The Divine Nine Dragon Cauldron 461

Now you are reading The Divine Nine Dragon Cauldron Chapter 461 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เขาคิดว่ามันอาจจะเป็นภาพลวงตา แต่กระนั้นก็ต้องสับสน ที่โครงกระดูกนั้นมีซี่โครงอยู่สิบสองซี่

 

แต่ที่พื้นกลับมีสิบเอ็ดเงาที่ทอดยาว! มีซี่โครงหนึ่งซี่ที่ไร้เงา!!

 

ซือหยูรู้สึกถึงความประหลาด แต่เขาก็ยังคงใจเย็นและหัวเราะ

 

“ถ้าพวกท่านไม่ต้องการโครงกระดูก ข้าก็ขอรับไว้”

 

เอ๋? กังต้าเหล่ยกับฉินจิวหยางเกิดความสงสัย พวกเขามองดูโครงกระดูกอีกครั้ง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีอะไรประหลาด ความสงสัยของพวกเขาก็คลายไป

 

ส่วนยู่จางนั้นเหลือบมองซือหยูอย่างลึกซึ้ง ทั้งสี่คนออกจากห้องลับ จากนั้นก็พบกับทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ทุ่งเปิดโล่งทอดยาวไปถึงขอบนภานั้นทำให้พวกเขารู้สึกผ่อนคลาย

 

สายลมเย็นพัดผ่านทุ่งหญ้าเขียวขจี กลิ่นหญ้าหอมอ่อนๆลอยปลิวตามสายลมมาด้วย พวกเขารู้สึกสดชื่นและสบาย แต่เมื่อพวกซือหยูมองทุ่งหญ้า พวกเขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมาพร้อมกัน

 

“ที่นี่จะไม่เงียบเกินไปหน่อยรึ…”

 

ฉินจิวหยางพูดอย่างเคร่งเครียด

 

ซือหยูพยักหน้าเบาๆ เขาใช้เนตรวิญญาณมองดูพื้นที่และตัวสั่น ในสายตาของเขา เขาพบว่าใต้ทุ่งหญ้าเขียวขจีอันสดชื่นนั้นหาใช่ผืนดิน แต่เป็นซากศพนับหมื่น!

 

มีทั้งซากศพสดๆและศพเก่า ศพมากมายอยู่ใต้ผืนหญ้าเหล่านี้

 

หญ้าสีเขียวเข้มเติบโตขึ้นมาจากศพ ที่นี่ยังไม่มีแมลงแม้แต่ชีวิตเดียว มันเงียบราวกับป่าช้า

 

“นี่คงเป็นทุ่งหญ้าซากศพ”

 

ยู่จางที่ออกมาจากห้องลับขมวดคิ้ว

 

“พวกเราเลือกเวทย์ยักย้ายอันที่น่ากลัวที่สุดแล้วล่ะ”

 

กังต้าเหล่ยถาม

 

“ส่วนใดของทุ่งหญ้าซากศพรึที่อันตราย?”

 

ยู่จางส่ายหน้า

 

“ข้าไม่รู้ เพราะทุกคนที่มาที่นี่ล้วนตายหมด ไม่มีใครรู้ว่าส่วนใดของทุ่งหญ้าที่อันตราย แต่ที่นี่เป็นสถานที่ต้องห้ามอย่างแน่นอน”

 

ซือหยูบินขึ้นฟ้ามองโดยรอบ เขาพบว่าห้องลับเบื้องล่างนั้นตั้งอยู่เหนือภูเขาศิลาสีดำสนิท

 

เขามองดูรอบๆและพบว่าทุ่งหญ้านั้นจะขึ้นตามภูเขาศิลาเท่านั้น ส่วนอื่นๆนั้นเรียบร้อยเป็นอย่างมากราวกับห้องลับที่พวกเขาออกมานั้นเป็นเรือลำเดียวที่แล่นตามมหาสมุทรสีเขียว

 

ซือหยูหยุดคิด เขาหยิบก้อนหินออกมาและโยนลงไปในทุ่งหญ้า คนที่เหลือมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นกัน

 

แต่เมื่อก้อนหินกระทบพื้นก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง มันไม่เกิดสิ่งใดเลย นั่นทำให้พวกซือหยูที่มองอยู่สับสนยิ่งขึ้น ส่วนใดกันแน่ของทุ่งหญ้าซากศพที่อันตราย!

 

ซือหยูเบิกตากว้าง เขาเตือน

 

“มีคนกำลังมา!”

 

คนที่เหลือมองตามซือหยูไปยังขอบนภา เรือบินกำลังบินอย่างช้าๆบนนภาเหนือทุ่งหญ้า เรือลำนั้นสีดำสนิทและมีสัญลักษณ์กะโหลกใหญ่อยู่ด้วย

 

ซือหยูตัวแข็งทื่อ เขาเคยเห็นสัญลักษณ์เช่นนี้มาก่อน สัญลักษณ์นี้คล้ายกับเรือโจรสลัดในชีวิตก่อนหน้าของเขาไม่มีผิด! แต่เรือโจรสลัดนี้มีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อจนทำให้มันลอยอยู่ได้ และนั่นยังทำให้มันบินได้เร็วอีกด้วย

 

ยู่จางชักสีหน้า

 

“แย่แล้ว! นั่นมันคนจากตำหนักชิงวิญญาณ!”

 

ตำหนักชิงวิญญาณ? มันควรจะเป็นกองกำลังจากทวีปจิวโจว และดูจากสีหน้าของยู่จาง ดูเหมือนว่าตำหนักชิงวิญญาณนั้นจะค่อนข้างน่ากลัว

 

ยู่จางพูดด้วยความตกใจเมื่อเห็นกลุ่มซือหยูสับสน

 

“หรือว่าพวกเจ้าจะไม่เคยได้ยินเรื่องของตำหนักชิงวิญญาณมาก่อน?”

 

“พวกเจ้าไม่เคยได้ยินชื่อเสียงแย่ๆของตำหนักชิงวิญญาณที่อยู่ในดินแดนพรสวรรค์ทั้งสิบแปดมาก่อนเลยรึ?”

 

ยู่จางถามด้วยความตกใจ

 

ซือหยูไม่ตอบอะไร เขาถามกลับ

 

“ข้าขาถามหน่อย ตำหนังชิงวิญญาณเป็นตัวตนแบบใดกัน?”

 

“ตำหนักชิงวิญญาณเป็นกำลังที่ใช้วิชาอสูรและมีลำดับสูงในดินแดนพรสวรรค์ทั้งสิบแปด! พวกมันยึดครองดินแดนสวรรค์หนึ่งดินแดนเอาไว้เอง และศิษย์ของพวกมันยังมีชื่อเสียงด้านความป่าเถื่อนและไร้เหตุผล ในโลกภายนอก พวกมันไม่กล้าจะทำสิ่งใดแปลกๆเพราะกลัวที่จะทำลายสัมพันธ์กับขุมกำลังอื่น แต่ถ้าเป็นในกระโจมเทพสวรรค์…ไม่มีใครขวางทางมันได้ ดังนั้นถ้าพวกเราได้เจอมันล่ะก็….!”

 

คนที่ฝึกวิชาอสูรรึ? ซือหยูหนาวสั่น

 

เขาไม่เคยสู้กับคนที่ฝึกวิชาอสูร และเขาก็ไม่รู้ว่าคนที่ฝึกวิชาอสูรในโลกของจิวโจวจะแข็งแกร่งเท่าใด

 

เขาใช้เนตรวิญญาณมองทะลุผ่านเรือบิน เขาเห็นทุกคนในเรืออย่างชัดเจน เขามองดูทั้งหมดและสีหน้าหม่นหมอง

 

“กึ่งเทพเจ็ดคน และมีอย่างน้อยสองคนที่เป็นกึ่งเทพในระดับสูงสุด”

 

หากเทียบกับกลุ่มซือหยู นอกจากยู่จางกับกังต้าเหล่ย ซือหยูกับฉินจิวหยางนั้นยังไม่นับว่ามีพลังขั้นสูงสุด แต่อีกฝ่ายก็มมีถึงเจ็ดคน!

 

ถ้าต้องต่อสู้กัน โอกาสเดียวที่จะชนะก็คือการที่ซือหยูต้องใช้ไพ่ตายทั้งหมดในมือ แต่นั้นก็คือสถานการณ์ที่เขาคิด ยังมีความเป็นไปได้ที่เขาจะตายแม้ว่าจะใช้ไพ่ทั้งหมดในมือ!

 

“เจ็ดคน!”

 

ยู่จางชักสีหน้า

 

“ไม่ดีแน่! เราเจอกับกำลังหลักของตำหนักชิงวิญญาณ!”

