Immortal and Martial Dual Cultivation 163 หัวใจต้องโหดเหี้ยม การเคลื่อนไหวต้องดุดัน

Now you are reading Immortal and Martial Dual Cultivation Chapter 163 หัวใจต้องโหดเหี้ยม การเคลื่อนไหวต้องดุดัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 163 หัวใจต้องโหดเหี้ยม การเคลื่อนไหวต้องดุดัน

 

ทันใดนั้นหัวของหมูก็ปรากฏขึ้นด้านข้างของเซี่ยวเฉินและพูดด้วยเสียงที่สั่นเทิ้ม “เย่เฉิน ดีที่สุดที่เจ้าจะขอโทษพี่สาวข้า นางรู้ทุกอย่างแล้ว”

 

[TL note: หัวหมู: เป็นคําที่ใช้เรียกพวกโง่เง่า บ้าบอ แต่ในที่นี้น่าจะหมายถึงโดนกระทืบจนหัวบวมเป็นหมูมากกว่า]

 

หัวหมู ที่ปรากฏกะทันหันในค่ำคืนทําให้เซี่ยวเฉินตกใจหลังจากที่มองอย่างระวัง เขารับรู้ได้ว่ามันเป็นเพียงหัวของมนุษย์ที่ถูกทุบตีจนบวมเป่ง

 

เซี่ยวเฉินจ้องมันเป็นเวลานาน แต่เขาไม่สามารถจําคนผู้นั้นได้ “เจ้าเป็นใคร?!”

 

“โอ๊ยย… ข้าคือ… หลิว… สุยเฟิง” หลิวสุยเฟิงพูดติดอ่างเล็กน้อยในขณะที่ปากของเขาบวมเป่งเช่นกัน เขากําลังร้องไห้อยู่ในใจ แม้แต่เซี่ยวเฉินก็จําเขาไม่ได้ เมื่อเขาออกไปข้างนอกพรุ่งนี้ เขาจะต้องจบสิ้นแน่

 

เซี่ยวเฉินรู้สึกระอายอยู่ในใจ ดังนั้นเขาจึงพยายามอธิบายแทนหลิวสุยเฟิง “พี่สาวหรูเยว่ ที่จริงแล้วมันเป็นเพราะการเก็บบุปผาผลึกน้ำแข็ง ทั้งหมดเป็นความคิดของข้า มันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับน้องชายสุยเฟิงเลย”

 

หลิวหรูเยวส่ายหัวของนาง “เจ้าไม่ได้เป็นคนผิด คนที่ผิดคือสุยเฟิง มันเป็นเพราะความสะเพร่าในอดีตของเขา ที่เผยที่อยู่ของตนเอง นอกจากนี้ เขาถึงขนาดนําคนที่ไม่เกี่ยวข้องไปด้วย

 

“การเก็บบุปผาผลึกน้ำแข็งเป็นสิ่งจําเป็น แม้ว่าเราจะต้องบาดหมางกับยอดเขาปี้อวิ๋น โดยการนําบุปผาผลึกน้ำแข็งที่หายไปกลับคืนมา เจ้าไม่ได้ทําอะไรผิดทั้งนั้น ในความเป็นจริง เจ้าได้ทําคุณงามความดีเป็นอย่างมาก”

 

“สิ่งที่ข้าไม่เข้าใจก็คือเรื่องใหญ่ที่เกิดหลังจากนั้น ทําไมเจ้าไม่บอกข้าในทันที? เจ้ารู้หรือไม่ว่าเรื่องนี้ร้ายแรงเพียงใด?”

 

เซี่ยวเฉินรู้สึกผิดและกล่าวด้วยน้ำเสียงเบา “ข้าคิดว่าด้วยการให้เขาทานเม็ดยาและทําลายหลักฐานทุกอย่าง มันจะไม่ทําให้เกิดปัญหาใดๆ”

 

หลิวหรูเยว่หัวเราะอย่างเย็นยะเยือก “วิธีคิดของเจ้าไร้เดียงสาเกินไป เหมือนกับเจ้าปีศาจตัวน้อย เราจะไม่กล่าวถึงว่ามันมียาแก้พิษอะไรหรือไม่ที่ทําให้คนผู้หนึ่งสูญเสียความทรงจําไปทั้งวัน”

 

“แม้ว่าจะไม่มียาแก้พิษ เขาจะลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เท่านั้น หากเรื่องในวันนี้เป็นสิ่งที่วางแผนไว้ก่อนแล้ว แม้ว่าเขาจะลืมเหตุการณ์ในวันนี้ ยึดตามหลักที่ว่าเขาอยู่ที่ใด เขาจะคาดเดาได้ว่าใครเป็นคนฉวยบุปผาผลึกน้ำแข็งไป”

 

เหงื่อเย็นไหลออกมาจากหลังของเซี่ยวเฉิน ทําไมเขาถึงได้คิดเพียงแค่นี้? ตอนแรกเขาคิดว่ามันจะทําให้เขาลืมเหตุการณ์ในวันนี้ มันจะไม่มีปัญหาใดๆ ดูเหมือนว่าเขาจะคิดมันง่ายเกินไป

 

ที่ยอดของเทือกเขาหลิงหยุน บนยอดเขาปี้อวิ๋น สถานที่ที่มีพลังวิญญาณหนาแน่นเป็นพิเศษ พื้นที่นี้อยู่บนจุดสูงสุดของยอดเขาปี้อวิ๋น และเป็นสถานที่ที่พลังวิญญาณรวมตัวกัน มันเป็นหนึ่งในเจ็ดกิ่งของเส้นเลือดจิตวิญญาณใต้ดินของเทือกเขาหลิงหยุน และสามารถกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีพลังงานวิญญาณอุดมสมบูรณ์มากที่สุดในอาณาจักรต้าฉิน

 

เมื่อบ่มเพาะพลังที่นั่น คนผู้นั้นจะดูดซับพลังวิญญาณได้เร็วกว่าคนปกติถึงสี่หรือห้าเท่า อย่างไรก็ตาม คนที่ได้รับผลประโยชน์จากสถานที่แห่งนี้มีจํากัด

 

ชายชราผู้หนึ่งนั่งอยู่บนโขดหินที่อยู่บนสุดของยอดเขา พลังงานวิญญาณที่อยู่โดยรอบหลั่งไหลเข้าสู่ตัวเขา มีเสาของควันสีเขียวลอยขึ้นมาจากหน้าผากของเขา

 

คนผู้นี้คือเจ้าแห่งยอดเขาของยอดเขาปี้อวิ๋น ซ่งเฉว เขาอยู่ในขอบเขตสูงสุดของกษัตริย์แล้ว และทั้งหมดที่เขาต้องการคือการทะลวงครั้งสุดท้ายเพื่อกลายเป็นขอบเขตยอดกษัตริย์

 

หลังจากที่ผู้อาวุโสทั้งหลายเสียชีวิตไปเมื่อยี่สิบปีก่อน ผู้เชี่ยวชาญอย่างซ่งเฉวจึงได้กลายมาเป็นหนึ่งในสิบผู้แข็งแกร่งที่สุดของศาลากระบี่สวรรค์

 

“ผุบ! ผุล! ผุล!”

 

มันคือเสียงของฝีเท้าเร่งด่วน มีร่างที่กําลังวิ่งขึ้นมาจากด้านใต้ยอดเขา เขาพกกระบี่หนาอยู่ด้านหลัง เมื่อเขาอยู่ห่างจากชายชราประมาณสิบเมตร เขาลดความเร็วเพื่อหยุดลง การแสดงออกบนใบหน้าของเขาเห็นได้ชัดว่ามันเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

 

ซ่งเฉวรู้สึกได้ถึงตัวตนของคนผู้นี้และค่อยๆเปิดตาขึ้นอย่างช้าๆ ดวงตาของเขาประกายออกด้วยรัศมีโชติช่วงขณะที่มองบุคคลผู้นี้และขมวดคิ้ว เขากล่าวด้วยน้ำเสียงไม่มีความสุข “กงหมิง ข้าเชื่อว่าข้าบอกเจ้าแล้วว่าอย่ารบกวนข้าเป็นเวลาครึ่งเดือน?”

 

คนที่ถูกเรียกว่ากงหมิงเป็นหนึ่งในลูกศิษย์คนสุดท้ายของซ่งเฉว แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ผู้สืบทอดที่แท้จริงของยอดเขาปี้อวิ๋น สถานะและตําแหน่งของเขาก็คล้ายคลึงกับผู้สืบทอด

 

ในทั่วยอดเขาปี้อวิ๋นทั้งหมด นอกเหนือจากผู้อาวุโส มีเพียงเขาเท่านั้นที่จะกล้ามาและแทรกแซงการบ่มเพาะพลังของซ่งเฉว

 

จ้าวกงหมิงรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาในจิตใจขณะกล่าวเสียงเบา “ตอบท่านอาจารย์ มีข่าวคราวจากห้องโถงหลักก่อนหน้านี้ พวกเขากล่าวว่าป้ายพลังชีวิตของน้องเล็กที่ฝากไว้ในห้องโถงหลักมีออร่าที่อ่อนแรงเป็นอย่างมาก มันเหมือนกับว่า… กับว่า…”

 

การแสดงออกของซ่งเฉวกลายเป็นมืดมนขณะที่กล่าวด้วยเสียงไม่พอใจ “ดูเหมือนว่าอะไร?!”

 

จ้าวกงหมิงทําตัวให้กล้าแกร่งและกล่าว “ดูเหมือนว่าเขาตกอยู่ในอันตรายและอาจจะตายลงได้ทุกเวลา!”

 

“ปัง!”

 

ซ่งเฉวยืนขึ้นทันทีและก้อนหินที่เขานั่งก็แตกเป็นเศษหินจํานวนมากนับไม่ถ้วน ลมพัดมาที่พวกมัน และมันก็กลายเป็นฝุ่นผงลอยไปพร้อมกับสายลม

 

จิตสังหารที่สั่นสะเทือนโลกาประกายในดวงตาของเขา ดังนั้นซ่งเฉวจึงใจเย็นลงและกล่าว “เรื่องนี้เกิดเมื่อไร? เชียนเหอไปที่ไหน? เขาไปกับใคร? บอกรายละเอียดข้ามาให้หมด”

 

ก่อนที่เขาจะมา จ้าวกงหมิงได้รวบรวมข้อมูลเอาไว้หมดแล้ว เขาเริ่มอธิบายอย่างเป็นระเบียบโดยกล่าวข้อมูลทั้งหมดออกไป “เมื่อวานนี้ น้องเล็กนําลูกศิษย์ยอดเขา ปี้อวิ๋นทั้งหกคนไปยังหุบเขาสายลมอสูร พวกเขาทั้งหมดเป็นปรมาจารย์ยุทธ์ขั้นกลางและสูงกว่านั้น

 

“ข่าวที่ศิษย์ได้รับคือหลิวหรูเยว่ต้องการบุปผาผลึกน้ำแข็งจากหุบเขาอสูรเพื่อสร้างยารักษาช่วยใครบางคน ข้าไม่ทราบว่าน้องเล็กได้ยินข่าวนี้อย่างไร แต่เขานํากลุ่มผู้คนพุ่งเข้าสู่หุบเขาสายลมอสูรก่อนพวกเขา ตั้งแต่นั้น ก็ไม่มีข่าวเกี่ยวกับพวกเขาอีกเลย”

 

แสดงหนาวเหน็บประกายขึ้นในดวงตาของซ่งเฉว เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “หลิวหรูเยว่? นางควรจะภาวนาไม่ให้มีอะไรเกิดขึ้นกับเขา มิฉะนั้น ข้าจะสังหารทุกคนบนยอดเขานิ่งหยุนโดยไม่มีการละเว้น”

 

“มา รีบไปเมืองกระบี่”

 

ภายในบ้านของเจ้าเมืองในเมืองกระบี่ เก่อหยุนปินฟังเรื่องราวอย่างระวังของจ้าวกงหมิงก่อนจะกล่าวกับซ่งเฉว “พี่ชายซ่ง อย่ากังวล ข้าจะส่งคนไปตามหาลูกชายท่านในทันที”

 

ซ่งเฉวป้องมือของเขาและกล่าว “ท่านเจ้าเมือง ขอบคุณสําหรับความช่วยเหลือ

 

มีสายลับอยู่ทุกที่ในระยะหลายร้อยกิโลเมตรของเมืองกระบี่ กําลังไปที่หุบเขาสายลมอสูรเพื่อที่จะตามหาคนผู้หนึ่งซึ่งไม่ใช่เรื่องยากสําหรับเก่อหยุนปิน

 

หลังผ่านไปสองชั่วโมงก็มีข่าวคราว ศิษย์ชั้นนอกผู้หนึ่งรีบเข้ามาและรายงาน รายงานท่านเจ้าเมือง เราพบพี่ชายช่งในเทือกเขาสายลมอสูรแล้ว เราควรส่งใครไปนําเขากลับมาหรือไม่?”

 

ซ่งเฉวกล่าว “ไม่จําเป็น นําทางข้าไปทันที ข้าอยากจะเห็นว่าใครมันกล้าพอที่จะทําเรื่องนี้”

 

ภายในหุบเขาสายลมอสูร ซ่งเฉวเห็นคนผู้หนึ่งกําลังแบกซ่งเชียนเหอลงมาจากต้นไม้ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ ใบหน้าของซ่งเชียนเหอเต็มไปด้วยรอยเท้า เขาถูกทุบตีจนไม่เหมือนมนุษย์อีกต่อไปแล้ว

 

ลูกศิษย์ไม่กี่คนของยอดเขาปี้อวิ๋นไม่กี่คนที่ตามมาอย่างรวดเร็วเช็ดเลือดทั้งหมดที่อยู่บนตัวของซ่งเชียนเหอ ป้อนเม็ดยารักษาหลายเม็ดให้เขา พันแผลให้เขา และใช้พลังปราณของพวกเขารักษาอาการบาดเจ็บภายในให้เขา 

 

จากนั้นไม่นาน ซ่งเชียนเหอค่อยๆฟื้นขึ้น เห็นผู้คนที่อยู่ด้านหน้าเขา เขาไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขาถามด้วยท่าทางประหลาด “ พ่อ พี่ใหญ่ ทําไมท่านอยู่ที่นี่? ข้าอยู่ที่ไหน?”

 

“โธ่เว้ย ทําไมเจ็บโคตรเลย!” หลังจากเขากล่าว เขาค้นพบว่าปากของเขารู้สึกเจ็บเป็นอย่างมาก นั้นคือตอนที่เขาพบว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส และทั่วตัวถูกปกคลุมไปด้วยผ้าพันแผล

 

“เกิดอะไรขึ้น? เสี่ยวจิวกับพรรคพวกอยู่ไหน? ทําไมข้าถึงกลายเป็นแบบนี้? ใครเป็นคนทํา?!” ซ่งเชียนเหอพยายามนึกเป็นอย่างมาก แต่เขาไม่สามารถนึกอะไรได้เลย ข้าจบลงด้วยสภาพเช่นนี้อย่างไร?

 

เม็ดยาลืมกังวล!

 

เก่อหยุนปินแลกเปลี่ยนสายตากับซ่งเฉว พวกเขาทั้งคู่มีคําตอบอยู่ในใจ พวกเขาสองคนเดินไปด้านหลังของซ่งเชียนเหอ และยื่นมือขวาออกไป ปราณบริสุทธิ์พลุ่งพล่านถูกส่งเข้าไปในร่างของซ่งเชียนเหอ

 

“ปุ!”

 

พลังปราณแหวกว่ายไปในร่างกายของซ่งเชียนเหออย่างรวดเร็ว ไม่นาน มันก็พบพลังงานของเม็ดยาอยู่ในตันเถียนของเขา พวกเขาทั้งสองก็ใช้ออกด้วยพลังพร้อมกัน ซึ่งเชียนเหออ้าปาก และอาเจียนของเหลวสีเขียวอ่อนลงบนพื้น

 

เก่อหยุนปินชักมือของเขากลับและกล่าว “หากผ่านไปอีกวันหนึ่ง พลังงานของเม็ดยาลืมกังวลจะถูกซึมซับอย่างสมบูรณ์ ถึงตอนนั้น แม้จะเป็นขอบเขตนักปราชญ์มาเอง มันก็ไร้ประโยชน์”

 

“เนื่องจากลูกชายของท่านปลอดภัยแล้ว ข้าก็ควรจะจากไปก่อน”

 

มีเพียงคนผู้เดียวในศาลากระบี่สวรรค์ที่ครอบครองเม็ดยาลืมกังวล เรื่องราวที่ซ่งเชียนเหอถูกจู่โจมนั้นซับซ้อนเป็นอย่างมาก มันเกี่ยวข้องกับการเมืองภายในของศาลากระบี่สวรรค์

 

เก่อหยุนปินไม่ต้องการมีส่วนร่วมกับเรื่องดังกล่าว และจากไปในทันที ซ่งเฉวไม่ได้หยุดเขา เขากล่าว “ข้าเป็นหนี้บุญคุณท่านเจ้าเมืองแล้ว ข้าจะตอบแทนเรื่องนี้ในอนาคต”

 

หลังจากเก่อหยุนปินนําผู้คนของเมืองกระบี่จากไป ซ่งเชียนเหอก็จดจําเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ได้ ดวงตาของเขาเผาไหม้ด้วยความเกลียดชังและกล่าว “เย่เฉิน ข้าจะทําให้มั่นใจว่าชีวิตของเจ้าเลวร้ายยิ่งกว่าความตาย”

 

ภายในยอดเขาฉิงหยุน ตั้งแต่เซี่ยวเฉินตื่นขึ้นมาในตอนกลางคืน เขาไม่ได้นอนต่ออีกเลย ด้านข้างของเขามีหลิวสุยเฟิงที่มีหัวหมูอยู่บนบ่า “พี่สาว มันไม่ร้ายแรงอย่างที่ท่านคิด!”

 

หลิวหรูเยว่หัวเราะเย็นยะเยือก “ข้าคิดว่าเจ้าหลงสเน่ห์ผู้หญิงคนนั้นและสูญเสียความฉลาดไปหมดแล้ว เพียงแค่รอ ก่อนที่วันนี้จะสิ้นสุด ผู้คนของยอดเขาปี้อวิ๋นจะต้องมาอย่างแน่นอน”

 

เซี่ยวเฉินรู้สึกกังวลเล็กน้อย ยังไงซะ ส่วนใหญ่ก็เป็นความคิดของเขา เขากล่าว “พี่สาวหรูเยว่ ถ้าคนพวกนั้นมาจริงๆ เพียงแค่โยนความผิดทั้งหมดมาให้ข้า หากมันเลวร้ายจนถึงที่สุด ข้าจะออกจากศาลากระบี่สวรรค์และหนีไป”

 

หลิวหรูเยว่ยิ้มเมื่อนางได้ยินเรื่องนี้ ใบหน้าอันทรงสเน่ห์ของนางเผยท่าทางอบอุ่น “ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องการเรียนรู้ ฟังเสียงดาบและสื่อสารกับมันหรือ?”

 

เซี่ยวเฉินตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ในช่วงไม่กี่วันมานี้ เมื่อเขาว่าง เขาจะถามไปทั่วศาลากระบี่สวรรค์ และได้รับความเข้าใจมากขึ้นของการฟังเสียงดาบและสื่อสารกับมัน เขาค้นพบว่าถ้าเขาต้องการเรียนรู้การฟังเสียงดาบและสื่อสารกับมันโดยมิได้ครอบครองมันตั้งแต่เกิด มันเกือบจะเป็นไปไม่ได้เลย

 

หลิวหรูเยว่หยิบกระบี่เงาจันทร์จากมือของเซี่ยวเฉิน และวาดมันด้วยเสียง “ฟึ่บ” มีประกายหนาวเหน็บอยู่บนกระบี่และเส้นสายกระแสไฟฟ้าก็กระโจนออกมาปกคลุมมัน

 

นางกระบี่ขึ้นบนท้องฟ้า และแสงอาทิตย์ส่องลงบนคมกระบี่ แสงกําลังไหลอย่างเชื่องช้าและคล่องแคล่วไปบนร่างของคมกระบี่ที่ตอนนี้เต็มไปด้วยความงามอันไร้สิ้นสุด

 

หลิวหรูเยวมองมันอย่างจริงจัง พึมพัมกับตนเอง “มันจะต้องเป็นเพราะกระบี่เล่มนี้! เจ้ากําลังจะจากไปและยอมแพ้ที่จะปลดผนึกกระบี่เล่มนี้”

 

เซี่ยวเฉินนึกถึงอําวเจียวที่ถูกผนึกไว้ในกระบี่ เขารู้สึกท้อแท้เล็กน้อย หากเขาไม่ได้เรียนรู้การฟังเสียงดาบและสื่อสารกับมัน มันเป็นไปได้ว่าเขาจะไม่สามารถปลดปล่อยอ่วเจียวออกมาจากผนึกได้

 

“เจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับยอดเขาปี้อวิ๋น ข้าได้กล่าวก่อนหน้านี้แล้ว คนที่ผิดคือสุยเฟิงไม่ใช่เจ้า เจ้าได้ช่วยเหลือเป็นอย่างมาก ข้าเพียงแค่โกรธเจ้าที่ไม่แม้จะสนใจบอกกล่าวเรื่องราวกับข้าหลังจากที่เกิดเรื่องใหญ่”

 

“พี่สาวหรูเยว่ ข้า…” เซี่ยวเฉินรู้สึกคําพูดติดอยู่ในลําคอ เขาไม่สามารถพูดในสิ่งที่อยากจะพูด

 

หลิวหรูเยว่ยิ้มอย่างสดใส ใบหน้างดงามของเธอราวกับดอกไม้ นางเสมือนเทพธิดาในหุบเขา ที่เต็มไปด้วยสเน่ห์อย่างมาก “หยุดพูด ข้ายกโทษให้เจ้าแล้ว จําไว้ว่าอย่าทําเช่นนี้อีก ข้าขอยืมกระบี่เงาจันทร์ของเจ้าวันหนึ่ง”

 

“หึ่ง!”

 

หลิวหรูเยว่กวัดแกว่งกระบี่เงาจันทร์ในอากาศ และกระบี่ก็เริ่มส่งเสียงหึงไม่หยุด ทันใดนั้น มันก็ปล่อยแสงไฟฟ้าอันเข้มข้นออกมา มันสว่างจ้าราวกับดวงอาทิตย์และทําให้ตาพร่าเป็นอย่างมาก

 

แก่นปีศาจวิหคอัสนี้ระดับหก ที่อยู่ในกระบีทะลวงผ่านข้อจํากัดในทันที ออร่าเทียบกับขั้นสูงสุดขอบเขตกษัตริย์ขยายออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง

 

สายฟ้าทรงกลมอันเฉียบคมออกมาจากกระบี่ ราวกับว่ามีวิหคอัสนีออกมาจากกระบี่ ร้องออกมาอย่างโกรธเกรี้ยวระลอกคลื่นที่มองเห็นกระจายออกไปทั่วอากาศ 

 

เซี่ยวเฉินและหลิวสุยเฟิง ผู้ที่อยู่เบื้องหลังของหลิวหรูเยว่สามารถรู้สึกได้ถึงแรงกดดันขนาดใหญ่ มันรู้สึกเหมือนมีตุ้มน้ำหนักหมื่นตันอยู่บนบ่าของเขา – มันเจ็บปวดจนไม่น่าเชื่อ

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Immortal and Martial Dual Cultivation 163 หัวใจต้องโหดเหี้ยม การเคลื่อนไหวต้องดุดัน

Now you are reading Immortal and Martial Dual Cultivation Chapter 163 หัวใจต้องโหดเหี้ยม การเคลื่อนไหวต้องดุดัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 163 หัวใจต้องโหดเหี้ยม การเคลื่อนไหวต้องดุดัน

 

ทันใดนั้นหัวของหมูก็ปรากฏขึ้นด้านข้างของเซี่ยวเฉินและพูดด้วยเสียงที่สั่นเทิ้ม “เย่เฉิน ดีที่สุดที่เจ้าจะขอโทษพี่สาวข้า นางรู้ทุกอย่างแล้ว”

 

[TL note: หัวหมู: เป็นคําที่ใช้เรียกพวกโง่เง่า บ้าบอ แต่ในที่นี้น่าจะหมายถึงโดนกระทืบจนหัวบวมเป็นหมูมากกว่า]

 

หัวหมู ที่ปรากฏกะทันหันในค่ำคืนทําให้เซี่ยวเฉินตกใจหลังจากที่มองอย่างระวัง เขารับรู้ได้ว่ามันเป็นเพียงหัวของมนุษย์ที่ถูกทุบตีจนบวมเป่ง

 

เซี่ยวเฉินจ้องมันเป็นเวลานาน แต่เขาไม่สามารถจําคนผู้นั้นได้ “เจ้าเป็นใคร?!”

 

“โอ๊ยย… ข้าคือ… หลิว… สุยเฟิง” หลิวสุยเฟิงพูดติดอ่างเล็กน้อยในขณะที่ปากของเขาบวมเป่งเช่นกัน เขากําลังร้องไห้อยู่ในใจ แม้แต่เซี่ยวเฉินก็จําเขาไม่ได้ เมื่อเขาออกไปข้างนอกพรุ่งนี้ เขาจะต้องจบสิ้นแน่

 

เซี่ยวเฉินรู้สึกระอายอยู่ในใจ ดังนั้นเขาจึงพยายามอธิบายแทนหลิวสุยเฟิง “พี่สาวหรูเยว่ ที่จริงแล้วมันเป็นเพราะการเก็บบุปผาผลึกน้ำแข็ง ทั้งหมดเป็นความคิดของข้า มันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับน้องชายสุยเฟิงเลย”

 

หลิวหรูเยวส่ายหัวของนาง “เจ้าไม่ได้เป็นคนผิด คนที่ผิดคือสุยเฟิง มันเป็นเพราะความสะเพร่าในอดีตของเขา ที่เผยที่อยู่ของตนเอง นอกจากนี้ เขาถึงขนาดนําคนที่ไม่เกี่ยวข้องไปด้วย

 

“การเก็บบุปผาผลึกน้ำแข็งเป็นสิ่งจําเป็น แม้ว่าเราจะต้องบาดหมางกับยอดเขาปี้อวิ๋น โดยการนําบุปผาผลึกน้ำแข็งที่หายไปกลับคืนมา เจ้าไม่ได้ทําอะไรผิดทั้งนั้น ในความเป็นจริง เจ้าได้ทําคุณงามความดีเป็นอย่างมาก”

 

“สิ่งที่ข้าไม่เข้าใจก็คือเรื่องใหญ่ที่เกิดหลังจากนั้น ทําไมเจ้าไม่บอกข้าในทันที? เจ้ารู้หรือไม่ว่าเรื่องนี้ร้ายแรงเพียงใด?”

 

เซี่ยวเฉินรู้สึกผิดและกล่าวด้วยน้ำเสียงเบา “ข้าคิดว่าด้วยการให้เขาทานเม็ดยาและทําลายหลักฐานทุกอย่าง มันจะไม่ทําให้เกิดปัญหาใดๆ”

 

หลิวหรูเยว่หัวเราะอย่างเย็นยะเยือก “วิธีคิดของเจ้าไร้เดียงสาเกินไป เหมือนกับเจ้าปีศาจตัวน้อย เราจะไม่กล่าวถึงว่ามันมียาแก้พิษอะไรหรือไม่ที่ทําให้คนผู้หนึ่งสูญเสียความทรงจําไปทั้งวัน”

 

“แม้ว่าจะไม่มียาแก้พิษ เขาจะลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เท่านั้น หากเรื่องในวันนี้เป็นสิ่งที่วางแผนไว้ก่อนแล้ว แม้ว่าเขาจะลืมเหตุการณ์ในวันนี้ ยึดตามหลักที่ว่าเขาอยู่ที่ใด เขาจะคาดเดาได้ว่าใครเป็นคนฉวยบุปผาผลึกน้ำแข็งไป”

 

เหงื่อเย็นไหลออกมาจากหลังของเซี่ยวเฉิน ทําไมเขาถึงได้คิดเพียงแค่นี้? ตอนแรกเขาคิดว่ามันจะทําให้เขาลืมเหตุการณ์ในวันนี้ มันจะไม่มีปัญหาใดๆ ดูเหมือนว่าเขาจะคิดมันง่ายเกินไป

 

ที่ยอดของเทือกเขาหลิงหยุน บนยอดเขาปี้อวิ๋น สถานที่ที่มีพลังวิญญาณหนาแน่นเป็นพิเศษ พื้นที่นี้อยู่บนจุดสูงสุดของยอดเขาปี้อวิ๋น และเป็นสถานที่ที่พลังวิญญาณรวมตัวกัน มันเป็นหนึ่งในเจ็ดกิ่งของเส้นเลือดจิตวิญญาณใต้ดินของเทือกเขาหลิงหยุน และสามารถกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีพลังงานวิญญาณอุดมสมบูรณ์มากที่สุดในอาณาจักรต้าฉิน

 

เมื่อบ่มเพาะพลังที่นั่น คนผู้นั้นจะดูดซับพลังวิญญาณได้เร็วกว่าคนปกติถึงสี่หรือห้าเท่า อย่างไรก็ตาม คนที่ได้รับผลประโยชน์จากสถานที่แห่งนี้มีจํากัด

 

ชายชราผู้หนึ่งนั่งอยู่บนโขดหินที่อยู่บนสุดของยอดเขา พลังงานวิญญาณที่อยู่โดยรอบหลั่งไหลเข้าสู่ตัวเขา มีเสาของควันสีเขียวลอยขึ้นมาจากหน้าผากของเขา

 

คนผู้นี้คือเจ้าแห่งยอดเขาของยอดเขาปี้อวิ๋น ซ่งเฉว เขาอยู่ในขอบเขตสูงสุดของกษัตริย์แล้ว และทั้งหมดที่เขาต้องการคือการทะลวงครั้งสุดท้ายเพื่อกลายเป็นขอบเขตยอดกษัตริย์

 

หลังจากที่ผู้อาวุโสทั้งหลายเสียชีวิตไปเมื่อยี่สิบปีก่อน ผู้เชี่ยวชาญอย่างซ่งเฉวจึงได้กลายมาเป็นหนึ่งในสิบผู้แข็งแกร่งที่สุดของศาลากระบี่สวรรค์

 

“ผุบ! ผุล! ผุล!”

 

มันคือเสียงของฝีเท้าเร่งด่วน มีร่างที่กําลังวิ่งขึ้นมาจากด้านใต้ยอดเขา เขาพกกระบี่หนาอยู่ด้านหลัง เมื่อเขาอยู่ห่างจากชายชราประมาณสิบเมตร เขาลดความเร็วเพื่อหยุดลง การแสดงออกบนใบหน้าของเขาเห็นได้ชัดว่ามันเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

 

ซ่งเฉวรู้สึกได้ถึงตัวตนของคนผู้นี้และค่อยๆเปิดตาขึ้นอย่างช้าๆ ดวงตาของเขาประกายออกด้วยรัศมีโชติช่วงขณะที่มองบุคคลผู้นี้และขมวดคิ้ว เขากล่าวด้วยน้ำเสียงไม่มีความสุข “กงหมิง ข้าเชื่อว่าข้าบอกเจ้าแล้วว่าอย่ารบกวนข้าเป็นเวลาครึ่งเดือน?”

 

คนที่ถูกเรียกว่ากงหมิงเป็นหนึ่งในลูกศิษย์คนสุดท้ายของซ่งเฉว แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ผู้สืบทอดที่แท้จริงของยอดเขาปี้อวิ๋น สถานะและตําแหน่งของเขาก็คล้ายคลึงกับผู้สืบทอด

 

ในทั่วยอดเขาปี้อวิ๋นทั้งหมด นอกเหนือจากผู้อาวุโส มีเพียงเขาเท่านั้นที่จะกล้ามาและแทรกแซงการบ่มเพาะพลังของซ่งเฉว

 

จ้าวกงหมิงรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาในจิตใจขณะกล่าวเสียงเบา “ตอบท่านอาจารย์ มีข่าวคราวจากห้องโถงหลักก่อนหน้านี้ พวกเขากล่าวว่าป้ายพลังชีวิตของน้องเล็กที่ฝากไว้ในห้องโถงหลักมีออร่าที่อ่อนแรงเป็นอย่างมาก มันเหมือนกับว่า… กับว่า…”

 

การแสดงออกของซ่งเฉวกลายเป็นมืดมนขณะที่กล่าวด้วยเสียงไม่พอใจ “ดูเหมือนว่าอะไร?!”

 

จ้าวกงหมิงทําตัวให้กล้าแกร่งและกล่าว “ดูเหมือนว่าเขาตกอยู่ในอันตรายและอาจจะตายลงได้ทุกเวลา!”

 

“ปัง!”

 

ซ่งเฉวยืนขึ้นทันทีและก้อนหินที่เขานั่งก็แตกเป็นเศษหินจํานวนมากนับไม่ถ้วน ลมพัดมาที่พวกมัน และมันก็กลายเป็นฝุ่นผงลอยไปพร้อมกับสายลม

 

จิตสังหารที่สั่นสะเทือนโลกาประกายในดวงตาของเขา ดังนั้นซ่งเฉวจึงใจเย็นลงและกล่าว “เรื่องนี้เกิดเมื่อไร? เชียนเหอไปที่ไหน? เขาไปกับใคร? บอกรายละเอียดข้ามาให้หมด”

 

ก่อนที่เขาจะมา จ้าวกงหมิงได้รวบรวมข้อมูลเอาไว้หมดแล้ว เขาเริ่มอธิบายอย่างเป็นระเบียบโดยกล่าวข้อมูลทั้งหมดออกไป “เมื่อวานนี้ น้องเล็กนําลูกศิษย์ยอดเขา ปี้อวิ๋นทั้งหกคนไปยังหุบเขาสายลมอสูร พวกเขาทั้งหมดเป็นปรมาจารย์ยุทธ์ขั้นกลางและสูงกว่านั้น

 

“ข่าวที่ศิษย์ได้รับคือหลิวหรูเยว่ต้องการบุปผาผลึกน้ำแข็งจากหุบเขาอสูรเพื่อสร้างยารักษาช่วยใครบางคน ข้าไม่ทราบว่าน้องเล็กได้ยินข่าวนี้อย่างไร แต่เขานํากลุ่มผู้คนพุ่งเข้าสู่หุบเขาสายลมอสูรก่อนพวกเขา ตั้งแต่นั้น ก็ไม่มีข่าวเกี่ยวกับพวกเขาอีกเลย”

 

แสดงหนาวเหน็บประกายขึ้นในดวงตาของซ่งเฉว เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “หลิวหรูเยว่? นางควรจะภาวนาไม่ให้มีอะไรเกิดขึ้นกับเขา มิฉะนั้น ข้าจะสังหารทุกคนบนยอดเขานิ่งหยุนโดยไม่มีการละเว้น”

 

“มา รีบไปเมืองกระบี่”

 

ภายในบ้านของเจ้าเมืองในเมืองกระบี่ เก่อหยุนปินฟังเรื่องราวอย่างระวังของจ้าวกงหมิงก่อนจะกล่าวกับซ่งเฉว “พี่ชายซ่ง อย่ากังวล ข้าจะส่งคนไปตามหาลูกชายท่านในทันที”

 

ซ่งเฉวป้องมือของเขาและกล่าว “ท่านเจ้าเมือง ขอบคุณสําหรับความช่วยเหลือ

 

มีสายลับอยู่ทุกที่ในระยะหลายร้อยกิโลเมตรของเมืองกระบี่ กําลังไปที่หุบเขาสายลมอสูรเพื่อที่จะตามหาคนผู้หนึ่งซึ่งไม่ใช่เรื่องยากสําหรับเก่อหยุนปิน

 

หลังผ่านไปสองชั่วโมงก็มีข่าวคราว ศิษย์ชั้นนอกผู้หนึ่งรีบเข้ามาและรายงาน รายงานท่านเจ้าเมือง เราพบพี่ชายช่งในเทือกเขาสายลมอสูรแล้ว เราควรส่งใครไปนําเขากลับมาหรือไม่?”

 

ซ่งเฉวกล่าว “ไม่จําเป็น นําทางข้าไปทันที ข้าอยากจะเห็นว่าใครมันกล้าพอที่จะทําเรื่องนี้”

 

ภายในหุบเขาสายลมอสูร ซ่งเฉวเห็นคนผู้หนึ่งกําลังแบกซ่งเชียนเหอลงมาจากต้นไม้ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ ใบหน้าของซ่งเชียนเหอเต็มไปด้วยรอยเท้า เขาถูกทุบตีจนไม่เหมือนมนุษย์อีกต่อไปแล้ว

 

ลูกศิษย์ไม่กี่คนของยอดเขาปี้อวิ๋นไม่กี่คนที่ตามมาอย่างรวดเร็วเช็ดเลือดทั้งหมดที่อยู่บนตัวของซ่งเชียนเหอ ป้อนเม็ดยารักษาหลายเม็ดให้เขา พันแผลให้เขา และใช้พลังปราณของพวกเขารักษาอาการบาดเจ็บภายในให้เขา 

 

จากนั้นไม่นาน ซ่งเชียนเหอค่อยๆฟื้นขึ้น เห็นผู้คนที่อยู่ด้านหน้าเขา เขาไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขาถามด้วยท่าทางประหลาด “ พ่อ พี่ใหญ่ ทําไมท่านอยู่ที่นี่? ข้าอยู่ที่ไหน?”

 

“โธ่เว้ย ทําไมเจ็บโคตรเลย!” หลังจากเขากล่าว เขาค้นพบว่าปากของเขารู้สึกเจ็บเป็นอย่างมาก นั้นคือตอนที่เขาพบว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส และทั่วตัวถูกปกคลุมไปด้วยผ้าพันแผล

 

“เกิดอะไรขึ้น? เสี่ยวจิวกับพรรคพวกอยู่ไหน? ทําไมข้าถึงกลายเป็นแบบนี้? ใครเป็นคนทํา?!” ซ่งเชียนเหอพยายามนึกเป็นอย่างมาก แต่เขาไม่สามารถนึกอะไรได้เลย ข้าจบลงด้วยสภาพเช่นนี้อย่างไร?

 

เม็ดยาลืมกังวล!

 

เก่อหยุนปินแลกเปลี่ยนสายตากับซ่งเฉว พวกเขาทั้งคู่มีคําตอบอยู่ในใจ พวกเขาสองคนเดินไปด้านหลังของซ่งเชียนเหอ และยื่นมือขวาออกไป ปราณบริสุทธิ์พลุ่งพล่านถูกส่งเข้าไปในร่างของซ่งเชียนเหอ

 

“ปุ!”

 

พลังปราณแหวกว่ายไปในร่างกายของซ่งเชียนเหออย่างรวดเร็ว ไม่นาน มันก็พบพลังงานของเม็ดยาอยู่ในตันเถียนของเขา พวกเขาทั้งสองก็ใช้ออกด้วยพลังพร้อมกัน ซึ่งเชียนเหออ้าปาก และอาเจียนของเหลวสีเขียวอ่อนลงบนพื้น

 

เก่อหยุนปินชักมือของเขากลับและกล่าว “หากผ่านไปอีกวันหนึ่ง พลังงานของเม็ดยาลืมกังวลจะถูกซึมซับอย่างสมบูรณ์ ถึงตอนนั้น แม้จะเป็นขอบเขตนักปราชญ์มาเอง มันก็ไร้ประโยชน์”

 

“เนื่องจากลูกชายของท่านปลอดภัยแล้ว ข้าก็ควรจะจากไปก่อน”

 

มีเพียงคนผู้เดียวในศาลากระบี่สวรรค์ที่ครอบครองเม็ดยาลืมกังวล เรื่องราวที่ซ่งเชียนเหอถูกจู่โจมนั้นซับซ้อนเป็นอย่างมาก มันเกี่ยวข้องกับการเมืองภายในของศาลากระบี่สวรรค์

 

เก่อหยุนปินไม่ต้องการมีส่วนร่วมกับเรื่องดังกล่าว และจากไปในทันที ซ่งเฉวไม่ได้หยุดเขา เขากล่าว “ข้าเป็นหนี้บุญคุณท่านเจ้าเมืองแล้ว ข้าจะตอบแทนเรื่องนี้ในอนาคต”

 

หลังจากเก่อหยุนปินนําผู้คนของเมืองกระบี่จากไป ซ่งเชียนเหอก็จดจําเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ได้ ดวงตาของเขาเผาไหม้ด้วยความเกลียดชังและกล่าว “เย่เฉิน ข้าจะทําให้มั่นใจว่าชีวิตของเจ้าเลวร้ายยิ่งกว่าความตาย”

 

ภายในยอดเขาฉิงหยุน ตั้งแต่เซี่ยวเฉินตื่นขึ้นมาในตอนกลางคืน เขาไม่ได้นอนต่ออีกเลย ด้านข้างของเขามีหลิวสุยเฟิงที่มีหัวหมูอยู่บนบ่า “พี่สาว มันไม่ร้ายแรงอย่างที่ท่านคิด!”

 

หลิวหรูเยว่หัวเราะเย็นยะเยือก “ข้าคิดว่าเจ้าหลงสเน่ห์ผู้หญิงคนนั้นและสูญเสียความฉลาดไปหมดแล้ว เพียงแค่รอ ก่อนที่วันนี้จะสิ้นสุด ผู้คนของยอดเขาปี้อวิ๋นจะต้องมาอย่างแน่นอน”

 

เซี่ยวเฉินรู้สึกกังวลเล็กน้อย ยังไงซะ ส่วนใหญ่ก็เป็นความคิดของเขา เขากล่าว “พี่สาวหรูเยว่ ถ้าคนพวกนั้นมาจริงๆ เพียงแค่โยนความผิดทั้งหมดมาให้ข้า หากมันเลวร้ายจนถึงที่สุด ข้าจะออกจากศาลากระบี่สวรรค์และหนีไป”

 

หลิวหรูเยว่ยิ้มเมื่อนางได้ยินเรื่องนี้ ใบหน้าอันทรงสเน่ห์ของนางเผยท่าทางอบอุ่น “ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องการเรียนรู้ ฟังเสียงดาบและสื่อสารกับมันหรือ?”

 

เซี่ยวเฉินตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ในช่วงไม่กี่วันมานี้ เมื่อเขาว่าง เขาจะถามไปทั่วศาลากระบี่สวรรค์ และได้รับความเข้าใจมากขึ้นของการฟังเสียงดาบและสื่อสารกับมัน เขาค้นพบว่าถ้าเขาต้องการเรียนรู้การฟังเสียงดาบและสื่อสารกับมันโดยมิได้ครอบครองมันตั้งแต่เกิด มันเกือบจะเป็นไปไม่ได้เลย

 

หลิวหรูเยว่หยิบกระบี่เงาจันทร์จากมือของเซี่ยวเฉิน และวาดมันด้วยเสียง “ฟึ่บ” มีประกายหนาวเหน็บอยู่บนกระบี่และเส้นสายกระแสไฟฟ้าก็กระโจนออกมาปกคลุมมัน

 

นางกระบี่ขึ้นบนท้องฟ้า และแสงอาทิตย์ส่องลงบนคมกระบี่ แสงกําลังไหลอย่างเชื่องช้าและคล่องแคล่วไปบนร่างของคมกระบี่ที่ตอนนี้เต็มไปด้วยความงามอันไร้สิ้นสุด

 

หลิวหรูเยวมองมันอย่างจริงจัง พึมพัมกับตนเอง “มันจะต้องเป็นเพราะกระบี่เล่มนี้! เจ้ากําลังจะจากไปและยอมแพ้ที่จะปลดผนึกกระบี่เล่มนี้”

 

เซี่ยวเฉินนึกถึงอําวเจียวที่ถูกผนึกไว้ในกระบี่ เขารู้สึกท้อแท้เล็กน้อย หากเขาไม่ได้เรียนรู้การฟังเสียงดาบและสื่อสารกับมัน มันเป็นไปได้ว่าเขาจะไม่สามารถปลดปล่อยอ่วเจียวออกมาจากผนึกได้

 

“เจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับยอดเขาปี้อวิ๋น ข้าได้กล่าวก่อนหน้านี้แล้ว คนที่ผิดคือสุยเฟิงไม่ใช่เจ้า เจ้าได้ช่วยเหลือเป็นอย่างมาก ข้าเพียงแค่โกรธเจ้าที่ไม่แม้จะสนใจบอกกล่าวเรื่องราวกับข้าหลังจากที่เกิดเรื่องใหญ่”

 

“พี่สาวหรูเยว่ ข้า…” เซี่ยวเฉินรู้สึกคําพูดติดอยู่ในลําคอ เขาไม่สามารถพูดในสิ่งที่อยากจะพูด

 

หลิวหรูเยว่ยิ้มอย่างสดใส ใบหน้างดงามของเธอราวกับดอกไม้ นางเสมือนเทพธิดาในหุบเขา ที่เต็มไปด้วยสเน่ห์อย่างมาก “หยุดพูด ข้ายกโทษให้เจ้าแล้ว จําไว้ว่าอย่าทําเช่นนี้อีก ข้าขอยืมกระบี่เงาจันทร์ของเจ้าวันหนึ่ง”

 

“หึ่ง!”

 

หลิวหรูเยว่กวัดแกว่งกระบี่เงาจันทร์ในอากาศ และกระบี่ก็เริ่มส่งเสียงหึงไม่หยุด ทันใดนั้น มันก็ปล่อยแสงไฟฟ้าอันเข้มข้นออกมา มันสว่างจ้าราวกับดวงอาทิตย์และทําให้ตาพร่าเป็นอย่างมาก

 

แก่นปีศาจวิหคอัสนี้ระดับหก ที่อยู่ในกระบีทะลวงผ่านข้อจํากัดในทันที ออร่าเทียบกับขั้นสูงสุดขอบเขตกษัตริย์ขยายออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง

 

สายฟ้าทรงกลมอันเฉียบคมออกมาจากกระบี่ ราวกับว่ามีวิหคอัสนีออกมาจากกระบี่ ร้องออกมาอย่างโกรธเกรี้ยวระลอกคลื่นที่มองเห็นกระจายออกไปทั่วอากาศ 

 

เซี่ยวเฉินและหลิวสุยเฟิง ผู้ที่อยู่เบื้องหลังของหลิวหรูเยว่สามารถรู้สึกได้ถึงแรงกดดันขนาดใหญ่ มันรู้สึกเหมือนมีตุ้มน้ำหนักหมื่นตันอยู่บนบ่าของเขา – มันเจ็บปวดจนไม่น่าเชื่อ

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+