The Divine Nine Dragon Cauldron 933 – จ้าวเทวะระดับหก

Now you are reading The Divine Nine Dragon Cauldron Chapter 933 - จ้าวเทวะระดับหก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

DND.
  วิหคจ้าวเทวะระดับห้ายังคงจำได้ว่าไป่ชานเหลียงได้เปลี่ยนจ้าวเทวะระดับสี่ให้กลายเป็นกองเลือดจากโลหิตที่พ่นออกมามันกรีดร้องเสียงดังและหนีเอาชีวิตรอด
  แต่วิชาแส้ของหูหวังกุยนั้นพึ่งพาได้ไม่นาน หูหวังกุย นายหญิงซือถู ไป่ชานเหลียงและกงซุนหวูซื่อก็ตามมันทัน
  มันโดนล้อมรอบเอาไว้ส่วนทางด้านซือหยู วิหคจ้าวเทวะระดับสี่ทั้งสี่ตัวถือโอกาสยามที่ซือหยูอยู่ตัวคนเดียวและสิ้นหวังเข้าจู่โจมเขาจากทุกทิศทาง พวกมันคิดจะฉีกกระชากซือหยูให้เป็นชิ้นๆ
  แต่ซือหยูนั้นมิได้ตกใจเขาหายใจเบาๆและขยับมือเล็กน้อย ไม่นานเสียงมังกรสี่ตัวก็คำรามดังราวกับฟ้าผ่า!
  เสียงมังกรคำรามนั้นมีแรงกดดันวิญญาณมหาศาลไม่เพียงแต่คนตระกูลซือถูจะตัวสั่น เหล่าวิหคก็ตัวสั่นด้วย เหล่าฝูงวิหคตัวอื่นที่อยู่นอกค่ายกลกำลังตื่นตระหนก
  พวกมันอยากที่จะหนีพวกมันคงจะบินแตกรังไปไกลแล้วถ้าหากชายชุดม่วงไม่ได้ควบคุมพวกมันเอาไว้…
  “นั่นมันอะไรกัน?”
  “ทำไมข้าถึงได้ยินเสียงมังกรคำรามจากร่างซือหยูเซี่ยนล่ะ?”
  ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายพลังอสูรได้พวยพุ่งออกจากอกของซือหยู หัวมังกรผุดออกมาจากร่างกายของเขาและกลายเป็นกลุ่มก้อนเงาทมิฬ จากนั้นตัวที่สองสามสี่ก็ตามออกมา!
  ไม่นานมังกรอสูรทั้งสี่ก็อยู่เหนือหัวซือหยูพวกมันมีร่างขนาดใหญ่ยักษ์ มันยังดูดุร้ายน่ากลัว ความป่าเถื่อนบ้าคลั่งแผ่ออกมาจากพวกมัน
  เมื่อได้เห็นมังกรวิหคทั้งสี่ที่พุ่งเข้ามาตัวสั่นและบินหนีพร้อมกรีดร้อง! แต่มังกรอสูรทั้งสี่ก็ได้ไล่ล่าไปในทันที
  ตัวที่ใกล้ที่สุดถูกมังกรทั้งสี่ทะลวงร่างไปพร้อมกันก่อนที่จะมีโอกาสได้หนีไปไกลมันกลายเป็นกองเถ้าในพริบตา ทันทีหลังจากนั้นก็เกิดเรื่องแบบเดียวกันกับวิหคตัวที่สอง
  ไม่นานตัวที่สามก็พบชะตาไม่ต่างกันนักพวกมันกลายเป็นเถ้าถ่านและกระจัดกระจายไปตามลม ตัวสุดท้ายโชคดีที่หนีไปได้ แต่ด้วยความตกใจจากพลังที่ได้เห็นทำให้ชายหนุ่มชุดม่วงเสียการควบคุมจากมันไป มันบินหนีสูงขึ้นฟ้าไปไกล
  ทุกคนตกตะลึงเพราะหายากที่จะได้เห็นภูติระดับหกสังหารวิหคจ้าวเทวะระดับสี่ได้สามตัวด้วยมือตัวเอง! แม้จะดูเป็นวิชาโจมตีที่เรียบง่าย เขาก็แข็งแกร่งมากกว่ามนุษย์จ้าวเทวะระดับสามอยู่หลายขุม
  “นั่นมันวิชาอสูรอะไรกัน?มันแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!”
  ผู้เฒ่าตระกูลซือถูอุทานพวกเขาทั้งตกใจและหวาดกลัว
  ทีแรกพวกเขาคิดว่าซือหยูแค่โชคดีที่แสดงพลังมหาศาลออกมาได้โดยเฉพาะพรสวรรค์และการป้องกันที่มี เมื่อมาถึงตอนนี้พวกเขาจึงได้ตระหนักกว่าซือหยูสามารถสังหารจ้าวเทวะได้ด้วยตัวเอง!
  ไป่ชานเหลียงตาเป็นกระกายเขาทั้งตกใจและสับสน
  “นั่นมันวิชาอสูรใด?ทำไมมันดูเหมือนวิชาเก้ามังกรอสูรล่ะ? แต่…ตำรานั่นเป็นไปไม่ได้ที่จะบ่มเพาะไม่ใช่หรือ?”
  กงซุนหวูซื่อจ้องมองซือหยูนางรู้สึกประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆ นางมิอาจมองชายที่นางชิงชังออก เขาลึกลับเกินไป อุบายและวิชาที่ซุกซ่อนเอาไว้ก็ห่างไกลเกินกว่าที่นางปกปิดตัวเอง
  นั่นทำให้นางรู้สึกคุ้นเคยกับคนคนหนึ่งนางเคยได้รับความรู้สึกเช่นนี้กับคนอื่นมาก่อน…ชายวิถีอสูรผู้เด็ดขาด…ชายหนุ่มลึกลับที่สังหารจักรพรรดิโลหิต!
  แต่ไม่นานนางก็ส่ายหน้า
  “นังโง่!ไอ้แก่นั่นจะไปเทียบกับเขาได้ยังไง?”
  หลังจากจำกัดพวกจ้าวเทวะระดับสี่ไปแล้วซือหยูก็หันไปมองจ้าวเทวะระดับห้า
  ด้วยกำลังหลักของหูหวังกุยและกำลังเสริมจากนายหญิงซือถูไป่ชานเหลียง และกงซุนหวูซื่อ มันบาดเจ็บอย่างหนัก แต่ความดุร้ายของมันมิได้หายไป มันยังคงใช้จำนวนมากพยายามออกจากค่ายกลเพื่อหนี
  ชายหนุ่มชุดม่วงควบคุมฝูงวิหคที่อยู่นอกค่ายกลให้พยายามมาช่วยมันซึ่งก็ทำให้ไม่มีใครกล้าตามต่อ เพราะพวกเขาคงจะกลายเป็นอาหารของฝูงวิหคเป็นแน่
  แต่จากนั้นก็มีแสงสีแดงส่องฉาบร่างวิหคจ้าวเทวะระดับห้าที่กำลังจะหนีพ้นค่ายกลจากนั้นพลังมิติก็โอบล้อมร่างงของมัน
  ไม่นานมันก็ถูกเคลื่อนย้ายกลับมาที่หน้านายหญิงซือถูและคนอื่นๆนายหญิงซือถูกับคนอื่นๆตกใจในทีแรก แต่จากนั้นพวกนางก็ดีใจมาก พวกนางจู่โจมมันด้วยพลังสูงสุดก่อนที่วิหคจะได้ตอบสนอง!
  เพี๊ยะ!
  หัวของมันถูกแส้หูหวังกุยฟาดอย่างแรกจากนั้นมันก็ถูกเลือดพิษของไป่ชานเหลียงและเครื่องรางพลังจ้าวเทวะระดับห้าของกงซุนหวูซื่อ และด้วยวิชาของนายหญิงซือถู ร่างกายกับวิญญาณของมันแหลกสลายในทันที
  พริบตาเดียววิหคจ้าวเทวะระดับห้าและสี่ถูกรุมทึ้งไม่เหลือชิ้นดี! ชายหนุ่มชุดม่วงตกตะลึงเมื่อมองดูทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
  วิหคเหล่านี้ต้องจ่ายมหาศาลเพื่อที่จะฝึกมันได้!ถึงอย่างนั้นมันก็ตายหมด แม้แต่ตัวที่แข็งแกร่งสุดก็มิอาจหนีออกมาได้
  “พวกเจ้าถ้าข้าไม่ฆ่าพวกเจ้าตอนนี้ ความโกรธของข้าก็ไม่มีวันจางหาย!”
  ชายชุดม่วงโกรธแค้นถึงขีดสุด
  ซือหยูยืนมือไพล่หลังเขาพูดอย่างเรียบเฉย
  “ตอนนี้เจ้าห่วงตัวเองเสียดีกว่า”
  เมื่อพูดจบซือหยูกระพริบตา บรรยากาศแปลกๆแพร่กระจายไปยังทุกทิศทาง ไป่ชานเหลียง กงซุนหวูซื่อ นายหญิงซือถู และคนอื่นๆรู้สึกราวกับว่าอยู่ในบางสิ่งบางอย่าง ดวงวิญญาณของพวกเขาพบกับการเปลี่ยนแปลง
  มันคือบรรยากาศที่ต่อต้านสวรรค์และพื้นโลกมันคือบรรยากาศของความต่อต้านทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังนี้ พวกเขารู้สึกตัวเล็กจ้อย
  พวกเขารู้สึกราวกับว่าตนเป็นแมลงที่ได้เจอกับมนุษย์ผู้ตระการตาตรงหน้าทุกคนมองไปยังท้องนภาและพบกับเนตรที่ก่อตัวขึ้น
  มันเป็นเนตรกว้างใหญ่ที่ทอดยาวนับหมื่นลี้บนท้องฟ้ามัดบดบังแสงอาทิตย์และดวงจันทร์เช่นเดียวกับฟ้าคราม มันมองทุกสิ่งเบื้องล่างเงียบๆ
  “สวรรค์แสดงพลัง!”
