เขตซี่เขอ,เขตหนานหลิง และสํานักหลวง,ข้าถูกประกาศจับในสี่เขตของอาณาจักรต้าฉินดูเหมือจะไม่มีที่ให้เขายืนอีกต่อไปแล้ว”

เซี่ยวเฉินเข้าไปในเมืองไปสู่ยและมุ่งตรงไปที่ศาลาหลับไหล ในขณะที่ท้องฟ้ามืดลง,กิจการของศาลาหลับไหลกลายเป็นรุ่งเรือง เมื่อเซี่ยวเฉินเข้าไปในข้างใน,ที่ชั้นหนึ่ง แน่นขนัดเขามองไม่เห็นที่ว่างแม้แต่เก้าอี้เดียว

เซี่ยวเฉินเดินตรงไปที่ชั้นสอง ที่ชั้นสองเต็มไปด้วยนักบ่มเพาะพลังพวกเขาต่างถกเถียงกันถึงเรื่องที่ผ่านมาในเดือนนี้

“มันก็ผ่านมามากกว่าหนึ่งเดือนแล้ว:เหล่าตระกูลชั้นสูง แทบจะพลิกป่าอํามหิต อย่างไรก็ตาม,พวกเขาก็ยังไม่พบตัวเซี่ยวเฉิน”

“ข้าก็มีชีวิตอยู่มานาน และนี้เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นใคร บางคนกล้าท้าทายตระกูลชั้นสูงมากมายต่อหน้าทุกคน แม้แต่มู่เฉิงเซาแห่งวังราตรีเหมันต์ยังไม่ประกาศตนใหญ่โตเหมือนกับเซียวเฉิน”

“ข้าไม่เข้าใจบางอย่างเซี่ยวเฉินไปท้าทายตระกูลชั้นสูงมากมายในเวลาเดียวกันเช่นนี้ได้อย่างไร?”

“ฮ่าฮ่า, เซี่ยวเฉันท้าทายสามตระกูลชั้นสูงไปตั้งแต่เรื่อง แผนที่ซากโบราณแล้ว ข้าได้ยินมาจากผู้ที่หนีออกมาจาก ซากโบราณว่าหลังจากที่พวกเขาเข้าไปในซากโบ ราณ, เซียวเฉินปล้นตระกูลชั้นสูงทั้งสี่ตระกูล,ไม่เว้นแม้แต่ ขุนนางกุยย”

“เช่นนั้นเจ้าหมอนี้ก็แบกสมบัติมหาศาลเดินไปเดินมา? หากข้าจับตัวเขาได้,ข้าก็รวยเละ?”

“ไม่จําเป็นต้องไปจับตัวเขาเตราบใดที่เจ้ามีข่าวคราวเกี่ยว กับเขาและนําไปรายงานให้เหล่าตระกูลชั้นสูงเจ้าจะได้รับถึงหนึ่งพันเหรียญทอง”

เซี่ยวเฉินกําลังเดินตรงไปที่ชั้นสาม เสียงพูดคุยของเหล่าผู้บ่มเพาะพลังบนชั้นสองเสียงดังเกินไปเสียงพูดคุยทั้งหมดลอยเข้าหูเซี่ยวเฉิน เขาตกตะลึง;เขาไม่คาดคิดว่าหลังจากผ่านไปนานมากแล้ว เขายังคงเป็นข่าวลือและหัวข้อพูดคุยจนถึงวันนี้

เซี่ยวเฉินแสดงบัตรผ่านพิเศษและเข้าไปที่ชั้นสาม ที่ชั้นสามนั้นเงียบลงมาเยอะผู้คนส่วนใหญ่ต่างต่อรองราคากันด้วยเสียงเบา เซี่ยวเฉินมองไปรอบๆและเห็นผู้คนมาก มายทําการซื้อขายของที่ได้รับมาจากซากโบราณ

แม้ว่าจะมีผู้บ่มเพาะพลังมากมายตกตายในซากโบราณก็มีผู้บ่มเพาะพลังที่มีโชคหรือแข็งแกร่งบางคนที่จัดการหาของกลับมาได้

“หือ!” เมื่อเซี่ยวเฉินกําลังจะนั่งลง,เขาเห็นผู้บ่มเพาะพลังผู้หนึ่งกําลังขายกระดิ่งทองแด งชิ้นเล็กและสวยงามประณีต กระดิ่งทองแดงชิ้นนั้นดูเก่าแก่น่าเสียดาย,พื้นผิวของมันได้รับความเสียหายหนัก

เซี่ยวเฉินขยายสัมผัสวิญญาณของเขาออกไปและสัมผัสกับกระดิ่งทองแดง ทันใดนั้น,เสียงแหลมสูง ดังขึ้นในหัวของเขาจิตใจของเขาสั่นสะเทือนเขา เกือบจะหมดสติไป เซียวเฉินตกตะลึงอย่างที่สุด และเขารีบถอนสัมผัสวิญญาณของเขากลับมา

“เฮ! ข้าเสี่ยงชีวิตและพบของชิ้นนี้อยู่ในโลงศพภายใน ซากโบราณ ข้าแน่ใจว่ามันคือสมบัติลับ เจ้าเสนอเพียงหนึ่งพันเหรียญเงิน? ช่างไร้สาระ!” เจ้าของกระดิ่งเงินคือระดับ

ขอบเขตปรบอารย์ผู้คนใบชดดลบสีเทา ในตอนนั้นแอบเขามีท่าทีเดือดดาล

แขนขวาของเขาหายไปตั้งแต่ข้อศอก หลังจากที่เขาได้ยินข้อเสนอจากอีกฝ่าย,สีหน้าของเขากลายเป็นซีดเทา,และท่าทีของเขากลายเป็นเกรี้ยวโกรธหลังจากเดิน ทางไปซากโบราณครั้งนี้,แขนของเขาถูกตัดตั้งแต่ข้อศอกลงไปและกลายเป็นคนพิการ เดิมที่เขาคิดว่าสามารถขายกระดิ่งทองแดงชิ้นนี้ได้ราคางามใครจะรู้ว่ามันจะได้ราคาเพียงหนึ่งพันเหรียญเงิน?

ที่นั่งตรงข้ามของปรมาจารย์ชุดเทาคนนั้นคือพ่อค้า ท่าที่ของพ่อค้าคนนั้นแสดงออกถึงหมดความอดทน เขาพูดขึ้น,อย่างอารมณ์เสีย “มันมีความแตกต่างระหว่างคุณภาพของสมบัติลับ กระดิ่งมองแดงของเจ้าเห็นชัดว่าฟังและไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป มันจะได้ราคาไปมากกว่านี้ได้เช่นไร?”

“หากไม่ใช่ว่ามันยังมีค่าสําหรับนักสะสม,ข้าจะไม่แม้แต่เสนอราคาถึงหนึ่งพันเหรียญเงิน หากเจ้ายินดีก็ขายอย่าได้ ทําข้าเสียเวลา”

“เจ้ามันโหดเหี้ยม!” นักบ่มเพาะพลังที่เสียแขนไปสีหน้ามืดมน หลังจากพูดจบ,เขาลุกขึ้นและเดินจากไป

พ่อค้าที่โต๊ะหัวเราะอย่างเย็นชา “ตลก! มันเป็นเพียงแค่เศษเหล็ก,และเจ้าทํากับมันราวกับเป็นสมบัติ”

ผู้คนโดยรอบทั้งหมดหันมามอง เมื่อผู้บ่มเพาะพลังผู้นั้นได้ยินเช่นนั้น เขาอับอายอย่างแรง เขากลายเป็นขายขี้หน้าสุดขีดและเร่งฝีเท้าขึ้น

เซี่ยวเฉันเดินเข้ามาและหยุดเขาเอาไว้ คนผู้นั้นจ้องมองเซี่ยวเฉินอย่างเดือดดาลและพูดขึ้น “เจ้าต้องการอะไร?”

