The Divine Nine Dragon Cauldron 892

Now you are reading The Divine Nine Dragon Cauldron Chapter 892 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

DND.892 – แข่งขันสังเวย
ท้ายสุดค่ายกลก็ถูกเปิดออกด้วยการร่วมมือจู่โจมระหว่างนักบวชโซกับรองผู้จัดการใหญ่ทั้งสองใช้เวลาไปสิบวินาที
เมื่อเปิดกระโจมทั้งสองหนาวเย็นไปทั้งกายเพราะได้เห็นร่างไร้หัวของเฉียนอยู่ในกระโจม หัวของเขากลิ้นไปที่ด้านข้าง ความเจ็บปวดที่เขาได้รับก่อนตายยังคงแสดงบนใบหน้าพร้อมกับความสับสนและตกใจ
นักบวชโซรีบไปตรวจดูศพด้วยสีหน้าดำมืด
“หัวถูกตัดในพริบตาแม้แต่วิญญาณยังดับหาย”
“จะต้องเป็นฝีมือของคนชุดสีส้มนั่น!เขามิใช่ผู้เฒ่าตำหนักนอกของตำหนักศีลหวนคืนรึ? ทำไมเขาถึง…”
รองผู้จัดการใหญ่ใจหายเขารู้สึกแขนขาเย็นชาไปหมด
รองผู้จัดการใหญ่ไม่ต้องพูดก็รู้ผู้เฒ่าตำหนักนอกคนนั้นถูกเขตกลางติดสินบนมา
เขาซ่อนความตั้งใจไว้อย่างอดทนเขาใช้ค่ายกลของกระโจมและความอวดดีของเฉียนในการสังหารโดยไร้ความคุ้มครองของรองผู้จัดการใหญ่ เขายังใช้เครื่องรางมิติของตัวเองเพื่อหนีไปอีกด้วย
พวกเขาจบแล้ว!ทุกอย่างมันจบแล้ว! พวกเขาไม่มีเฉียน แล้วใครกันเล่าจะไปต่อกรกับฉินและหลินจากเขตกลางได้?
พวกเขาเหลือแค่คนรู้ภาษาไม้เพียงผิวเผินอยู่เท่านั้นแล้วจะไปสู้กับสองคนนั้นได้อย่างไร?
ทั้งนักบวชโซและรองผู้จัดการใหญ่มีความรู้สึกร้ายอันเรื่องครั้งนี้สถานการณ์โหดร้ายเกินไป มันไม่เคยมีงานเซ่นใดที่รุนแรงถึงขนาดนี้
คนที่เหลือตกใจพวกเขาตัวสั่นด้วยความกลัว ใบหน้าที่เคยมั่นใจเต็มไปด้วยความเศร้า พวกเขามีทักษะไม่ถึงหนึ่งในสามของเฉียนด้วยซ้ำ แล้วพวกเขาจะไปต่อกรกับเขตกลางยังไง?
ครั้งนี้พวกเขาจะต้องพ่ายแพ้ราบคาบ โครงสร้างของร้านโอสถอันล้ำค่าจะต้องตกเป็นของดินแดนมีดสวรรค์
ดินแดนพรสวรรค์จะเหลือดินแดนเพียงครึ่งเดียวเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ สุดท้ายเมืองเทียนหยาจะถูกปกครองโดยดินแดนมีดสวรรค์
พวกเขาทำผิดพลาดครั้งใหญ่เสียแล้วและไม่ใช่แค่เหล่าผู้รู้ภาษาไม้อีกแล้วที่ต้องแบกรับความโกรธจากสองตำหนัก แม้แต่นักบวชโซ ผู้จัดการใหญ่ และผู้จัดการใหญ่ของตำหนักเมฆาม่วงก็จะต้องพบกับความเดือดดาล ผลที่ตามมาจากเรื่องนี้ช่างน่ากลัวนัก!
จากนั้นก็มีเสียงหัวเราะเยาะดังมาจากนอกกระโจม
“โอ้เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ? ทำไมทุกคนจากดินแดนพรสวรรค์ถึงทำหน้าเศร้ากันล่ะ? คนสำคัญตายไปหรืออย่างไร? เหตุใดถึงใบหน้าหมองเช่นนี้?”
เมื่อทุกคนมองไปต้นเสียงก็เห็นหูหวังกุยยืนมือไพล่หลังเว้ยระยะอยู่
“หู!หวัง! กุย!”
นักบวชโซบินพุ่งไปด้วยความโกรธดวงตาของเขาแดงก่ำ เขากำลังโกรธถึงขีดสุด
ส่วนรองผู้จัดการใหญ่นั้นสีหน้าหม่นหมองจิตสังหารปะทุออกมาจากร่าง
ถ้าหากจ้าวเทวะระดับเจ็ดสองคนระเบิดความโกรธใส่หูหวังกุยที่เป็นจ้าวเทวะระดับห้าคนเดียวแล้วล่ะก็…เขาย่อมตายในพริบตา
“หึหึทุกคนจากดินแดนพรสวรรค์หยาบคายแล้วอวดดีเช่นนี้แล้วหรือ? เป็นคนของพวกเจ้าเองที่ตาย แล้วใยต้องมาระบายความโกรธกับคนนอกเล่า?”
เสียงคนแก่เฒ่าพูดดังขึ้นมาแสงขาวลางก้าวพริบตามาอยู่ถัดจากหูหวังกุย เขาเป็นชายแก่สวมชุดขาว
นักบวชโซกับรองผู้จัดการใหญ่พูดด้วยความตกใจเมื่อเห็นชายแก่
“ปีศาจเด็ดดาวเจ้าก็มาที่นี่ด้วยเรอะ!”
ปีศาจเด็ดดาวคือหนึ่งในคนของจ้าวดินแดนมีดสวรรค์ที่มีชื่อเสียงและยังแข็งแกร่งเขาเป็นจ้าวเทวะระดับแปด ยากที่คนระดับเดียวกันจะป้องกันวิชาเด็ดดาวของเขาได้
ต่อให้นักบวชโซกับรองผู้จัดการใหญ่รวมพลังกันทั้งคู่ก็มิอาจเผชิญหน้ากับปีศาจเด็ดดาวได้
“ถ้าเจ้าอยากจะร่วมงานก็จงทำอย่างสงบแต่ถ้าอยากจะสร้างปัญหา ข้าก็ไม่ติดใจหากจะออกกำลังให้ร่างแก่เฒ่าของข้าบ้าง”
ปีศาจเด็ดดาวหัวเราะอย่างชั่วร้ายเขาพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
นักบวชโซกับรองผู้จัดการใหญ่กัดฟันศัตรูแข็งแกร่งกว่า พวกเขามิอาจต่อสู้ได้
“ตำหนักเมฆาม่วงจะจำเรื่องครั้งนี้ไว้และพวกเราจะเอาคืนเจ้าแน่”
“แล้วข้าจะรอหึหึ พวกเจ้าควรจะเตรียมให้พร้อมดีกว่า งานเซ่นกำลังจะเริ่มแล้วนะ”
ปีศาจเด็ดดาวหัวเราะอย่างชั่วร้ายออกมาอีกครั้งและพาหูหวังกุยไปกับเขาหูหวังกุยแสยะยิ้ม
“น่ารังเกียจนัก!”
รองผู้จัดการใหญ่กำหมัดความชิงชังเอ่อล้นในหัวใจ พวกมันสังหารคนสำคัญที่สุดของพวกเขาไป แต่พวกมันก็ยังมาขู่ว่าจะทำร้ายพวกเขาถ้าหากพวกเขาสร้างปัญหา
พวกดินแดนมีดสวรรค์บิดเบือนเปลี่ยนผิดเป็นถูกแล้วยังดูหมิ่นอย่างร้ายกาจนี่คือการบดขยี้พวกเขาโดยไม่ต้องใช้กำลัง!
“ท่านผู้อาวุโสใจเย็นลงก่อนพวกมันสังหารคนผู้นั้นไปแล้ว ทำไมพวกมันถึงมาที่นี่เพียงแพ้เยาะเย้ยเล่า? อย่าไปหลงกลพวกมัน…”
ซือหยูกล่าว
รองผู้จัดการใหญ่กับนักบวชโซเป็นคนที่มีฐานพลังสูงทั้งสองมีความสำคัญต่อเวลานี้อย่างแน่นอน เมื่อได้ยินเสียงของซือหยู ทั้งคู่ก็กลับมาได้สติและเยือกเย็นดังเดิม
เฉียนตายไปแล้วและถ้าพวกเขาจู่โจมศัตรูไป พวกเขาจะพ่ายแพ้ยิ่งกว่าเดิมในพิธีเซ่น
รองผู้จัดการใหญ่มองซือหยูและฝืนยิ้มแต่ใบหน้าเขาก็หม่นหมองขึ้นมาอีกครั้ง
“การค้าของดินแดนพรสวรรค์ในเมืองเทียนหยากำลังคับขันเฉียนก็ตายเพราะคนชั่ว แต่พวกเรายังมีพวกเจ้าทุกคน พวกเราต้องการให้พวกเจ้าร่วมมือกันต่อสู้เพื่อตำหนักและเกียรติยศของดินแดนพรสวรรค์”
หลังจากรองผู้จัดการใหญ่กับนักบวชโซพูดปลุกใจพวกเขาทั้งสองก็กลับมาสงบดังเดิม แต่ทั้งสองก็ไม่ได้คาดหวังอะไรอีกแล้ว
รองผู้จัดการใหญ่กับนักบวชโซตัดสินใจเรียงลำดับในงานเซ่นลู่จือยี่เป็นคนแรกเพราะนางมาจากสำนักเดียวกับเฉียน นางควรจะได้ศึกษาจากเขามามากกว่า ส่วนคนอื่นๆที่ได้พูดคุยกับเฉียนในวันก่อนจะได้ลำดับต่อๆไป คนสุดท้ายย่อมเป็นซือหยูกับอาจารย์เกา
อาจารย์เกากับซือหยูกลายเป็นคนสุดท้ายเพราะไม่ได้ศึกษาจากเฉียนดังนั้นเขาจึงไม่หวังมากนัก
“พวกเจ้าทุกคนตามข้ามามันยังไม่ถึงที่สุด อย่าเพิ่งยอมแพ้”…ไอรีนโนเวล
รองผู้จัดการใหญ่ตะโกนแม้ว่าจะหมดหวังกว่าทุกคนที่นี่
ถ้าหากพวกเขาหวังพึ่งกับกลุ่มที่กำลังสับสนนี้พวกเขาจะพ่ายแพ้หมดรูป แต่เวลานี้พวกเขายังเปลี่ยนได้ว่าจะต้องพ่ายแพ้แบบใด
สิ่งที่พวกเขากำลังคิดก็คือการที่ละอธิบายและรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนระดับสูงกว่าพวกเขาไปที่ป่าปีศาจร้างในความคิดหนัก
ก่อนถึงป่านั้นมีแท่นบูชายาวเกือบลี้มันทำจากไม้ทั้งหมดแต่เป็นไม้ชนิดพิเศษ แม้ว่าจะผ่านมาไม่รู้กี่ปี มันก็ไม่เริ่มผุพังแม้แต่น้อย
มีพื้นที่ราบและสูงที่สุดอยู่กลางแท่นแต่พื้นของมันเต็มไปด้วยตัวอักษรเล็กๆมากมายนับไม่ถ้วน พวกมันมีจำนวนเยอะดั่งดวงดาวและปล่อยพลังหลายชนิดออกมา อักษรเหล่านี้คือภาษาไม้แต่น่าเสียดายที่อัดกันแน่นจนเกินไป ไม่มีใครเข้าใจว่ามันหมายความว่าอย่างไร
“พอพิธีเริ่มอักษรภาษาไม้บางตัวในผิวแท่นบูชาจะส่องแสงและเผยข้อความให้เห็น คนแรกในบรรดาผู้รู้ภาษาไม้จากดินแดนมีดสวรรค์กับดินแดนพรสวรรค์ที่แปลได้จะได้คะแนนไป หากมีใครได้คะแนนเหนือกว่าศัตรูเกินสิบคะแนน อีกฝ่ายจะถูกคัดทิ้ง”
“ยิ่งไปใกล้ขั้นสุดท้ายมากเท่าใดคำก็จะยิ่งยากขึ้นเท่านั้น พวกเขาทุกคนจงจำไว้ว่าจะต้องพยายามแปลส่วนแรกให้ได้ทุกคำ เพราะแม้แต่พวกเขตกลางก็แปลขั้นสุดท้ายไม่ได้ พวกเจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องความยากของขั้นสุดท้ายเลย”
รองผู้จัดการใหญ่เตรียมมอบหมายหน้าที่ให้แต่ละคน
ซือหยูคิดก่อนจะถาม
“ส่วนแรกส่วนกลาง กับส่วนสุดท้ายเป็นเช่นใดหรือ?”
“ครึ่งชั่วยามแรกจะเป็นคำที่เรียบง่ายที่สุดถ้าหากเฉียนยังอยู่ พวกเราจะไม่พบเจอความยากลำบากเลย ส่วนกลางจะปรากฏในครึ่งชั่วยามถัดไป การแปลส่วนนี้ยากเป็นอย่างมาก เฉียนมักจะพ่ายแพ้พวกเขตกลางในขั้นนี้ ส่วนครึ่งชั่วยามสุดท้ายก็คือขั้นสุดท้าย มีคำแปลกประหลาดอยู่เต็มไปหมด ไม่มีใครเข้าใจมันได้เลย”
ซือหยูเข้าใจเรื่องนี้อย่างชัดเจนแล้ว
สองชั่วยามผ่านไปมียอดฝีมือมากกว่าร้อยคนยืนอยู่รอบแท่นบูชาและบินอยู่เหนือนภา มีคนอยู่เต็มไปหมด
ผู้จัดพิธีสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อประกาศเริ่มพิธีเครื่องเซ่นจำนวนมากถูกส่งไปที่หน้าป่าปีศาจร้าง พวกเขาต้องใส่เครื่องเซ่นเรื่อยไปตลอดเวลาที่มีคำภาษาไม้ปรากฏ
“ทั้งสองฝ่ายขึ้นเวทีได้”
คนจัดพิธีตะโกนเสียงดัง
ลู่จือยี่ขึ้นเวทีอย่างใจเย็นนางยืนที่ด้านซ้ายของแท่นบูชาขณะที่ชายสองคนยืนที่อีกด้าน ไม่สิ ถ้าหากพูดให้ถูก เขาคือหนึ่งคน แต่มีสองหัว หัวทั้งสองมีใบหน้าที่แตกต่างกันงอกมาจากคอ ทั้งสองหัวนั้นมีผมสีเทาและแก่เฒ่า
รูปลักษณ์แปลกประหลาดนี้ดูน่ากลัวแต่ทั้งสองหัวในสายตาเปล่งประกายเฉียบคม ทั้งสองดูมีระดับและยากที่จะแบ่งแยกความต่างทางชนชั้นได้
“นั่นคือฉินหลิน”
รองผู้จัดการใหญ่มองด้วยจิตสังหารดินแดนมีดสวรรค์ได้ยึดครองพื้นที่มากมายในเมืองเทียนหยาก็เพราะคนสองหัวผู้นี้ และถ้าหากพวกเขากำจัดไปไม่ได้ ไม่ช้าก็เร็ว คนจากดินแดนพรสวรรค์จะถูกขับไล่ออกจากเมืองเทียนหยา
แต่อย่างไรก็ตามฉินหลินนั้นถูกปกป้องโดยจ้าวเทวะชั้นสูงสองคนอยู่เสมอไม่ว่าจะไปที่ใด แล้วใครเล่าจะทำอันตรายได้?
“โอ้นางยังอายุน้อยอยู่เลย หึหึ ดินแดนพรสวรรค์ไม่มีคนอื่นแล้วสินะ?”
หัวซ้ายหัวเราะอย่างอวดดี
“อย่าประมาทมาพยายามให้ดีที่สุดกันเถอะ”
หัวขวาสุขุมมากกว่าหัวซ้าย
ปั้ง!ปั้ง! ปั้ง!
ทันใดนั้นแท่นบูชาก็เริ่มขยับช้าๆ ตัวอักษรใต้เท้าพวกเขาในตอนนี้ดูเหมือนกับดวงดาว หากมองครั้งแรกจะดูเหมือนกับแผนที่ดาว หากมองนานยิ่งขึ้นไปก็จะสับสน
จู่ๆอักษรหลายตัวก็เริ่มส่องแสง
ฉินหลินหยิบเอาเครื่องประดับหยกขึ้นมาและใช้พลังชีวิตจารึกอักษรเอาไว้จากนั้นจึงยื่นให้กับผู้จัดพิธีเพื่อให้เขาส่งให้หูหวังกุย
หูหวังกุยส่งมันให้กับคนที่หน้าป่าปีศาจร้างที่ทำหน้าที่ส่งของเซ่น
คนที่ทำหน้าที่รับเครื่องประดับหยกไปดูเขาเห็นข้อความมากมายเขียนเอาไว้
“ตะวันออกเฉียงใต้สัตว์อสูรระดับสาม กระจับน้ำสามตัว และสมบัติวิญญาณระดับต่ำสามชิ้น…
เขาโยนสิ่งเหล่านั้นไปที่ป่าปีศาจร้างพวกเขาได้ยินเสียงขยับของกิ่งไม้จากป่า เสียงสัตว์อสูรกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมานดังก้องป่าก่อนจะเงียบหายไป ป่ากลับมาเงียบดังเดิม”
ที่เวทีใต้เท้าฉินหลินคลื่นพลังอันบริสุทธิ์ได้เอ่อขึ้นมาโอบล้อมพวกเขา
ซือหยูตกใจพลังนี้บริสุทธิ์จนแปลก มันไม่มีสิ่งเจือปนราวกับถูกชำระล้างด้วยทรายดาราทางช้างเผือก
“พลังพวกนี้มาจากที่ไหนกัน?”
ซือหยูคิด
เมื่อถึงคราวของลู่จือยี่นางสามารถรู้คำภาษาไม้ได้ด้วยความยากลำบาก ผ่านไปนานกว่านางจะเขียนเสร็จและส่งมันให้กับคนของตำหนักเมฆาม่วง
พวกเขาเริ่มโยนของเซ่นตามที่ลู่จือยี่เขียนแต่เมื่อโยนไปครึ่งส่วน เสียงคำรามอันโกรธเกรี้ยวก็ดังมจากป่า ขณะที่เวทีใต้เท้าลู่จือยี่มิได้ตอบสนอง
ผู้ประกอบพิธีกล่าว
“ฉินหลินได้หนึ่งคะแนน!”