  มีคนตะโกนออกมา
  ไป่ชานเหลียงกับกงซุนหวูซื่อหายใจเข้าลึกทั้งสองตะโกนอุทานพร้อมกัน
  “ฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์!”
  ทั้งสองมองไปยังซือหยูพร้อมกันและทั้งสองก็ต้องตกตะลึงอีกครั้ง
  “เขาก้าวเข้าสู่วิถีฎีกาสวรรค์และได้รับสภาวะบริสุทธิ์มา!”
  กงซุนหวูซื่อจ้องซือหยูนางรู้สึกว่าเขายิ่งเหมือนกับเด็กหนุ่มลึกลับในใจของนางกว่าเดิม
  ไป่ชานเหลียงพูดอย่างเคร่งเครียด
  “ฎีกาสวรรค์เป็นหนทางอันยากลำบากเสมอมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผู้ที่เดินบนเส้นทางฎีกาสวรรค์จะไม่มีทางได้เป็นจ้าวเทวะ แต่ยอดฝีมือที่อยู่บนวิถีฎีกาสวรรค์จะแข็งแกร่งกว่ายอดฝีมือทั่วไปอย่างมาก โดยเฉพาะระดับปัญญาที่ไม่มีใครเทียบได้!”
  นายหญิงซือถูชาไปทั้งตัวความสั่นสะเทือนที่หัวใจของนางนั้นมิอาจอธิบายได้
  “หายไปซะ!”
  ซือหยูลั่นวาจาออกมา
  หลังจากพูดแล้วเนตรขนาดมหึมาบนนภาหลับช้าๆ เมื่อลืมขึ้นอีกครั้ง วิหคร้อยตัวที่เป็นจ้าวเทวะระดับสองก็ละลายหายไปราวกับเกล็ดหิมะ
  จากนั้นฝูงวิหคหนาแน่นได้กระจัดกระจายแยกกันหนีทุกตัวที่ตายไปนั้นไม่มีโอกาสได้กรีดร้องก่อนจะหายไปด้วยซ้ำ
  ไป่ชานเหลียงคืนสติจากความตกตะลึงเขาเลียริมฝีปากด้วยความตื่นเต้น
  “ฮ่าๆๆๆศิษย์น้องข้าแสดงพลังออกมาเช่นนี้ แล้วข้าจะยังนับว่าเป็นศิษย์พี่ได้อย่างไร?”
  ฟึ่บ!
  ไป่ชานเหลียงเรียกหุ่นเชิดวิหคไม้ตัวเล็กออกมาขว้างออกไปมันบินไปยังฝูงวิหค จากนั้นวิหคตัวหนึ่งก็กวาดกรงเล็บใส่วิหคไม้ตัวเล็กจนแหลกละเอียด จากนั้นได้เกิดควันสีเหลืองหม่นกระจายมาจากหุ่นเชิดวิหค
  ไม่ว่าควันจะลอยไปทางใดวิหคทุกคนไม่ว่าจะพลังเท่าไหนก็กลายเป็นวิหคสีเหลืองและร่วงลงกับพื้น พริบตาเดียวมันก็ตายไปสามสิบสี่ตัว!
  แต่ไป่ชานเหลียงมิได้มีหุ่นเชิดวิหคแค่ตัวเดียวเขายังมีอีกนับร้อยนับพัน!
  กงซุนหวูซื่อเองก็ไม่ยอมถูกทิ้งไว้นางเริ่มเรียกเครื่องร่างแข็งแกร่งออกมาราวกับไม่สนใจราคาของมัน และเครื่องรางทั้งหมดของนางก็สามารถกำจัดวิหคทุกตัวในระยะได้ ไม่กี่ลมหายใจนางก็ใช้เครื่องรางที่มีค่าหนึ่งล้านไปแล้ว นางเหลือบมองซือหยูบ้างในบางครั้ง!
  คนจากตระกูลซือถูมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยควาามตกตะลึงมันมิใช่ฝูงวิหคที่ล่าสังหารพวกเขา แต่เป็นสัตว์ประหลาดสามตัวจากตำหนักโลหิตที่ไล่เชือดพวกมัน!
  ชายหนุ่มชุดม่วงพูดไม่ออก…พวกมันน่ากลัวมาก!
  โดยเฉพาะพลังที่แท้จริงของซือหยูการทำลายล้างของเนตรสวรรค์ได้สังหารฝูงวิหคที่เขาใช้เวลาสะสมมาเกือบร้อยปี เขาฝึกฝนพวกมันอย่างยากลำบาก! มันจะปล่อยไปเฉยๆไม่ได้! เขาจะต้องไม่ให้วิหคเหล่านั้นตายอย่างสูญเปล่า!
  ชายหนุ่มชุดม่วงหยิบขลุ่ยสีม่วงยาวออกมาเป่ามันเกิดเสียงใสที่ดังก้อง วิหคทั้งหมดที่ได้ยินเสียงบินเข้ามาล้อมเขาและบินออกไปไกล
  ไป่ชานเหลียงกับกงซุนหวูซื่อกำลังเสพติดการฆ่าทั้งสองไล่ตามไปทันทีโดยตามล่าสังหารพวกมันอย่างไม่รู้เหนื่อย หลายคนจากตระกูลซือถูก็ตามไปด้วยความตื่นเต้น
  ซือหยูรู้สึกไม่ดีเขารีบเรียก
  “นายหญิงบอกให้คนของท่านกลับมาเดี๋ยวนี้! อย่าไปหลงกลมัน”
  เขารู้ว่าค่ายกลสามารถรับมือกับศัตรูได้ชั่วคราวแต่ถ้าหากออกจากค่ายกลไปแล้ว พวกเขาจะไร้เครื่องปกป้อง ความสูญเสียต้องเกิดขึ้นแน่นอน! หลังพูดจบเสียงกรีดร้องของคนตระกูลซือถูก็ดังขึ้น!
  หลายคนกลายเป็นกองโลหิตกระจายไปทุกทิศทางราวกับว่ามีพลังอันรุนแรงป่าเถื่อนกระแทกเข้าใส่! และที่แย่ยิ่งกว่า…พลังนั้นกำลังตรงมาที่ซือหยู!.Aileen-novel.
  ไม่นานโลหิตของตระกูลซือถูก็ร่วงโรยราวกับสายวารีมีคนหนึ่งก้าวออกมา เขาสวมหมวกไผ่อยู่ในหมอกเลือดนั้น
  หลังเขาปรากฏตัวไป่ชานเหลียงและกงซุนหวูซื่อไม่มีโอกาสได้มาช่วยก่อนที่คนผู้นั้นจะพุ่งเข้าใส่ซือหยู จิตสังหารของเขาชั่วร้ายอย่างมากราวกับว่าเขามีความอาฆาตแค้นที่ยังไม่ได้สะสางกับซือหยู
  ซือหยูขนลุกเมื่อสัมผัสจิตสังหารนั้นได้จากนั้นซือหยูใช้จิตสั่งให้หูหวังกุยฟาดแส้ใส่คนที่พุ่งเข้ามา
  ถึงอย่างนั้นมันก็รับแส้กระดูกเอาไว้อย่างง่ายดายพร้อมกับดึงแส้อย่างแรงจนหูหวังกุยที่ถือแส้อยู่ถูกกระชากเข้าไป!
  ผั่วะ!
  ชายสวมหมวกไผ่ไม่หยุดแต่พุ่งตรงทะลวงร่างของหูหวังกุยหูกวังกุยร่างขาดเป็นสองท่อน แม้แต่วิญญาณก็แตกดับในพริบตา เขาตายเสียยิ่งกว่าตาย!
  ซือหยูตกใจและหยิบวงแหวนขนาดเท่าฝ่ามือออกมาทันทีมันคือยานเคลือบที่กงซุนหวูซื่อมอบให้เขา
  จากนั้นเขาก็อัดพลังชีวิตเข้าไปยานเคลือบขยายขนาดอย่างรวดเร็วและบินหนีในทันที มันขยายใหญกว่าสามสิบศอก กงล้อวงกลมนี้สามารถรับคนสามคนได้
  หลังจากซือหยูกระโดดขึ้นยานเคลือบก็ได้หมุนด้วยความเร็วสูง ภูติระดับหกไม่สามารถเทียบความเร็วได้เลย! พริบตาเดียวซือหยูก็หายไปทางขอบนภาอย่างไร้ร่องรอย
  ชายในหมวกไผ่มิได้ไล่ตามแต่ซัดมือไปทางท้องฟ้าดวงตาโกรธเกรี้ยวของเขาจ้องมองเมฆาจากนั้นจึงจ้องมองนายหญิงซือถูอย่างเยือกเย็น
  เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วไปจับตัวนางแต่จากนั้นยานเคลือบที่หนีไปก็ร่อนลงมาจากสวรรค์และพาตัวนางหนีไปด้วย
  ชายสวมหมวกไผ่ตกตะลึงเขาคิดจะตามทั้งสองไปแต่ก็ตามความเร็วของยานเคลือบไม่ทัน มันเร็วจนไม่เหลือรอยให้ตาม
  ที่หลายล้านลี้ไกลออกไปยานเคลือบได้ปรากฏที่หน้าไป่ชานเหลียงและกงซุนหวูซื่อก่อนจะลากทั้งสองมาข้างใน
  “ยานเคลือบหรือ?ทำไมเจ้าถึงต้องใช้มันล่ะ?”
  กงซุนหวูซื่อสงสัย
  นางให้ยานเคลือบกับซือหยูไว้รักษาชีวิตและนางก็รู้ว่ามันใช้ได้ครั้งเดียว…หรือว่าจะมีภัยร้ายหลังจากที่ฝูงวิหคพวกนั้นตายแล้ว?
  “พวกเจ้าถูกหลอกพวกมันใช้โอกาสโจมตีหลังจากที่พวกเจ้าออกจากค่ายกล…”
  ซือหยูอธิบาย
  ไป่ชานเหลียงพูดขึ้นมา
  “คนที่จะเข้าค่ายกลได้อย่างน้อยก็ต้องเป็นจ้าวเทวะระดับสี่ใช่ไหม?แล้ว…คนที่ทำให้เจ้าหนีก็ต้องแข็งแกร่งกว่าระดับห้า!”
  ซือหยูพยักหน้า
  “ใช่มันเป็นระดับหก! มันซ่อนตัวอยู่และจงใจไม่ปรากฏตัว มันลงมือตอนที่ไอ้ชุดม่วงเสียเปรียบ!”
  “จ้าวเทวะระดับหกรึ?”
  นายหญิงซือถูตกใจ
  นางไป่ชานเหลียง และกงซุนหวูซื่อคิดหนัก ทุกคนรู้สึกไม่ปลอดภัยเลย พวกเขาร่วมมือกันเมื่อครู่ แต่ก็ทำได้แค่สังหารจ้าวเทวะระดับห้า!
  ยิ่งไปกว่านั้นจ้าวเทวะระดับหกยังแข็งแกร่งกว่าระดับห้าถึงสิบห้าเท่า! พวกเขาย่อมทำอะไรไม่ได้ การหนีถือเป็นทางเลือกเดียว!
  “เดี๋ยวสิ!คนของข้าล่ะ! ถ้าเราหนี พวกเขาก็ไม่มีโอกาสรอด!”
  นายหญิงซือถูหน้าซีด
  ไป่ชานเหลียงพูดเบาๆ
  “นายหญิงมันสายไปแล้ว จ้าวเทวะระดับหกไม่ใช่คนที่ท่านจะต่อสู้ด้วยได้ ถ้ากลับไปตอนนี้ก็ไม่ต่างจากกระโดดลงไปตาย! จากสถานการณ์ มันคงเป็นสหายเก่าที่ชายชุดม่วงหมายถึง และท่านกลับไปก็ช่วยชีวิตใครไม่ได้ และแย่กว่า…ท่านอาจจะ…”
  เขาไม่พูดต่อเพราะนางคงรู้ว่ามันคืออะไรในตอนนี้ พวกเขามิอาจช่วยชีวิตใครได้ ความโศกเศร้าปรากฏเต็มแววตานายหญิงซือถู นางส่ายหน้าช้าๆ ไหล่ของนางสั่นระริกเมื่อสะอื้นไห้
  นางพูด
  “ข้าขอบคุณที่เจ้าหวังดีแต่สามีข้าส่งต่อตระกูลให้กับข้า ช่างไร้เหตุผลหากข้าจะมีชีวิตรอดคนเดียวแล้วยืนมองดูตระกูลถูกทำลาย”
  ความภักดีต่อสามีที่นางมีนั้นหนักแน่นและไม่เคยสั่นคลอน
  กงซุนหวูซื่อถอนหายใจและเรียกยานเคลือบอีกอันออกมา
  “หวังว่าท่านจะช่วยได้สักสองคนข้าทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้แล้ว”
  นายหญิงซือถูตกใจแต่ในดวงตานั้นแสดงความขอบคุณ
  “ขอบคุณเจ้ามาก…ข้าติดค้างเจ้ามากเหลือเกินหากชาตินี้มิอาจตอบแทน ข้าจะขอตอบแทนเจ้าในชาติหน้า”
  นายหญิงซือถูรับยานเคลือบเอาไว้และกำลังจะบินไปไกลแต่ก่อนที่นางจะได้เดินทาง ฝ่ามือหนึ่งได้กดไหล่ของนาง เสียงดังขึ้นถาม
  “ไปแล้วจะมีประโยชน์อันใด?นอกจากจะถูกสังหารแล้วยังช่วยใครไม่ได้อีก!”
  คนที่จับไหล่นางก็คือซือหยูเขาชี้ชายหนุ่มชุดม่วงที่กำลังถูกไป่ชานเหลียงไล่ตาม
  ไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาเมื่อใดแต่ถ้าหากเขาอยากจะลงมือ เขาก็ต้องรอจ้าวเทวะระดับหกคนนั้น ถ้าพวกเขาไม่หนีตอนนี้ พวกเขาก็ต้องตายอย่างแน่นอน
  ส่วนนายหญิงซือถูนางไม่มีแม้แต่เวลาจะกลับไปหาตระกูล ไม่ต้องพูดถึงการช่วยชีวิตใคร นางได้แต่ตัวสั่น น้ำตาไหลพรากไม่หยุดหย่อน เล็บมือจิกลึกในฝ่ามือ โลหิตไหลออกเป็นสาย นางถอนหายใจยาว ตระกูลซือถูกำลังจะถูกทำลายแล้ว
  แต่ซือหยูก็พูดขึ้นมา
  “มีหนทางดีกว่าที่จะช่วยตระกูลท่านอาจจะไม่มีใครสูญเสียเลยก็ได้…”
  ไม่เพียงแต่นายหญิงซือถูจะตัวแข็งทื่อแต่ไป่ชานเหลียงกับกงซุนหวูซื่อก็ขมวดคิ้ว ทุกคนคิด…ยังมีหนทางที่จะพลิกสถานการร์นี้อยู่อีกหรือ?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Divine Nine Dragon Cauldron 933 – จ้าวเทวะระดับหก

Now you are reading The Divine Nine Dragon Cauldron Chapter 933 - จ้าวเทวะระดับหก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

DND.
  วิหคจ้าวเทวะระดับห้ายังคงจำได้ว่าไป่ชานเหลียงได้เปลี่ยนจ้าวเทวะระดับสี่ให้กลายเป็นกองเลือดจากโลหิตที่พ่นออกมามันกรีดร้องเสียงดังและหนีเอาชีวิตรอด
  แต่วิชาแส้ของหูหวังกุยนั้นพึ่งพาได้ไม่นาน หูหวังกุย นายหญิงซือถู ไป่ชานเหลียงและกงซุนหวูซื่อก็ตามมันทัน
  มันโดนล้อมรอบเอาไว้ส่วนทางด้านซือหยู วิหคจ้าวเทวะระดับสี่ทั้งสี่ตัวถือโอกาสยามที่ซือหยูอยู่ตัวคนเดียวและสิ้นหวังเข้าจู่โจมเขาจากทุกทิศทาง พวกมันคิดจะฉีกกระชากซือหยูให้เป็นชิ้นๆ
  แต่ซือหยูนั้นมิได้ตกใจเขาหายใจเบาๆและขยับมือเล็กน้อย ไม่นานเสียงมังกรสี่ตัวก็คำรามดังราวกับฟ้าผ่า!
  เสียงมังกรคำรามนั้นมีแรงกดดันวิญญาณมหาศาลไม่เพียงแต่คนตระกูลซือถูจะตัวสั่น เหล่าวิหคก็ตัวสั่นด้วย เหล่าฝูงวิหคตัวอื่นที่อยู่นอกค่ายกลกำลังตื่นตระหนก
  พวกมันอยากที่จะหนีพวกมันคงจะบินแตกรังไปไกลแล้วถ้าหากชายชุดม่วงไม่ได้ควบคุมพวกมันเอาไว้…
  “นั่นมันอะไรกัน?”
  “ทำไมข้าถึงได้ยินเสียงมังกรคำรามจากร่างซือหยูเซี่ยนล่ะ?”
  ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายพลังอสูรได้พวยพุ่งออกจากอกของซือหยู หัวมังกรผุดออกมาจากร่างกายของเขาและกลายเป็นกลุ่มก้อนเงาทมิฬ จากนั้นตัวที่สองสามสี่ก็ตามออกมา!
  ไม่นานมังกรอสูรทั้งสี่ก็อยู่เหนือหัวซือหยูพวกมันมีร่างขนาดใหญ่ยักษ์ มันยังดูดุร้ายน่ากลัว ความป่าเถื่อนบ้าคลั่งแผ่ออกมาจากพวกมัน
  เมื่อได้เห็นมังกรวิหคทั้งสี่ที่พุ่งเข้ามาตัวสั่นและบินหนีพร้อมกรีดร้อง! แต่มังกรอสูรทั้งสี่ก็ได้ไล่ล่าไปในทันที
  ตัวที่ใกล้ที่สุดถูกมังกรทั้งสี่ทะลวงร่างไปพร้อมกันก่อนที่จะมีโอกาสได้หนีไปไกลมันกลายเป็นกองเถ้าในพริบตา ทันทีหลังจากนั้นก็เกิดเรื่องแบบเดียวกันกับวิหคตัวที่สอง
  ไม่นานตัวที่สามก็พบชะตาไม่ต่างกันนักพวกมันกลายเป็นเถ้าถ่านและกระจัดกระจายไปตามลม ตัวสุดท้ายโชคดีที่หนีไปได้ แต่ด้วยความตกใจจากพลังที่ได้เห็นทำให้ชายหนุ่มชุดม่วงเสียการควบคุมจากมันไป มันบินหนีสูงขึ้นฟ้าไปไกล
  ทุกคนตกตะลึงเพราะหายากที่จะได้เห็นภูติระดับหกสังหารวิหคจ้าวเทวะระดับสี่ได้สามตัวด้วยมือตัวเอง! แม้จะดูเป็นวิชาโจมตีที่เรียบง่าย เขาก็แข็งแกร่งมากกว่ามนุษย์จ้าวเทวะระดับสามอยู่หลายขุม
  “นั่นมันวิชาอสูรอะไรกัน?มันแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!”
  ผู้เฒ่าตระกูลซือถูอุทานพวกเขาทั้งตกใจและหวาดกลัว
  ทีแรกพวกเขาคิดว่าซือหยูแค่โชคดีที่แสดงพลังมหาศาลออกมาได้โดยเฉพาะพรสวรรค์และการป้องกันที่มี เมื่อมาถึงตอนนี้พวกเขาจึงได้ตระหนักกว่าซือหยูสามารถสังหารจ้าวเทวะได้ด้วยตัวเอง!
  ไป่ชานเหลียงตาเป็นกระกายเขาทั้งตกใจและสับสน
  “นั่นมันวิชาอสูรใด?ทำไมมันดูเหมือนวิชาเก้ามังกรอสูรล่ะ? แต่…ตำรานั่นเป็นไปไม่ได้ที่จะบ่มเพาะไม่ใช่หรือ?”
  กงซุนหวูซื่อจ้องมองซือหยูนางรู้สึกประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆ นางมิอาจมองชายที่นางชิงชังออก เขาลึกลับเกินไป อุบายและวิชาที่ซุกซ่อนเอาไว้ก็ห่างไกลเกินกว่าที่นางปกปิดตัวเอง
  นั่นทำให้นางรู้สึกคุ้นเคยกับคนคนหนึ่งนางเคยได้รับความรู้สึกเช่นนี้กับคนอื่นมาก่อน…ชายวิถีอสูรผู้เด็ดขาด…ชายหนุ่มลึกลับที่สังหารจักรพรรดิโลหิต!
  แต่ไม่นานนางก็ส่ายหน้า
  “นังโง่!ไอ้แก่นั่นจะไปเทียบกับเขาได้ยังไง?”
  หลังจากจำกัดพวกจ้าวเทวะระดับสี่ไปแล้วซือหยูก็หันไปมองจ้าวเทวะระดับห้า
  ด้วยกำลังหลักของหูหวังกุยและกำลังเสริมจากนายหญิงซือถูไป่ชานเหลียง และกงซุนหวูซื่อ มันบาดเจ็บอย่างหนัก แต่ความดุร้ายของมันมิได้หายไป มันยังคงใช้จำนวนมากพยายามออกจากค่ายกลเพื่อหนี
  ชายหนุ่มชุดม่วงควบคุมฝูงวิหคที่อยู่นอกค่ายกลให้พยายามมาช่วยมันซึ่งก็ทำให้ไม่มีใครกล้าตามต่อ เพราะพวกเขาคงจะกลายเป็นอาหารของฝูงวิหคเป็นแน่
  แต่จากนั้นก็มีแสงสีแดงส่องฉาบร่างวิหคจ้าวเทวะระดับห้าที่กำลังจะหนีพ้นค่ายกลจากนั้นพลังมิติก็โอบล้อมร่างงของมัน
  ไม่นานมันก็ถูกเคลื่อนย้ายกลับมาที่หน้านายหญิงซือถูและคนอื่นๆนายหญิงซือถูกับคนอื่นๆตกใจในทีแรก แต่จากนั้นพวกนางก็ดีใจมาก พวกนางจู่โจมมันด้วยพลังสูงสุดก่อนที่วิหคจะได้ตอบสนอง!
  เพี๊ยะ!
  หัวของมันถูกแส้หูหวังกุยฟาดอย่างแรกจากนั้นมันก็ถูกเลือดพิษของไป่ชานเหลียงและเครื่องรางพลังจ้าวเทวะระดับห้าของกงซุนหวูซื่อ และด้วยวิชาของนายหญิงซือถู ร่างกายกับวิญญาณของมันแหลกสลายในทันที
  พริบตาเดียววิหคจ้าวเทวะระดับห้าและสี่ถูกรุมทึ้งไม่เหลือชิ้นดี! ชายหนุ่มชุดม่วงตกตะลึงเมื่อมองดูทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
  วิหคเหล่านี้ต้องจ่ายมหาศาลเพื่อที่จะฝึกมันได้!ถึงอย่างนั้นมันก็ตายหมด แม้แต่ตัวที่แข็งแกร่งสุดก็มิอาจหนีออกมาได้
  “พวกเจ้าถ้าข้าไม่ฆ่าพวกเจ้าตอนนี้ ความโกรธของข้าก็ไม่มีวันจางหาย!”
  ชายชุดม่วงโกรธแค้นถึงขีดสุด
  ซือหยูยืนมือไพล่หลังเขาพูดอย่างเรียบเฉย
  “ตอนนี้เจ้าห่วงตัวเองเสียดีกว่า”
  เมื่อพูดจบซือหยูกระพริบตา บรรยากาศแปลกๆแพร่กระจายไปยังทุกทิศทาง ไป่ชานเหลียง กงซุนหวูซื่อ นายหญิงซือถู และคนอื่นๆรู้สึกราวกับว่าอยู่ในบางสิ่งบางอย่าง ดวงวิญญาณของพวกเขาพบกับการเปลี่ยนแปลง
  มันคือบรรยากาศที่ต่อต้านสวรรค์และพื้นโลกมันคือบรรยากาศของความต่อต้านทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังนี้ พวกเขารู้สึกตัวเล็กจ้อย
  พวกเขารู้สึกราวกับว่าตนเป็นแมลงที่ได้เจอกับมนุษย์ผู้ตระการตาตรงหน้าทุกคนมองไปยังท้องนภาและพบกับเนตรที่ก่อตัวขึ้น
  มันเป็นเนตรกว้างใหญ่ที่ทอดยาวนับหมื่นลี้บนท้องฟ้ามัดบดบังแสงอาทิตย์และดวงจันทร์เช่นเดียวกับฟ้าคราม มันมองทุกสิ่งเบื้องล่างเงียบๆ
  “สวรรค์แสดงพลัง!”
  มีคนตะโกนออกมา
  ไป่ชานเหลียงกับกงซุนหวูซื่อหายใจเข้าลึกทั้งสองตะโกนอุทานพร้อมกัน
  “ฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์!”
  ทั้งสองมองไปยังซือหยูพร้อมกันและทั้งสองก็ต้องตกตะลึงอีกครั้ง
  “เขาก้าวเข้าสู่วิถีฎีกาสวรรค์และได้รับสภาวะบริสุทธิ์มา!”
  กงซุนหวูซื่อจ้องซือหยูนางรู้สึกว่าเขายิ่งเหมือนกับเด็กหนุ่มลึกลับในใจของนางกว่าเดิม
  ไป่ชานเหลียงพูดอย่างเคร่งเครียด
  “ฎีกาสวรรค์เป็นหนทางอันยากลำบากเสมอมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผู้ที่เดินบนเส้นทางฎีกาสวรรค์จะไม่มีทางได้เป็นจ้าวเทวะ แต่ยอดฝีมือที่อยู่บนวิถีฎีกาสวรรค์จะแข็งแกร่งกว่ายอดฝีมือทั่วไปอย่างมาก โดยเฉพาะระดับปัญญาที่ไม่มีใครเทียบได้!”
  นายหญิงซือถูชาไปทั้งตัวความสั่นสะเทือนที่หัวใจของนางนั้นมิอาจอธิบายได้
  “หายไปซะ!”
  ซือหยูลั่นวาจาออกมา
  หลังจากพูดแล้วเนตรขนาดมหึมาบนนภาหลับช้าๆ เมื่อลืมขึ้นอีกครั้ง วิหคร้อยตัวที่เป็นจ้าวเทวะระดับสองก็ละลายหายไปราวกับเกล็ดหิมะ
  จากนั้นฝูงวิหคหนาแน่นได้กระจัดกระจายแยกกันหนีทุกตัวที่ตายไปนั้นไม่มีโอกาสได้กรีดร้องก่อนจะหายไปด้วยซ้ำ
  ไป่ชานเหลียงคืนสติจากความตกตะลึงเขาเลียริมฝีปากด้วยความตื่นเต้น
  “ฮ่าๆๆๆศิษย์น้องข้าแสดงพลังออกมาเช่นนี้ แล้วข้าจะยังนับว่าเป็นศิษย์พี่ได้อย่างไร?”
  ฟึ่บ!
  ไป่ชานเหลียงเรียกหุ่นเชิดวิหคไม้ตัวเล็กออกมาขว้างออกไปมันบินไปยังฝูงวิหค จากนั้นวิหคตัวหนึ่งก็กวาดกรงเล็บใส่วิหคไม้ตัวเล็กจนแหลกละเอียด จากนั้นได้เกิดควันสีเหลืองหม่นกระจายมาจากหุ่นเชิดวิหค
  ไม่ว่าควันจะลอยไปทางใดวิหคทุกคนไม่ว่าจะพลังเท่าไหนก็กลายเป็นวิหคสีเหลืองและร่วงลงกับพื้น พริบตาเดียวมันก็ตายไปสามสิบสี่ตัว!
  แต่ไป่ชานเหลียงมิได้มีหุ่นเชิดวิหคแค่ตัวเดียวเขายังมีอีกนับร้อยนับพัน!
  กงซุนหวูซื่อเองก็ไม่ยอมถูกทิ้งไว้นางเริ่มเรียกเครื่องร่างแข็งแกร่งออกมาราวกับไม่สนใจราคาของมัน และเครื่องรางทั้งหมดของนางก็สามารถกำจัดวิหคทุกตัวในระยะได้ ไม่กี่ลมหายใจนางก็ใช้เครื่องรางที่มีค่าหนึ่งล้านไปแล้ว นางเหลือบมองซือหยูบ้างในบางครั้ง!
  คนจากตระกูลซือถูมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยควาามตกตะลึงมันมิใช่ฝูงวิหคที่ล่าสังหารพวกเขา แต่เป็นสัตว์ประหลาดสามตัวจากตำหนักโลหิตที่ไล่เชือดพวกมัน!
  ชายหนุ่มชุดม่วงพูดไม่ออก…พวกมันน่ากลัวมาก!
  โดยเฉพาะพลังที่แท้จริงของซือหยูการทำลายล้างของเนตรสวรรค์ได้สังหารฝูงวิหคที่เขาใช้เวลาสะสมมาเกือบร้อยปี เขาฝึกฝนพวกมันอย่างยากลำบาก! มันจะปล่อยไปเฉยๆไม่ได้! เขาจะต้องไม่ให้วิหคเหล่านั้นตายอย่างสูญเปล่า!
  ชายหนุ่มชุดม่วงหยิบขลุ่ยสีม่วงยาวออกมาเป่ามันเกิดเสียงใสที่ดังก้อง วิหคทั้งหมดที่ได้ยินเสียงบินเข้ามาล้อมเขาและบินออกไปไกล
  ไป่ชานเหลียงกับกงซุนหวูซื่อกำลังเสพติดการฆ่าทั้งสองไล่ตามไปทันทีโดยตามล่าสังหารพวกมันอย่างไม่รู้เหนื่อย หลายคนจากตระกูลซือถูก็ตามไปด้วยความตื่นเต้น
  ซือหยูรู้สึกไม่ดีเขารีบเรียก
  “นายหญิงบอกให้คนของท่านกลับมาเดี๋ยวนี้! อย่าไปหลงกลมัน”
  เขารู้ว่าค่ายกลสามารถรับมือกับศัตรูได้ชั่วคราวแต่ถ้าหากออกจากค่ายกลไปแล้ว พวกเขาจะไร้เครื่องปกป้อง ความสูญเสียต้องเกิดขึ้นแน่นอน! หลังพูดจบเสียงกรีดร้องของคนตระกูลซือถูก็ดังขึ้น!
  หลายคนกลายเป็นกองโลหิตกระจายไปทุกทิศทางราวกับว่ามีพลังอันรุนแรงป่าเถื่อนกระแทกเข้าใส่! และที่แย่ยิ่งกว่า…พลังนั้นกำลังตรงมาที่ซือหยู!.Aileen-novel.
  ไม่นานโลหิตของตระกูลซือถูก็ร่วงโรยราวกับสายวารีมีคนหนึ่งก้าวออกมา เขาสวมหมวกไผ่อยู่ในหมอกเลือดนั้น
  หลังเขาปรากฏตัวไป่ชานเหลียงและกงซุนหวูซื่อไม่มีโอกาสได้มาช่วยก่อนที่คนผู้นั้นจะพุ่งเข้าใส่ซือหยู จิตสังหารของเขาชั่วร้ายอย่างมากราวกับว่าเขามีความอาฆาตแค้นที่ยังไม่ได้สะสางกับซือหยู
  ซือหยูขนลุกเมื่อสัมผัสจิตสังหารนั้นได้จากนั้นซือหยูใช้จิตสั่งให้หูหวังกุยฟาดแส้ใส่คนที่พุ่งเข้ามา
  ถึงอย่างนั้นมันก็รับแส้กระดูกเอาไว้อย่างง่ายดายพร้อมกับดึงแส้อย่างแรงจนหูหวังกุยที่ถือแส้อยู่ถูกกระชากเข้าไป!
  ผั่วะ!
  ชายสวมหมวกไผ่ไม่หยุดแต่พุ่งตรงทะลวงร่างของหูหวังกุยหูกวังกุยร่างขาดเป็นสองท่อน แม้แต่วิญญาณก็แตกดับในพริบตา เขาตายเสียยิ่งกว่าตาย!
  ซือหยูตกใจและหยิบวงแหวนขนาดเท่าฝ่ามือออกมาทันทีมันคือยานเคลือบที่กงซุนหวูซื่อมอบให้เขา
  จากนั้นเขาก็อัดพลังชีวิตเข้าไปยานเคลือบขยายขนาดอย่างรวดเร็วและบินหนีในทันที มันขยายใหญกว่าสามสิบศอก กงล้อวงกลมนี้สามารถรับคนสามคนได้
  หลังจากซือหยูกระโดดขึ้นยานเคลือบก็ได้หมุนด้วยความเร็วสูง ภูติระดับหกไม่สามารถเทียบความเร็วได้เลย! พริบตาเดียวซือหยูก็หายไปทางขอบนภาอย่างไร้ร่องรอย
  ชายในหมวกไผ่มิได้ไล่ตามแต่ซัดมือไปทางท้องฟ้าดวงตาโกรธเกรี้ยวของเขาจ้องมองเมฆาจากนั้นจึงจ้องมองนายหญิงซือถูอย่างเยือกเย็น
  เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วไปจับตัวนางแต่จากนั้นยานเคลือบที่หนีไปก็ร่อนลงมาจากสวรรค์และพาตัวนางหนีไปด้วย
  ชายสวมหมวกไผ่ตกตะลึงเขาคิดจะตามทั้งสองไปแต่ก็ตามความเร็วของยานเคลือบไม่ทัน มันเร็วจนไม่เหลือรอยให้ตาม
  ที่หลายล้านลี้ไกลออกไปยานเคลือบได้ปรากฏที่หน้าไป่ชานเหลียงและกงซุนหวูซื่อก่อนจะลากทั้งสองมาข้างใน
  “ยานเคลือบหรือ?ทำไมเจ้าถึงต้องใช้มันล่ะ?”
  กงซุนหวูซื่อสงสัย
  นางให้ยานเคลือบกับซือหยูไว้รักษาชีวิตและนางก็รู้ว่ามันใช้ได้ครั้งเดียว…หรือว่าจะมีภัยร้ายหลังจากที่ฝูงวิหคพวกนั้นตายแล้ว?
  “พวกเจ้าถูกหลอกพวกมันใช้โอกาสโจมตีหลังจากที่พวกเจ้าออกจากค่ายกล…”
  ซือหยูอธิบาย
  ไป่ชานเหลียงพูดขึ้นมา
  “คนที่จะเข้าค่ายกลได้อย่างน้อยก็ต้องเป็นจ้าวเทวะระดับสี่ใช่ไหม?แล้ว…คนที่ทำให้เจ้าหนีก็ต้องแข็งแกร่งกว่าระดับห้า!”
  ซือหยูพยักหน้า
  “ใช่มันเป็นระดับหก! มันซ่อนตัวอยู่และจงใจไม่ปรากฏตัว มันลงมือตอนที่ไอ้ชุดม่วงเสียเปรียบ!”
  “จ้าวเทวะระดับหกรึ?”
  นายหญิงซือถูตกใจ
  นางไป่ชานเหลียง และกงซุนหวูซื่อคิดหนัก ทุกคนรู้สึกไม่ปลอดภัยเลย พวกเขาร่วมมือกันเมื่อครู่ แต่ก็ทำได้แค่สังหารจ้าวเทวะระดับห้า!
  ยิ่งไปกว่านั้นจ้าวเทวะระดับหกยังแข็งแกร่งกว่าระดับห้าถึงสิบห้าเท่า! พวกเขาย่อมทำอะไรไม่ได้ การหนีถือเป็นทางเลือกเดียว!
  “เดี๋ยวสิ!คนของข้าล่ะ! ถ้าเราหนี พวกเขาก็ไม่มีโอกาสรอด!”
  นายหญิงซือถูหน้าซีด
  ไป่ชานเหลียงพูดเบาๆ
  “นายหญิงมันสายไปแล้ว จ้าวเทวะระดับหกไม่ใช่คนที่ท่านจะต่อสู้ด้วยได้ ถ้ากลับไปตอนนี้ก็ไม่ต่างจากกระโดดลงไปตาย! จากสถานการณ์ มันคงเป็นสหายเก่าที่ชายชุดม่วงหมายถึง และท่านกลับไปก็ช่วยชีวิตใครไม่ได้ และแย่กว่า…ท่านอาจจะ…”
  เขาไม่พูดต่อเพราะนางคงรู้ว่ามันคืออะไรในตอนนี้ พวกเขามิอาจช่วยชีวิตใครได้ ความโศกเศร้าปรากฏเต็มแววตานายหญิงซือถู นางส่ายหน้าช้าๆ ไหล่ของนางสั่นระริกเมื่อสะอื้นไห้
  นางพูด
  “ข้าขอบคุณที่เจ้าหวังดีแต่สามีข้าส่งต่อตระกูลให้กับข้า ช่างไร้เหตุผลหากข้าจะมีชีวิตรอดคนเดียวแล้วยืนมองดูตระกูลถูกทำลาย”
  ความภักดีต่อสามีที่นางมีนั้นหนักแน่นและไม่เคยสั่นคลอน
  กงซุนหวูซื่อถอนหายใจและเรียกยานเคลือบอีกอันออกมา
  “หวังว่าท่านจะช่วยได้สักสองคนข้าทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้แล้ว”
  นายหญิงซือถูตกใจแต่ในดวงตานั้นแสดงความขอบคุณ
  “ขอบคุณเจ้ามาก…ข้าติดค้างเจ้ามากเหลือเกินหากชาตินี้มิอาจตอบแทน ข้าจะขอตอบแทนเจ้าในชาติหน้า”
  นายหญิงซือถูรับยานเคลือบเอาไว้และกำลังจะบินไปไกลแต่ก่อนที่นางจะได้เดินทาง ฝ่ามือหนึ่งได้กดไหล่ของนาง เสียงดังขึ้นถาม
  “ไปแล้วจะมีประโยชน์อันใด?นอกจากจะถูกสังหารแล้วยังช่วยใครไม่ได้อีก!”
  คนที่จับไหล่นางก็คือซือหยูเขาชี้ชายหนุ่มชุดม่วงที่กำลังถูกไป่ชานเหลียงไล่ตาม
  ไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาเมื่อใดแต่ถ้าหากเขาอยากจะลงมือ เขาก็ต้องรอจ้าวเทวะระดับหกคนนั้น ถ้าพวกเขาไม่หนีตอนนี้ พวกเขาก็ต้องตายอย่างแน่นอน
  ส่วนนายหญิงซือถูนางไม่มีแม้แต่เวลาจะกลับไปหาตระกูล ไม่ต้องพูดถึงการช่วยชีวิตใคร นางได้แต่ตัวสั่น น้ำตาไหลพรากไม่หยุดหย่อน เล็บมือจิกลึกในฝ่ามือ โลหิตไหลออกเป็นสาย นางถอนหายใจยาว ตระกูลซือถูกำลังจะถูกทำลายแล้ว
  แต่ซือหยูก็พูดขึ้นมา
  “มีหนทางดีกว่าที่จะช่วยตระกูลท่านอาจจะไม่มีใครสูญเสียเลยก็ได้…”
  ไม่เพียงแต่นายหญิงซือถูจะตัวแข็งทื่อแต่ไป่ชานเหลียงกับกงซุนหวูซื่อก็ขมวดคิ้ว ทุกคนคิด…ยังมีหนทางที่จะพลิกสถานการร์นี้อยู่อีกหรือ?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Divine Nine Dragon Cauldron 933 – จ้าวเทวะระดับหก

Now you are reading The Divine Nine Dragon Cauldron Chapter 933 - จ้าวเทวะระดับหก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

DND.
  วิหคจ้าวเทวะระดับห้ายังคงจำได้ว่าไป่ชานเหลียงได้เปลี่ยนจ้าวเทวะระดับสี่ให้กลายเป็นกองเลือดจากโลหิตที่พ่นออกมามันกรีดร้องเสียงดังและหนีเอาชีวิตรอด
  แต่วิชาแส้ของหูหวังกุยนั้นพึ่งพาได้ไม่นาน หูหวังกุย นายหญิงซือถู ไป่ชานเหลียงและกงซุนหวูซื่อก็ตามมันทัน
  มันโดนล้อมรอบเอาไว้ส่วนทางด้านซือหยู วิหคจ้าวเทวะระดับสี่ทั้งสี่ตัวถือโอกาสยามที่ซือหยูอยู่ตัวคนเดียวและสิ้นหวังเข้าจู่โจมเขาจากทุกทิศทาง พวกมันคิดจะฉีกกระชากซือหยูให้เป็นชิ้นๆ
  แต่ซือหยูนั้นมิได้ตกใจเขาหายใจเบาๆและขยับมือเล็กน้อย ไม่นานเสียงมังกรสี่ตัวก็คำรามดังราวกับฟ้าผ่า!
  เสียงมังกรคำรามนั้นมีแรงกดดันวิญญาณมหาศาลไม่เพียงแต่คนตระกูลซือถูจะตัวสั่น เหล่าวิหคก็ตัวสั่นด้วย เหล่าฝูงวิหคตัวอื่นที่อยู่นอกค่ายกลกำลังตื่นตระหนก
  พวกมันอยากที่จะหนีพวกมันคงจะบินแตกรังไปไกลแล้วถ้าหากชายชุดม่วงไม่ได้ควบคุมพวกมันเอาไว้…
  “นั่นมันอะไรกัน?”
  “ทำไมข้าถึงได้ยินเสียงมังกรคำรามจากร่างซือหยูเซี่ยนล่ะ?”
  ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายพลังอสูรได้พวยพุ่งออกจากอกของซือหยู หัวมังกรผุดออกมาจากร่างกายของเขาและกลายเป็นกลุ่มก้อนเงาทมิฬ จากนั้นตัวที่สองสามสี่ก็ตามออกมา!
  ไม่นานมังกรอสูรทั้งสี่ก็อยู่เหนือหัวซือหยูพวกมันมีร่างขนาดใหญ่ยักษ์ มันยังดูดุร้ายน่ากลัว ความป่าเถื่อนบ้าคลั่งแผ่ออกมาจากพวกมัน
  เมื่อได้เห็นมังกรวิหคทั้งสี่ที่พุ่งเข้ามาตัวสั่นและบินหนีพร้อมกรีดร้อง! แต่มังกรอสูรทั้งสี่ก็ได้ไล่ล่าไปในทันที
  ตัวที่ใกล้ที่สุดถูกมังกรทั้งสี่ทะลวงร่างไปพร้อมกันก่อนที่จะมีโอกาสได้หนีไปไกลมันกลายเป็นกองเถ้าในพริบตา ทันทีหลังจากนั้นก็เกิดเรื่องแบบเดียวกันกับวิหคตัวที่สอง
  ไม่นานตัวที่สามก็พบชะตาไม่ต่างกันนักพวกมันกลายเป็นเถ้าถ่านและกระจัดกระจายไปตามลม ตัวสุดท้ายโชคดีที่หนีไปได้ แต่ด้วยความตกใจจากพลังที่ได้เห็นทำให้ชายหนุ่มชุดม่วงเสียการควบคุมจากมันไป มันบินหนีสูงขึ้นฟ้าไปไกล
  ทุกคนตกตะลึงเพราะหายากที่จะได้เห็นภูติระดับหกสังหารวิหคจ้าวเทวะระดับสี่ได้สามตัวด้วยมือตัวเอง! แม้จะดูเป็นวิชาโจมตีที่เรียบง่าย เขาก็แข็งแกร่งมากกว่ามนุษย์จ้าวเทวะระดับสามอยู่หลายขุม
  “นั่นมันวิชาอสูรอะไรกัน?มันแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!”
  ผู้เฒ่าตระกูลซือถูอุทานพวกเขาทั้งตกใจและหวาดกลัว
  ทีแรกพวกเขาคิดว่าซือหยูแค่โชคดีที่แสดงพลังมหาศาลออกมาได้โดยเฉพาะพรสวรรค์และการป้องกันที่มี เมื่อมาถึงตอนนี้พวกเขาจึงได้ตระหนักกว่าซือหยูสามารถสังหารจ้าวเทวะได้ด้วยตัวเอง!
  ไป่ชานเหลียงตาเป็นกระกายเขาทั้งตกใจและสับสน
  “นั่นมันวิชาอสูรใด?ทำไมมันดูเหมือนวิชาเก้ามังกรอสูรล่ะ? แต่…ตำรานั่นเป็นไปไม่ได้ที่จะบ่มเพาะไม่ใช่หรือ?”
  กงซุนหวูซื่อจ้องมองซือหยูนางรู้สึกประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆ นางมิอาจมองชายที่นางชิงชังออก เขาลึกลับเกินไป อุบายและวิชาที่ซุกซ่อนเอาไว้ก็ห่างไกลเกินกว่าที่นางปกปิดตัวเอง
  นั่นทำให้นางรู้สึกคุ้นเคยกับคนคนหนึ่งนางเคยได้รับความรู้สึกเช่นนี้กับคนอื่นมาก่อน…ชายวิถีอสูรผู้เด็ดขาด…ชายหนุ่มลึกลับที่สังหารจักรพรรดิโลหิต!
  แต่ไม่นานนางก็ส่ายหน้า
  “นังโง่!ไอ้แก่นั่นจะไปเทียบกับเขาได้ยังไง?”
  หลังจากจำกัดพวกจ้าวเทวะระดับสี่ไปแล้วซือหยูก็หันไปมองจ้าวเทวะระดับห้า
  ด้วยกำลังหลักของหูหวังกุยและกำลังเสริมจากนายหญิงซือถูไป่ชานเหลียง และกงซุนหวูซื่อ มันบาดเจ็บอย่างหนัก แต่ความดุร้ายของมันมิได้หายไป มันยังคงใช้จำนวนมากพยายามออกจากค่ายกลเพื่อหนี
  ชายหนุ่มชุดม่วงควบคุมฝูงวิหคที่อยู่นอกค่ายกลให้พยายามมาช่วยมันซึ่งก็ทำให้ไม่มีใครกล้าตามต่อ เพราะพวกเขาคงจะกลายเป็นอาหารของฝูงวิหคเป็นแน่
  แต่จากนั้นก็มีแสงสีแดงส่องฉาบร่างวิหคจ้าวเทวะระดับห้าที่กำลังจะหนีพ้นค่ายกลจากนั้นพลังมิติก็โอบล้อมร่างงของมัน
  ไม่นานมันก็ถูกเคลื่อนย้ายกลับมาที่หน้านายหญิงซือถูและคนอื่นๆนายหญิงซือถูกับคนอื่นๆตกใจในทีแรก แต่จากนั้นพวกนางก็ดีใจมาก พวกนางจู่โจมมันด้วยพลังสูงสุดก่อนที่วิหคจะได้ตอบสนอง!
  เพี๊ยะ!
  หัวของมันถูกแส้หูหวังกุยฟาดอย่างแรกจากนั้นมันก็ถูกเลือดพิษของไป่ชานเหลียงและเครื่องรางพลังจ้าวเทวะระดับห้าของกงซุนหวูซื่อ และด้วยวิชาของนายหญิงซือถู ร่างกายกับวิญญาณของมันแหลกสลายในทันที
  พริบตาเดียววิหคจ้าวเทวะระดับห้าและสี่ถูกรุมทึ้งไม่เหลือชิ้นดี! ชายหนุ่มชุดม่วงตกตะลึงเมื่อมองดูทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
  วิหคเหล่านี้ต้องจ่ายมหาศาลเพื่อที่จะฝึกมันได้!ถึงอย่างนั้นมันก็ตายหมด แม้แต่ตัวที่แข็งแกร่งสุดก็มิอาจหนีออกมาได้
  “พวกเจ้าถ้าข้าไม่ฆ่าพวกเจ้าตอนนี้ ความโกรธของข้าก็ไม่มีวันจางหาย!”
  ชายชุดม่วงโกรธแค้นถึงขีดสุด
  ซือหยูยืนมือไพล่หลังเขาพูดอย่างเรียบเฉย
  “ตอนนี้เจ้าห่วงตัวเองเสียดีกว่า”
  เมื่อพูดจบซือหยูกระพริบตา บรรยากาศแปลกๆแพร่กระจายไปยังทุกทิศทาง ไป่ชานเหลียง กงซุนหวูซื่อ นายหญิงซือถู และคนอื่นๆรู้สึกราวกับว่าอยู่ในบางสิ่งบางอย่าง ดวงวิญญาณของพวกเขาพบกับการเปลี่ยนแปลง
  มันคือบรรยากาศที่ต่อต้านสวรรค์และพื้นโลกมันคือบรรยากาศของความต่อต้านทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังนี้ พวกเขารู้สึกตัวเล็กจ้อย
  พวกเขารู้สึกราวกับว่าตนเป็นแมลงที่ได้เจอกับมนุษย์ผู้ตระการตาตรงหน้าทุกคนมองไปยังท้องนภาและพบกับเนตรที่ก่อตัวขึ้น
  มันเป็นเนตรกว้างใหญ่ที่ทอดยาวนับหมื่นลี้บนท้องฟ้ามัดบดบังแสงอาทิตย์และดวงจันทร์เช่นเดียวกับฟ้าคราม มันมองทุกสิ่งเบื้องล่างเงียบๆ
  “สวรรค์แสดงพลัง!”
  มีคนตะโกนออกมา
  ไป่ชานเหลียงกับกงซุนหวูซื่อหายใจเข้าลึกทั้งสองตะโกนอุทานพร้อมกัน
  “ฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์!”
  ทั้งสองมองไปยังซือหยูพร้อมกันและทั้งสองก็ต้องตกตะลึงอีกครั้ง
  “เขาก้าวเข้าสู่วิถีฎีกาสวรรค์และได้รับสภาวะบริสุทธิ์มา!”
  กงซุนหวูซื่อจ้องซือหยูนางรู้สึกว่าเขายิ่งเหมือนกับเด็กหนุ่มลึกลับในใจของนางกว่าเดิม
  ไป่ชานเหลียงพูดอย่างเคร่งเครียด
  “ฎีกาสวรรค์เป็นหนทางอันยากลำบากเสมอมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผู้ที่เดินบนเส้นทางฎีกาสวรรค์จะไม่มีทางได้เป็นจ้าวเทวะ แต่ยอดฝีมือที่อยู่บนวิถีฎีกาสวรรค์จะแข็งแกร่งกว่ายอดฝีมือทั่วไปอย่างมาก โดยเฉพาะระดับปัญญาที่ไม่มีใครเทียบได้!”
  นายหญิงซือถูชาไปทั้งตัวความสั่นสะเทือนที่หัวใจของนางนั้นมิอาจอธิบายได้
  “หายไปซะ!”
  ซือหยูลั่นวาจาออกมา
  หลังจากพูดแล้วเนตรขนาดมหึมาบนนภาหลับช้าๆ เมื่อลืมขึ้นอีกครั้ง วิหคร้อยตัวที่เป็นจ้าวเทวะระดับสองก็ละลายหายไปราวกับเกล็ดหิมะ
  จากนั้นฝูงวิหคหนาแน่นได้กระจัดกระจายแยกกันหนีทุกตัวที่ตายไปนั้นไม่มีโอกาสได้กรีดร้องก่อนจะหายไปด้วยซ้ำ
  ไป่ชานเหลียงคืนสติจากความตกตะลึงเขาเลียริมฝีปากด้วยความตื่นเต้น
  “ฮ่าๆๆๆศิษย์น้องข้าแสดงพลังออกมาเช่นนี้ แล้วข้าจะยังนับว่าเป็นศิษย์พี่ได้อย่างไร?”
  ฟึ่บ!
  ไป่ชานเหลียงเรียกหุ่นเชิดวิหคไม้ตัวเล็กออกมาขว้างออกไปมันบินไปยังฝูงวิหค จากนั้นวิหคตัวหนึ่งก็กวาดกรงเล็บใส่วิหคไม้ตัวเล็กจนแหลกละเอียด จากนั้นได้เกิดควันสีเหลืองหม่นกระจายมาจากหุ่นเชิดวิหค
  ไม่ว่าควันจะลอยไปทางใดวิหคทุกคนไม่ว่าจะพลังเท่าไหนก็กลายเป็นวิหคสีเหลืองและร่วงลงกับพื้น พริบตาเดียวมันก็ตายไปสามสิบสี่ตัว!
  แต่ไป่ชานเหลียงมิได้มีหุ่นเชิดวิหคแค่ตัวเดียวเขายังมีอีกนับร้อยนับพัน!
  กงซุนหวูซื่อเองก็ไม่ยอมถูกทิ้งไว้นางเริ่มเรียกเครื่องร่างแข็งแกร่งออกมาราวกับไม่สนใจราคาของมัน และเครื่องรางทั้งหมดของนางก็สามารถกำจัดวิหคทุกตัวในระยะได้ ไม่กี่ลมหายใจนางก็ใช้เครื่องรางที่มีค่าหนึ่งล้านไปแล้ว นางเหลือบมองซือหยูบ้างในบางครั้ง!
  คนจากตระกูลซือถูมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยควาามตกตะลึงมันมิใช่ฝูงวิหคที่ล่าสังหารพวกเขา แต่เป็นสัตว์ประหลาดสามตัวจากตำหนักโลหิตที่ไล่เชือดพวกมัน!
  ชายหนุ่มชุดม่วงพูดไม่ออก…พวกมันน่ากลัวมาก!
  โดยเฉพาะพลังที่แท้จริงของซือหยูการทำลายล้างของเนตรสวรรค์ได้สังหารฝูงวิหคที่เขาใช้เวลาสะสมมาเกือบร้อยปี เขาฝึกฝนพวกมันอย่างยากลำบาก! มันจะปล่อยไปเฉยๆไม่ได้! เขาจะต้องไม่ให้วิหคเหล่านั้นตายอย่างสูญเปล่า!
  ชายหนุ่มชุดม่วงหยิบขลุ่ยสีม่วงยาวออกมาเป่ามันเกิดเสียงใสที่ดังก้อง วิหคทั้งหมดที่ได้ยินเสียงบินเข้ามาล้อมเขาและบินออกไปไกล
  ไป่ชานเหลียงกับกงซุนหวูซื่อกำลังเสพติดการฆ่าทั้งสองไล่ตามไปทันทีโดยตามล่าสังหารพวกมันอย่างไม่รู้เหนื่อย หลายคนจากตระกูลซือถูก็ตามไปด้วยความตื่นเต้น
  ซือหยูรู้สึกไม่ดีเขารีบเรียก
  “นายหญิงบอกให้คนของท่านกลับมาเดี๋ยวนี้! อย่าไปหลงกลมัน”
  เขารู้ว่าค่ายกลสามารถรับมือกับศัตรูได้ชั่วคราวแต่ถ้าหากออกจากค่ายกลไปแล้ว พวกเขาจะไร้เครื่องปกป้อง ความสูญเสียต้องเกิดขึ้นแน่นอน! หลังพูดจบเสียงกรีดร้องของคนตระกูลซือถูก็ดังขึ้น!