“เจ้ายังขายกระดิ่งทองแดงในมือเจ้าอยู่ไหม? ข้าสนใจมัน” เซี่ยวเฉินยิ้มบางเบา

ผู้บ่มเพาะพลังคนนั้นยิ้มอย่างเย็นชา “เจ้าจะมาฉวยโอกาส? ข้าเสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มันมา และเจ้ายังจะมาฉวยโอกาส? มันจะไม่มีทางเกิดขึ้น”

เซี่ยวเฉินยิ้มนุ่มนวลและไม่ได้พูดอะไร เขาใส่หินวิญญาณระดับต่ำไว้ในกระเป๋าของผู้บ่มเพาะพลังคนนั้น เมื่อผู้บ่มเพาะพลังคนนั้นใช้มือซ้ายล้วงเข้าไปในกระเป๋าของเขา เขาตกตะลึง

“นี่ของเจ้า,ขอบคุณมาก!” เขาส่งกระดิ่งทองแดงให้กับเซี่ยวเฉินและคํานับให้กับเขา ไม่มีการพูดอะไรอีก เขาออกจากศาลาหลับไหลไปในทันที

เซี่ยวเฉินมองดูจนเขาจากไป เขาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ นั่นคือเส้นทางแห่งการบ่มเพาะพลัง เพื่อใช้ชีวิตอย่างรุ่งโรจน์ ผู้นั้นต้องประสบพบเจออันตรายมากกว่าที่คนธรรมดาจะพบเจอเป็นหมื่นเท่า อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส, พวกเขาก็ทําได้เพียงกลับไปใช้ชีวิตดุจเช่นคนธรรมดา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Immortal and Martial Dual Cultivation 129 สวรรค์และมนุษย์

Now you are reading Immortal and Martial Dual Cultivation Chapter 129 สวรรค์และมนุษย์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 129 สวรรค์และมนุษย์

วันเวลาในการบ่มเพาะพลังช่างเปล่าเปลี่ยวอย่างไม่น่าเชื่อ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นและตกลง;หมู่เมฆรวมตัวและแตกกระจายไป เซียวเฉินราวกับรูปปั้น,ไม่เคลื่อนไหว หลังจากครึ่งเดือน สัญลักษณ์ค่ายกลเริ่มแตกร้าวอย่างช้าๆ,หินวิญญาณขั้นกลางทั้งหมดสิบชิ้นกลายเป็นฝุ่นผง

“บูม!” เซี่ยวเฉินลืมตาของเขาและยิงลําแสงสีม่วงออกมา หลังจากบ่มเพาะพลังอย่างสาหัสและตั้งตนรู้แจ้งมามากกว่าหนึ่งเดือน,บวกกับการบ่มเพาะพลังที่เขาฝึกในค่าย กลรวบรวมจิตวิญญาณ,ในที่สุดเขาก็มาถึงระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธขั้นสูงสุด

มีรอยยิ้มบางๆบนใบหน้าของเซี่ยวเฉินในที่สุดเขาก็มีสีหน้าพึงพอใจ อย่างไรก็ตาม เมื่อเขานึกขึ้นได้ว่าจี้ชาง คงก้าวขึ้นสู่ระดับขอบเขตนักบุญเมื่อนานมาแล้วได้เช่นไรและผู้สืบทอดของตระกูลชั้นสูงพร้อมจิตวิญญาณยุทธที่ตกทอดผู้ที่อยู่ระดับขอบเขตปรมจารย์ขั้นสูงสุด,เขาก็หมดกําลังใจอย่างช่วยไม่ได้

**จิตวิญญาณต่อสู้ เปลี่ยนเป็นจิตวิญญาณยุทธนะครับ

หากเพียงแค่เขาเป็นเหมือนคนพวกนั้น,ปลุกจิตวิญญาณยุทธของเขาขึ้นมาได้ตั้งแต่กําเนิดจากนั้นเขาไม่จําเป็นต้องเสียเวลาไปกว่า 15 ปี ด้วยพรสวรรค์ของเขา,ระดับการบ่มเพาะพลังของเขาจะต้องไม่ด้อยไปกว่าคนพวกนั้น

“บูม!”

เรือสงครามขนาดมหึมาค่อยๆลงจอดบนยอดเขา หลังจากที่ฟื้นฟูด้วยสายฟ้ามาเป็นเวลา 49 วัน,สมบัติลับชิ้นนี้ฟื้นคืนกลับไปอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ที่สุดของมัน

อย่างไรก็ตามเรือสงครามขนาดยักษ์ลํานี้ช่างดูประเจิดประเจ้อ เพียงความนึกคิดของเซี่ยวเฉิน,ธงบนหัวเรือลอยไปที่ดวงตาของเซียวเฉินและเรือสงครามก็หดขนาดลงอย่างรวดเร็ว

หลังจากผ่านไปไม่นานเรือสงครามสีเงินขนาดเล็กปรากฏขึ้น เซี่ยวเฉินยิ้มบางๆและกระโดดขึ้นไปบนเรือขนาดเล็ก เขามองไปยังเมืองไปสู่ยที่อยู่ไกลออกไปและพูดขึ้น เบาๆ “ได้เวลากลับไปแล้ว!”

ค่ายกลเริ่มทํางาน,และเรือสงครามสีเงินลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า มันไหลไปตามสายลมและรวดเร็วราวกับสายฟ้าเร็วกว่าคาถาแรงโน้มถ่วงของเซี่ยวเฉินไปหลายเท่าตัว

สายลมคํารามอยู่ในหูของเซี่ยวเฉิน เซี่ยวเฉินยืนอยู่ที่หัวเรือและมือของเขาไพล่ไปข้างหลังเสื้อผ้าหน้าผมของเขาไหวไปตามสายลม ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาเผยความสุขุม,มีความรู้สึกคลุมเครือของความอมตะ

เซี่ยวเฉินรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากเขาไม่เคยบินได้รวดเร็วและนุ่มนวลได้เช่นนี้มาก่อน ทุกอณูในร่างของเขาผ่อนคลาย

ในที่สุด เซี่ยวเฉินลดความเร็วลงและเพิ่มระดับความสูงของเรือ,หลบเลี้ยงสัตว์อสูรวิญญาณประเภทปีกทั้งหลาย เขานั่งลงบนหัวเรือและหยิบเอาขวดเหล้า,รวมถึงของขบเคี้ยวอีกเล็กน้อยออกมาจากแหวนห้วงจักรวาล เขาเพลิดเพลินไปกับเหล้าและอาหาร

สายฝนที่ตกลงมากว่าหนึ่งเดือนได้หยุดลงดวงอาทิตย์หลังฝนนําความอบอุ่นเข้ามา เซียวเฉินเพลิดเพลินไปกับสายลมพร้อมกับกระดกเหล้าและกินของขบเคี้ยวของเขา เขาเผยรอยยิ้มพึ่งพอใจพร้อมกับมองไปยังทิวทัศน์รอบตัวของเขา

ในจังหวะนี้เอง ในที่สุดเขาได้เรียนรู้ว่ามันจะเป็นเช่นไร เมื่อมีความเป็นอมตะ, พเนจรไปรอบโลกพร้อมเหล้าสุรา,มองดูหมู่เมฆรวมตัวและแตกสลาย,บุปผาผลิบานและร่วงโรย,มองดูทั่วทั้งอาณาจักรทุกวันและคืนรู้สึกอิสระและเสรี

เซี่ยวเฉินนั่งบนหัวเรือ,ท่องไปบนฟ้าสูง ขณะที่เขากําลังจะพ้นเขตป่าอํามหิต,สัมผัสวิญญาณของเซียวเฉินตรวจจับเรือสีดําด้านล่างของเขาได้

เซี่ยวเฉินรู้สึกประหลาดใจ เขารีบเพิ่มระดับความสูงของเรือและตรวจสอบโดยรอบของเขาอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นครู่หนึ่ง,ราชวังน้ำแข็งลึกล้ำของตระกูลต้วนมู่เรือรบสีทองของขุนนางกุยยี่,และเรือรบทมิฬของตระกูลฮวาต่างปรากฏตัวขึ้น

เซี่ยวเฉินเผยรอยยิ้มบางเบา “คนพวกนี้ช่างอุตสาหะ เป็นเวลามากกว่าหนึ่งเดือนแล้ว และพวกเขายัง ม่กลับออกไปอีก”

“ฮู่ ชี!”