ลู่จือยี่มิได้โมโหนางยังคงใจเย็น การแข่งขันยังดำเนินต่อไป รอบที่สองเริ่มขึ้นแล้ว
ในรอบที่สองลู่จือยี่สามารถแปลภาษาไม้ได้สำเร็จ ขณะที่ฉินหลินไม่ได้พบเจอความยากใด
ในรอบที่สามนางล้มเหลวขณะที่ฉินหลินสำเร็จ
ในรอบที่สี่นางสำเร็จ และฉินหลินก็สำเร็จด้วย
มันดำเนินต่อไปครึ่งชั่วยามเมื่อถึงตอนนั้น ลู่จือยี่จบรอบโดยการแพ้สิบรอบขณะที่ฉินหลินมิได้แพ้แม้แต่รอบเดียว ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบลื่น
ฉินหลินนั้นเหนือกว่าลู่จือยี่ไปสิบคะแนนนางถูกคัดทิ้ง แต่งานของฉินหลินนั้นยังไม่จบ พวกเขามาต่อในขั้นกลาง มันคือขั้นที่มีความยากขึ้นมาบ้าง สีหน้าผ่อนคลายของทั้งคู่หายไปแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Divine Nine Dragon Cauldron 892

Now you are reading The Divine Nine Dragon Cauldron Chapter 892 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

DND.892 – แข่งขันสังเวย
ท้ายสุดค่ายกลก็ถูกเปิดออกด้วยการร่วมมือจู่โจมระหว่างนักบวชโซกับรองผู้จัดการใหญ่ทั้งสองใช้เวลาไปสิบวินาที
เมื่อเปิดกระโจมทั้งสองหนาวเย็นไปทั้งกายเพราะได้เห็นร่างไร้หัวของเฉียนอยู่ในกระโจม หัวของเขากลิ้นไปที่ด้านข้าง ความเจ็บปวดที่เขาได้รับก่อนตายยังคงแสดงบนใบหน้าพร้อมกับความสับสนและตกใจ
นักบวชโซรีบไปตรวจดูศพด้วยสีหน้าดำมืด
“หัวถูกตัดในพริบตาแม้แต่วิญญาณยังดับหาย”
“จะต้องเป็นฝีมือของคนชุดสีส้มนั่น!เขามิใช่ผู้เฒ่าตำหนักนอกของตำหนักศีลหวนคืนรึ? ทำไมเขาถึง…”
รองผู้จัดการใหญ่ใจหายเขารู้สึกแขนขาเย็นชาไปหมด
รองผู้จัดการใหญ่ไม่ต้องพูดก็รู้ผู้เฒ่าตำหนักนอกคนนั้นถูกเขตกลางติดสินบนมา
เขาซ่อนความตั้งใจไว้อย่างอดทนเขาใช้ค่ายกลของกระโจมและความอวดดีของเฉียนในการสังหารโดยไร้ความคุ้มครองของรองผู้จัดการใหญ่ เขายังใช้เครื่องรางมิติของตัวเองเพื่อหนีไปอีกด้วย
พวกเขาจบแล้ว!ทุกอย่างมันจบแล้ว! พวกเขาไม่มีเฉียน แล้วใครกันเล่าจะไปต่อกรกับฉินและหลินจากเขตกลางได้?
พวกเขาเหลือแค่คนรู้ภาษาไม้เพียงผิวเผินอยู่เท่านั้นแล้วจะไปสู้กับสองคนนั้นได้อย่างไร?
ทั้งนักบวชโซและรองผู้จัดการใหญ่มีความรู้สึกร้ายอันเรื่องครั้งนี้สถานการณ์โหดร้ายเกินไป มันไม่เคยมีงานเซ่นใดที่รุนแรงถึงขนาดนี้
คนที่เหลือตกใจพวกเขาตัวสั่นด้วยความกลัว ใบหน้าที่เคยมั่นใจเต็มไปด้วยความเศร้า พวกเขามีทักษะไม่ถึงหนึ่งในสามของเฉียนด้วยซ้ำ แล้วพวกเขาจะไปต่อกรกับเขตกลางยังไง?
ครั้งนี้พวกเขาจะต้องพ่ายแพ้ราบคาบ โครงสร้างของร้านโอสถอันล้ำค่าจะต้องตกเป็นของดินแดนมีดสวรรค์
ดินแดนพรสวรรค์จะเหลือดินแดนเพียงครึ่งเดียวเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ สุดท้ายเมืองเทียนหยาจะถูกปกครองโดยดินแดนมีดสวรรค์
พวกเขาทำผิดพลาดครั้งใหญ่เสียแล้วและไม่ใช่แค่เหล่าผู้รู้ภาษาไม้อีกแล้วที่ต้องแบกรับความโกรธจากสองตำหนัก แม้แต่นักบวชโซ ผู้จัดการใหญ่ และผู้จัดการใหญ่ของตำหนักเมฆาม่วงก็จะต้องพบกับความเดือดดาล ผลที่ตามมาจากเรื่องนี้ช่างน่ากลัวนัก!
จากนั้นก็มีเสียงหัวเราะเยาะดังมาจากนอกกระโจม
“โอ้เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ? ทำไมทุกคนจากดินแดนพรสวรรค์ถึงทำหน้าเศร้ากันล่ะ? คนสำคัญตายไปหรืออย่างไร? เหตุใดถึงใบหน้าหมองเช่นนี้?”
เมื่อทุกคนมองไปต้นเสียงก็เห็นหูหวังกุยยืนมือไพล่หลังเว้ยระยะอยู่
“หู!หวัง! กุย!”
นักบวชโซบินพุ่งไปด้วยความโกรธดวงตาของเขาแดงก่ำ เขากำลังโกรธถึงขีดสุด
ส่วนรองผู้จัดการใหญ่นั้นสีหน้าหม่นหมองจิตสังหารปะทุออกมาจากร่าง
ถ้าหากจ้าวเทวะระดับเจ็ดสองคนระเบิดความโกรธใส่หูหวังกุยที่เป็นจ้าวเทวะระดับห้าคนเดียวแล้วล่ะก็…เขาย่อมตายในพริบตา
“หึหึทุกคนจากดินแดนพรสวรรค์หยาบคายแล้วอวดดีเช่นนี้แล้วหรือ? เป็นคนของพวกเจ้าเองที่ตาย แล้วใยต้องมาระบายความโกรธกับคนนอกเล่า?”
เสียงคนแก่เฒ่าพูดดังขึ้นมาแสงขาวลางก้าวพริบตามาอยู่ถัดจากหูหวังกุย เขาเป็นชายแก่สวมชุดขาว
นักบวชโซกับรองผู้จัดการใหญ่พูดด้วยความตกใจเมื่อเห็นชายแก่
“ปีศาจเด็ดดาวเจ้าก็มาที่นี่ด้วยเรอะ!”
ปีศาจเด็ดดาวคือหนึ่งในคนของจ้าวดินแดนมีดสวรรค์ที่มีชื่อเสียงและยังแข็งแกร่งเขาเป็นจ้าวเทวะระดับแปด ยากที่คนระดับเดียวกันจะป้องกันวิชาเด็ดดาวของเขาได้
ต่อให้นักบวชโซกับรองผู้จัดการใหญ่รวมพลังกันทั้งคู่ก็มิอาจเผชิญหน้ากับปีศาจเด็ดดาวได้
“ถ้าเจ้าอยากจะร่วมงานก็จงทำอย่างสงบแต่ถ้าอยากจะสร้างปัญหา ข้าก็ไม่ติดใจหากจะออกกำลังให้ร่างแก่เฒ่าของข้าบ้าง”
ปีศาจเด็ดดาวหัวเราะอย่างชั่วร้ายเขาพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
นักบวชโซกับรองผู้จัดการใหญ่กัดฟันศัตรูแข็งแกร่งกว่า พวกเขามิอาจต่อสู้ได้
“ตำหนักเมฆาม่วงจะจำเรื่องครั้งนี้ไว้และพวกเราจะเอาคืนเจ้าแน่”
“แล้วข้าจะรอหึหึ พวกเจ้าควรจะเตรียมให้พร้อมดีกว่า งานเซ่นกำลังจะเริ่มแล้วนะ”
ปีศาจเด็ดดาวหัวเราะอย่างชั่วร้ายออกมาอีกครั้งและพาหูหวังกุยไปกับเขาหูหวังกุยแสยะยิ้ม
“น่ารังเกียจนัก!”
รองผู้จัดการใหญ่กำหมัดความชิงชังเอ่อล้นในหัวใจ พวกมันสังหารคนสำคัญที่สุดของพวกเขาไป แต่พวกมันก็ยังมาขู่ว่าจะทำร้ายพวกเขาถ้าหากพวกเขาสร้างปัญหา
พวกดินแดนมีดสวรรค์บิดเบือนเปลี่ยนผิดเป็นถูกแล้วยังดูหมิ่นอย่างร้ายกาจนี่คือการบดขยี้พวกเขาโดยไม่ต้องใช้กำลัง!
“ท่านผู้อาวุโสใจเย็นลงก่อนพวกมันสังหารคนผู้นั้นไปแล้ว ทำไมพวกมันถึงมาที่นี่เพียงแพ้เยาะเย้ยเล่า? อย่าไปหลงกลพวกมัน…”
ซือหยูกล่าว
รองผู้จัดการใหญ่กับนักบวชโซเป็นคนที่มีฐานพลังสูงทั้งสองมีความสำคัญต่อเวลานี้อย่างแน่นอน เมื่อได้ยินเสียงของซือหยู ทั้งคู่ก็กลับมาได้สติและเยือกเย็นดังเดิม
เฉียนตายไปแล้วและถ้าพวกเขาจู่โจมศัตรูไป พวกเขาจะพ่ายแพ้ยิ่งกว่าเดิมในพิธีเซ่น
รองผู้จัดการใหญ่มองซือหยูและฝืนยิ้มแต่ใบหน้าเขาก็หม่นหมองขึ้นมาอีกครั้ง
“การค้าของดินแดนพรสวรรค์ในเมืองเทียนหยากำลังคับขันเฉียนก็ตายเพราะคนชั่ว แต่พวกเรายังมีพวกเจ้าทุกคน พวกเราต้องการให้พวกเจ้าร่วมมือกันต่อสู้เพื่อตำหนักและเกียรติยศของดินแดนพรสวรรค์”
หลังจากรองผู้จัดการใหญ่กับนักบวชโซพูดปลุกใจพวกเขาทั้งสองก็กลับมาสงบดังเดิม แต่ทั้งสองก็ไม่ได้คาดหวังอะไรอีกแล้ว
รองผู้จัดการใหญ่กับนักบวชโซตัดสินใจเรียงลำดับในงานเซ่นลู่จือยี่เป็นคนแรกเพราะนางมาจากสำนักเดียวกับเฉียน นางควรจะได้ศึกษาจากเขามามากกว่า ส่วนคนอื่นๆที่ได้พูดคุยกับเฉียนในวันก่อนจะได้ลำดับต่อๆไป คนสุดท้ายย่อมเป็นซือหยูกับอาจารย์เกา
อาจารย์เกากับซือหยูกลายเป็นคนสุดท้ายเพราะไม่ได้ศึกษาจากเฉียนดังนั้นเขาจึงไม่หวังมากนัก
“พวกเจ้าทุกคนตามข้ามามันยังไม่ถึงที่สุด อย่าเพิ่งยอมแพ้”…ไอรีนโนเวล
รองผู้จัดการใหญ่ตะโกนแม้ว่าจะหมดหวังกว่าทุกคนที่นี่
ถ้าหากพวกเขาหวังพึ่งกับกลุ่มที่กำลังสับสนนี้พวกเขาจะพ่ายแพ้หมดรูป แต่เวลานี้พวกเขายังเปลี่ยนได้ว่าจะต้องพ่ายแพ้แบบใด
สิ่งที่พวกเขากำลังคิดก็คือการที่ละอธิบายและรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนระดับสูงกว่าพวกเขาไปที่ป่าปีศาจร้างในความคิดหนัก
ก่อนถึงป่านั้นมีแท่นบูชายาวเกือบลี้มันทำจากไม้ทั้งหมดแต่เป็นไม้ชนิดพิเศษ แม้ว่าจะผ่านมาไม่รู้กี่ปี มันก็ไม่เริ่มผุพังแม้แต่น้อย
มีพื้นที่ราบและสูงที่สุดอยู่กลางแท่นแต่พื้นของมันเต็มไปด้วยตัวอักษรเล็กๆมากมายนับไม่ถ้วน พวกมันมีจำนวนเยอะดั่งดวงดาวและปล่อยพลังหลายชนิดออกมา อักษรเหล่านี้คือภาษาไม้แต่น่าเสียดายที่อัดกันแน่นจนเกินไป ไม่มีใครเข้าใจว่ามันหมายความว่าอย่างไร
“พอพิธีเริ่มอักษรภาษาไม้บางตัวในผิวแท่นบูชาจะส่องแสงและเผยข้อความให้เห็น คนแรกในบรรดาผู้รู้ภาษาไม้จากดินแดนมีดสวรรค์กับดินแดนพรสวรรค์ที่แปลได้จะได้คะแนนไป หากมีใครได้คะแนนเหนือกว่าศัตรูเกินสิบคะแนน อีกฝ่ายจะถูกคัดทิ้ง”
“ยิ่งไปใกล้ขั้นสุดท้ายมากเท่าใดคำก็จะยิ่งยากขึ้นเท่านั้น พวกเขาทุกคนจงจำไว้ว่าจะต้องพยายามแปลส่วนแรกให้ได้ทุกคำ เพราะแม้แต่พวกเขตกลางก็แปลขั้นสุดท้ายไม่ได้ พวกเจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องความยากของขั้นสุดท้ายเลย”
รองผู้จัดการใหญ่เตรียมมอบหมายหน้าที่ให้แต่ละคน
ซือหยูคิดก่อนจะถาม
“ส่วนแรกส่วนกลาง กับส่วนสุดท้ายเป็นเช่นใดหรือ?”
“ครึ่งชั่วยามแรกจะเป็นคำที่เรียบง่ายที่สุดถ้าหากเฉียนยังอยู่ พวกเราจะไม่พบเจอความยากลำบากเลย ส่วนกลางจะปรากฏในครึ่งชั่วยามถัดไป การแปลส่วนนี้ยากเป็นอย่างมาก เฉียนมักจะพ่ายแพ้พวกเขตกลางในขั้นนี้ ส่วนครึ่งชั่วยามสุดท้ายก็คือขั้นสุดท้าย มีคำแปลกประหลาดอยู่เต็มไปหมด ไม่มีใครเข้าใจมันได้เลย”
ซือหยูเข้าใจเรื่องนี้อย่างชัดเจนแล้ว
สองชั่วยามผ่านไปมียอดฝีมือมากกว่าร้อยคนยืนอยู่รอบแท่นบูชาและบินอยู่เหนือนภา มีคนอยู่เต็มไปหมด
ผู้จัดพิธีสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อประกาศเริ่มพิธีเครื่องเซ่นจำนวนมากถูกส่งไปที่หน้าป่าปีศาจร้าง พวกเขาต้องใส่เครื่องเซ่นเรื่อยไปตลอดเวลาที่มีคำภาษาไม้ปรากฏ
“ทั้งสองฝ่ายขึ้นเวทีได้”
คนจัดพิธีตะโกนเสียงดัง
ลู่จือยี่ขึ้นเวทีอย่างใจเย็นนางยืนที่ด้านซ้ายของแท่นบูชาขณะที่ชายสองคนยืนที่อีกด้าน ไม่สิ ถ้าหากพูดให้ถูก เขาคือหนึ่งคน แต่มีสองหัว หัวทั้งสองมีใบหน้าที่แตกต่างกันงอกมาจากคอ ทั้งสองหัวนั้นมีผมสีเทาและแก่เฒ่า
รูปลักษณ์แปลกประหลาดนี้ดูน่ากลัวแต่ทั้งสองหัวในสายตาเปล่งประกายเฉียบคม ทั้งสองดูมีระดับและยากที่จะแบ่งแยกความต่างทางชนชั้นได้
“นั่นคือฉินหลิน”
รองผู้จัดการใหญ่มองด้วยจิตสังหารดินแดนมีดสวรรค์ได้ยึดครองพื้นที่มากมายในเมืองเทียนหยาก็เพราะคนสองหัวผู้นี้ และถ้าหากพวกเขากำจัดไปไม่ได้ ไม่ช้าก็เร็ว คนจากดินแดนพรสวรรค์จะถูกขับไล่ออกจากเมืองเทียนหยา
แต่อย่างไรก็ตามฉินหลินนั้นถูกปกป้องโดยจ้าวเทวะชั้นสูงสองคนอยู่เสมอไม่ว่าจะไปที่ใด แล้วใครเล่าจะทำอันตรายได้?