 

“ครั้งนี้ ตำหนักชิงวิญญาณส่งศิษย์มาสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งเป็นศิษย์นอกที่เป็นลำดับสิบของตำหนักชิงวิญญาณให้มาลงมือคนเดียว แต่อีกกลุ่มคือกำลังหลักที่มีกึ่งเทพเจ็ดคน แล้วก็มีจำนวนที่มาก”

 

ยู่จางหน้าซีดด้วยความกลัว

 

แต่นางก็พูดอย่างตรงไปตรงมาอีกครั้ง

 

“แต่พวกเราก็ยังไม่โชคร้ายนักหรอก! เรายังมีโอกาสที่จะหนีไปได้ แต่ถ้าเจอกับศิษย์นอกคนนั้น พวกเราสี่คนอาจจะหนีไปไหนไม่รอด”

 

ซือหยูสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ศิษย์นอกคนเดียวคนนั้นที่เป็นลำดับสิบ…เขาแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยหรือ?

 

ทั้งสี่เคยร่วมมือกันต่อสู้กับกึ่งเทพชั้นแนวหน้ามาก่อน แต่คำพูดของยู่จางก็ยังคงเป็นเช่นนั้น ดังนั้นคนที่เป็นศิษย์นอกนั้นก็อาจจะน่ากลัวยิ่งกว่าภูติน้อยเสียอีก!

 

“แย่แล้ว! มันกำลังมาหาเรา!”

 

เรือบินหันทิศทางในทันที มันมุ่งหน้ามาหาพวกเขา

 

“หนีเร็ว!”

 

ยู่จางตะโกนและเป็นผู้นำในการหลบหนี

 

ซือหยูกับพวกไม่คิดจะถูกทิ้งเอาไว้เช่นกัน พวกเขารีบหนีออกไป

 

ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ–

 

ในพริบตา ทั้งสี่เคลื่อนไหวเร็วราวกับสายฟ้าและหายไปจากทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ เรือบินนั้นลงจอดที่เหนือห้องลับ

 

จากนั้นก็มีเจ็ดคนออกมาจากเรือ คนเหล่านั้นคือกึ่งเทพเจ็ดคนที่ซือหยูใช้เนตรวิญญาณมองเห็น!

 

หัวหน้าคือชายหนุ่มผมสีโลหิต น่าแปลกที่ลูกตาเขามีสีขาว นั่นทำให้ผู้คนตัวสั่นด้วยความกลัว ลูกตาของเขาจับจ้องไปยังซือหยูและอีกสามคนที่กำลังหนีไปไกล

 

“ฮื่ม! มีคนมาที่นีก่อนพวกเรา หรือว่าพวกนั้นจะรู้ว่าที่นี่คือที่ที่จ้าวเทวะตู่ม่อตาย?”

 

คนที่ยืนข้างเขานั้นมีผมขาว ลูกตาเป็นสีแดงโลหิต

 

“เข้าไปก่อนเถอะ จะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นไปแล้ว”

 

ทั้งเจ็ดเข้าสู่ห้องลับและพบกับฝุ่นยุ่งเหยิง ชายผมโลหิตมองดูรอบๆ

 

“บัดซบ! ใครกันที่ปล่อยข้อมูลไปจนทำให้มีคนมาตัดหน้าพวกเรา? ตำหนักชิงวิญญาณจ่ายไปมากเพื่อหาสถานที่ตายของจ้าวเทวะตู่ม่อ! แล้วก็เพื่อมาที่นี่ เราเลยต้องจ่ายหนักยอมซื้อเรือรบลำนี้!”

 

ชายผมจขาวดูประหลาดใจ

 

“ศิษย์พี่ซื่อหลิง พวกนั้นอาจจะไม่รู้ว่านี่คือที่ตายของจ้าวเทวะตู่ม่อ ดูนั่นสิ!”

 

ชายผมสีโลหิตมองดูเวทย์ยักย้ายที่ใช้งานไปแล้วและเริ่มเข้าใจ

 

“ไล่ตามพวกนั้นไป! เราน่าจะจับมันได้ในตอนนี้ ถ้าสัตว์วิญญาณของจ้าวเทวะยอมรับคนอื่นเป็นนายไปก่อน นั่นแหละจะแย่ของจริง!”

 

ทั้งเจ็ดพุ่งออกจากห้องลับกลับสู่เรือรบอย่างรวดเร็วและมุ่งหน้าไล่ตามพวกซือหยู

 

ซือหยูนั้นไม่เข้าใจอะไรเลยตลอดการหนี

 

“แม่นางยู่จาง ถ้าทุ่งหญ้าซากศพเป็นที่ต้องห้าม พวกนั้นจะเข้ามาทำไมกัน?”

 

ยู่จางเริ่มคิด นางพูดอย่างจริงใจ

 

“ข้าไม่รู้เลย แต่คนที่อยู่เบื้องหลังจะต้องเป็นคนที่แข็งแกร่งแน่!”