เรือสงครามสีเงินทันใดนั้นก็เพิ่มความเร็ว เซี่ยวเฉินขยับจากหัวเรือไปที่ท้องเรือ เขาควบคุมค่ายกลของสมบัติลับด้วยพลังทั้งหมดของเขา

สมบัติลับโบราณทันใดนั้นก็แสดงให้เห็นถึงความรวดเร็วอันน่าสะพรึง มันกลายเป็นแสงสีเงินและมุ่งหน้าตรงไปที่เมืองไปสุ่ยด้วยความรวดเร็วมหาศาล

เมื่อมันได้ระยะห่างหนึ่งพันเมตรจากเมืองไปสุ่ย, เซี่ยวเฉินก็หยุดเรือสงครามสีเงินไว้บนท้องฟ้า เขาไม่ได้เร่งรีบที่จะลงไปข้างล่าง

เขาสามารถจินตนาการได้ถึงสถานการณ์ภายในเมืองไป สุ่ยโดยไม่ต้องไปเสียเวลาคิดให้เยอะ ใบประกาศค่าหัวของเขาจะต้องแปะไว้ทั่วทุกมุมเมือง ค่าหัวที่เหล่าตระกูลชั้นสูง ทั้งหลายแปะไว้บนหัวเขา, อย่างไม่ต้องสงสัย,มันมากเกินกว่าที่ตระกูลเจียงสามารถทําได้

เซี่ยวเฉินนึกขึ้นได้ว่าในตําราบ่มเพาะพลังมีคาถาเปลี่ยนลักษณ์ เมื่อฝึกฝนไปถึงขั้นสมบูรณ์สุดยอดเขาจะสามารถเปลี่ยนกายไปเป็นสิ่งของได้มากมายะภูเขาสูงหรือธาร น้ำไหล, อสูรปีศาจประเภทปีกหรือสิ่งมีชีวิตบนบก,หรือแม้แต่ดวงอาทิตย์ จันทรา,หรือดวงดารา

เซี่ยวเฉินคิดว่ามันช่างมีประโยชน์ในสถานการณ์เช่นนี้ เซี่ยวเฉินไม่ได้คาดหวังว่าจะสําเร็จไปถึงขั้นระดับตํานาน; ทั้งหมดที่เขาต้องการมีเพียงแค่สามารถเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาของเขาเล็กน้อยเท่านั้น

ในไม่ช้า, ดวงอาทิตย์จมลงขอบฟ้า:มันเริ่มค่ํามืด เซี่ยวเฉินฝึกฝนคาถาเปลี่ยนลักษณ์ถึงระดับแรกเริ่มเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม,เขาก็ยังไม่คุ้นชินกับมัน;เขาไม่สามารถเปลี่ยนความสูงหรือรูปร่างของเขาได้

ตั้งแต่ที่ทักษะอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาถึงชั้นที่สาม, เขาสามารถฝึกฝนคาถาขั้นรองส่วนใหญ่ในตําราบ่มเพาะพลังได้หมด อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้มีเวลาไปศึกษา เป็นผลให้เซี่ยวเฉินต้องมาเรียนเอาหน้างานในตอนที่เขาจําเป็นต้องใช้คาถาเปลี่ยนลักษณ์

จันทร์เต็มดวงลอยสูงบนท้องฟ้า,ล้อมรอบด้วยดวงดาวนับไม่ถ้วน เซี่ยวเฉินเปลี่ยนกายเป็นชายกลางคนผิวคล้ำ เขาจะใช้ท้องฟ้ายามค่ําคืนแอบเข้าไปในเมืองไปสุ่ย

“ก้อง! ก๊อง!”

ในจังหวะนั้นเอง,หยกวิญญาณสีเลือดบนหน้าอกของเซี่ยวเฉินทันใดนั้นก็ขยับ เซี่ยวเฉินรู้สึกปิติยินดี หลังจากนั้นไม่นาน เสี่ยวไป๋ก็กระโดดออกมาจากหยกวิญญาณสีเลือด

หลังจากที่หลับลึกไปเป็นเวลานาน

ในจังหวะที่เสี่ยวไปกระโดดออกมามันกระโดดขึ้นไปในอ้อมกอดของเซี่ยวเฉินในทันที มองเห็นเซี่ยวเฉินที่ตัวดําคล้ำ,มันไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นมันมองไปที่เซี่ยวเฉินด้วยดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจ

เซี่ยวเฉินยิ้มออกมาอย่างเป็นสุขและกลับคืนรูปร่างเดิม เสี่ยวไป๋กลายเป็นคุ้นเคยในทันทีเซี่ยวเฉินยิ้มขึ้น “ในตอนนี้ข้าถูกไล่ล่าโดยพวกคนไม่ดีและไม่อาจเผยรูปร่างหน้าตาที่แท้จริงได้ เจ้าควรหลบซ่อนอยู่ในหยกวิญญาณสีเลือดไปก่อนเข้าจะเลี้ยงข้าวต้มปลาเจ้าที่หลัง”

เสี่ยวไปพยักหน้าท่าทางน่ารัก มันกุมอุ้งเท้าของมันราวกับกําลังถือชามใบใหญ่ มันหมายความว่าอยากจะกินข้าวต้มปลาชามโตขนาดเท่านี้ ช่างน่ารักเป็นที่สุด:เซี่ยวเฉินหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้

เซียวเฉินขยายสัมผัสวิญญาณของเขาออกไปและพบสถานที่ไร้ผู้คน จากนั้นเขาก็ลดระดับลงมาจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว,กลายร่างเป็นชายกลางคนผิวสีดําเหมือเมื่อครู่ ตอนนี้เขาดูแตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง เขามุ่งหน้าเดินตรงไปที่ประตูเมืองอย่างวางมาด

มีใบค่าหัวของเซียวเฉินหกแผ่นแปะอยู่บนกําแพงเมือง ใต้แผ่นประกาศจับแต่ละแผ่นมีรายการรางวัลจับมหาศาล นอกจากเงิน,ตระกูลชั้นสูงแต่ละตระกูลยังเสนออาวุธวิญ ญาณและทักษะต่อสู้ระดับสูง

ที่ทําให้เซี่ยวเฉินต้องประหลาดใจก็คือใบป ระกาศจับจากตระกูลหยานจากเขตซีเขอ เขาส่ายหัวไปมาอย่าช่วยไม่ได้ “เมื่อตระกูลชั้นสูงลงมือ,พวกเขาช่างลงมือได้ เผด็จการเหลือเกิน”

“เขตตงหมิง,เขตซี่เขอ,เขตหนานหลิง และสํานักหลวง,ข้าถูกประกาศจับในสี่เขตของอาณาจักรต้าฉินดูเหมือจะไม่มีที่ให้เขายืนอีกต่อไปแล้ว”

เซี่ยวเฉินเข้าไปในเมืองไปสู่ยและมุ่งตรงไปที่ศาลาหลับไหล ในขณะที่ท้องฟ้ามืดลง,กิจการของศาลาหลับไหลกลายเป็นรุ่งเรือง เมื่อเซี่ยวเฉินเข้าไปในข้างใน,ที่ชั้นหนึ่ง แน่นขนัดเขามองไม่เห็นที่ว่างแม้แต่เก้าอี้เดียว

เซี่ยวเฉินเดินตรงไปที่ชั้นสอง ที่ชั้นสองเต็มไปด้วยนักบ่มเพาะพลังพวกเขาต่างถกเถียงกันถึงเรื่องที่ผ่านมาในเดือนนี้

“มันก็ผ่านมามากกว่าหนึ่งเดือนแล้ว:เหล่าตระกูลชั้นสูง แทบจะพลิกป่าอํามหิต อย่างไรก็ตาม,พวกเขาก็ยังไม่พบตัวเซี่ยวเฉิน”

“ข้าก็มีชีวิตอยู่มานาน และนี้เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นใคร บางคนกล้าท้าทายตระกูลชั้นสูงมากมายต่อหน้าทุกคน แม้แต่มู่เฉิงเซาแห่งวังราตรีเหมันต์ยังไม่ประกาศตนใหญ่โตเหมือนกับเซียวเฉิน”

“ข้าไม่เข้าใจบางอย่างเซี่ยวเฉินไปท้าทายตระกูลชั้นสูงมากมายในเวลาเดียวกันเช่นนี้ได้อย่างไร?”

“ฮ่าฮ่า, เซี่ยวเฉันท้าทายสามตระกูลชั้นสูงไปตั้งแต่เรื่อง แผนที่ซากโบราณแล้ว ข้าได้ยินมาจากผู้ที่หนีออกมาจาก ซากโบราณว่าหลังจากที่พวกเขาเข้าไปในซากโบ ราณ, เซียวเฉินปล้นตระกูลชั้นสูงทั้งสี่ตระกูล,ไม่เว้นแม้แต่ ขุนนางกุยย”

“เช่นนั้นเจ้าหมอนี้ก็แบกสมบัติมหาศาลเดินไปเดินมา? หากข้าจับตัวเขาได้,ข้าก็รวยเละ?”

“ไม่จําเป็นต้องไปจับตัวเขาเตราบใดที่เจ้ามีข่าวคราวเกี่ยว กับเขาและนําไปรายงานให้เหล่าตระกูลชั้นสูงเจ้าจะได้รับถึงหนึ่งพันเหรียญทอง”

เซี่ยวเฉินกําลังเดินตรงไปที่ชั้นสาม เสียงพูดคุยของเหล่าผู้บ่มเพาะพลังบนชั้นสองเสียงดังเกินไปเสียงพูดคุยทั้งหมดลอยเข้าหูเซี่ยวเฉิน เขาตกตะลึง;เขาไม่คาดคิดว่าหลังจากผ่านไปนานมากแล้ว เขายังคงเป็นข่าวลือและหัวข้อพูดคุยจนถึงวันนี้

เซี่ยวเฉินแสดงบัตรผ่านพิเศษและเข้าไปที่ชั้นสาม ที่ชั้นสามนั้นเงียบลงมาเยอะผู้คนส่วนใหญ่ต่างต่อรองราคากันด้วยเสียงเบา เซี่ยวเฉินมองไปรอบๆและเห็นผู้คนมาก มายทําการซื้อขายของที่ได้รับมาจากซากโบราณ

แม้ว่าจะมีผู้บ่มเพาะพลังมากมายตกตายในซากโบราณก็มีผู้บ่มเพาะพลังที่มีโชคหรือแข็งแกร่งบางคนที่จัดการหาของกลับมาได้

“หือ!” เมื่อเซี่ยวเฉินกําลังจะนั่งลง,เขาเห็นผู้บ่มเพาะพลังผู้หนึ่งกําลังขายกระดิ่งทองแด งชิ้นเล็กและสวยงามประณีต กระดิ่งทองแดงชิ้นนั้นดูเก่าแก่น่าเสียดาย,พื้นผิวของมันได้รับความเสียหายหนัก

เซี่ยวเฉินขยายสัมผัสวิญญาณของเขาออกไปและสัมผัสกับกระดิ่งทองแดง ทันใดนั้น,เสียงแหลมสูง ดังขึ้นในหัวของเขาจิตใจของเขาสั่นสะเทือนเขา เกือบจะหมดสติไป เซียวเฉินตกตะลึงอย่างที่สุด และเขารีบถอนสัมผัสวิญญาณของเขากลับมา

“เฮ! ข้าเสี่ยงชีวิตและพบของชิ้นนี้อยู่ในโลงศพภายใน ซากโบราณ ข้าแน่ใจว่ามันคือสมบัติลับ เจ้าเสนอเพียงหนึ่งพันเหรียญเงิน? ช่างไร้สาระ!” เจ้าของกระดิ่งเงินคือระดับ

ขอบเขตปรบอารย์ผู้คนใบชดดลบสีเทา ในตอนนั้นแอบเขามีท่าทีเดือดดาล

แขนขวาของเขาหายไปตั้งแต่ข้อศอก หลังจากที่เขาได้ยินข้อเสนอจากอีกฝ่าย,สีหน้าของเขากลายเป็นซีดเทา,และท่าทีของเขากลายเป็นเกรี้ยวโกรธหลังจากเดิน ทางไปซากโบราณครั้งนี้,แขนของเขาถูกตัดตั้งแต่ข้อศอกลงไปและกลายเป็นคนพิการ เดิมที่เขาคิดว่าสามารถขายกระดิ่งทองแดงชิ้นนี้ได้ราคางามใครจะรู้ว่ามันจะได้ราคาเพียงหนึ่งพันเหรียญเงิน?

ที่นั่งตรงข้ามของปรมาจารย์ชุดเทาคนนั้นคือพ่อค้า ท่าที่ของพ่อค้าคนนั้นแสดงออกถึงหมดความอดทน เขาพูดขึ้น,อย่างอารมณ์เสีย “มันมีความแตกต่างระหว่างคุณภาพของสมบัติลับ กระดิ่งมองแดงของเจ้าเห็นชัดว่าฟังและไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป มันจะได้ราคาไปมากกว่านี้ได้เช่นไร?”

“หากไม่ใช่ว่ามันยังมีค่าสําหรับนักสะสม,ข้าจะไม่แม้แต่เสนอราคาถึงหนึ่งพันเหรียญเงิน หากเจ้ายินดีก็ขายอย่าได้ ทําข้าเสียเวลา”

“เจ้ามันโหดเหี้ยม!” นักบ่มเพาะพลังที่เสียแขนไปสีหน้ามืดมน หลังจากพูดจบ,เขาลุกขึ้นและเดินจากไป

พ่อค้าที่โต๊ะหัวเราะอย่างเย็นชา “ตลก! มันเป็นเพียงแค่เศษเหล็ก,และเจ้าทํากับมันราวกับเป็นสมบัติ”

ผู้คนโดยรอบทั้งหมดหันมามอง เมื่อผู้บ่มเพาะพลังผู้นั้นได้ยินเช่นนั้น เขาอับอายอย่างแรง เขากลายเป็นขายขี้หน้าสุดขีดและเร่งฝีเท้าขึ้น

เซี่ยวเฉันเดินเข้ามาและหยุดเขาเอาไว้ คนผู้นั้นจ้องมองเซี่ยวเฉินอย่างเดือดดาลและพูดขึ้น “เจ้าต้องการอะไร?”

“เจ้ายังขายกระดิ่งทองแดงในมือเจ้าอยู่ไหม? ข้าสนใจมัน” เซี่ยวเฉินยิ้มบางเบา

ผู้บ่มเพาะพลังคนนั้นยิ้มอย่างเย็นชา “เจ้าจะมาฉวยโอกาส? ข้าเสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มันมา และเจ้ายังจะมาฉวยโอกาส? มันจะไม่มีทางเกิดขึ้น”

เซี่ยวเฉินยิ้มนุ่มนวลและไม่ได้พูดอะไร เขาใส่หินวิญญาณระดับต่ำไว้ในกระเป๋าของผู้บ่มเพาะพลังคนนั้น เมื่อผู้บ่มเพาะพลังคนนั้นใช้มือซ้ายล้วงเข้าไปในกระเป๋าของเขา เขาตกตะลึง

“นี่ของเจ้า,ขอบคุณมาก!” เขาส่งกระดิ่งทองแดงให้กับเซี่ยวเฉินและคํานับให้กับเขา ไม่มีการพูดอะไรอีก เขาออกจากศาลาหลับไหลไปในทันที

เซี่ยวเฉินมองดูจนเขาจากไป เขาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ นั่นคือเส้นทางแห่งการบ่มเพาะพลัง เพื่อใช้ชีวิตอย่างรุ่งโรจน์ ผู้นั้นต้องประสบพบเจออันตรายมากกว่าที่คนธรรมดาจะพบเจอเป็นหมื่นเท่า อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส, พวกเขาก็ทําได้เพียงกลับไปใช้ชีวิตดุจเช่นคนธรรมดา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+