“โอ้นางยังอายุน้อยอยู่เลย หึหึ ดินแดนพรสวรรค์ไม่มีคนอื่นแล้วสินะ?”
หัวซ้ายหัวเราะอย่างอวดดี
“อย่าประมาทมาพยายามให้ดีที่สุดกันเถอะ”
หัวขวาสุขุมมากกว่าหัวซ้าย
ปั้ง!ปั้ง! ปั้ง!
ทันใดนั้นแท่นบูชาก็เริ่มขยับช้าๆ ตัวอักษรใต้เท้าพวกเขาในตอนนี้ดูเหมือนกับดวงดาว หากมองครั้งแรกจะดูเหมือนกับแผนที่ดาว หากมองนานยิ่งขึ้นไปก็จะสับสน
จู่ๆอักษรหลายตัวก็เริ่มส่องแสง
ฉินหลินหยิบเอาเครื่องประดับหยกขึ้นมาและใช้พลังชีวิตจารึกอักษรเอาไว้จากนั้นจึงยื่นให้กับผู้จัดพิธีเพื่อให้เขาส่งให้หูหวังกุย
หูหวังกุยส่งมันให้กับคนที่หน้าป่าปีศาจร้างที่ทำหน้าที่ส่งของเซ่น
คนที่ทำหน้าที่รับเครื่องประดับหยกไปดูเขาเห็นข้อความมากมายเขียนเอาไว้
“ตะวันออกเฉียงใต้สัตว์อสูรระดับสาม กระจับน้ำสามตัว และสมบัติวิญญาณระดับต่ำสามชิ้น…
เขาโยนสิ่งเหล่านั้นไปที่ป่าปีศาจร้างพวกเขาได้ยินเสียงขยับของกิ่งไม้จากป่า เสียงสัตว์อสูรกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมานดังก้องป่าก่อนจะเงียบหายไป ป่ากลับมาเงียบดังเดิม”
ที่เวทีใต้เท้าฉินหลินคลื่นพลังอันบริสุทธิ์ได้เอ่อขึ้นมาโอบล้อมพวกเขา
ซือหยูตกใจพลังนี้บริสุทธิ์จนแปลก มันไม่มีสิ่งเจือปนราวกับถูกชำระล้างด้วยทรายดาราทางช้างเผือก
“พลังพวกนี้มาจากที่ไหนกัน?”
ซือหยูคิด
เมื่อถึงคราวของลู่จือยี่นางสามารถรู้คำภาษาไม้ได้ด้วยความยากลำบาก ผ่านไปนานกว่านางจะเขียนเสร็จและส่งมันให้กับคนของตำหนักเมฆาม่วง
พวกเขาเริ่มโยนของเซ่นตามที่ลู่จือยี่เขียนแต่เมื่อโยนไปครึ่งส่วน เสียงคำรามอันโกรธเกรี้ยวก็ดังมจากป่า ขณะที่เวทีใต้เท้าลู่จือยี่มิได้ตอบสนอง
ผู้ประกอบพิธีกล่าว
“ฉินหลินได้หนึ่งคะแนน!”
ลู่จือยี่มิได้โมโหนางยังคงใจเย็น การแข่งขันยังดำเนินต่อไป รอบที่สองเริ่มขึ้นแล้ว
ในรอบที่สองลู่จือยี่สามารถแปลภาษาไม้ได้สำเร็จ ขณะที่ฉินหลินไม่ได้พบเจอความยากใด
ในรอบที่สามนางล้มเหลวขณะที่ฉินหลินสำเร็จ
ในรอบที่สี่นางสำเร็จ และฉินหลินก็สำเร็จด้วย
มันดำเนินต่อไปครึ่งชั่วยามเมื่อถึงตอนนั้น ลู่จือยี่จบรอบโดยการแพ้สิบรอบขณะที่ฉินหลินมิได้แพ้แม้แต่รอบเดียว ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบลื่น
ฉินหลินนั้นเหนือกว่าลู่จือยี่ไปสิบคะแนนนางถูกคัดทิ้ง แต่งานของฉินหลินนั้นยังไม่จบ พวกเขามาต่อในขั้นกลาง มันคือขั้นที่มีความยากขึ้นมาบ้าง สีหน้าผ่อนคลายของทั้งคู่หายไปแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+