 

ทั้งสี่คนใจหาย ตำหนักชิงวิญญาณเสี่ยงเข้ามาในดินแดนต้องห้าม พวกนั้นไม่มีทางปล่อยพวกเขาไปแน่

 

แล้วก็เป็นอย่างที่คิด เสียงสั่นสะเทือนของเรือรบดังมาจากด้านหลัง เรือลำนั้นกำลังไล่ล่าพวกเขาด้วยความเร็วอันน่าตกตะลึง ความเร็วนั้นไม่ต่ำกว่าคนที่มีพลังขอบเขตภูติเลย! พวกเขาสี่คนจะตามเรือนั้นทันได้ยังไง?

 

“เราต้องแยกกันหนี ถ้าเจ้าหนีได้ก็เป็นเรื่องดีกับเจ้า!”

 

ยู่จางกัดฟันและหนีไปในอีกทิศทาง

 

กังต้าเหล่ยกัดฟัน เขาหยิบเอาสร้อยหยกสามเส้นออกมา

 

“พวกเจ้าเอาไปคนละเส้น หยดโลหิตลงไปจะทำให้สัมผัสทิศทางของกันและกันได้ ถ้าหนีได้แล้วก็กลับมารวมตัวกันด้วยสิ่งนี้!”

 

“แต่….”

 

น้ำเสียงกังต้าเหล่ยเปลี่ยนไป

 

“ถ้าใครก็ตามถูกจับตัว เจ้าจะต้องทำลายสร้อยนี้ทิ้งซะ ศัตรูจะได้ไล่ตามคนที่เหลือไม่ได้!”

 

ซือหยูกับฉินจิวหยางพยักหน้าอย่างหนักแน่น จากนั้นทั้งหมดก็แยกจากกันไปคนละทิศละทาง

 

คนบนเรือทั้งเจ็ดไม่ได้ตกใจกับกลไม้นี้นัก…

 

“ศิษย์พี่ซื่อหลิง ข้าจะตามนังผู้หญิงคนนั้นเอง!”

 

ชายหนุ่มผมขาวเลียริมฝีปากด้วยความตื่นเต้น

 

ชายผมแดงส่ายหน้าเบาๆ

 

“ไม่ได้! ผู้หญิงคนนั้นคือบัวขาวยู่จาง นางมีพลังป้องกันมากมาย เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะทำลาย! ข้าจะจัดการนางเอง เจ้าไปหาไอ้คนที่มีแสงนั่น เขาดูไม่เหมือนกับกึ่งเทพธรรมดา เอาสองคนไปกับเจ้า ส่วนกึ่งเทพกับผู้คุมสวรรค์ พวกเจ้าที่เหลือจัดการก็แล้วกัน”

 

เขาพูดจบและไล่ตามยู่จางอย่างรวดเร็ว ส่วนชายผมขาวก็ไล่ไปทางกังต้าเหล่ย เขาพากึ่งเทพไปด้วยอีกสองคน

 

กึ่งเทพอีกสองคนไล่ล่าฉินจิวหยาง ส่วนกึ่งเทพที่เหลือนั้นพาราชามนุษย์ไปด้วยสามคน เขามุ่งหน้าไปหาซือหยู

 

ซือหยูหันไปมอง เมื่อเขาเห็นว่าคนที่ไล่ตามเป็นใครก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เป็นเรื่องดีที่กึ่งเทพชั้นแนวหน้าไม่ไล่ตามเขา ซือหยูลดความเร็วลงไปมาก

 

กึ่งเทพที่ไล่ตามเลิกคิ้ว

 

“โอ้? เจ้ายอมแพ้เร็วอย่างนี้เลยรึ?”

 

เขายิ้มเยาะ

 

“แต่ก็น่าเสียดายที่ข้าอาจจะไม่ปล่อยให้เจ้าได้ยอมแพ้!”

 

ในสายตาของเขา ซือหยูนั้นเป็นแค่ผู้คุมสวรรค์ มีโอกาสสูงที่ซือหยูจะเลือกยอมแพ้เพราะลูกไล่ตามจากกึ่งเทพและราชามนุษย์หลายคน ซือหยูหยุดยืนอยู่กับที่ เขารอทั้งสี่คนเงียบๆ เขาหันไปมองและพบว่ามีเพียงคนเดียวที่เข้ามาหาเขาโดยทิ้งอีกสามคนไว้ข้างหลัง

 

“เจ้าเด็กน้อย มากับข้า เจ้าอยากจะให้ข้าเชิญหรือจะมาเอง?”

 

กึ่งเทพบินเข้ามาหาและถามด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด