The Divine Nine Dragon Cauldron 431

Now you are reading The Divine Nine Dragon Cauldron Chapter 431 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในตอนนี้เขารู้แล้วว่าอัสนีมรกตนั้นได้กระจายไปยังหลายส่วนของร่างกาย! และมันก็ยังคงอยู่…มันยังคงทำลายพลังชีวิตของซือหยูด้วยความเร็วที่ยากจะสัมผัสได้!

 

จากที่ซือหยูมองดู พลังชีวิตของเขาจะถูกทำลายโดยสมบูรณ์ในไม่ถึงห้าวัน ถ้าเขาไม่รู้ตัวตอนนี้ก็คงจะสายเกินไป!

 

ซือหยูตกใจอย่างมาก เขาเริ่มขับอัสนีมรกตออกไปอย่างไม่ลังเล นอกจากอัสนีสีม่วง ซือหยูก็ไหลเวียนพลังวิญญาณเข้าช่วยอีก เขาใช้อัสนีม่วงกับพลังวิญญาณรวบรวมอัสนีมรกตที่กระจัดกระจาย แต่สายฟ้าจากกระบี่สายฟ้านั้นมีพลังมหาศาล ไม่นานซือหยูก็พบว่ายากมากที่จะกดพลังของมันออกไป!

 

ผ่านไปทั้งวัน มีสายฟ้าแค่หนึ่งส่วนจากสิบส่วนที่ถูกรวบรวมมาใกล้จุดกำเนิดพลัง ยังมีสายฟ้าอีกจำนวนมากที่กัดกินร่างกายของเขา อวัยวะภายในหลายส่วนของเขากำลังจะถูกทำลาย

 

เขาต้องอดทนกับความเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลาและยากที่จะอดทนไหว โชคดีที่ร่างกายของเขาถูกปรับโดยจางตี๋เก้อ แม้ว่าสายฟ้าจะหลอมรวมเข้ากับเลือดเนื้อ เลือดเนื้อของเขาก็ยังมีความต้านทานอันแข็งแกร่ง เขาถึงทนอยู่ได้มาจนถึงตอนนี้

 

การต่อสู้กันของพลังนั้นผ่านไปหกวันก่อนที่ซือหยูจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกและลืมตาขึ้น สายฟ้าทั้งหมดที่กระจายไปทั่วร่างนั้นเข้ามารวมตัวกันที่จุดกำเนิดพลังแล้ว มันกลายเป็นก้อนสายฟ้าขนาดเท่านิ้วก้อยแต่ก็ต้องใช้พลังวิญญาณและอัสนีสีม่วงมหาศาลเพื่อรับมือกับมัน ไม่เช่นนั้นถ้าปลดปล่อยมันออกไป สายฟ้ามรกตก็จะทำลายร่างกายของเขาอีกครั้ง

 

ซือหยูหน้าซีด เขาเหนื่อยอ่อนไปทั้งกาย ดวงตานั้นแดงก่ำและตัวเขาก็อยู่ในสภาพย่ำแย่ เขารู้สึกราวกับจะหมดสติ

 

เขากำลังตกอยู่ในอันตรายจนน่ากลัว! ถ้าเขาไม่กำจัดพลังนี้ออกไป เขาจะตายก่อนที่จะได้เข้าสู่ขอบเขตภูติด้วยซ้ำ

 

ซือหยูฝืนยิ้มแต่ก็ไม่ยากที่จะเห็นดวงตาอันเคร่งเครียด พลังนี้ทำลายร่างกายของเขา แต่ในตอนนี้เขาควบคุมมันได้แล้ว ซือหยูโล่งใจอย่างมาก

 

หลังจากที่พักหายใจและกลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ซือหยูหยิบเอาธนูเงินออกมา แม้ว่าธนูจะเป็นสมบัติเทพระดับกลาง พลังของมันก็ยอดเยี่ยมมาก แต่จะอย่างไร มันก็รับมือกับสิ่งที่เขาพบเจอไม่ได้ ดังนั้นเขาต้องชำระมันต่อไป

 

ก่อนหน้านี้ เขาชำระมันไปแล้วสองในสิบส่วน ยังคงเหลืออีกแปดส่วนที่ยังชำระไม่ได้ ซือหยูหยิบหยดหมื่นพลห้าหยดสุดท้ายออกมาชำระธนู

 

ซือหยูขับโลหิตของตัวเองออกมาผสมกับหยดหมื่นพล เขาเริ่มชำระธนู ธนูสีเงินสั่นอย่างแรงยิ่งกว่าครั้งก่อนๆ แสงสีเงินสว่างจ้าเปล่งประกายออกมา

 

ซือหยูตกใจ เขาเรียกพลังวิญญาณออกมาปกคลุมห้องลับเพื่อไม่ให้คนนอกได้เห็นสิ่งนี้

 

“ชำระมันขนาดนี้ในคราเดียวจะมากไปไหมนะ?”

 

ซือหยูพูดกับตัวเอง เขาเลียริมฝีปากด้วยความตื่นเต้น เขาสัมผัสได้ว่าการชำระธนูหลายส่วนเช่นนี้จะทำให้เกิดพลังมหาศาลที่เขายังไม่เคยได้ครอบครอง อย่างน้อยเขาก็ปล่อยพลังของมันออกมาได้เจ็ดส่วน!

 

แค่คิดถึงพลังเจ็ดส่วนของสมบัติเทพระดับกลางในขั้นแนวหน้าก็มากพอที่จะทำให้คนรู้สึกตื่นเต้นแล้ว

 

ขั้นตอนการชำระธนูนั้นช้าอย่างประหลาด หลังจากผ่านไปสี่วัน เสียงมังกรคำรามก็ดังออกมาจากธนู นั่นหมายความว่าการชำระธนูเสร็จสมบูรณ์แล้ว!

 

โลหิตหกหยดถูกขับออกมา…มีหนึ่งหยดที่เกินออกมาจากที่คาดไว้ห้าหยด! ในครั้งนี้เขาชำระธนูได้ถึงหกส่วนในคราเดียว! พลังโลหิตของเขาที่มีนั้นมีพลังเหนือกว่าแต่ก่อนอย่างมาก ดังนั้นมันจึงเพิ่มการชำระได้อีกหนึ่งส่วน

 

แต่เดิมนั้นเขาชำระไปแล้งสองส่วน บวกกับครั้งนี้อีกหกส่วน รวมเป็นแปดส่วน! แม้แต่เจ้าของเดิมก็ควบคุมธนูนี้ได้ไม่มากเท่ากับซือหยูแล้ว!

 

และหลังจากที่ชำระไปแปดส่วน สัมผัสอันเฉียบคมของซือหยูก็สัมผัสได้ถึงพลังอันน่ากลัวที่ซ่อนอยู่ภายในธนู!

 

“หรือว่าจะเป็นอย่างที่ท่านอาจารย์บอก?”

 

“มีศรธนูที่น่ากลัวถูกผนึกอยู่ในธนูนี้จริงๆรึ?”

 

ถ้าเขาไม่ชำระมันจนถึงขึดสุดได้ ธนูคันนี้ก็จะยังถูกผนึกอยู่ นั่นทำให้ซือหยูขบคิดถึงพลังยิ่งกว่าเดิม ศรเทพเช่นใดกันที่ทำให้หยุนย่าสีถึงกับเอ่ยปากชมเชยมัน?

 

สิบวันผ่านไปแล้ว ซือหยูเก็บของทุกอย่างและหายตัวไปจากห้องลับ

 

******

 

“เจ้าของร้านฉี ขออภัยที่ข้ามาสาย!”

 

ซือหยูพูดเมื่อเข้ามาในกระโจมแสงทอง ที่นี่มีหญิงสาวสองสามคนรออยู่แล้ว

 

“ฮ่าๆๆ! เจ้าไม่ได้มาช้าหรอก!”

 

ฉีหมิงยิ้ม เขาไม่ถือสาอะไร

 

“ยังเหลืออีกชั่วยามก่อนจะถึงเวลานัด พวกข้าต่างหากที่รีบมาก่อน”

 

ซือหยูเห็นว่ามีสองคนที่นั่งอยู่ในห้อง หนึ่งคนนั้นเป็นหญิงสาวสวมชุดสีแดง นางสวมกระโปรงพาดสีเพลิงเพื่อแสดงให้เห็นรูปร่างอันงดงาม และมันยังทำให้ใบหน้านั้นดูเป็นอิสระและเป็นธรรมชาติ นางมีดวงตาที่เป็นดั่งแก้ว นางมองดูซือหยูและก็ละสายตาไปราวกับไม่สนใจเขา

 

อีกคนคือชายหนุ่มที่สวมเกราะทมิฬ เขาอายุประมาณยี่สิบห้าปี เขามีจมูกงุ้มเข้าด้านในและเบ้าตาลึกเล็กน้อย มีหัวมังกรดุร้ายสลักอยู่บนชุดเกราะ และเกราะไหล่นั้นยังมีหนามทำให้เขาดูเกรี้ยวกราด

 

พลังของทั้งสองนั้นยอดเยีั่ยม ทั้งสองเป็นผู้คุมสวรรค์ แต่พลังที่แสดงออกมานั้นไม่เหมือนกับผู้คุมสวรรค์ทั่วไป มันเทียบได้กับพลังของรากษสในก้นบึ้งมังกรเก้านรกที่ซือหยูเคยเจอ

 

“ท่านฉี…”

 

ชายในชุดเกราะพูดขึ้นมา

 

“นักสู้ทรงพลังที่พวกเรารอคอยคือไอ้เด็กน้อยที่ไม่เคยเจอโลกเช่นนี้รึ?”

 

ฉีหมิงยิ้มอย่างอบอุ่น

 

“ข้าลืมแนะนำไป ท่านหิมะทมิฬ สองคนนี้คือแม่นางชิงจู้เหิงกับท่านเจิ่งปิง สองคนนี้คือคนที่จะไปกับพวกเรา”

 

“หิมะทมิฬรึ?”

 

หญิงสาวชุดสีแดงเพลิงชิงจู้เหิงที่ไม่สนใจซือหยูเมื่อครู่ประหลาดใจ นางมองดูซือหยูอีกครั้งอย่างไม่เชื่อสายตา

 

ชายหนุ่มที่สวมชุดเกราะหยุดคิด เขาขมวดคิ้ว

 

“เจ้าคือราชาปีศาจหิมะทมิฬรึ?”

 

หิมะทมิฬ ชื่อประหลาดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน…จนเริ่มดังก้องทั่วทวีปในไม่กี่เดือนที่ผ่านมา และยังว่ากันว่าราชาปีศาจหิมะทมิฬมีพลังอำมฤตระดับสี่ขั้นสูง นั่นดูคล้ายคลึงกับฐานพลังของคนตรงหน้าทั้งสอง

 

พวกเขามองซือหยูอีกครั้ง โลงศพมังกรหมอก หน้ากากทองแดง เส้นผมโลหิต จะเป็นใครอื่นไปได้นอกจากราชาปีศาจหิมะทมิฬ?

 

ซือหยูตอบอย่างมั่นใจ

 

“ทำไมกัน?”

 

“ข้าต้องสาธยายเรื่องของข้าเพื่อการเดินทางไปหาสมุนไพรบาดาลอมตะด้วยรึ?”

 

ฉีหมิงแสร้งตกใจ

 

“หา! ท่านคือราชาปีศาจหิมะทมิฬผู้เลื่องชื่อคนนั้นเองรึ! ดวงตาข้าหามีแววไม่ ข้าจำเจ้าไม่ได้ในครั้งแรก โปรดอภัยให้ข้าที่มารยาทบกพร่อง”

 

ซือหยูยิ้ม เขาไม่ได้จงใจปิดบังตัวตน และก็ยากที่จะเชื่อว่าฉีหมิงที่ทำหน้าที่ดูแลกระโจมแสงทอง…จะไม่รู้จักเขา

 

ซือหยูพูดโดยไม่เปิดโปงการเสแสร้งของฉีหมิง

 

“เราจะไปกันได้หรือยัง?”

 

ฉีหมิงยิ้มมองชิงจู้เหิงและเจิ่งปิง

 

“เจ้าสองคนมีอะไรอีกหรือไม่?”

 

ชิงจู้เหิงสีหน้าขมขื่น

 

“ไม่ล่ะ ไปกันเถอะ”

 

ส่วนเจิ่งปิงนั้นมองซือหยูไม่ละสายตา

 

“ฮื่ม! สังหารผู้คุมสวรรค์ไม่กี่คนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย สำหรับข้า สังหารเจ้าก็ง่ายเหมือนกับการสังหารพวกนั้นนั่นแหละ!”

 

“เจ้าจะทำเช่นนั้นเมื่อใดก็ย่อมได้…”

 

ซือหยูตอบอย่างเรียบเฉย

 

ฉีหมิงหัวเราะ

 

“ถ้าเช่นนั้นก็ไปกันเถอะ ข้าหวังว่าพอถึงที่นั่นแล้ว เราจะร่วมมือกันได้!”

 

หลังพูดจบเขาก็หยิบเอาสมบัติเทพที่ได้เดินทางออกมา ทุกคนขึ้นเรือไป

 

หลังจากนั้น จู่ๆภาพเขียนบนกำแพงก็มีเพลิงลุกไหม้เผาตัวภาพเองไปโดยไม่มีใครเห็น มันกลายเป็นเถ้าถ่านที่ปลิวไปตามสายลม เสียงหัวเราะดังสะท้อนไปมาในห้องนั้นตามเถ้าถ่าน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด