The Divine Nine Dragon Cauldron 651 – เมฆครึมขอบนภา

Now you are reading The Divine Nine Dragon Cauldron Chapter 651 - เมฆครึมขอบนภา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 651 – เมฆครึมขอบนภา

 

“ผู้บุกรุกแห่งทวีปเฉินหงทั้งหมดสมควรตาย”

 

ซือหยูประกาศชะตาของพวกเขา

 

เขาแบมือ ก้อนวงพลังลอยออก สายลมรุนแรงพัดใส่ร่างของเหล่าทหารเงาทมิฬหายไปไม่เหลือแม้แต่เศษซาก

 

ซือหยูใช้อรหันต์แปดอักษรได้อย่างเชี่ยวชาญ ด้วยพลังของกายามังกร เขาเหลือเพียงขั้นสุดท้ายที่ยังไม่สมบูรณ์นั่นก็คือขั้นที่เรียกว่าผู้ใช้อักษร

 

และเพราะมันเป็นขั้นสุดท้าย พลังของมันจะต้องน่าเกรงขามแน่นอน วิชาอักษรนั้นมากพอจะรับมือกับภูติระดับหนึ่ง ดังนั้นอักษรตัวสุดท้ายจะต้องเป็นสิ่งที่ทรงพลังอย่างมาก

 

“ท่านเจ้าพันธมิตร จะดีรึที่ฆ่าพวกมันหมดอย่างนี้?”

 

ผู้เฒ่าเฉินเอ่ยปากถาม

 

“เรายังไม่มีข้อมูลของศัตรูเลย”

 

แม้จะสะใจที่ได้สังหารพวกมันทันที แต่มันก็ดูไม่เหมาะไม่ควร

 

“พวกมันก็แค่ทหารตําแหน่งต่ําต้อย พวกมันจะรู้อะไรมากเล่า? ถ้าเจ้าอยากจะเค้นเอาข้อมูล…เจ้าไม่ไปถามคนตรงนั้นจะดีกว่ารึ?”

 

ซือหยูพูดและร่อนลงไปยังหลุมลึก

 

แม้เขาจะดูร่อนลงเบาๆ แต่หลุมลึกก็สั่นสะเทือนต่อไป มุกสีครามอําพันอยู่เบื้องล่างพร้อมกับคนหนึ่งคนที่โดนทับอยู่ข้างใต้

 

ชุดเกราะของเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ อกของเขาฉีก มีโลหิตไหลออกมาจากปาก เขาอยู่ในลมหายใจสุดท้าย เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน

 

เมื่อซือหยูร่อนลง เขาก็ยื่นมือเรียกมุกวิญญาณเก้าหยกกับมุกสีครามอําพัน เสียงแหลมดัง พร้อมกับมุกที่หายไป

 

มุกนี้เหมือนกับลูกแก้วของลําดับห้าธาตุและมุกบาดาล ดังนั้นมันจึงค่อนข้างแปลก

 

เพราะซือหยูเก็บมันไม่ได้เมื่ออยู่ไกล เขาจึงต้องเก็บมันใส่มุกวิญญาณเก้าหยกเช่นนี้ ทุกคนที่เห็นตกตะลึงอย่างมาก พวกเขาสงสัยว่าซือหยูมีสมบัติวิเศษมากมายเท่าใดกันแน่

 

แต่พวกเขาสนใจมากที่สุดก็คือเชี่ยหวู่ที่กําลังใกล้ตาย เขาคือคนที่ถูกสมบัติชิ้นนั้นบดขยื้อย่างรุนแรง! ทุกคนรู้สึกราวกับได้เห็นภาพลวงตา

 

เเผละ!

 

ซือหยูเหยียบท้องของเชี่ยหวู่ มีเสียงเนื้อที่ถูกเหยียบจนเละตามด้วยเสียงบางอย่างแตก ซือหยูเหยียบจุดกําเนิดพลังของเขา! เชี่ยหวู่ตอนนี้ไร้พลังแล้ว!

 

“ท่านเค้นความลับออกมาก็แล้วกัน ท่านคงจะรู้ว่าเราควรต้องรู้อะไร อย่าลืมมารายงานข้าด้วย”

 

ซือหยูพูด

 

“ได้เลยท่านเจ้าพันธมิตร

 

ผู้เฒ่าเฉินพยักหน้า เขากับลั่วซวงและคนที่เหลือนับถือซือหยูอย่างมาก

 

ซือหยูพยักหน้าและบินขึ้นจากหลุม เขามองคนในพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ทั้งหมด เขามองเห็นใบหน้าที่ทุกข์ใจ ทุกคนหน้าซีดและเจ็บปวด แต่แววตาของพวกเขาก็ยังเปล่งประกายสดใส

 

เพื่อทําให้พวกเขามีหวัง ซือหยูพูดช้าๆด้วยความเยือกเย็น แต่เสียงของเขาก็สดใสและดังถึงทุกคน

 

“เราชนะศึกนี้แล้ว”

 

คําพูดของเขาราวกับระเบิดที่จุดในหูของแต่ละคน ใช่แล้ว! พวกเขาชนะ! หลังจากที่สูญเสียไปมาก ในที่สุดพวกเขาก็ได้รับชัยชนะ!

 

พวกเขาสังหารศัตรูกิ่งภูติสองร้อยคน เอาชนะผู้ศักดิ์สิทธิ์เชี่ยหวู่ เอาส่วนของดินแดนตอนเหนีอคืนมาได้ นี่เป็นชัยชนะแรกที่ทวีปเฉินหลงทําสําเร็จหลังจากผ่านมาเนิ่นนาน

 

ความสําเร็จครั้งนี้จะต้องจารึกอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ นามของพวกเขาจะถูกบันทึกส่งถึงคนรุ่นหลัง ความเสียสละของพวกเขาไม่สูญเปล่า พวกเขาได้มอบเสี้ยวความหวังให้กับเฉินหลง

 

ข่าวชัยชนะครั้งนี้จะต้องทําให้ผู้คนอีกมากมาเข้าร่วมกับพวกเขา พวกเขาหวังว่ามัน จะเป็นการจุดประกายที่วันหนึ่งจะเปล่งแสงจ้าในทั้งทวีป!

 

“พวกเราชนะแล้ว!”

 

บางคนกู่ร้อง เสียงตะโกนของเขามีความยินดีที่มิอาจอธิบาย

 

“ใช่แล้ว เราชนะ!”

 

ชายอีกคนตะโกนขึ้นมาราวกับศิลาก้อนใหญ่กระทบวารี เสียงผู้คนโห่ร้องตามมาด้วยความดีใจ

 

ซือหยูหัวเราะ คนในพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ดีใจเพราะพวกเขาชนะ แต่ซือหยูนั้นดีใจเพราะเขายังรักษากองทัพเอาไว้ได้

 

หลังจากได้ต่อสู่ครั้งนี้ พวกเขาคงจะได้กําจัดการมองสิ่งต่างๆในแง่ร้ายและความโศกเศร้าที่ กัดกินจิตใจมานาน นี่คือสิ่งที่ซือหยูใส่ใจที่สุด

 

ขณะนี้ ซือหยูบินไปเหนือน่านฟ้าเจ้าตําหนัก เขามองรอบตําหนักที่เคยเป็นของหลิงเสี่ยวเทียน เขาพบว่าแม้ที่นี่จะเหมือนเดิม คนข้างในก็ไม่ใช่พวกคนเดิมๆ

 

“เจ้าเป็นใคร?”

 

ซือหยูมองสตรีคนหนึ่งและถาม

 

นางดูเหมือนจะเป็นผู้นําของอะไรบางอย่าง นางไม่สนใจชายแก่ที่บาดเจ็บหลักที่นอนอยู่ในหลุมลึกเลย ชายคนนั้นลุกขึ้นมาโดยไม่มีใครช่วยเขาแม้แต่คนเดียว

 

เจ้าตําหนักหนานกวงใจเต้นแรง นางค่อนข้างกังวลเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนที่ไร้เทียมทานอย่างซือหยูที่กวาดล้างกึ่งภูติได้มากมายเพียงแค่พลิกฝ่ามือ

 

“ข้าเป็นหนึ่งในเจ้าตําหนักของตําหนักรองทั้งสี่ หนานกวง ยินดีที่ได้พบเจ้าพันธมิตรชือ”

 

หนานกวงไม่กล้าจะหยาบคาย นางรีบทักซือหยูตามธรรมเนียม

 

หนานกวงรึ? ซือหยูพยักหน้า

 

“พันธมิตรผู้คุมสวรรค์จะดูแลดินแดนส่วนนี้ของอาณาจักรทมิฬเอง เจ้ากลับไปรายงานซะ”

 

อะไรนะ? หนานกวงตกตะลึงที่ซือหยูตั้งใจจะยึดที่นี่ แต่นางก็คิดถึงความเป็นไปได้นี้มาบ้างแล้ว

 

“แต่ข้าเกรงว่า…”

 

เหงื่อเย็นๆไหลออกมาจากหน้าผากเจ้าตําหนักหนานกวงเมื่อนางเริ่มพูด

 

ซือหยูแตะอากาศด้วยปลายเท้า เขาไม่สนใจนางแม้แต่น้อย เขาเข้าสู่ตําหนักโดยไม่หันหลังมองนาง

 

“ข้าเพียงแค่บอกให้เจ้ารู้ไม่ได้หารือกับเจ้า จงไปซะ ทิ้งทรัพยากรทั้งหมดเอาไว้ด้วย”

 

เมื่อซือหยูพูดกับนางอีกครั้ง เขาก็ไปถึงส่วนลึกที่สุดในตําหนักนั่นก็คือห้องที่เคยเป็นของหลิงเสี่ยวเทียน เจ้าตําหนักหนานกวงทั้งโกรธและอับอายจากการกระทําที่เกินทนของซือหยู

 

แต่เมื่อนางคิดถึงตอนที่เขาต่อสู้ นางก็หยุดแสดงความรู้สึกออกมา นางหันไปมองคนของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์

 

ตอนที่พวกเขาเผชิญหน้ากับความตายอย่างไร้ความกลัวแม้กระทั่งตายดั่งดาวตก เรื่องเหล่านั้นทําให้นางตกตะลึง นางนับถือกองทัพเช่นนี้อย่างมาก

 

“ข้าต้องทําตามที่เขาพูดสินะ”

 

เจ้าตําหนักหนานกวงถอนหายใจและส่งกุญแจวาววับให้กับผู้เฒ่าเฉิน

 

“ประชาชนของอาณาจักรทมิฬ ไปกันเถอะ!”

 

เจ้าตําหนักหนานกวงตะโกนและนําคนออกจากที่นี่

 

หลังจากที่ออกมาได้ไกล ความโกรธก็ปรากฏบนใบหน้าผู้ตรวจการไปหยุน

 

“หนานกวง เจ้ามอบดินแดนของเราให้เขาอย่างนั้นไปเฉยๆน่ะเรอะ? เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วสินะ? เจ้าตายแน่ถ้าตําหนักเจ็ดจ้าวแห่งความมืดรู้เรื่องนี้”

 

เจ้าตําหนักหนานกวงมิอาจข่มความโกรธแค้นเมื่อได้ยินไปหยุน นางหันกลับไปมองหน้าเขา และหรี่ตาพูดเยาะเย้ย

 

“หึ ผู้ตรวจการไปหยุน ตอนที่ซื่อหยูอยู่ด้วย ทําไมเจ้าไม่พูดอะไรซักคําเล่า? เจ้าเงียบมาตั้งนานแต่ก็มากล่าวโทษข้าน่ะรึ?”

 

ผู้ตรวจการไปหยุนตอบอย่างโกรธเกรี้ยว

 

“เจ้ากล้าพูดกับข้าแบบนี้เรอะ?”

เจ้าตําหนักหนานกวงตําหนิเขาต่อไป

 

“ผู้ตรวจการไปหยุน เจ้าคิดว่าจะแก้ตัวกับตําหนักเจ็ดจ้าวดแห่งความมืดยังไงจะดีกว่า เพราะเจ้าคงเลี่ยงความรับผิดชอบเรื่องนี้ไม่ได้”

 

ผู้ตรวจการไปหยุนปากสั่นแต่ก็ไม่พูดอะไร เขาพูดไม่ออก เขาเริ่มกลัว…เพราะที่นางพูดนั้นคือเรื่องจริง

 

“พลังของซือหยูเหนือกว่าที่พวกเราคิด เราทําได้แค่รายงานความจริงว่าเกิดอะไร ขึ้นตอนที่กลับไป ข้าเชื่อว่าตําหนักเจ็ดจ้าวจะต้องเข้าใจสถานการณ์ของพวกเรา”

 

ผู้ตรวจการไปหยุนถอนหายใจอีกครั้ง เขาหวังว่ามันจะเป็นอย่างที่เขาพูด

 

เจ้าตําหนักหนานกวงคิดแบบเดียวกัน

 

“ตําหนักเจ็ดจ้าวน่าอัศจรรย์นัก พวกเขาต้องจับได้ถ้าหากเราโกหก เราทําได้แค่รายงานทุกอย่างตามความจริง เจรจากับพวกเขามิใช่เรื่องยาก แต่จ้าวสามก็คงจะไม่ปล่อยเราไปง่ายๆ”

 

นางพูดต่อ

 

“จ้าวสามทั้งโหดร้ายและเข้มงวด คงจะยากที่พวกเราจะปัดความรับผิดชอบไปได้ ชะตาพวกเราอยู่กับคนเหล่านั้น”

 

เจ้าตําหนักหนานกวงมองตําหนักและถอนหายใจเบาๆ

 

“หยินหยู ข้าหวังว่าเจ้าจะดูแลตัวเองได้”

 

นางรู้ว่าจ้าวแห่งความมืดคนอื่นอาจจะปล่อยเรื่องนี้ไป แต่จ้าวแห่งความมืดลําดับสามจะไม่ป ล่อยมือจากเรื่องนี้แน่

 

หลังจากที่การต่อสู้นองเลือดได้เกิดขึ้นในเมืองเขตกลาง เสียงเอะอะรอบๆได้เงียบลงในยามค่ำคืน ไม่มีใครลืมกองทัพกล้าหาญที่บินมาจากฟ้าซึ่งนําโดยเจ้าพันธมิตรคนใหม่ของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ พวกเขาได้คว้าชัยชนะครั้งแรกของเฉินหลงซึ่งทําให้ได้ดินแดนกลับคืนมา!

 

แม้ในค่ําคืนอันเงียบงันนี้ก็ยังมีคนเข้าออกห้องของซือหยู บางคนเป็นเจ้าเมืองที่มาเพื่อรา ยงานเรื่องราวในเมืองแก่ซือหยู

 

ส่วนคนอื่นๆนั้นมาจากตระกูลใหญ่ในเมือง พวกเขานําของขวัญติดตัวมาด้วยเพื่อต้อนรับผู้ปกครองคนใหม่ ขณะที่บางคนเป็นยอดฝีมือที่มาเพื่อเข้าร่วมพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ที่เพิ่งจะได้สร้างชื่อเสียง ส่วนคนอื่นๆก็มาเพื่อรายงานการรับมือกับการต่อสู้ต่อไปเป็นหลัก

 

มีคนต่อแถวยาวหน้าประตูห้องซือหยู แถวนั้นยาวเหยียดไปถึงประตูตําหนัก การหารือดําเนิน ไปจนถึงเที่ยงคืน และมันก็เป็นอย่างนี้ต่อเนื่องไปอีกสิบวัน! ซื่อหยูเริ่มที่จะเบื่อและทนไม่ไหวแล้ว!

 

ซือหยูเหยียดตัวถอนหายใจยาวในสวน ดวงตาแดงก่ำของเขาเริ่มแห้งและเหนื่อยล้า เรื่องการดูแลดินแดนนั้นเหนื่อยยิ่งกว่าการต่อสู้ใหญ่เสียอีก!

 

“การตัดสินใจของท่านในฐานะเจ้าพันธมิตรนั้นปราดเปรื่องนัก”

 

ผู้เฒ่าเฉินที่อยู่ด้านหลังมองซือหยูอย่างยอมรับ

 

“ตอนนี้มีอีกหลายแห่งที่ยังต่อสู้โต้กลับนอกจากอาณาจักรทมิฬ”

เขาเห็นด้วยที่ซือหยูตัดสินใจนพวกเขามายังดินแดนตอนเหนือแม้จะมีหลายคนที่ตั้งคําถามขึ้น เขาก็พิสูจน์ตัวเองว่านี่เป็นการแก้ปัญหาในระยะยาวที่ดีที่สุด เพราะพวกเขาแก้ปัญหาเรื่องความขาดแคลนทรัพยากรของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ได้แล้ว

 

แม้เขาจะยังอายุน้อย เขาก็เป็นที่ประจักษ์ว่าสามารถมองภาพรวมได้อย่างดี ซือหยูดูเหมือนชายแก่หัวแหลมเสียยิ่งกว่าเด็กหนุ่ม

 

ซือหยูปัดมืออย่างไม่ใส่ใจอะไรนัก

 

“จากนี้ไป เรื่องที่ไม่ค่อยสําคัญนักของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์จะถูกดูแลด้วยเจ้ากับพวกผู้เฒ่า ข้าจะตัดสินใจเรื่องสําคัญเท่านั้น”

 

“เข้าใจแล้ว”

 

ผู้เฒ่าเฉินตอบอย่างนับถือ

 

“แล้วเจ้าได้เรื่องอะไรมาจากเชี่ยหวู่บ้าง?”

 

ซือหยูถาม สิบวันผ่านไปตั้งแต่จับตัวเชี่ยหวู่ได้ ซือหยูคิดว่าพวกเขาน่าจะได้ข้อมูลจากเชี่ยหวู่มาเยอะทีเดียว

 

ผู้เฒ่าเฉินสีหน้าดูหม่นหมอง

 

“ท่านเจ้าพันธมิตร ข้ามาเพื่อรายงานเรื่องนี้กับท่าน”

 

ดูจากสีหน้า ดูเหมือนผู้เฒ่าเฉินจะได้ข่าวร้ายจากเชี่ยหวู่ ซือหยูทําใจและสั่งกับผู้เฒ่าเฉิน 

 

“ว่ามา!”

 

“ท่านเจ้าพันธมิตร สถานการณ์ของตอนเหนือยังห่างไกลจากคําว่าดีมากนัก และอีกไม่ นานมันจะกลายเป็นดินแดนที่อันตรายมากที่สุด!”

 

ผู้เฒ่าเฉินตอบโดยไม่ปั้นคําพูด

 

“ยังไง?”

 

ซือหยูเลิกคิ้ว เขาไม่เข้าใจความหมายจริงๆ

 

ผู้เฒ่าเฉินอธิบาย

 

“ตามที่เชี่ยหวู่บอก เขามาตอนเหนือจากฝั่งตะวันตกเพราะเขาถูกสั่งให้ทําลายคณะวิหคเพลิง และตําหนักนรองทิศเหนือของอาณาจักรทมิฬ นั่นก็เพราะว่าห้าศักดิ์สิทธิ์กําลังจะออกมาจากก้นบึ่งมังกรในอีกไม่นาน”

 

ห้าศักดิ์สิทธิ์ที่ครอบครองฝ่ามือเทพดับสวรรค์น่ะรึ? ซือหยูใจสั่น ตามที่รู่เหิงบอก ห้าศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ฝ่ามือเทพดับสวรรค์นั้นทรงพลังจนภูติขั้นสูงต้องหวาดกลัว! พลังของเขาเหนือกว่าใคร

 

“พอห้าศักดิ์สิทธิ์ออกมาแล้ว เขาจะออกเดินทางไปในทวีปต่างๆและทวีปแรกคือดินแดนทางตอนเหนือ เพราะเป็นดินแดนที่ใกล้ที่สุด ผู้ศักดิ์สิทธิ์คนอื่นเลยพยายามจะจัดการดินแดน ระหว่างทางเพื่อไม่ให้ห้าศักดิ์สิทธิ์ต้องลําบาก”

 

ผู้เฒ่าเฉินบอกสิ่งที่ได้จากเชี่ยหวู่

 

นี่คือเหตุผลที่คณะวิหคเพลิง พันธมิตรผู้คุมสวรรค์ และอาณาจักรทมิฬถูกจู่โจมพร้อมกัน! นั่นก็เพราะว่าห้าศักดิ์สิทธิ์กําลังจะมาที่นี่ในอีกไม่นาน!

 

ซือหยูวิเคราะห์สิ่งที่ได้รู้ เขาพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง

 

ผู้เฒ่าเฉินพูดเสริมอีก

 

“แล้วเชี่ยหวู่ก็บอกอีกว่ามีกึ่งภูติมากกว่าพันคนที่ติดตามมาด้วย นั่นคือกําลังครึ่งหนึ่งของพวกต่างโลก”

 

มากกว่าพันคนรึ? ซื่อหยูเบิกตากว้างเมื่อได้ฟังจํานวน เขายังพูดไม่ออกอยู่

 

ผู้เฒ่าเฉินพูดต่อไป

 

“หลังจากการต่อสู้ครั้งใหญ่สุดท้าย มันเลยมาเกินครึ่งปีแล้ว พวกมันไม่มีใครขวาง ครึ่งก็คงจะมากพอที่จะย้ายกึ่งภูติพันคนมาจากต่างโลก ถ้ากิ่งภูติพันคนนั้นออกจากก้นบึงมังกรมาถึงที่นี่ กับห้าศักดิ์สิทธิ์ ทวีปเฉินหลงก็คงไม่มีหวังให้รอดต่อไปได้!”

 

ซือหยูเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม ไม่มีใครมองข้ามกําลังใหญ่เช่นนี้ และห้าศักดิ์สิทธิ์ยังมาด้วย เขามีพลังที่ลึกล้ำยากที่ซือหยูจะรับมือได้!

 

“เรามีเวลาอีกเท่าไหร่?”

 

ซือหยูถาม

 

“ไม่เกินสองเดือน แต่มากกว่าหนึ่งเดือน พอถึงตอนนั้น ห้าศักดิ์สิทธิ์จะออกมาสู้กับทวีปเหนีอ…”

 

ซือหยูใจสั่นอีกครั้ง แค่เดือนเดียวนั้นไม่พอที่จะเตรียมการอย่างเหมาะสม

 

“นี่มันข่าวร้ายของจริง!”

 

ซือหยูเห็นล่วงหน้าได้เลยว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะต้องวิปโยคและรุนแรงกว่าการต่อสู้ครั้งก่อนๆ

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Divine Nine Dragon Cauldron 651 – เมฆครึมขอบนภา

Now you are reading The Divine Nine Dragon Cauldron Chapter 651 - เมฆครึมขอบนภา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 651 – เมฆครึมขอบนภา

 

“ผู้บุกรุกแห่งทวีปเฉินหงทั้งหมดสมควรตาย”

 

ซือหยูประกาศชะตาของพวกเขา

 

เขาแบมือ ก้อนวงพลังลอยออก สายลมรุนแรงพัดใส่ร่างของเหล่าทหารเงาทมิฬหายไปไม่เหลือแม้แต่เศษซาก

 

ซือหยูใช้อรหันต์แปดอักษรได้อย่างเชี่ยวชาญ ด้วยพลังของกายามังกร เขาเหลือเพียงขั้นสุดท้ายที่ยังไม่สมบูรณ์นั่นก็คือขั้นที่เรียกว่าผู้ใช้อักษร

 

และเพราะมันเป็นขั้นสุดท้าย พลังของมันจะต้องน่าเกรงขามแน่นอน วิชาอักษรนั้นมากพอจะรับมือกับภูติระดับหนึ่ง ดังนั้นอักษรตัวสุดท้ายจะต้องเป็นสิ่งที่ทรงพลังอย่างมาก

 

“ท่านเจ้าพันธมิตร จะดีรึที่ฆ่าพวกมันหมดอย่างนี้?”

 

ผู้เฒ่าเฉินเอ่ยปากถาม

 

“เรายังไม่มีข้อมูลของศัตรูเลย”

 

แม้จะสะใจที่ได้สังหารพวกมันทันที แต่มันก็ดูไม่เหมาะไม่ควร

 

“พวกมันก็แค่ทหารตําแหน่งต่ําต้อย พวกมันจะรู้อะไรมากเล่า? ถ้าเจ้าอยากจะเค้นเอาข้อมูล…เจ้าไม่ไปถามคนตรงนั้นจะดีกว่ารึ?”

 

ซือหยูพูดและร่อนลงไปยังหลุมลึก

 

แม้เขาจะดูร่อนลงเบาๆ แต่หลุมลึกก็สั่นสะเทือนต่อไป มุกสีครามอําพันอยู่เบื้องล่างพร้อมกับคนหนึ่งคนที่โดนทับอยู่ข้างใต้

 

ชุดเกราะของเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ อกของเขาฉีก มีโลหิตไหลออกมาจากปาก เขาอยู่ในลมหายใจสุดท้าย เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน

 

เมื่อซือหยูร่อนลง เขาก็ยื่นมือเรียกมุกวิญญาณเก้าหยกกับมุกสีครามอําพัน เสียงแหลมดัง พร้อมกับมุกที่หายไป

 

มุกนี้เหมือนกับลูกแก้วของลําดับห้าธาตุและมุกบาดาล ดังนั้นมันจึงค่อนข้างแปลก

 

เพราะซือหยูเก็บมันไม่ได้เมื่ออยู่ไกล เขาจึงต้องเก็บมันใส่มุกวิญญาณเก้าหยกเช่นนี้ ทุกคนที่เห็นตกตะลึงอย่างมาก พวกเขาสงสัยว่าซือหยูมีสมบัติวิเศษมากมายเท่าใดกันแน่

 

แต่พวกเขาสนใจมากที่สุดก็คือเชี่ยหวู่ที่กําลังใกล้ตาย เขาคือคนที่ถูกสมบัติชิ้นนั้นบดขยื้อย่างรุนแรง! ทุกคนรู้สึกราวกับได้เห็นภาพลวงตา

 

เเผละ!

 

ซือหยูเหยียบท้องของเชี่ยหวู่ มีเสียงเนื้อที่ถูกเหยียบจนเละตามด้วยเสียงบางอย่างแตก ซือหยูเหยียบจุดกําเนิดพลังของเขา! เชี่ยหวู่ตอนนี้ไร้พลังแล้ว!

 

“ท่านเค้นความลับออกมาก็แล้วกัน ท่านคงจะรู้ว่าเราควรต้องรู้อะไร อย่าลืมมารายงานข้าด้วย”

 

ซือหยูพูด

 

“ได้เลยท่านเจ้าพันธมิตร

 

ผู้เฒ่าเฉินพยักหน้า เขากับลั่วซวงและคนที่เหลือนับถือซือหยูอย่างมาก

 

ซือหยูพยักหน้าและบินขึ้นจากหลุม เขามองคนในพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ทั้งหมด เขามองเห็นใบหน้าที่ทุกข์ใจ ทุกคนหน้าซีดและเจ็บปวด แต่แววตาของพวกเขาก็ยังเปล่งประกายสดใส

 

เพื่อทําให้พวกเขามีหวัง ซือหยูพูดช้าๆด้วยความเยือกเย็น แต่เสียงของเขาก็สดใสและดังถึงทุกคน

 

“เราชนะศึกนี้แล้ว”

 

คําพูดของเขาราวกับระเบิดที่จุดในหูของแต่ละคน ใช่แล้ว! พวกเขาชนะ! หลังจากที่สูญเสียไปมาก ในที่สุดพวกเขาก็ได้รับชัยชนะ!

 

พวกเขาสังหารศัตรูกิ่งภูติสองร้อยคน เอาชนะผู้ศักดิ์สิทธิ์เชี่ยหวู่ เอาส่วนของดินแดนตอนเหนีอคืนมาได้ นี่เป็นชัยชนะแรกที่ทวีปเฉินหลงทําสําเร็จหลังจากผ่านมาเนิ่นนาน

 

ความสําเร็จครั้งนี้จะต้องจารึกอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ นามของพวกเขาจะถูกบันทึกส่งถึงคนรุ่นหลัง ความเสียสละของพวกเขาไม่สูญเปล่า พวกเขาได้มอบเสี้ยวความหวังให้กับเฉินหลง

 

ข่าวชัยชนะครั้งนี้จะต้องทําให้ผู้คนอีกมากมาเข้าร่วมกับพวกเขา พวกเขาหวังว่ามัน จะเป็นการจุดประกายที่วันหนึ่งจะเปล่งแสงจ้าในทั้งทวีป!

 

“พวกเราชนะแล้ว!”

 

บางคนกู่ร้อง เสียงตะโกนของเขามีความยินดีที่มิอาจอธิบาย

 

“ใช่แล้ว เราชนะ!”

 

ชายอีกคนตะโกนขึ้นมาราวกับศิลาก้อนใหญ่กระทบวารี เสียงผู้คนโห่ร้องตามมาด้วยความดีใจ

 

ซือหยูหัวเราะ คนในพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ดีใจเพราะพวกเขาชนะ แต่ซือหยูนั้นดีใจเพราะเขายังรักษากองทัพเอาไว้ได้

 

หลังจากได้ต่อสู่ครั้งนี้ พวกเขาคงจะได้กําจัดการมองสิ่งต่างๆในแง่ร้ายและความโศกเศร้าที่ กัดกินจิตใจมานาน นี่คือสิ่งที่ซือหยูใส่ใจที่สุด

 

ขณะนี้ ซือหยูบินไปเหนือน่านฟ้าเจ้าตําหนัก เขามองรอบตําหนักที่เคยเป็นของหลิงเสี่ยวเทียน เขาพบว่าแม้ที่นี่จะเหมือนเดิม คนข้างในก็ไม่ใช่พวกคนเดิมๆ

 

“เจ้าเป็นใคร?”

 

ซือหยูมองสตรีคนหนึ่งและถาม

 

นางดูเหมือนจะเป็นผู้นําของอะไรบางอย่าง นางไม่สนใจชายแก่ที่บาดเจ็บหลักที่นอนอยู่ในหลุมลึกเลย ชายคนนั้นลุกขึ้นมาโดยไม่มีใครช่วยเขาแม้แต่คนเดียว

 

เจ้าตําหนักหนานกวงใจเต้นแรง นางค่อนข้างกังวลเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนที่ไร้เทียมทานอย่างซือหยูที่กวาดล้างกึ่งภูติได้มากมายเพียงแค่พลิกฝ่ามือ

 

“ข้าเป็นหนึ่งในเจ้าตําหนักของตําหนักรองทั้งสี่ หนานกวง ยินดีที่ได้พบเจ้าพันธมิตรชือ”

 

หนานกวงไม่กล้าจะหยาบคาย นางรีบทักซือหยูตามธรรมเนียม

 

หนานกวงรึ? ซือหยูพยักหน้า

 

“พันธมิตรผู้คุมสวรรค์จะดูแลดินแดนส่วนนี้ของอาณาจักรทมิฬเอง เจ้ากลับไปรายงานซะ”

 

อะไรนะ? หนานกวงตกตะลึงที่ซือหยูตั้งใจจะยึดที่นี่ แต่นางก็คิดถึงความเป็นไปได้นี้มาบ้างแล้ว

 

“แต่ข้าเกรงว่า…”

 

เหงื่อเย็นๆไหลออกมาจากหน้าผากเจ้าตําหนักหนานกวงเมื่อนางเริ่มพูด

 

ซือหยูแตะอากาศด้วยปลายเท้า เขาไม่สนใจนางแม้แต่น้อย เขาเข้าสู่ตําหนักโดยไม่หันหลังมองนาง

 

“ข้าเพียงแค่บอกให้เจ้ารู้ไม่ได้หารือกับเจ้า จงไปซะ ทิ้งทรัพยากรทั้งหมดเอาไว้ด้วย”

 

เมื่อซือหยูพูดกับนางอีกครั้ง เขาก็ไปถึงส่วนลึกที่สุดในตําหนักนั่นก็คือห้องที่เคยเป็นของหลิงเสี่ยวเทียน เจ้าตําหนักหนานกวงทั้งโกรธและอับอายจากการกระทําที่เกินทนของซือหยู

 

แต่เมื่อนางคิดถึงตอนที่เขาต่อสู้ นางก็หยุดแสดงความรู้สึกออกมา นางหันไปมองคนของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์

 

ตอนที่พวกเขาเผชิญหน้ากับความตายอย่างไร้ความกลัวแม้กระทั่งตายดั่งดาวตก เรื่องเหล่านั้นทําให้นางตกตะลึง นางนับถือกองทัพเช่นนี้อย่างมาก

 

“ข้าต้องทําตามที่เขาพูดสินะ”

 

เจ้าตําหนักหนานกวงถอนหายใจและส่งกุญแจวาววับให้กับผู้เฒ่าเฉิน

 

“ประชาชนของอาณาจักรทมิฬ ไปกันเถอะ!”

 

เจ้าตําหนักหนานกวงตะโกนและนําคนออกจากที่นี่

 

หลังจากที่ออกมาได้ไกล ความโกรธก็ปรากฏบนใบหน้าผู้ตรวจการไปหยุน

 

“หนานกวง เจ้ามอบดินแดนของเราให้เขาอย่างนั้นไปเฉยๆน่ะเรอะ? เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วสินะ? เจ้าตายแน่ถ้าตําหนักเจ็ดจ้าวแห่งความมืดรู้เรื่องนี้”

 

เจ้าตําหนักหนานกวงมิอาจข่มความโกรธแค้นเมื่อได้ยินไปหยุน นางหันกลับไปมองหน้าเขา และหรี่ตาพูดเยาะเย้ย

 

“หึ ผู้ตรวจการไปหยุน ตอนที่ซื่อหยูอยู่ด้วย ทําไมเจ้าไม่พูดอะไรซักคําเล่า? เจ้าเงียบมาตั้งนานแต่ก็มากล่าวโทษข้าน่ะรึ?”

 

ผู้ตรวจการไปหยุนตอบอย่างโกรธเกรี้ยว

 

“เจ้ากล้าพูดกับข้าแบบนี้เรอะ?”

เจ้าตําหนักหนานกวงตําหนิเขาต่อไป

 

“ผู้ตรวจการไปหยุน เจ้าคิดว่าจะแก้ตัวกับตําหนักเจ็ดจ้าวดแห่งความมืดยังไงจะดีกว่า เพราะเจ้าคงเลี่ยงความรับผิดชอบเรื่องนี้ไม่ได้”

 

ผู้ตรวจการไปหยุนปากสั่นแต่ก็ไม่พูดอะไร เขาพูดไม่ออก เขาเริ่มกลัว…เพราะที่นางพูดนั้นคือเรื่องจริง

 

“พลังของซือหยูเหนือกว่าที่พวกเราคิด เราทําได้แค่รายงานความจริงว่าเกิดอะไร ขึ้นตอนที่กลับไป ข้าเชื่อว่าตําหนักเจ็ดจ้าวจะต้องเข้าใจสถานการณ์ของพวกเรา”

 

ผู้ตรวจการไปหยุนถอนหายใจอีกครั้ง เขาหวังว่ามันจะเป็นอย่างที่เขาพูด

 

เจ้าตําหนักหนานกวงคิดแบบเดียวกัน

 

“ตําหนักเจ็ดจ้าวน่าอัศจรรย์นัก พวกเขาต้องจับได้ถ้าหากเราโกหก เราทําได้แค่รายงานทุกอย่างตามความจริง เจรจากับพวกเขามิใช่เรื่องยาก แต่จ้าวสามก็คงจะไม่ปล่อยเราไปง่ายๆ”

 

นางพูดต่อ

 

“จ้าวสามทั้งโหดร้ายและเข้มงวด คงจะยากที่พวกเราจะปัดความรับผิดชอบไปได้ ชะตาพวกเราอยู่กับคนเหล่านั้น”

 

เจ้าตําหนักหนานกวงมองตําหนักและถอนหายใจเบาๆ

 

“หยินหยู ข้าหวังว่าเจ้าจะดูแลตัวเองได้”

 

นางรู้ว่าจ้าวแห่งความมืดคนอื่นอาจจะปล่อยเรื่องนี้ไป แต่จ้าวแห่งความมืดลําดับสามจะไม่ป ล่อยมือจากเรื่องนี้แน่

 

หลังจากที่การต่อสู้นองเลือดได้เกิดขึ้นในเมืองเขตกลาง เสียงเอะอะรอบๆได้เงียบลงในยามค่ำคืน ไม่มีใครลืมกองทัพกล้าหาญที่บินมาจากฟ้าซึ่งนําโดยเจ้าพันธมิตรคนใหม่ของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ พวกเขาได้คว้าชัยชนะครั้งแรกของเฉินหลงซึ่งทําให้ได้ดินแดนกลับคืนมา!

 

แม้ในค่ําคืนอันเงียบงันนี้ก็ยังมีคนเข้าออกห้องของซือหยู บางคนเป็นเจ้าเมืองที่มาเพื่อรา ยงานเรื่องราวในเมืองแก่ซือหยู

 

ส่วนคนอื่นๆนั้นมาจากตระกูลใหญ่ในเมือง พวกเขานําของขวัญติดตัวมาด้วยเพื่อต้อนรับผู้ปกครองคนใหม่ ขณะที่บางคนเป็นยอดฝีมือที่มาเพื่อเข้าร่วมพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ที่เพิ่งจะได้สร้างชื่อเสียง ส่วนคนอื่นๆก็มาเพื่อรายงานการรับมือกับการต่อสู้ต่อไปเป็นหลัก

 

มีคนต่อแถวยาวหน้าประตูห้องซือหยู แถวนั้นยาวเหยียดไปถึงประตูตําหนัก การหารือดําเนิน ไปจนถึงเที่ยงคืน และมันก็เป็นอย่างนี้ต่อเนื่องไปอีกสิบวัน! ซื่อหยูเริ่มที่จะเบื่อและทนไม่ไหวแล้ว!

 

ซือหยูเหยียดตัวถอนหายใจยาวในสวน ดวงตาแดงก่ำของเขาเริ่มแห้งและเหนื่อยล้า เรื่องการดูแลดินแดนนั้นเหนื่อยยิ่งกว่าการต่อสู้ใหญ่เสียอีก!

 

“การตัดสินใจของท่านในฐานะเจ้าพันธมิตรนั้นปราดเปรื่องนัก”

 

ผู้เฒ่าเฉินที่อยู่ด้านหลังมองซือหยูอย่างยอมรับ

 

“ตอนนี้มีอีกหลายแห่งที่ยังต่อสู้โต้กลับนอกจากอาณาจักรทมิฬ”

เขาเห็นด้วยที่ซือหยูตัดสินใจนพวกเขามายังดินแดนตอนเหนือแม้จะมีหลายคนที่ตั้งคําถามขึ้น เขาก็พิสูจน์ตัวเองว่านี่เป็นการแก้ปัญหาในระยะยาวที่ดีที่สุด เพราะพวกเขาแก้ปัญหาเรื่องความขาดแคลนทรัพยากรของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ได้แล้ว

 

แม้เขาจะยังอายุน้อย เขาก็เป็นที่ประจักษ์ว่าสามารถมองภาพรวมได้อย่างดี ซือหยูดูเหมือนชายแก่หัวแหลมเสียยิ่งกว่าเด็กหนุ่ม

 

ซือหยูปัดมืออย่างไม่ใส่ใจอะไรนัก

 

“จากนี้ไป เรื่องที่ไม่ค่อยสําคัญนักของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์จะถูกดูแลด้วยเจ้ากับพวกผู้เฒ่า ข้าจะตัดสินใจเรื่องสําคัญเท่านั้น”

 

“เข้าใจแล้ว”

 

ผู้เฒ่าเฉินตอบอย่างนับถือ

 

“แล้วเจ้าได้เรื่องอะไรมาจากเชี่ยหวู่บ้าง?”

 

ซือหยูถาม สิบวันผ่านไปตั้งแต่จับตัวเชี่ยหวู่ได้ ซือหยูคิดว่าพวกเขาน่าจะได้ข้อมูลจากเชี่ยหวู่มาเยอะทีเดียว

 

ผู้เฒ่าเฉินสีหน้าดูหม่นหมอง

 

“ท่านเจ้าพันธมิตร ข้ามาเพื่อรายงานเรื่องนี้กับท่าน”

 

ดูจากสีหน้า ดูเหมือนผู้เฒ่าเฉินจะได้ข่าวร้ายจากเชี่ยหวู่ ซือหยูทําใจและสั่งกับผู้เฒ่าเฉิน 

 

“ว่ามา!”

 

“ท่านเจ้าพันธมิตร สถานการณ์ของตอนเหนือยังห่างไกลจากคําว่าดีมากนัก และอีกไม่ นานมันจะกลายเป็นดินแดนที่อันตรายมากที่สุด!”

 

ผู้เฒ่าเฉินตอบโดยไม่ปั้นคําพูด

 

“ยังไง?”

 

ซือหยูเลิกคิ้ว เขาไม่เข้าใจความหมายจริงๆ

 

ผู้เฒ่าเฉินอธิบาย

 

“ตามที่เชี่ยหวู่บอก เขามาตอนเหนือจากฝั่งตะวันตกเพราะเขาถูกสั่งให้ทําลายคณะวิหคเพลิง และตําหนักนรองทิศเหนือของอาณาจักรทมิฬ นั่นก็เพราะว่าห้าศักดิ์สิทธิ์กําลังจะออกมาจากก้นบึ่งมังกรในอีกไม่นาน”

 

ห้าศักดิ์สิทธิ์ที่ครอบครองฝ่ามือเทพดับสวรรค์น่ะรึ? ซือหยูใจสั่น ตามที่รู่เหิงบอก ห้าศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ฝ่ามือเทพดับสวรรค์นั้นทรงพลังจนภูติขั้นสูงต้องหวาดกลัว! พลังของเขาเหนือกว่าใคร

 

“พอห้าศักดิ์สิทธิ์ออกมาแล้ว เขาจะออกเดินทางไปในทวีปต่างๆและทวีปแรกคือดินแดนทางตอนเหนือ เพราะเป็นดินแดนที่ใกล้ที่สุด ผู้ศักดิ์สิทธิ์คนอื่นเลยพยายามจะจัดการดินแดน ระหว่างทางเพื่อไม่ให้ห้าศักดิ์สิทธิ์ต้องลําบาก”

 

ผู้เฒ่าเฉินบอกสิ่งที่ได้จากเชี่ยหวู่

 

นี่คือเหตุผลที่คณะวิหคเพลิง พันธมิตรผู้คุมสวรรค์ และอาณาจักรทมิฬถูกจู่โจมพร้อมกัน! นั่นก็เพราะว่าห้าศักดิ์สิทธิ์กําลังจะมาที่นี่ในอีกไม่นาน!

 

ซือหยูวิเคราะห์สิ่งที่ได้รู้ เขาพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง

 

ผู้เฒ่าเฉินพูดเสริมอีก

 

“แล้วเชี่ยหวู่ก็บอกอีกว่ามีกึ่งภูติมากกว่าพันคนที่ติดตามมาด้วย นั่นคือกําลังครึ่งหนึ่งของพวกต่างโลก”

 

มากกว่าพันคนรึ? ซื่อหยูเบิกตากว้างเมื่อได้ฟังจํานวน เขายังพูดไม่ออกอยู่

 

ผู้เฒ่าเฉินพูดต่อไป

 

“หลังจากการต่อสู้ครั้งใหญ่สุดท้าย มันเลยมาเกินครึ่งปีแล้ว พวกมันไม่มีใครขวาง ครึ่งก็คงจะมากพอที่จะย้ายกึ่งภูติพันคนมาจากต่างโลก ถ้ากิ่งภูติพันคนนั้นออกจากก้นบึงมังกรมาถึงที่นี่ กับห้าศักดิ์สิทธิ์ ทวีปเฉินหลงก็คงไม่มีหวังให้รอดต่อไปได้!”

 

ซือหยูเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม ไม่มีใครมองข้ามกําลังใหญ่เช่นนี้ และห้าศักดิ์สิทธิ์ยังมาด้วย เขามีพลังที่ลึกล้ำยากที่ซือหยูจะรับมือได้!

 

“เรามีเวลาอีกเท่าไหร่?”

 

ซือหยูถาม

 

“ไม่เกินสองเดือน แต่มากกว่าหนึ่งเดือน พอถึงตอนนั้น ห้าศักดิ์สิทธิ์จะออกมาสู้กับทวีปเหนีอ…”

 

ซือหยูใจสั่นอีกครั้ง แค่เดือนเดียวนั้นไม่พอที่จะเตรียมการอย่างเหมาะสม

 

“นี่มันข่าวร้ายของจริง!”

 

ซือหยูเห็นล่วงหน้าได้เลยว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะต้องวิปโยคและรุนแรงกว่าการต่อสู้ครั้งก่อนๆ

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+