Immortal and Martial Dual Cultivation 273 ไสหัวไป

Now you are reading Immortal and Martial Dual Cultivation Chapter 273 ไสหัวไป at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 273 ไสหัวไป ความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณยุทธสืบทอดไม่ใช่สิ่งที่ผู้บ่มเพาะพลังทั่วไปจะไปเทียบด้วยได้วังวนศิลาสีฟ้านั้นสามารถกลืนกินเปลวเพลิงอัสนีเข้าไปได้ เซียวเฉินครุ่นคิดกับตัวเองแม้ว่าเพลิงแท้อัสนีจะถูกโยนออกไปอย่างเรียบง่าย, ชัยชนะก็ตกอยู่ในมือของฝ่ายที่รวดเร็วกว่ามันเป็นการยากอย่างยิ่งที่ผู้บ่มเพาะพลังทั่วไปจะหลบเลี่ยงมันได้พ้น คู่ต่อสู้ของเซียวเฉินสามารถหลบมันได้พันถึงแม้ว่าจะบาดเจ็บอยู่นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าเขาไม่ใช่ธรรมดา “พวกเจ้ามัวยืนทำอะไรกันอยู่? ไปจับตัวสารเลวสองตัวนั้น! ”ผู้อาวุโสสี่ตระกูลชรือตะโกนขึ้นมาอย่างเกรี้ยวกราดพร้อมกับจ้องมองไปที่บาดแผลที่ไม่มีทีท่าว่าจะสมานตัว ผู้บ่มเพาะพลังตระกูลชรือดร่งลงจากม้าและมุ่งหน้าเข้าหาเซียวเฉินและหลิวสุยเฟิงพร้อมกับเจตนาฆ่าฟันพลุ่งพล่าน เซียวเฉินกวาดตามองนับจำนวนคนอย่างรวดเร็วมากกว่าหนึ่งร้อยคนกำลังล้อมตัวเขาเอาไว้มีระดับขอบเขตนักบุญขั้นต้นสิบห้าคนและที่เหลืออยู่ระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธขั้นสูงสุด จากจำนวนทั้งหมดอย่างน้อยครึ่งหนึ่งที่มีจิตวิญญาณยุทธสืบทอดของตระกูลชรือถึงแม้คนกลุ่มนี้จะเผชิญหน้ากับระดับขอบเขตกษัตริย์ยุทธพวกเขาก็ยังคงมีโอกาสชนะครึ่งต่อครึ่ง เซี่ยวเฉินจับด้ามกระบี่เอาไว้แน่นและกล่าวกับหลิวสุยเฟิง“ข้าจะค่อยระวังหลังมองหาโอกาสหนีออกไปในทันทีที่เจ้าทำได้” เมื่อหลิวสุยเฟิงได้ยินเช่นนั้นเขาตกใจเล็กน้อยเขายิ้มอย่างขมขึ้น“แม้ว่าข้าจะไม่ได้แข็งแกร่งมากนักข้าก็ยังรู้ว่าเจ้าไม่มีโอกาสมากนักที่จะชนะคนพวกนี้”
“เว้ง! ” ก่อนที่หลิวสุยเฟิงจะได้กล่าวจบ, มีเสียงซึ่งจากกระบี่เกิดขึ้นบนท้องฟ้าต้นเสียงช่างนุ่มนวลและจากนั้นมันค่อยๆกลายเป็นดังขึ้นและดังขึ้นจนในที่สุดก็ราวกับเสียงฟ้าคำรามทำให้แก้วหูของทุกคนสั่นสะเทือน ใบหน้าของหลิวสุยเฟิงจุดประกายความยินดีเขายิ้มและกล่าว“นั่นหยุนเข่อชิน, บุตรสาวคนโตของผู้นำตระกูลหยุนอิทธิพลของตระกูลหยุนในเมืองซีเหอไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลชรือพวกเรารอดแล้ว” “บูม! ” อาวุธวิญญาณระดับสวรรค์กระบี่มังกรคำรนร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าหลังจากนั้นมันฝังตัวเองลงบนพื้นดินและท้องถนนก็สั่นสะเทือน ใบไม้ผลึกโปร่งแสงค่อยๆลอยล่องลงมาก่อนที่จะจางหายไป หลังจากนั้น, บุคคลในชุดสีขาวปรากฏตัวขึ้นนั่นคือหยุนเข่อซินนางดึงกระบี่มังกรคำรนออกมาและชี้ไปทางคนของตระกูลชรือในทันทีที่กระบี่ถูกดึงขึ้นมาจากพื้นปฐพสั่นสะเทือน ผู้อาวุโสสี่ตระกูลหรือในที่สุดก็หยุดอาการเลือดออกได้เมื่อเขาเห็นหยุนเข่อซินที่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างฉับพลัน, เขากล่าวเสียงดัง
“แม่นางจากตระกูลหยุนนี่ไม่ใช่กงการอะไรของเจ้าโปรดหลีกทางหยุนเข่อซินมีความสงบนิ่งบนใบหน้าของนางนางกล่าวอย่างเฉยเมย“ผู้อาวุโสปรือท่านกำลังจะล้ำเส้น” ผู้อาวุโสสี่ตระกูลหรือหน้าเสียเขารู้ว่าหยุนเข่อซินหมายถึงข้อตกลงที่ว่าจะไม่ลงมือกับรุ่นเยาว์” หากนี่กล่าวโดยผู้อาวุโสของตระกูลหยุนผู้อาวุโสสี่ตระกูลชรือไม่อาจปฏิเสธ, เขาทำได้เพียงรู้สึกละอายใจแต่อย่างไรก็ตามเมื่อมันกล่าวออกมาจากปากของหยุนเข่อซิน, เขารู้สึกเกรี้ยวโกรธยิ่งขึ้นไปอีก “ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เด็กสาวเยี่ยงเจ้ามีสิทธิ์มาสั่งสอนข้า? เจ้ามันไม่คู่ควรถอยไป! อย่มาขัดขวางงานของตระกูลชรือ! “กรุบ! กรุบ! กรุบ! ” สถานการณ์ตึงเครียดดำเนินต่อไปบนถนนจนเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นมาผู้บ่มเพาะพลังของตระกูลหยุนได้มาถึงแล้ว ผู้ที่นำกลุ่มเข้ามาเป็นชายวัยกลาวคนเขาลงจากม้าและค่อยๆก้าวเท้ายาวตรงไปที่ผู้อาวุโสสุตระกูลชรือกระแสพลังน่าหวาดกลัวกดดันผู้อาวุโสสี่ตระกูลหรืออย่างไม่มีปราณี สัมผัสวิญญาณของเซี่ยวเฉินจับลงไปที่กระแสพลังนี้เซี่ยวเฉินครุ่นคิดอย่างตกตะลึงนี่เป็นกระแสพลังของระดับขอบเขตกษัตริย์ยุทธขั้นกลางเขาอดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปที่ใบหน้าของชายวัยกลางคนผู้นี้ ชายวัยกลางคนผู้นี้อายุไม่ได้มากกว่าสี่สิบเขามีกระแสพลังที่โดดเด่นและให้อารมณ์ที่เข้มงวดรุนแรงดวงตาของเขาเต็มไปด้วยแสงระยับพร้อมกับเขากล่าวด้วยเสียงเย็น ”หากบุตรสาวของข้าไม่คู่ควรเช่นนั้นแล้วข้าคู่ควรที่จะสั่งสอนเจ้าได้หรือไม่? ” ต่อหน้ากระแสพลังที่พลุ่งพล่าน, ผู้อาวุโสสี่ตระกูลชรือพบว่ามันยากเย็นที่จะสูดหายใจใบหน้าซีดเซียวของเขากลายเป็นน่าเกลียดยิ่งกว่าเดิม ผู้อาวุโสสี่ตระกูลชรือไม่คาดคิดว่าผู้นำตระกูลหยุน-หยุนโหยวที่จะเข้ามาจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองต่อหน้าอำนาจอันเด็ดขาดเขาจะกล้าเกรี้ยวกราดได้อย่างไร? ผู้อาวุโสสี่ตระกูลชรือกล่าวอย่างละอาย”ผู้นำตระกูลหยุน, ผู้นำของพวกเราได้สั่งพวกเราให้แน่ใจว่าเจ้าสองคนตรงนั้นจะต้องขอขมาตระกูลชรือของพวกเราข้าหวัง”ไสหัวไป! ” หยุนโหยวจีไร้สีหน้าก่อนที่ผู้อาวุโสสี่ตระกูลชรือจะได้กล่าวจบ, หยุนโหยวจออกปากด่า”เจ้าไปเสียดีกว่าก่อนที่ข้าจะโกรธหากปรือหยางยืนยันที่จะอยากได้คำขอขมา, ข้าสามารถพาเขาไปพบกับท่านเจ้าเมืองพวกเราจะให้ท่านเจ้าเมืองตัดสินใครถูกใครผิดและเป็นใครที่จะต้องกล่าวขอขมา! ” ผู้อาวุโสสี่ตระกูลชรือหน้าแดงจัดเขาไม่คาดคิดว่าผู้นำตระกูลหยุนจะไม่ไว้หน้าเขาแม้แต่น้อยเขาสะบัดมือและกล่าวขึ้น”หยุนโหยวจี, ระวังตัวเอาไว้! หลังจากที่เขาพูดจบ, เขานำกลุ่มผู้บ่มเพาะพลังตระกูลชรือจาอกไปอย่างรวดเร็วในครั้งนี้, ตระกูลชรือต้องขายขี้หน้าโดยสมบูรณ์ ก่อนหน้านี้, หรือเฟิงถูกจับโยนลงมาบนถนนในตอนนี้หยุนโหยวจีกล่าวประโยคเดียวผู้อาวุโสสี่ตระกูลชรือก็กลัวจนหนีหายมันเป็นไปไม่ได้ที่ที่ชื่อเสียงของพวกเขาจะไม่เสื่อมเสีย หลังจากที่หยุนโหยวจีเห็นว่าพวกมันได้จากไปไกลแล้วเขาเมินเฉยไปและหันมาพบหน้าเซียวเฉินเขาเดินตรงเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม” เจ้าจะต้องเป็นเซียวเฉินเข่อซินเตยกล่าวถึงเจ้ามาก่อนเจ้าเป็นชายหนุ่มผู้กล้าหาญอย่างแน่นอน” “มา, พวกเจ้าควรจะตามข้าไปที่บ้านตระกูลหยุนไม่มีใครจะมาระรานพวกเจ้าได้” ที่ชั้นสามของศาลาหลับไหล, มู่เยียนเสวี่ยพิ่มพำกับตัวเองเมื่อนางเห็นว่าเซี่ยวเฉินอยู่กับคนของตระกูลหยุย” ชรือเฟิงเจ้ายังไม่รู้ว่าเจ้าได้ไปยั่วยุใครเข้าดูเหมือนตำหนักจิตวิญญาณค่ำคืนจะต้องพิจารณาถึงการร่วมมือกับตระกูลชรือ” “ศิษย์พี่มู่คนผู้นั้นแข็งแกร่งถึงเพียงใดกันแน่? ทำไมข้ารู้สึกว่าไม่อาจต่อต้านเขาได้แม้แต่น้อย? ระดับขอบเขตพลังของพวกเราเห็นชัดว่าใกล้เคียงกันทำไมถึงได้เป็นเช่นนั้น? “สานุศิษย์ตำหนักจิตวิญญาณค่ำคืนผู้หนึ่งเปิดปากถามขึ้น มู่เยี่ยนเสวี่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าว”ระดับขอบเขตพลังไม่ใช่ตัวชี้วัดเดียวถึงพลังในการต่อสู้ของผู้บ่มเพาะพลังพลังในการต่อสู้ของผู้บ่มเพาะพลังที่แท้จริงรวมมาจากระดับขอบเขตพลังและระดับทักษะต่อสู้ทั้งหมดของพวกเขารวมถึงทักษะเคลื่อนไหวและทักษะบ่มเพาะพลัง “นอกจากนั้นยังมีความเข้าใจถึงสภาวะภายในของทักษะต่อสู้ท้ายที่สุดยังมีปัจจัยภายนอกอย่างอาวุธวิญญาณเกราะศึกและสมบัติลับทั้งหมดทั้งมวลรวมเข้าด้วยกันจะได้เป็นพลังต่อสู้ที่แท้จริงของผู้บ่มเพาะพลัง” “ทักษะต่อสู้ทั้งหมดของเขาทักษะบ่มเพาะพลังและทักษะเคลื่อนไหวอย่างน้อยอยู่ในระดับปฐพขั้นสูงยิ่งกว่านั้น, เขามีพลังกายภาพที่แข็งแกร่งและความเข้าใจในสภาวะในแง่ของพลังต่อสู้แม้จะมีเจ้าเป็นสิบคนก็ไม่อาจรับมือเขาได้” คนผู้นั้นรู้สึกติดขัดในใจ”หากอย่างที่ท่านได้กล่าวมาแม้แต่พี่ใหญ่ก็ไม่คู่ควรกับเขา” มู่เยียนเสวี่ยยิ้มบางเบาและกล่าว”ระดับการบ่มเพาะพลังของมู่เฉิงเสวี่ยสูงกว่าเขาทักษะต่อสู้ทักษะเคลื่อนไหว, และทักษะบ่มเพาะพลังไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าเขาเช่นกันสิ่งเดียวที่พ่ายแพ้คือพลังกายภาพหากพวกเขาทั้งสองคนประมือกันโอกาสชนะคือครึ่งต่อครึ่ง” อีกคนหนึ่งกล่าวขึ้นมา”ศิษย์พี่มู่, ข้าคิดว่าท่านประเมินตัวเขาสูงเกินไปหน่อยจากที่ขาเห็นเมื่อก่อนหน้านี้เขาดูเหมือนจะทำอะไรศิษย์พี่หญิงไม่ได้แม้แต่น้อยเขาไม่คู่ควรกับพี่ใหญ่อย่างแน่นอน” มู่เยี่ยนเสวี่ยกล่าวเสียงอ่อน”อีกสามวันมาเฉิงเสวี่ยจะเข้าร่วมการประมูลด้วยเช่นกันหากข้าคาดเดาได้ถูกต้องคนผู้นี้ก็มาเพื่อเข้าร่วมการประมูลเช่นเดียวกันจากนั้น, พวกเราจะได้เห็นว่าใครที่จะแข็งแกร่งกว่าใคร” ที่ลานบ้านเล็กของตระกูลหยุนเมืองซีเหอ เซี่ยวเฉินและหยุนเข่อซินนั่งลงที่โต๊ะหินนางวางกระบี่มังกรคำรนลงบนโต๊ะจากนั้นนางจ้องมองไปที่เซียวเฉินและกล่าว”ขอบใจสำหรับกระบี่มังกรคำรนของเจ้ามันช่วยให้ข้าได้รับสถานะผู้สืบทอดตระกูลหยุน” อาวุธวิญญาณสามารถเพิ่มพลังโจมตีให้กับผู้บ่มเพาะพลังแต่อย่างไรก็ตามยิ่งระดับขอบเขตพลังสูงผลจากสิ่งของภายนอกยิงอ่อนลงอาวุธวิญญาณระดับลึกลำ สามารถเร่งพลังโจมตีของระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธขึ้นมาได้สองในสิบส่วนแต่อย่างไรก็ตามสำหรับระดับขอบเขตนักบุญมันเร่งพลังขึ้นมาได้ไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน มีเพียงอาวุธวิญญาณระดับปฐพี่หรือสูงกว่าเท่านั้นที่จะสามารถเร่งพลังโจมตีของระดับขอบเขตนักบุญเพิ่มขึ้นมาได้สองในสิบส่วนนอกจากนั้นอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์ขั้นต่ำจะสามารถเร่งพลังโจมตีของระดับขอบเขตนักบุญขึ้นมาได้ถึงห้าในสิบส่วน หากความแข็งแกร่งของหยุนเข่อชินเพิ่มขึ้นมาอีกครึ่งหนึ่งนะดับขอบเขตนักบุญชั้นสูงทั่วไปไม่อาจคู่ควรกับนาง หยุนเข่อซินมองดูขณะที่เซียวเฉินเก็บกระบี่มังกรคำรนลงไปในแหวนห้วงจักรวาลจากนั้นนางก็ถามขึ้นด้วยท่าทางเย้าแหย่”ข้าสังเกตเห็นว่ากระบี่ของเจ้าเป็นเพียงอาวุธวิญญาณระดับปฐพีขั้นต่ำทำไมเจ้าถึงไม่ใช้อาวุธวิญญาณระดับสวรรค์เล่มนี้? ” ปัจจุบัน, กระบี่มังกรคำรนแข็งแกร่งกว่ากระบี่เงาจันทร์อย่างแน่นอนแต่อย่างไรก็ตาม, เซี่ยวเฉินไม่มีความตั้งใจที่จะใช้กระบี่มังกรคำรนนี่เป็นเพราะกระบี่เงาจันทร์มีศักยภาพที่มากกว่ากระบี่มังกรคำรน” อาวุธกึ่งพระเจ้าปะทะอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์เซียวเฉินรู้ว่าควรหยิบจับกระบี่เล่มไหนยิ่งกว่านั้น, เขาได้มีความรู้สึกพิเศษกับกระบี่เงาจันทร์แล้วความรู้สึกเช่นนี้ยากที่จะก้าวผ่านในชีวิตนี้ เซี่ยวเฉินยิ้มและกล่าว“ข้าคุ้นเคยกับมันแล้วข้าเพียงโชคดีที่ได้รับกระบี่มังกรคำรนมาโดยบังเอิญท้ายที่สุดข้าก็ไม่อาจใช้มันได้ลื่นไหลเท่ากับกระบี่เบาจันทร์” เมื่อหยุนเข่อซินได้ยินดังนั้น, นางรู้สึกยินดีในใจนางกล่าว“หากว่ามันพอจะเป็นไปได้ข้าอยากจะขอซื้ออาวุธวิญญาณระดับสวรรค์เล่มนี้เจ้ามีความตั้งใจจะขายมันบ้างหรือไม่? เซี่ยวเฉินนิ่งอึ้งเล็กน้อยเขาไม่เข้าใจว่าทำไมหยุนเข่อซินถึงอยากที่จะซื้อกระบี่มังกรคำรนแม้ว่าจะไม่มีอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์ชิ้นใหม่ปรากฏขึ้นในทวีปเทียนหวี่มาหลายร้อยปีแล้วแต่ก็ยังมีอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์อยู่มากมายหากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นไม่มีปัญหาสำหรับอาวุธระดับสวรรค์ที่จะคงอยู่ผ่านไปพันปี, ด้วยคุณภาพของมัน ท้ายที่สุดกระบี่มังกรคำรนก็เป็นเพียงอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์ขั้นต่ำหลังจากที่กลายมาเป็นระดับขอบเขตกษัตริย์ยุทธ, มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรมากแล้วด้วยพรสวรรค์ของหยุนเข่อซิน, นางไม่มีปัญหาที่จะก้าวขึ้นสู่ระดับขอบเขตกษัตริย์ยุทธจากนั้นมันไม่คุ้มค่าที่จะซื้ออาวุธวิญญาณระดับสวรรค์ชิ้นอื่นอีก เซี่ยวเฉินรู้สึกสงสัยจึงได้ถามขึ้น”เจ้าแน่ใจที่จะซื้ออาวุธวิญญาณระดับสวรรค์ชิ้นนี้? ” หยุนเข่อซินพยักหน้าจริงจัง”ใช่, ข้าให้ข้อเสนอเจ้าได้, ในฐานะผู้สืบทอดตระกูลหยุนการจัดหาทรัพยากรของข้ามากมายกว่าแต่ก่อนนักข้าจะไม่ให้เจ้าต้องขาดทุน ทัศนคติของหยุนเข่อซินช่างแน่วแน่มันถึงกับทำให้เซียวเฉินต้องลังเลเซียวเฉินจะไม่ได้ใช้กระบี่มังกรคำรนเล่มนี้เขาทำได้เพียงเก็บมันเอาไว้เป็นอาวุธสำรอง หากราคาเป็นที่น่าพอใจ, ไม่มีปัญหาที่จะขายมันไปแต่อย่างไรก็ตามมันดูเรียบง่ายยิ่ง, ทำให้เซี่ยวเฉินยากที่จะตัดวินใจเป็นไปได้ว่าจะมีความลับบางอย่างในกระบี่มังกรคำรนเล่มนี้ที่เซียวเฉินยังไม่รู้? เมื่อหยุนเข่อชินเซ็นเซียวเฉินลังเล, นางกล่าวต่อ”พี่น้องเย่เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องตามากที่สุดในการประมูลครั้งนี้? ” เซี่ยวเฉินกล่าว”การประมูลในรอบสิบปีของศาบาหลินหลางพวกเขาจะต้องเอาตำราล้ำค่าเกราะศึกและอาวุธวิญญาณระดับสูงหรือสมบัติธรรมชาตใช่หรือไม่? หรือจะมีสิ่งใดอื่นอีก? ” หยุนเข่อซินกล่าวอย่างใจเย็น”พวกนั้นเป็นเพียงแค่ของพื้นๆสิ่งที่เป็นตัวชูงานก็คือสมบัติลับ” เซียวเฉินรู้สึกมันน่าสงสัย”เจ้ากล่าวว่าเป็นสมบัติลับ? ทุกการประมูลมีพวกมันมากมายพวกนี้ก็เป็นเพียงอีกส่วนหนึ่ง หยุนเข่อซินอธิบาย”มันต่างออกไปในครั้งนี้ในตอนที่สมรภูมิปีศาจที่ดินแดนรกร้างเปิดออกมีบางคนพบสมบัติลับสภาพสมบูรณ์มากมายที่นั้นทุกการประมูลในเวลานี้จะต้องมีสมบัติลับสภาพสมบูรณ์อย่างน้อยรอบละหนึ่งชิ้น” สมบัติลับสภาพสมบูรณ์? เซียวเฉินครุ่นคิดเขาไตร่ตรองต่อไป, วิธีการสร้างสมบัติลับจากยุคโบราณได้สาบสูญไปแล้ว” แม้ว่าจะมีสมบัติลับมากมายที่ตกทอดกันมา, ส่วนใหญ่จะอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์พวกมันส่วนใหญ่จะมีความเสียหายที่สัญลักษณ์ค่ายกลภายใน

ตอนที่ 273 ไสหัวไป

ความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณยุทธสืบทอดไม่ใช่สิ่งที่ผู้บ่มเพาะพลังทั่วไปจะไปเทียบด้วยได้วังวนศิลาสีฟ้านั้นสามารถกลืนกินเปลวเพลิงอัสนีเข้าไปได้

เซียวเฉินครุ่นคิดกับตัวเองแม้ว่าเพลิงแท้อัสนีจะถูกโยนออกไปอย่างเรียบง่าย, ชัยชนะก็ตกอยู่ในมือของฝ่ายที่รวดเร็วกว่ามันเป็นการยากอย่างยิ่งที่ผู้บ่มเพาะพลังทั่วไปจะหลบเลี่ยงมันได้พ้น

คู่ต่อสู้ของเซียวเฉินสามารถหลบมันได้พันถึงแม้ว่าจะบาดเจ็บอยู่นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าเขาไม่ใช่ธรรมดา

“พวกเจ้ามัวยืนทำอะไรกันอยู่? ไปจับตัวสารเลวสองตัวนั้น! ”ผู้อาวุโสสี่ตระกูลชรือตะโกนขึ้นมาอย่างเกรี้ยวกราดพร้อมกับจ้องมองไปที่บาดแผลที่ไม่มีทีท่าว่าจะสมานตัว

ผู้บ่มเพาะพลังตระกูลชรือดร่งลงจากม้าและมุ่งหน้าเข้าหาเซียวเฉินและหลิวสุยเฟิงพร้อมกับเจตนาฆ่าฟันพลุ่งพล่าน

เซียวเฉินกวาดตามองนับจำนวนคนอย่างรวดเร็วมากกว่าหนึ่งร้อยคนกำลังล้อมตัวเขาเอาไว้มีระดับขอบเขตนักบุญขั้นต้นสิบห้าคนและที่เหลืออยู่ระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธขั้นสูงสุด

จากจำนวนทั้งหมดอย่างน้อยครึ่งหนึ่งที่มีจิตวิญญาณยุทธสืบทอดของตระกูลชรือถึงแม้คนกลุ่มนี้จะเผชิญหน้ากับระดับขอบเขตกษัตริย์ยุทธพวกเขาก็ยังคงมีโอกาสชนะครึ่งต่อครึ่ง

เซี่ยวเฉินจับด้ามกระบี่เอาไว้แน่นและกล่าวกับหลิวสุยเฟิง“ข้าจะค่อยระวังหลังมองหาโอกาสหนีออกไปในทันทีที่เจ้าทำได้”

เมื่อหลิวสุยเฟิงได้ยินเช่นนั้นเขาตกใจเล็กน้อยเขายิ้มอย่างขมขึ้น“แม้ว่าข้าจะไม่ได้แข็งแกร่งมากนักข้าก็ยังรู้ว่าเจ้าไม่มีโอกาสมากนักที่จะชนะคนพวกนี้”
“เว้ง! ”

ก่อนที่หลิวสุยเฟิงจะได้กล่าวจบ, มีเสียงซึ่งจากกระบี่เกิดขึ้นบนท้องฟ้าต้นเสียงช่างนุ่มนวลและจากนั้นมันค่อยๆกลายเป็นดังขึ้นและดังขึ้นจนในที่สุดก็ราวกับเสียงฟ้าคำรามทำให้แก้วหูของทุกคนสั่นสะเทือน

ใบหน้าของหลิวสุยเฟิงจุดประกายความยินดีเขายิ้มและกล่าว“นั่นหยุนเข่อชิน, บุตรสาวคนโตของผู้นำตระกูลหยุนอิทธิพลของตระกูลหยุนในเมืองซีเหอไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลชรือพวกเรารอดแล้ว”

“บูม! ”

อาวุธวิญญาณระดับสวรรค์กระบี่มังกรคำรนร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าหลังจากนั้นมันฝังตัวเองลงบนพื้นดินและท้องถนนก็สั่นสะเทือน

ใบไม้ผลึกโปร่งแสงค่อยๆลอยล่องลงมาก่อนที่จะจางหายไป

หลังจากนั้น, บุคคลในชุดสีขาวปรากฏตัวขึ้นนั่นคือหยุนเข่อซินนางดึงกระบี่มังกรคำรนออกมาและชี้ไปทางคนของตระกูลชรือในทันทีที่กระบี่ถูกดึงขึ้นมาจากพื้นปฐพสั่นสะเทือน

ผู้อาวุโสสี่ตระกูลหรือในที่สุดก็หยุดอาการเลือดออกได้เมื่อเขาเห็นหยุนเข่อซินที่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างฉับพลัน, เขากล่าวเสียงดัง
“แม่นางจากตระกูลหยุนนี่ไม่ใช่กงการอะไรของเจ้าโปรดหลีกทางหยุนเข่อซินมีความสงบนิ่งบนใบหน้าของนางนางกล่าวอย่างเฉยเมย“ผู้อาวุโสปรือท่านกำลังจะล้ำเส้น”

ผู้อาวุโสสี่ตระกูลหรือหน้าเสียเขารู้ว่าหยุนเข่อซินหมายถึงข้อตกลงที่ว่าจะไม่ลงมือกับรุ่นเยาว์”

หากนี่กล่าวโดยผู้อาวุโสของตระกูลหยุนผู้อาวุโสสี่ตระกูลชรือไม่อาจปฏิเสธ, เขาทำได้เพียงรู้สึกละอายใจแต่อย่างไรก็ตามเมื่อมันกล่าวออกมาจากปากของหยุนเข่อซิน, เขารู้สึกเกรี้ยวโกรธยิ่งขึ้นไปอีก

“ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เด็กสาวเยี่ยงเจ้ามีสิทธิ์มาสั่งสอนข้า? เจ้ามันไม่คู่ควรถอยไป! อย่มาขัดขวางงานของตระกูลชรือ! “กรุบ! กรุบ! กรุบ! ”

สถานการณ์ตึงเครียดดำเนินต่อไปบนถนนจนเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นมาผู้บ่มเพาะพลังของตระกูลหยุนได้มาถึงแล้ว

ผู้ที่นำกลุ่มเข้ามาเป็นชายวัยกลาวคนเขาลงจากม้าและค่อยๆก้าวเท้ายาวตรงไปที่ผู้อาวุโสสุตระกูลชรือกระแสพลังน่าหวาดกลัวกดดันผู้อาวุโสสี่ตระกูลหรืออย่างไม่มีปราณี

สัมผัสวิญญาณของเซี่ยวเฉินจับลงไปที่กระแสพลังนี้เซี่ยวเฉินครุ่นคิดอย่างตกตะลึงนี่เป็นกระแสพลังของระดับขอบเขตกษัตริย์ยุทธขั้นกลางเขาอดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปที่ใบหน้าของชายวัยกลางคนผู้นี้

ชายวัยกลางคนผู้นี้อายุไม่ได้มากกว่าสี่สิบเขามีกระแสพลังที่โดดเด่นและให้อารมณ์ที่เข้มงวดรุนแรงดวงตาของเขาเต็มไปด้วยแสงระยับพร้อมกับเขากล่าวด้วยเสียงเย็น

”หากบุตรสาวของข้าไม่คู่ควรเช่นนั้นแล้วข้าคู่ควรที่จะสั่งสอนเจ้าได้หรือไม่? ”

ต่อหน้ากระแสพลังที่พลุ่งพล่าน, ผู้อาวุโสสี่ตระกูลชรือพบว่ามันยากเย็นที่จะสูดหายใจใบหน้าซีดเซียวของเขากลายเป็นน่าเกลียดยิ่งกว่าเดิม

ผู้อาวุโสสี่ตระกูลชรือไม่คาดคิดว่าผู้นำตระกูลหยุน-หยุนโหยวที่จะเข้ามาจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองต่อหน้าอำนาจอันเด็ดขาดเขาจะกล้าเกรี้ยวกราดได้อย่างไร?

ผู้อาวุโสสี่ตระกูลชรือกล่าวอย่างละอาย”ผู้นำตระกูลหยุน, ผู้นำของพวกเราได้สั่งพวกเราให้แน่ใจว่าเจ้าสองคนตรงนั้นจะต้องขอขมาตระกูลชรือของพวกเราข้าหวัง”ไสหัวไป! ”

หยุนโหยวจีไร้สีหน้าก่อนที่ผู้อาวุโสสี่ตระกูลชรือจะได้กล่าวจบ, หยุนโหยวจออกปากด่า”เจ้าไปเสียดีกว่าก่อนที่ข้าจะโกรธหากปรือหยางยืนยันที่จะอยากได้คำขอขมา, ข้าสามารถพาเขาไปพบกับท่านเจ้าเมืองพวกเราจะให้ท่านเจ้าเมืองตัดสินใครถูกใครผิดและเป็นใครที่จะต้องกล่าวขอขมา! ”

ผู้อาวุโสสี่ตระกูลชรือหน้าแดงจัดเขาไม่คาดคิดว่าผู้นำตระกูลหยุนจะไม่ไว้หน้าเขาแม้แต่น้อยเขาสะบัดมือและกล่าวขึ้น”หยุนโหยวจี, ระวังตัวเอาไว้!

หลังจากที่เขาพูดจบ, เขานำกลุ่มผู้บ่มเพาะพลังตระกูลชรือจาอกไปอย่างรวดเร็วในครั้งนี้, ตระกูลชรือต้องขายขี้หน้าโดยสมบูรณ์

ก่อนหน้านี้, หรือเฟิงถูกจับโยนลงมาบนถนนในตอนนี้หยุนโหยวจีกล่าวประโยคเดียวผู้อาวุโสสี่ตระกูลชรือก็กลัวจนหนีหายมันเป็นไปไม่ได้ที่ที่ชื่อเสียงของพวกเขาจะไม่เสื่อมเสีย

หลังจากที่หยุนโหยวจีเห็นว่าพวกมันได้จากไปไกลแล้วเขาเมินเฉยไปและหันมาพบหน้าเซียวเฉินเขาเดินตรงเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม”

เจ้าจะต้องเป็นเซียวเฉินเข่อซินเตยกล่าวถึงเจ้ามาก่อนเจ้าเป็นชายหนุ่มผู้กล้าหาญอย่างแน่นอน”

“มา, พวกเจ้าควรจะตามข้าไปที่บ้านตระกูลหยุนไม่มีใครจะมาระรานพวกเจ้าได้”

ที่ชั้นสามของศาลาหลับไหล, มู่เยียนเสวี่ยพิ่มพำกับตัวเองเมื่อนางเห็นว่าเซี่ยวเฉินอยู่กับคนของตระกูลหยุย”

ชรือเฟิงเจ้ายังไม่รู้ว่าเจ้าได้ไปยั่วยุใครเข้าดูเหมือนตำหนักจิตวิญญาณค่ำคืนจะต้องพิจารณาถึงการร่วมมือกับตระกูลชรือ”

“ศิษย์พี่มู่คนผู้นั้นแข็งแกร่งถึงเพียงใดกันแน่? ทำไมข้ารู้สึกว่าไม่อาจต่อต้านเขาได้แม้แต่น้อย? ระดับขอบเขตพลังของพวกเราเห็นชัดว่าใกล้เคียงกันทำไมถึงได้เป็นเช่นนั้น? “สานุศิษย์ตำหนักจิตวิญญาณค่ำคืนผู้หนึ่งเปิดปากถามขึ้น

มู่เยี่ยนเสวี่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าว”ระดับขอบเขตพลังไม่ใช่ตัวชี้วัดเดียวถึงพลังในการต่อสู้ของผู้บ่มเพาะพลังพลังในการต่อสู้ของผู้บ่มเพาะพลังที่แท้จริงรวมมาจากระดับขอบเขตพลังและระดับทักษะต่อสู้ทั้งหมดของพวกเขารวมถึงทักษะเคลื่อนไหวและทักษะบ่มเพาะพลัง

“นอกจากนั้นยังมีความเข้าใจถึงสภาวะภายในของทักษะต่อสู้ท้ายที่สุดยังมีปัจจัยภายนอกอย่างอาวุธวิญญาณเกราะศึกและสมบัติลับทั้งหมดทั้งมวลรวมเข้าด้วยกันจะได้เป็นพลังต่อสู้ที่แท้จริงของผู้บ่มเพาะพลัง”

“ทักษะต่อสู้ทั้งหมดของเขาทักษะบ่มเพาะพลังและทักษะเคลื่อนไหวอย่างน้อยอยู่ในระดับปฐพขั้นสูงยิ่งกว่านั้น, เขามีพลังกายภาพที่แข็งแกร่งและความเข้าใจในสภาวะในแง่ของพลังต่อสู้แม้จะมีเจ้าเป็นสิบคนก็ไม่อาจรับมือเขาได้”

คนผู้นั้นรู้สึกติดขัดในใจ”หากอย่างที่ท่านได้กล่าวมาแม้แต่พี่ใหญ่ก็ไม่คู่ควรกับเขา”

มู่เยียนเสวี่ยยิ้มบางเบาและกล่าว”ระดับการบ่มเพาะพลังของมู่เฉิงเสวี่ยสูงกว่าเขาทักษะต่อสู้ทักษะเคลื่อนไหว, และทักษะบ่มเพาะพลังไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าเขาเช่นกันสิ่งเดียวที่พ่ายแพ้คือพลังกายภาพหากพวกเขาทั้งสองคนประมือกันโอกาสชนะคือครึ่งต่อครึ่ง”

อีกคนหนึ่งกล่าวขึ้นมา”ศิษย์พี่มู่, ข้าคิดว่าท่านประเมินตัวเขาสูงเกินไปหน่อยจากที่ขาเห็นเมื่อก่อนหน้านี้เขาดูเหมือนจะทำอะไรศิษย์พี่หญิงไม่ได้แม้แต่น้อยเขาไม่คู่ควรกับพี่ใหญ่อย่างแน่นอน”

มู่เยี่ยนเสวี่ยกล่าวเสียงอ่อน”อีกสามวันมาเฉิงเสวี่ยจะเข้าร่วมการประมูลด้วยเช่นกันหากข้าคาดเดาได้ถูกต้องคนผู้นี้ก็มาเพื่อเข้าร่วมการประมูลเช่นเดียวกันจากนั้น, พวกเราจะได้เห็นว่าใครที่จะแข็งแกร่งกว่าใคร”

ที่ลานบ้านเล็กของตระกูลหยุนเมืองซีเหอ

เซี่ยวเฉินและหยุนเข่อซินนั่งลงที่โต๊ะหินนางวางกระบี่มังกรคำรนลงบนโต๊ะจากนั้นนางจ้องมองไปที่เซียวเฉินและกล่าว”ขอบใจสำหรับกระบี่มังกรคำรนของเจ้ามันช่วยให้ข้าได้รับสถานะผู้สืบทอดตระกูลหยุน”

อาวุธวิญญาณสามารถเพิ่มพลังโจมตีให้กับผู้บ่มเพาะพลังแต่อย่างไรก็ตามยิ่งระดับขอบเขตพลังสูงผลจากสิ่งของภายนอกยิงอ่อนลงอาวุธวิญญาณระดับลึกลำ

สามารถเร่งพลังโจมตีของระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธขึ้นมาได้สองในสิบส่วนแต่อย่างไรก็ตามสำหรับระดับขอบเขตนักบุญมันเร่งพลังขึ้นมาได้ไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน

มีเพียงอาวุธวิญญาณระดับปฐพี่หรือสูงกว่าเท่านั้นที่จะสามารถเร่งพลังโจมตีของระดับขอบเขตนักบุญเพิ่มขึ้นมาได้สองในสิบส่วนนอกจากนั้นอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์ขั้นต่ำจะสามารถเร่งพลังโจมตีของระดับขอบเขตนักบุญขึ้นมาได้ถึงห้าในสิบส่วน

หากความแข็งแกร่งของหยุนเข่อชินเพิ่มขึ้นมาอีกครึ่งหนึ่งนะดับขอบเขตนักบุญชั้นสูงทั่วไปไม่อาจคู่ควรกับนาง

หยุนเข่อซินมองดูขณะที่เซียวเฉินเก็บกระบี่มังกรคำรนลงไปในแหวนห้วงจักรวาลจากนั้นนางก็ถามขึ้นด้วยท่าทางเย้าแหย่”ข้าสังเกตเห็นว่ากระบี่ของเจ้าเป็นเพียงอาวุธวิญญาณระดับปฐพีขั้นต่ำทำไมเจ้าถึงไม่ใช้อาวุธวิญญาณระดับสวรรค์เล่มนี้? ”

ปัจจุบัน, กระบี่มังกรคำรนแข็งแกร่งกว่ากระบี่เงาจันทร์อย่างแน่นอนแต่อย่างไรก็ตาม, เซี่ยวเฉินไม่มีความตั้งใจที่จะใช้กระบี่มังกรคำรนนี่เป็นเพราะกระบี่เงาจันทร์มีศักยภาพที่มากกว่ากระบี่มังกรคำรน”

อาวุธกึ่งพระเจ้าปะทะอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์เซียวเฉินรู้ว่าควรหยิบจับกระบี่เล่มไหนยิ่งกว่านั้น, เขาได้มีความรู้สึกพิเศษกับกระบี่เงาจันทร์แล้วความรู้สึกเช่นนี้ยากที่จะก้าวผ่านในชีวิตนี้

เซี่ยวเฉินยิ้มและกล่าว“ข้าคุ้นเคยกับมันแล้วข้าเพียงโชคดีที่ได้รับกระบี่มังกรคำรนมาโดยบังเอิญท้ายที่สุดข้าก็ไม่อาจใช้มันได้ลื่นไหลเท่ากับกระบี่เบาจันทร์”

เมื่อหยุนเข่อซินได้ยินดังนั้น, นางรู้สึกยินดีในใจนางกล่าว“หากว่ามันพอจะเป็นไปได้ข้าอยากจะขอซื้ออาวุธวิญญาณระดับสวรรค์เล่มนี้เจ้ามีความตั้งใจจะขายมันบ้างหรือไม่?

เซี่ยวเฉินนิ่งอึ้งเล็กน้อยเขาไม่เข้าใจว่าทำไมหยุนเข่อซินถึงอยากที่จะซื้อกระบี่มังกรคำรนแม้ว่าจะไม่มีอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์ชิ้นใหม่ปรากฏขึ้นในทวีปเทียนหวี่มาหลายร้อยปีแล้วแต่ก็ยังมีอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์อยู่มากมายหากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นไม่มีปัญหาสำหรับอาวุธระดับสวรรค์ที่จะคงอยู่ผ่านไปพันปี, ด้วยคุณภาพของมัน

ท้ายที่สุดกระบี่มังกรคำรนก็เป็นเพียงอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์ขั้นต่ำหลังจากที่กลายมาเป็นระดับขอบเขตกษัตริย์ยุทธ, มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรมากแล้วด้วยพรสวรรค์ของหยุนเข่อซิน, นางไม่มีปัญหาที่จะก้าวขึ้นสู่ระดับขอบเขตกษัตริย์ยุทธจากนั้นมันไม่คุ้มค่าที่จะซื้ออาวุธวิญญาณระดับสวรรค์ชิ้นอื่นอีก

เซี่ยวเฉินรู้สึกสงสัยจึงได้ถามขึ้น”เจ้าแน่ใจที่จะซื้ออาวุธวิญญาณระดับสวรรค์ชิ้นนี้? ”

หยุนเข่อซินพยักหน้าจริงจัง”ใช่, ข้าให้ข้อเสนอเจ้าได้, ในฐานะผู้สืบทอดตระกูลหยุนการจัดหาทรัพยากรของข้ามากมายกว่าแต่ก่อนนักข้าจะไม่ให้เจ้าต้องขาดทุน

ทัศนคติของหยุนเข่อซินช่างแน่วแน่มันถึงกับทำให้เซียวเฉินต้องลังเลเซียวเฉินจะไม่ได้ใช้กระบี่มังกรคำรนเล่มนี้เขาทำได้เพียงเก็บมันเอาไว้เป็นอาวุธสำรอง

หากราคาเป็นที่น่าพอใจ, ไม่มีปัญหาที่จะขายมันไปแต่อย่างไรก็ตามมันดูเรียบง่ายยิ่ง, ทำให้เซี่ยวเฉินยากที่จะตัดวินใจเป็นไปได้ว่าจะมีความลับบางอย่างในกระบี่มังกรคำรนเล่มนี้ที่เซียวเฉินยังไม่รู้?

เมื่อหยุนเข่อชินเซ็นเซียวเฉินลังเล, นางกล่าวต่อ”พี่น้องเย่เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องตามากที่สุดในการประมูลครั้งนี้? ”

เซี่ยวเฉินกล่าว”การประมูลในรอบสิบปีของศาบาหลินหลางพวกเขาจะต้องเอาตำราล้ำค่าเกราะศึกและอาวุธวิญญาณระดับสูงหรือสมบัติธรรมชาตใช่หรือไม่? หรือจะมีสิ่งใดอื่นอีก? ”

หยุนเข่อซินกล่าวอย่างใจเย็น”พวกนั้นเป็นเพียงแค่ของพื้นๆสิ่งที่เป็นตัวชูงานก็คือสมบัติลับ”

เซียวเฉินรู้สึกมันน่าสงสัย”เจ้ากล่าวว่าเป็นสมบัติลับ? ทุกการประมูลมีพวกมันมากมายพวกนี้ก็เป็นเพียงอีกส่วนหนึ่ง

หยุนเข่อซินอธิบาย”มันต่างออกไปในครั้งนี้ในตอนที่สมรภูมิปีศาจที่ดินแดนรกร้างเปิดออกมีบางคนพบสมบัติลับสภาพสมบูรณ์มากมายที่นั้นทุกการประมูลในเวลานี้จะต้องมีสมบัติลับสภาพสมบูรณ์อย่างน้อยรอบละหนึ่งชิ้น”

สมบัติลับสภาพสมบูรณ์? เซียวเฉินครุ่นคิดเขาไตร่ตรองต่อไป, วิธีการสร้างสมบัติลับจากยุคโบราณได้สาบสูญไปแล้ว”

แม้ว่าจะมีสมบัติลับมากมายที่ตกทอดกันมา, ส่วนใหญ่จะอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์พวกมันส่วนใหญ่จะมีความเสียหายที่สัญลักษณ์ค่ายกลภายใน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Immortal and Martial Dual Cultivation 273 ไสหัวไป

Now you are reading Immortal and Martial Dual Cultivation Chapter 273 ไสหัวไป at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 273 ไสหัวไป ความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณยุทธสืบทอดไม่ใช่สิ่งที่ผู้บ่มเพาะพลังทั่วไปจะไปเทียบด้วยได้วังวนศิลาสีฟ้านั้นสามารถกลืนกินเปลวเพลิงอัสนีเข้าไปได้ เซียวเฉินครุ่นคิดกับตัวเองแม้ว่าเพลิงแท้อัสนีจะถูกโยนออกไปอย่างเรียบง่าย, ชัยชนะก็ตกอยู่ในมือของฝ่ายที่รวดเร็วกว่ามันเป็นการยากอย่างยิ่งที่ผู้บ่มเพาะพลังทั่วไปจะหลบเลี่ยงมันได้พ้น คู่ต่อสู้ของเซียวเฉินสามารถหลบมันได้พันถึงแม้ว่าจะบาดเจ็บอยู่นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าเขาไม่ใช่ธรรมดา “พวกเจ้ามัวยืนทำอะไรกันอยู่? ไปจับตัวสารเลวสองตัวนั้น! ”ผู้อาวุโสสี่ตระกูลชรือตะโกนขึ้นมาอย่างเกรี้ยวกราดพร้อมกับจ้องมองไปที่บาดแผลที่ไม่มีทีท่าว่าจะสมานตัว ผู้บ่มเพาะพลังตระกูลชรือดร่งลงจากม้าและมุ่งหน้าเข้าหาเซียวเฉินและหลิวสุยเฟิงพร้อมกับเจตนาฆ่าฟันพลุ่งพล่าน เซียวเฉินกวาดตามองนับจำนวนคนอย่างรวดเร็วมากกว่าหนึ่งร้อยคนกำลังล้อมตัวเขาเอาไว้มีระดับขอบเขตนักบุญขั้นต้นสิบห้าคนและที่เหลืออยู่ระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธขั้นสูงสุด จากจำนวนทั้งหมดอย่างน้อยครึ่งหนึ่งที่มีจิตวิญญาณยุทธสืบทอดของตระกูลชรือถึงแม้คนกลุ่มนี้จะเผชิญหน้ากับระดับขอบเขตกษัตริย์ยุทธพวกเขาก็ยังคงมีโอกาสชนะครึ่งต่อครึ่ง เซี่ยวเฉินจับด้ามกระบี่เอาไว้แน่นและกล่าวกับหลิวสุยเฟิง“ข้าจะค่อยระวังหลังมองหาโอกาสหนีออกไปในทันทีที่เจ้าทำได้” เมื่อหลิวสุยเฟิงได้ยินเช่นนั้นเขาตกใจเล็กน้อยเขายิ้มอย่างขมขึ้น“แม้ว่าข้าจะไม่ได้แข็งแกร่งมากนักข้าก็ยังรู้ว่าเจ้าไม่มีโอกาสมากนักที่จะชนะคนพวกนี้”
“เว้ง! ” ก่อนที่หลิวสุยเฟิงจะได้กล่าวจบ, มีเสียงซึ่งจากกระบี่เกิดขึ้นบนท้องฟ้าต้นเสียงช่างนุ่มนวลและจากนั้นมันค่อยๆกลายเป็นดังขึ้นและดังขึ้นจนในที่สุดก็ราวกับเสียงฟ้าคำรามทำให้แก้วหูของทุกคนสั่นสะเทือน ใบหน้าของหลิวสุยเฟิงจุดประกายความยินดีเขายิ้มและกล่าว“นั่นหยุนเข่อชิน, บุตรสาวคนโตของผู้นำตระกูลหยุนอิทธิพลของตระกูลหยุนในเมืองซีเหอไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลชรือพวกเรารอดแล้ว” “บูม! ” อาวุธวิญญาณระดับสวรรค์กระบี่มังกรคำรนร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าหลังจากนั้นมันฝังตัวเองลงบนพื้นดินและท้องถนนก็สั่นสะเทือน ใบไม้ผลึกโปร่งแสงค่อยๆลอยล่องลงมาก่อนที่จะจางหายไป หลังจากนั้น, บุคคลในชุดสีขาวปรากฏตัวขึ้นนั่นคือหยุนเข่อซินนางดึงกระบี่มังกรคำรนออกมาและชี้ไปทางคนของตระกูลชรือในทันทีที่กระบี่ถูกดึงขึ้นมาจากพื้นปฐพสั่นสะเทือน ผู้อาวุโสสี่ตระกูลหรือในที่สุดก็หยุดอาการเลือดออกได้เมื่อเขาเห็นหยุนเข่อซินที่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างฉับพลัน, เขากล่าวเสียงดัง
“แม่นางจากตระกูลหยุนนี่ไม่ใช่กงการอะไรของเจ้าโปรดหลีกทางหยุนเข่อซินมีความสงบนิ่งบนใบหน้าของนางนางกล่าวอย่างเฉยเมย“ผู้อาวุโสปรือท่านกำลังจะล้ำเส้น” ผู้อาวุโสสี่ตระกูลหรือหน้าเสียเขารู้ว่าหยุนเข่อซินหมายถึงข้อตกลงที่ว่าจะไม่ลงมือกับรุ่นเยาว์” หากนี่กล่าวโดยผู้อาวุโสของตระกูลหยุนผู้อาวุโสสี่ตระกูลชรือไม่อาจปฏิเสธ, เขาทำได้เพียงรู้สึกละอายใจแต่อย่างไรก็ตามเมื่อมันกล่าวออกมาจากปากของหยุนเข่อซิน, เขารู้สึกเกรี้ยวโกรธยิ่งขึ้นไปอีก “ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เด็กสาวเยี่ยงเจ้ามีสิทธิ์มาสั่งสอนข้า? เจ้ามันไม่คู่ควรถอยไป! อย่มาขัดขวางงานของตระกูลชรือ! “กรุบ! กรุบ! กรุบ! ” สถานการณ์ตึงเครียดดำเนินต่อไปบนถนนจนเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นมาผู้บ่มเพาะพลังของตระกูลหยุนได้มาถึงแล้ว ผู้ที่นำกลุ่มเข้ามาเป็นชายวัยกลาวคนเขาลงจากม้าและค่อยๆก้าวเท้ายาวตรงไปที่ผู้อาวุโสสุตระกูลชรือกระแสพลังน่าหวาดกลัวกดดันผู้อาวุโสสี่ตระกูลหรืออย่างไม่มีปราณี สัมผัสวิญญาณของเซี่ยวเฉินจับลงไปที่กระแสพลังนี้เซี่ยวเฉินครุ่นคิดอย่างตกตะลึงนี่เป็นกระแสพลังของระดับขอบเขตกษัตริย์ยุทธขั้นกลางเขาอดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปที่ใบหน้าของชายวัยกลางคนผู้นี้ ชายวัยกลางคนผู้นี้อายุไม่ได้มากกว่าสี่สิบเขามีกระแสพลังที่โดดเด่นและให้อารมณ์ที่เข้มงวดรุนแรงดวงตาของเขาเต็มไปด้วยแสงระยับพร้อมกับเขากล่าวด้วยเสียงเย็น ”หากบุตรสาวของข้าไม่คู่ควรเช่นนั้นแล้วข้าคู่ควรที่จะสั่งสอนเจ้าได้หรือไม่? ” ต่อหน้ากระแสพลังที่พลุ่งพล่าน, ผู้อาวุโสสี่ตระกูลชรือพบว่ามันยากเย็นที่จะสูดหายใจใบหน้าซีดเซียวของเขากลายเป็นน่าเกลียดยิ่งกว่าเดิม ผู้อาวุโสสี่ตระกูลชรือไม่คาดคิดว่าผู้นำตระกูลหยุน-หยุนโหยวที่จะเข้ามาจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองต่อหน้าอำนาจอันเด็ดขาดเขาจะกล้าเกรี้ยวกราดได้อย่างไร? ผู้อาวุโสสี่ตระกูลชรือกล่าวอย่างละอาย”ผู้นำตระกูลหยุน, ผู้นำของพวกเราได้สั่งพวกเราให้แน่ใจว่าเจ้าสองคนตรงนั้นจะต้องขอขมาตระกูลชรือของพวกเราข้าหวัง”ไสหัวไป! ” หยุนโหยวจีไร้สีหน้าก่อนที่ผู้อาวุโสสี่ตระกูลชรือจะได้กล่าวจบ, หยุนโหยวจออกปากด่า”เจ้าไปเสียดีกว่าก่อนที่ข้าจะโกรธหากปรือหยางยืนยันที่จะอยากได้คำขอขมา, ข้าสามารถพาเขาไปพบกับท่านเจ้าเมืองพวกเราจะให้ท่านเจ้าเมืองตัดสินใครถูกใครผิดและเป็นใครที่จะต้องกล่าวขอขมา! ” ผู้อาวุโสสี่ตระกูลชรือหน้าแดงจัดเขาไม่คาดคิดว่าผู้นำตระกูลหยุนจะไม่ไว้หน้าเขาแม้แต่น้อยเขาสะบัดมือและกล่าวขึ้น”หยุนโหยวจี, ระวังตัวเอาไว้! หลังจากที่เขาพูดจบ, เขานำกลุ่มผู้บ่มเพาะพลังตระกูลชรือจาอกไปอย่างรวดเร็วในครั้งนี้, ตระกูลชรือต้องขายขี้หน้าโดยสมบูรณ์ ก่อนหน้านี้, หรือเฟิงถูกจับโยนลงมาบนถนนในตอนนี้หยุนโหยวจีกล่าวประโยคเดียวผู้อาวุโสสี่ตระกูลชรือก็กลัวจนหนีหายมันเป็นไปไม่ได้ที่ที่ชื่อเสียงของพวกเขาจะไม่เสื่อมเสีย หลังจากที่หยุนโหยวจีเห็นว่าพวกมันได้จากไปไกลแล้วเขาเมินเฉยไปและหันมาพบหน้าเซียวเฉินเขาเดินตรงเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม” เจ้าจะต้องเป็นเซียวเฉินเข่อซินเตยกล่าวถึงเจ้ามาก่อนเจ้าเป็นชายหนุ่มผู้กล้าหาญอย่างแน่นอน” “มา, พวกเจ้าควรจะตามข้าไปที่บ้านตระกูลหยุนไม่มีใครจะมาระรานพวกเจ้าได้” ที่ชั้นสามของศาลาหลับไหล, มู่เยียนเสวี่ยพิ่มพำกับตัวเองเมื่อนางเห็นว่าเซี่ยวเฉินอยู่กับคนของตระกูลหยุย” ชรือเฟิงเจ้ายังไม่รู้ว่าเจ้าได้ไปยั่วยุใครเข้าดูเหมือนตำหนักจิตวิญญาณค่ำคืนจะต้องพิจารณาถึงการร่วมมือกับตระกูลชรือ” “ศิษย์พี่มู่คนผู้นั้นแข็งแกร่งถึงเพียงใดกันแน่? ทำไมข้ารู้สึกว่าไม่อาจต่อต้านเขาได้แม้แต่น้อย? ระดับขอบเขตพลังของพวกเราเห็นชัดว่าใกล้เคียงกันทำไมถึงได้เป็นเช่นนั้น? “สานุศิษย์ตำหนักจิตวิญญาณค่ำคืนผู้หนึ่งเปิดปากถามขึ้น มู่เยี่ยนเสวี่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าว”ระดับขอบเขตพลังไม่ใช่ตัวชี้วัดเดียวถึงพลังในการต่อสู้ของผู้บ่มเพาะพลังพลังในการต่อสู้ของผู้บ่มเพาะพลังที่แท้จริงรวมมาจากระดับขอบเขตพลังและระดับทักษะต่อสู้ทั้งหมดของพวกเขารวมถึงทักษะเคลื่อนไหวและทักษะบ่มเพาะพลัง “นอกจากนั้นยังมีความเข้าใจถึงสภาวะภายในของทักษะต่อสู้ท้ายที่สุดยังมีปัจจัยภายนอกอย่างอาวุธวิญญาณเกราะศึกและสมบัติลับทั้งหมดทั้งมวลรวมเข้าด้วยกันจะได้เป็นพลังต่อสู้ที่แท้จริงของผู้บ่มเพาะพลัง” “ทักษะต่อสู้ทั้งหมดของเขาทักษะบ่มเพาะพลังและทักษะเคลื่อนไหวอย่างน้อยอยู่ในระดับปฐพขั้นสูงยิ่งกว่านั้น, เขามีพลังกายภาพที่แข็งแกร่งและความเข้าใจในสภาวะในแง่ของพลังต่อสู้แม้จะมีเจ้าเป็นสิบคนก็ไม่อาจรับมือเขาได้” คนผู้นั้นรู้สึกติดขัดในใจ”หากอย่างที่ท่านได้กล่าวมาแม้แต่พี่ใหญ่ก็ไม่คู่ควรกับเขา” มู่เยียนเสวี่ยยิ้มบางเบาและกล่าว”ระดับการบ่มเพาะพลังของมู่เฉิงเสวี่ยสูงกว่าเขาทักษะต่อสู้ทักษะเคลื่อนไหว, และทักษะบ่มเพาะพลังไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าเขาเช่นกันสิ่งเดียวที่พ่ายแพ้คือพลังกายภาพหากพวกเขาทั้งสองคนประมือกันโอกาสชนะคือครึ่งต่อครึ่ง” อีกคนหนึ่งกล่าวขึ้นมา”ศิษย์พี่มู่, ข้าคิดว่าท่านประเมินตัวเขาสูงเกินไปหน่อยจากที่ขาเห็นเมื่อก่อนหน้านี้เขาดูเหมือนจะทำอะไรศิษย์พี่หญิงไม่ได้แม้แต่น้อยเขาไม่คู่ควรกับพี่ใหญ่อย่างแน่นอน” มู่เยี่ยนเสวี่ยกล่าวเสียงอ่อน”อีกสามวันมาเฉิงเสวี่ยจะเข้าร่วมการประมูลด้วยเช่นกันหากข้าคาดเดาได้ถูกต้องคนผู้นี้ก็มาเพื่อเข้าร่วมการประมูลเช่นเดียวกันจากนั้น, พวกเราจะได้เห็นว่าใครที่จะแข็งแกร่งกว่าใคร” ที่ลานบ้านเล็กของตระกูลหยุนเมืองซีเหอ เซี่ยวเฉินและหยุนเข่อซินนั่งลงที่โต๊ะหินนางวางกระบี่มังกรคำรนลงบนโต๊ะจากนั้นนางจ้องมองไปที่เซียวเฉินและกล่าว”ขอบใจสำหรับกระบี่มังกรคำรนของเจ้ามันช่วยให้ข้าได้รับสถานะผู้สืบทอดตระกูลหยุน” อาวุธวิญญาณสามารถเพิ่มพลังโจมตีให้กับผู้บ่มเพาะพลังแต่อย่างไรก็ตามยิ่งระดับขอบเขตพลังสูงผลจากสิ่งของภายนอกยิงอ่อนลงอาวุธวิญญาณระดับลึกลำ สามารถเร่งพลังโจมตีของระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธขึ้นมาได้สองในสิบส่วนแต่อย่างไรก็ตามสำหรับระดับขอบเขตนักบุญมันเร่งพลังขึ้นมาได้ไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน มีเพียงอาวุธวิญญาณระดับปฐพี่หรือสูงกว่าเท่านั้นที่จะสามารถเร่งพลังโจมตีของระดับขอบเขตนักบุญเพิ่มขึ้นมาได้สองในสิบส่วนนอกจากนั้นอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์ขั้นต่ำจะสามารถเร่งพลังโจมตีของระดับขอบเขตนักบุญขึ้นมาได้ถึงห้าในสิบส่วน หากความแข็งแกร่งของหยุนเข่อชินเพิ่มขึ้นมาอีกครึ่งหนึ่งนะดับขอบเขตนักบุญชั้นสูงทั่วไปไม่อาจคู่ควรกับนาง หยุนเข่อซินมองดูขณะที่เซียวเฉินเก็บกระบี่มังกรคำรนลงไปในแหวนห้วงจักรวาลจากนั้นนางก็ถามขึ้นด้วยท่าทางเย้าแหย่”ข้าสังเกตเห็นว่ากระบี่ของเจ้าเป็นเพียงอาวุธวิญญาณระดับปฐพีขั้นต่ำทำไมเจ้าถึงไม่ใช้อาวุธวิญญาณระดับสวรรค์เล่มนี้? ” ปัจจุบัน, กระบี่มังกรคำรนแข็งแกร่งกว่ากระบี่เงาจันทร์อย่างแน่นอนแต่อย่างไรก็ตาม, เซี่ยวเฉินไม่มีความตั้งใจที่จะใช้กระบี่มังกรคำรนนี่เป็นเพราะกระบี่เงาจันทร์มีศักยภาพที่มากกว่ากระบี่มังกรคำรน” อาวุธกึ่งพระเจ้าปะทะอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์เซียวเฉินรู้ว่าควรหยิบจับกระบี่เล่มไหนยิ่งกว่านั้น, เขาได้มีความรู้สึกพิเศษกับกระบี่เงาจันทร์แล้วความรู้สึกเช่นนี้ยากที่จะก้าวผ่านในชีวิตนี้ เซี่ยวเฉินยิ้มและกล่าว“ข้าคุ้นเคยกับมันแล้วข้าเพียงโชคดีที่ได้รับกระบี่มังกรคำรนมาโดยบังเอิญท้ายที่สุดข้าก็ไม่อาจใช้มันได้ลื่นไหลเท่ากับกระบี่เบาจันทร์” เมื่อหยุนเข่อซินได้ยินดังนั้น, นางรู้สึกยินดีในใจนางกล่าว“หากว่ามันพอจะเป็นไปได้ข้าอยากจะขอซื้ออาวุธวิญญาณระดับสวรรค์เล่มนี้เจ้ามีความตั้งใจจะขายมันบ้างหรือไม่? เซี่ยวเฉินนิ่งอึ้งเล็กน้อยเขาไม่เข้าใจว่าทำไมหยุนเข่อซินถึงอยากที่จะซื้อกระบี่มังกรคำรนแม้ว่าจะไม่มีอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์ชิ้นใหม่ปรากฏขึ้นในทวีปเทียนหวี่มาหลายร้อยปีแล้วแต่ก็ยังมีอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์อยู่มากมายหากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นไม่มีปัญหาสำหรับอาวุธระดับสวรรค์ที่จะคงอยู่ผ่านไปพันปี, ด้วยคุณภาพของมัน ท้ายที่สุดกระบี่มังกรคำรนก็เป็นเพียงอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์ขั้นต่ำหลังจากที่กลายมาเป็นระดับขอบเขตกษัตริย์ยุทธ, มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรมากแล้วด้วยพรสวรรค์ของหยุนเข่อซิน, นางไม่มีปัญหาที่จะก้าวขึ้นสู่ระดับขอบเขตกษัตริย์ยุทธจากนั้นมันไม่คุ้มค่าที่จะซื้ออาวุธวิญญาณระดับสวรรค์ชิ้นอื่นอีก เซี่ยวเฉินรู้สึกสงสัยจึงได้ถามขึ้น”เจ้าแน่ใจที่จะซื้ออาวุธวิญญาณระดับสวรรค์ชิ้นนี้? ” หยุนเข่อซินพยักหน้าจริงจัง”ใช่, ข้าให้ข้อเสนอเจ้าได้, ในฐานะผู้สืบทอดตระกูลหยุนการจัดหาทรัพยากรของข้ามากมายกว่าแต่ก่อนนักข้าจะไม่ให้เจ้าต้องขาดทุน ทัศนคติของหยุนเข่อซินช่างแน่วแน่มันถึงกับทำให้เซียวเฉินต้องลังเลเซียวเฉินจะไม่ได้ใช้กระบี่มังกรคำรนเล่มนี้เขาทำได้เพียงเก็บมันเอาไว้เป็นอาวุธสำรอง หากราคาเป็นที่น่าพอใจ, ไม่มีปัญหาที่จะขายมันไปแต่อย่างไรก็ตามมันดูเรียบง่ายยิ่ง, ทำให้เซี่ยวเฉินยากที่จะตัดวินใจเป็นไปได้ว่าจะมีความลับบางอย่างในกระบี่มังกรคำรนเล่มนี้ที่เซียวเฉินยังไม่รู้? เมื่อหยุนเข่อชินเซ็นเซียวเฉินลังเล, นางกล่าวต่อ”พี่น้องเย่เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องตามากที่สุดในการประมูลครั้งนี้? ” เซี่ยวเฉินกล่าว”การประมูลในรอบสิบปีของศาบาหลินหลางพวกเขาจะต้องเอาตำราล้ำค่าเกราะศึกและอาวุธวิญญาณระดับสูงหรือสมบัติธรรมชาตใช่หรือไม่? หรือจะมีสิ่งใดอื่นอีก? ” หยุนเข่อซินกล่าวอย่างใจเย็น”พวกนั้นเป็นเพียงแค่ของพื้นๆสิ่งที่เป็นตัวชูงานก็คือสมบัติลับ” เซียวเฉินรู้สึกมันน่าสงสัย”เจ้ากล่าวว่าเป็นสมบัติลับ? ทุกการประมูลมีพวกมันมากมายพวกนี้ก็เป็นเพียงอีกส่วนหนึ่ง หยุนเข่อซินอธิบาย”มันต่างออกไปในครั้งนี้ในตอนที่สมรภูมิปีศาจที่ดินแดนรกร้างเปิดออกมีบางคนพบสมบัติลับสภาพสมบูรณ์มากมายที่นั้นทุกการประมูลในเวลานี้จะต้องมีสมบัติลับสภาพสมบูรณ์อย่างน้อยรอบละหนึ่งชิ้น” สมบัติลับสภาพสมบูรณ์? เซียวเฉินครุ่นคิดเขาไตร่ตรองต่อไป, วิธีการสร้างสมบัติลับจากยุคโบราณได้สาบสูญไปแล้ว” แม้ว่าจะมีสมบัติลับมากมายที่ตกทอดกันมา, ส่วนใหญ่จะอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์พวกมันส่วนใหญ่จะมีความเสียหายที่สัญลักษณ์ค่ายกลภายใน

ตอนที่ 273 ไสหัวไป

ความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณยุทธสืบทอดไม่ใช่สิ่งที่ผู้บ่มเพาะพลังทั่วไปจะไปเทียบด้วยได้วังวนศิลาสีฟ้านั้นสามารถกลืนกินเปลวเพลิงอัสนีเข้าไปได้

เซียวเฉินครุ่นคิดกับตัวเองแม้ว่าเพลิงแท้อัสนีจะถูกโยนออกไปอย่างเรียบง่าย, ชัยชนะก็ตกอยู่ในมือของฝ่ายที่รวดเร็วกว่ามันเป็นการยากอย่างยิ่งที่ผู้บ่มเพาะพลังทั่วไปจะหลบเลี่ยงมันได้พ้น

คู่ต่อสู้ของเซียวเฉินสามารถหลบมันได้พันถึงแม้ว่าจะบาดเจ็บอยู่นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าเขาไม่ใช่ธรรมดา

“พวกเจ้ามัวยืนทำอะไรกันอยู่? ไปจับตัวสารเลวสองตัวนั้น! ”ผู้อาวุโสสี่ตระกูลชรือตะโกนขึ้นมาอย่างเกรี้ยวกราดพร้อมกับจ้องมองไปที่บาดแผลที่ไม่มีทีท่าว่าจะสมานตัว

ผู้บ่มเพาะพลังตระกูลชรือดร่งลงจากม้าและมุ่งหน้าเข้าหาเซียวเฉินและหลิวสุยเฟิงพร้อมกับเจตนาฆ่าฟันพลุ่งพล่าน

เซียวเฉินกวาดตามองนับจำนวนคนอย่างรวดเร็วมากกว่าหนึ่งร้อยคนกำลังล้อมตัวเขาเอาไว้มีระดับขอบเขตนักบุญขั้นต้นสิบห้าคนและที่เหลืออยู่ระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธขั้นสูงสุด

จากจำนวนทั้งหมดอย่างน้อยครึ่งหนึ่งที่มีจิตวิญญาณยุทธสืบทอดของตระกูลชรือถึงแม้คนกลุ่มนี้จะเผชิญหน้ากับระดับขอบเขตกษัตริย์ยุทธพวกเขาก็ยังคงมีโอกาสชนะครึ่งต่อครึ่ง

เซี่ยวเฉินจับด้ามกระบี่เอาไว้แน่นและกล่าวกับหลิวสุยเฟิง“ข้าจะค่อยระวังหลังมองหาโอกาสหนีออกไปในทันทีที่เจ้าทำได้”

เมื่อหลิวสุยเฟิงได้ยินเช่นนั้นเขาตกใจเล็กน้อยเขายิ้มอย่างขมขึ้น“แม้ว่าข้าจะไม่ได้แข็งแกร่งมากนักข้าก็ยังรู้ว่าเจ้าไม่มีโอกาสมากนักที่จะชนะคนพวกนี้”
“เว้ง! ”

ก่อนที่หลิวสุยเฟิงจะได้กล่าวจบ, มีเสียงซึ่งจากกระบี่เกิดขึ้นบนท้องฟ้าต้นเสียงช่างนุ่มนวลและจากนั้นมันค่อยๆกลายเป็นดังขึ้นและดังขึ้นจนในที่สุดก็ราวกับเสียงฟ้าคำรามทำให้แก้วหูของทุกคนสั่นสะเทือน

ใบหน้าของหลิวสุยเฟิงจุดประกายความยินดีเขายิ้มและกล่าว“นั่นหยุนเข่อชิน, บุตรสาวคนโตของผู้นำตระกูลหยุนอิทธิพลของตระกูลหยุนในเมืองซีเหอไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลชรือพวกเรารอดแล้ว”

“บูม! ”

อาวุธวิญญาณระดับสวรรค์กระบี่มังกรคำรนร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าหลังจากนั้นมันฝังตัวเองลงบนพื้นดินและท้องถนนก็สั่นสะเทือน

ใบไม้ผลึกโปร่งแสงค่อยๆลอยล่องลงมาก่อนที่จะจางหายไป

หลังจากนั้น, บุคคลในชุดสีขาวปรากฏตัวขึ้นนั่นคือหยุนเข่อซินนางดึงกระบี่มังกรคำรนออกมาและชี้ไปทางคนของตระกูลชรือในทันทีที่กระบี่ถูกดึงขึ้นมาจากพื้นปฐพสั่นสะเทือน

ผู้อาวุโสสี่ตระกูลหรือในที่สุดก็หยุดอาการเลือดออกได้เมื่อเขาเห็นหยุนเข่อซินที่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างฉับพลัน, เขากล่าวเสียงดัง
“แม่นางจากตระกูลหยุนนี่ไม่ใช่กงการอะไรของเจ้าโปรดหลีกทางหยุนเข่อซินมีความสงบนิ่งบนใบหน้าของนางนางกล่าวอย่างเฉยเมย“ผู้อาวุโสปรือท่านกำลังจะล้ำเส้น”

ผู้อาวุโสสี่ตระกูลหรือหน้าเสียเขารู้ว่าหยุนเข่อซินหมายถึงข้อตกลงที่ว่าจะไม่ลงมือกับรุ่นเยาว์”

หากนี่กล่าวโดยผู้อาวุโสของตระกูลหยุนผู้อาวุโสสี่ตระกูลชรือไม่อาจปฏิเสธ, เขาทำได้เพียงรู้สึกละอายใจแต่อย่างไรก็ตามเมื่อมันกล่าวออกมาจากปากของหยุนเข่อซิน, เขารู้สึกเกรี้ยวโกรธยิ่งขึ้นไปอีก

“ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เด็กสาวเยี่ยงเจ้ามีสิทธิ์มาสั่งสอนข้า? เจ้ามันไม่คู่ควรถอยไป! อย่มาขัดขวางงานของตระกูลชรือ! “กรุบ! กรุบ! กรุบ! ”

สถานการณ์ตึงเครียดดำเนินต่อไปบนถนนจนเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นมาผู้บ่มเพาะพลังของตระกูลหยุนได้มาถึงแล้ว

ผู้ที่นำกลุ่มเข้ามาเป็นชายวัยกลาวคนเขาลงจากม้าและค่อยๆก้าวเท้ายาวตรงไปที่ผู้อาวุโสสุตระกูลชรือกระแสพลังน่าหวาดกลัวกดดันผู้อาวุโสสี่ตระกูลหรืออย่างไม่มีปราณี

สัมผัสวิญญาณของเซี่ยวเฉินจับลงไปที่กระแสพลังนี้เซี่ยวเฉินครุ่นคิดอย่างตกตะลึงนี่เป็นกระแสพลังของระดับขอบเขตกษัตริย์ยุทธขั้นกลางเขาอดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปที่ใบหน้าของชายวัยกลางคนผู้นี้

ชายวัยกลางคนผู้นี้อายุไม่ได้มากกว่าสี่สิบเขามีกระแสพลังที่โดดเด่นและให้อารมณ์ที่เข้มงวดรุนแรงดวงตาของเขาเต็มไปด้วยแสงระยับพร้อมกับเขากล่าวด้วยเสียงเย็น

”หากบุตรสาวของข้าไม่คู่ควรเช่นนั้นแล้วข้าคู่ควรที่จะสั่งสอนเจ้าได้หรือไม่? ”

ต่อหน้ากระแสพลังที่พลุ่งพล่าน, ผู้อาวุโสสี่ตระกูลชรือพบว่ามันยากเย็นที่จะสูดหายใจใบหน้าซีดเซียวของเขากลายเป็นน่าเกลียดยิ่งกว่าเดิม

ผู้อาวุโสสี่ตระกูลชรือไม่คาดคิดว่าผู้นำตระกูลหยุน-หยุนโหยวที่จะเข้ามาจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองต่อหน้าอำนาจอันเด็ดขาดเขาจะกล้าเกรี้ยวกราดได้อย่างไร?

ผู้อาวุโสสี่ตระกูลชรือกล่าวอย่างละอาย”ผู้นำตระกูลหยุน, ผู้นำของพวกเราได้สั่งพวกเราให้แน่ใจว่าเจ้าสองคนตรงนั้นจะต้องขอขมาตระกูลชรือของพวกเราข้าหวัง”ไสหัวไป! ”

หยุนโหยวจีไร้สีหน้าก่อนที่ผู้อาวุโสสี่ตระกูลชรือจะได้กล่าวจบ, หยุนโหยวจออกปากด่า”เจ้าไปเสียดีกว่าก่อนที่ข้าจะโกรธหากปรือหยางยืนยันที่จะอยากได้คำขอขมา, ข้าสามารถพาเขาไปพบกับท่านเจ้าเมืองพวกเราจะให้ท่านเจ้าเมืองตัดสินใครถูกใครผิดและเป็นใครที่จะต้องกล่าวขอขมา! ”

ผู้อาวุโสสี่ตระกูลชรือหน้าแดงจัดเขาไม่คาดคิดว่าผู้นำตระกูลหยุนจะไม่ไว้หน้าเขาแม้แต่น้อยเขาสะบัดมือและกล่าวขึ้น”หยุนโหยวจี, ระวังตัวเอาไว้!

หลังจากที่เขาพูดจบ, เขานำกลุ่มผู้บ่มเพาะพลังตระกูลชรือจาอกไปอย่างรวดเร็วในครั้งนี้, ตระกูลชรือต้องขายขี้หน้าโดยสมบูรณ์

ก่อนหน้านี้, หรือเฟิงถูกจับโยนลงมาบนถนนในตอนนี้หยุนโหยวจีกล่าวประโยคเดียวผู้อาวุโสสี่ตระกูลชรือก็กลัวจนหนีหายมันเป็นไปไม่ได้ที่ที่ชื่อเสียงของพวกเขาจะไม่เสื่อมเสีย

หลังจากที่หยุนโหยวจีเห็นว่าพวกมันได้จากไปไกลแล้วเขาเมินเฉยไปและหันมาพบหน้าเซียวเฉินเขาเดินตรงเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม”

เจ้าจะต้องเป็นเซียวเฉินเข่อซินเตยกล่าวถึงเจ้ามาก่อนเจ้าเป็นชายหนุ่มผู้กล้าหาญอย่างแน่นอน”

“มา, พวกเจ้าควรจะตามข้าไปที่บ้านตระกูลหยุนไม่มีใครจะมาระรานพวกเจ้าได้”

ที่ชั้นสามของศาลาหลับไหล, มู่เยียนเสวี่ยพิ่มพำกับตัวเองเมื่อนางเห็นว่าเซี่ยวเฉินอยู่กับคนของตระกูลหยุย”

ชรือเฟิงเจ้ายังไม่รู้ว่าเจ้าได้ไปยั่วยุใครเข้าดูเหมือนตำหนักจิตวิญญาณค่ำคืนจะต้องพิจารณาถึงการร่วมมือกับตระกูลชรือ”

“ศิษย์พี่มู่คนผู้นั้นแข็งแกร่งถึงเพียงใดกันแน่? ทำไมข้ารู้สึกว่าไม่อาจต่อต้านเขาได้แม้แต่น้อย? ระดับขอบเขตพลังของพวกเราเห็นชัดว่าใกล้เคียงกันทำไมถึงได้เป็นเช่นนั้น? “สานุศิษย์ตำหนักจิตวิญญาณค่ำคืนผู้หนึ่งเปิดปากถามขึ้น

มู่เยี่ยนเสวี่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าว”ระดับขอบเขตพลังไม่ใช่ตัวชี้วัดเดียวถึงพลังในการต่อสู้ของผู้บ่มเพาะพลังพลังในการต่อสู้ของผู้บ่มเพาะพลังที่แท้จริงรวมมาจากระดับขอบเขตพลังและระดับทักษะต่อสู้ทั้งหมดของพวกเขารวมถึงทักษะเคลื่อนไหวและทักษะบ่มเพาะพลัง

“นอกจากนั้นยังมีความเข้าใจถึงสภาวะภายในของทักษะต่อสู้ท้ายที่สุดยังมีปัจจัยภายนอกอย่างอาวุธวิญญาณเกราะศึกและสมบัติลับทั้งหมดทั้งมวลรวมเข้าด้วยกันจะได้เป็นพลังต่อสู้ที่แท้จริงของผู้บ่มเพาะพลัง”

“ทักษะต่อสู้ทั้งหมดของเขาทักษะบ่มเพาะพลังและทักษะเคลื่อนไหวอย่างน้อยอยู่ในระดับปฐพขั้นสูงยิ่งกว่านั้น, เขามีพลังกายภาพที่แข็งแกร่งและความเข้าใจในสภาวะในแง่ของพลังต่อสู้แม้จะมีเจ้าเป็นสิบคนก็ไม่อาจรับมือเขาได้”

คนผู้นั้นรู้สึกติดขัดในใจ”หากอย่างที่ท่านได้กล่าวมาแม้แต่พี่ใหญ่ก็ไม่คู่ควรกับเขา”

มู่เยียนเสวี่ยยิ้มบางเบาและกล่าว”ระดับการบ่มเพาะพลังของมู่เฉิงเสวี่ยสูงกว่าเขาทักษะต่อสู้ทักษะเคลื่อนไหว, และทักษะบ่มเพาะพลังไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าเขาเช่นกันสิ่งเดียวที่พ่ายแพ้คือพลังกายภาพหากพวกเขาทั้งสองคนประมือกันโอกาสชนะคือครึ่งต่อครึ่ง”

อีกคนหนึ่งกล่าวขึ้นมา”ศิษย์พี่มู่, ข้าคิดว่าท่านประเมินตัวเขาสูงเกินไปหน่อยจากที่ขาเห็นเมื่อก่อนหน้านี้เขาดูเหมือนจะทำอะไรศิษย์พี่หญิงไม่ได้แม้แต่น้อยเขาไม่คู่ควรกับพี่ใหญ่อย่างแน่นอน”

มู่เยี่ยนเสวี่ยกล่าวเสียงอ่อน”อีกสามวันมาเฉิงเสวี่ยจะเข้าร่วมการประมูลด้วยเช่นกันหากข้าคาดเดาได้ถูกต้องคนผู้นี้ก็มาเพื่อเข้าร่วมการประมูลเช่นเดียวกันจากนั้น, พวกเราจะได้เห็นว่าใครที่จะแข็งแกร่งกว่าใคร”

ที่ลานบ้านเล็กของตระกูลหยุนเมืองซีเหอ

เซี่ยวเฉินและหยุนเข่อซินนั่งลงที่โต๊ะหินนางวางกระบี่มังกรคำรนลงบนโต๊ะจากนั้นนางจ้องมองไปที่เซียวเฉินและกล่าว”ขอบใจสำหรับกระบี่มังกรคำรนของเจ้ามันช่วยให้ข้าได้รับสถานะผู้สืบทอดตระกูลหยุน”

อาวุธวิญญาณสามารถเพิ่มพลังโจมตีให้กับผู้บ่มเพาะพลังแต่อย่างไรก็ตามยิ่งระดับขอบเขตพลังสูงผลจากสิ่งของภายนอกยิงอ่อนลงอาวุธวิญญาณระดับลึกลำ

สามารถเร่งพลังโจมตีของระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธขึ้นมาได้สองในสิบส่วนแต่อย่างไรก็ตามสำหรับระดับขอบเขตนักบุญมันเร่งพลังขึ้นมาได้ไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน

มีเพียงอาวุธวิญญาณระดับปฐพี่หรือสูงกว่าเท่านั้นที่จะสามารถเร่งพลังโจมตีของระดับขอบเขตนักบุญเพิ่มขึ้นมาได้สองในสิบส่วนนอกจากนั้นอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์ขั้นต่ำจะสามารถเร่งพลังโจมตีของระดับขอบเขตนักบุญขึ้นมาได้ถึงห้าในสิบส่วน

หากความแข็งแกร่งของหยุนเข่อชินเพิ่มขึ้นมาอีกครึ่งหนึ่งนะดับขอบเขตนักบุญชั้นสูงทั่วไปไม่อาจคู่ควรกับนาง

หยุนเข่อซินมองดูขณะที่เซียวเฉินเก็บกระบี่มังกรคำรนลงไปในแหวนห้วงจักรวาลจากนั้นนางก็ถามขึ้นด้วยท่าทางเย้าแหย่”ข้าสังเกตเห็นว่ากระบี่ของเจ้าเป็นเพียงอาวุธวิญญาณระดับปฐพีขั้นต่ำทำไมเจ้าถึงไม่ใช้อาวุธวิญญาณระดับสวรรค์เล่มนี้? ”

ปัจจุบัน, กระบี่มังกรคำรนแข็งแกร่งกว่ากระบี่เงาจันทร์อย่างแน่นอนแต่อย่างไรก็ตาม, เซี่ยวเฉินไม่มีความตั้งใจที่จะใช้กระบี่มังกรคำรนนี่เป็นเพราะกระบี่เงาจันทร์มีศักยภาพที่มากกว่ากระบี่มังกรคำรน”

อาวุธกึ่งพระเจ้าปะทะอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์เซียวเฉินรู้ว่าควรหยิบจับกระบี่เล่มไหนยิ่งกว่านั้น, เขาได้มีความรู้สึกพิเศษกับกระบี่เงาจันทร์แล้วความรู้สึกเช่นนี้ยากที่จะก้าวผ่านในชีวิตนี้

เซี่ยวเฉินยิ้มและกล่าว“ข้าคุ้นเคยกับมันแล้วข้าเพียงโชคดีที่ได้รับกระบี่มังกรคำรนมาโดยบังเอิญท้ายที่สุดข้าก็ไม่อาจใช้มันได้ลื่นไหลเท่ากับกระบี่เบาจันทร์”

เมื่อหยุนเข่อซินได้ยินดังนั้น, นางรู้สึกยินดีในใจนางกล่าว“หากว่ามันพอจะเป็นไปได้ข้าอยากจะขอซื้ออาวุธวิญญาณระดับสวรรค์เล่มนี้เจ้ามีความตั้งใจจะขายมันบ้างหรือไม่?

เซี่ยวเฉินนิ่งอึ้งเล็กน้อยเขาไม่เข้าใจว่าทำไมหยุนเข่อซินถึงอยากที่จะซื้อกระบี่มังกรคำรนแม้ว่าจะไม่มีอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์ชิ้นใหม่ปรากฏขึ้นในทวีปเทียนหวี่มาหลายร้อยปีแล้วแต่ก็ยังมีอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์อยู่มากมายหากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นไม่มีปัญหาสำหรับอาวุธระดับสวรรค์ที่จะคงอยู่ผ่านไปพันปี, ด้วยคุณภาพของมัน

ท้ายที่สุดกระบี่มังกรคำรนก็เป็นเพียงอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์ขั้นต่ำหลังจากที่กลายมาเป็นระดับขอบเขตกษัตริย์ยุทธ, มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรมากแล้วด้วยพรสวรรค์ของหยุนเข่อซิน, นางไม่มีปัญหาที่จะก้าวขึ้นสู่ระดับขอบเขตกษัตริย์ยุทธจากนั้นมันไม่คุ้มค่าที่จะซื้ออาวุธวิญญาณระดับสวรรค์ชิ้นอื่นอีก

เซี่ยวเฉินรู้สึกสงสัยจึงได้ถามขึ้น”เจ้าแน่ใจที่จะซื้ออาวุธวิญญาณระดับสวรรค์ชิ้นนี้? ”

หยุนเข่อซินพยักหน้าจริงจัง”ใช่, ข้าให้ข้อเสนอเจ้าได้, ในฐานะผู้สืบทอดตระกูลหยุนการจัดหาทรัพยากรของข้ามากมายกว่าแต่ก่อนนักข้าจะไม่ให้เจ้าต้องขาดทุน

ทัศนคติของหยุนเข่อซินช่างแน่วแน่มันถึงกับทำให้เซียวเฉินต้องลังเลเซียวเฉินจะไม่ได้ใช้กระบี่มังกรคำรนเล่มนี้เขาทำได้เพียงเก็บมันเอาไว้เป็นอาวุธสำรอง

หากราคาเป็นที่น่าพอใจ, ไม่มีปัญหาที่จะขายมันไปแต่อย่างไรก็ตามมันดูเรียบง่ายยิ่ง, ทำให้เซี่ยวเฉินยากที่จะตัดวินใจเป็นไปได้ว่าจะมีความลับบางอย่างในกระบี่มังกรคำรนเล่มนี้ที่เซียวเฉินยังไม่รู้?

เมื่อหยุนเข่อชินเซ็นเซียวเฉินลังเล, นางกล่าวต่อ”พี่น้องเย่เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องตามากที่สุดในการประมูลครั้งนี้? ”

เซี่ยวเฉินกล่าว”การประมูลในรอบสิบปีของศาบาหลินหลางพวกเขาจะต้องเอาตำราล้ำค่าเกราะศึกและอาวุธวิญญาณระดับสูงหรือสมบัติธรรมชาตใช่หรือไม่? หรือจะมีสิ่งใดอื่นอีก? ”

หยุนเข่อซินกล่าวอย่างใจเย็น”พวกนั้นเป็นเพียงแค่ของพื้นๆสิ่งที่เป็นตัวชูงานก็คือสมบัติลับ”

เซียวเฉินรู้สึกมันน่าสงสัย”เจ้ากล่าวว่าเป็นสมบัติลับ? ทุกการประมูลมีพวกมันมากมายพวกนี้ก็เป็นเพียงอีกส่วนหนึ่ง

หยุนเข่อซินอธิบาย”มันต่างออกไปในครั้งนี้ในตอนที่สมรภูมิปีศาจที่ดินแดนรกร้างเปิดออกมีบางคนพบสมบัติลับสภาพสมบูรณ์มากมายที่นั้นทุกการประมูลในเวลานี้จะต้องมีสมบัติลับสภาพสมบูรณ์อย่างน้อยรอบละหนึ่งชิ้น”

สมบัติลับสภาพสมบูรณ์? เซียวเฉินครุ่นคิดเขาไตร่ตรองต่อไป, วิธีการสร้างสมบัติลับจากยุคโบราณได้สาบสูญไปแล้ว”

แม้ว่าจะมีสมบัติลับมากมายที่ตกทอดกันมา, ส่วนใหญ่จะอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์พวกมันส่วนใหญ่จะมีความเสียหายที่สัญลักษณ์ค่ายกลภายใน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+