  หลายคนกลายเป็นกองโลหิตกระจายไปทุกทิศทางราวกับว่ามีพลังอันรุนแรงป่าเถื่อนกระแทกเข้าใส่! และที่แย่ยิ่งกว่า…พลังนั้นกำลังตรงมาที่ซือหยู!.Aileen-novel.
  ไม่นานโลหิตของตระกูลซือถูก็ร่วงโรยราวกับสายวารีมีคนหนึ่งก้าวออกมา เขาสวมหมวกไผ่อยู่ในหมอกเลือดนั้น
  หลังเขาปรากฏตัวไป่ชานเหลียงและกงซุนหวูซื่อไม่มีโอกาสได้มาช่วยก่อนที่คนผู้นั้นจะพุ่งเข้าใส่ซือหยู จิตสังหารของเขาชั่วร้ายอย่างมากราวกับว่าเขามีความอาฆาตแค้นที่ยังไม่ได้สะสางกับซือหยู
  ซือหยูขนลุกเมื่อสัมผัสจิตสังหารนั้นได้จากนั้นซือหยูใช้จิตสั่งให้หูหวังกุยฟาดแส้ใส่คนที่พุ่งเข้ามา
  ถึงอย่างนั้นมันก็รับแส้กระดูกเอาไว้อย่างง่ายดายพร้อมกับดึงแส้อย่างแรงจนหูหวังกุยที่ถือแส้อยู่ถูกกระชากเข้าไป!
  ผั่วะ!
  ชายสวมหมวกไผ่ไม่หยุดแต่พุ่งตรงทะลวงร่างของหูหวังกุยหูกวังกุยร่างขาดเป็นสองท่อน แม้แต่วิญญาณก็แตกดับในพริบตา เขาตายเสียยิ่งกว่าตาย!
  ซือหยูตกใจและหยิบวงแหวนขนาดเท่าฝ่ามือออกมาทันทีมันคือยานเคลือบที่กงซุนหวูซื่อมอบให้เขา
  จากนั้นเขาก็อัดพลังชีวิตเข้าไปยานเคลือบขยายขนาดอย่างรวดเร็วและบินหนีในทันที มันขยายใหญกว่าสามสิบศอก กงล้อวงกลมนี้สามารถรับคนสามคนได้
  หลังจากซือหยูกระโดดขึ้นยานเคลือบก็ได้หมุนด้วยความเร็วสูง ภูติระดับหกไม่สามารถเทียบความเร็วได้เลย! พริบตาเดียวซือหยูก็หายไปทางขอบนภาอย่างไร้ร่องรอย
  ชายในหมวกไผ่มิได้ไล่ตามแต่ซัดมือไปทางท้องฟ้าดวงตาโกรธเกรี้ยวของเขาจ้องมองเมฆาจากนั้นจึงจ้องมองนายหญิงซือถูอย่างเยือกเย็น
  เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วไปจับตัวนางแต่จากนั้นยานเคลือบที่หนีไปก็ร่อนลงมาจากสวรรค์และพาตัวนางหนีไปด้วย
  ชายสวมหมวกไผ่ตกตะลึงเขาคิดจะตามทั้งสองไปแต่ก็ตามความเร็วของยานเคลือบไม่ทัน มันเร็วจนไม่เหลือรอยให้ตาม
  ที่หลายล้านลี้ไกลออกไปยานเคลือบได้ปรากฏที่หน้าไป่ชานเหลียงและกงซุนหวูซื่อก่อนจะลากทั้งสองมาข้างใน
  “ยานเคลือบหรือ?ทำไมเจ้าถึงต้องใช้มันล่ะ?”
  กงซุนหวูซื่อสงสัย
  นางให้ยานเคลือบกับซือหยูไว้รักษาชีวิตและนางก็รู้ว่ามันใช้ได้ครั้งเดียว…หรือว่าจะมีภัยร้ายหลังจากที่ฝูงวิหคพวกนั้นตายแล้ว?
  “พวกเจ้าถูกหลอกพวกมันใช้โอกาสโจมตีหลังจากที่พวกเจ้าออกจากค่ายกล…”
  ซือหยูอธิบาย
  ไป่ชานเหลียงพูดขึ้นมา
  “คนที่จะเข้าค่ายกลได้อย่างน้อยก็ต้องเป็นจ้าวเทวะระดับสี่ใช่ไหม?แล้ว…คนที่ทำให้เจ้าหนีก็ต้องแข็งแกร่งกว่าระดับห้า!”
  ซือหยูพยักหน้า
  “ใช่มันเป็นระดับหก! มันซ่อนตัวอยู่และจงใจไม่ปรากฏตัว มันลงมือตอนที่ไอ้ชุดม่วงเสียเปรียบ!”
  “จ้าวเทวะระดับหกรึ?”
  นายหญิงซือถูตกใจ
  นางไป่ชานเหลียง และกงซุนหวูซื่อคิดหนัก ทุกคนรู้สึกไม่ปลอดภัยเลย พวกเขาร่วมมือกันเมื่อครู่ แต่ก็ทำได้แค่สังหารจ้าวเทวะระดับห้า!
  ยิ่งไปกว่านั้นจ้าวเทวะระดับหกยังแข็งแกร่งกว่าระดับห้าถึงสิบห้าเท่า! พวกเขาย่อมทำอะไรไม่ได้ การหนีถือเป็นทางเลือกเดียว!
  “เดี๋ยวสิ!คนของข้าล่ะ! ถ้าเราหนี พวกเขาก็ไม่มีโอกาสรอด!”
  นายหญิงซือถูหน้าซีด
  ไป่ชานเหลียงพูดเบาๆ
  “นายหญิงมันสายไปแล้ว จ้าวเทวะระดับหกไม่ใช่คนที่ท่านจะต่อสู้ด้วยได้ ถ้ากลับไปตอนนี้ก็ไม่ต่างจากกระโดดลงไปตาย! จากสถานการณ์ มันคงเป็นสหายเก่าที่ชายชุดม่วงหมายถึง และท่านกลับไปก็ช่วยชีวิตใครไม่ได้ และแย่กว่า…ท่านอาจจะ…”
  เขาไม่พูดต่อเพราะนางคงรู้ว่ามันคืออะไรในตอนนี้ พวกเขามิอาจช่วยชีวิตใครได้ ความโศกเศร้าปรากฏเต็มแววตานายหญิงซือถู นางส่ายหน้าช้าๆ ไหล่ของนางสั่นระริกเมื่อสะอื้นไห้
  นางพูด
  “ข้าขอบคุณที่เจ้าหวังดีแต่สามีข้าส่งต่อตระกูลให้กับข้า ช่างไร้เหตุผลหากข้าจะมีชีวิตรอดคนเดียวแล้วยืนมองดูตระกูลถูกทำลาย”
  ความภักดีต่อสามีที่นางมีนั้นหนักแน่นและไม่เคยสั่นคลอน
  กงซุนหวูซื่อถอนหายใจและเรียกยานเคลือบอีกอันออกมา
  “หวังว่าท่านจะช่วยได้สักสองคนข้าทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้แล้ว”
  นายหญิงซือถูตกใจแต่ในดวงตานั้นแสดงความขอบคุณ
  “ขอบคุณเจ้ามาก…ข้าติดค้างเจ้ามากเหลือเกินหากชาตินี้มิอาจตอบแทน ข้าจะขอตอบแทนเจ้าในชาติหน้า”
  นายหญิงซือถูรับยานเคลือบเอาไว้และกำลังจะบินไปไกลแต่ก่อนที่นางจะได้เดินทาง ฝ่ามือหนึ่งได้กดไหล่ของนาง เสียงดังขึ้นถาม
  “ไปแล้วจะมีประโยชน์อันใด?นอกจากจะถูกสังหารแล้วยังช่วยใครไม่ได้อีก!”
  คนที่จับไหล่นางก็คือซือหยูเขาชี้ชายหนุ่มชุดม่วงที่กำลังถูกไป่ชานเหลียงไล่ตาม
  ไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาเมื่อใดแต่ถ้าหากเขาอยากจะลงมือ เขาก็ต้องรอจ้าวเทวะระดับหกคนนั้น ถ้าพวกเขาไม่หนีตอนนี้ พวกเขาก็ต้องตายอย่างแน่นอน
  ส่วนนายหญิงซือถูนางไม่มีแม้แต่เวลาจะกลับไปหาตระกูล ไม่ต้องพูดถึงการช่วยชีวิตใคร นางได้แต่ตัวสั่น น้ำตาไหลพรากไม่หยุดหย่อน เล็บมือจิกลึกในฝ่ามือ โลหิตไหลออกเป็นสาย นางถอนหายใจยาว ตระกูลซือถูกำลังจะถูกทำลายแล้ว
  แต่ซือหยูก็พูดขึ้นมา
  “มีหนทางดีกว่าที่จะช่วยตระกูลท่านอาจจะไม่มีใครสูญเสียเลยก็ได้…”
  ไม่เพียงแต่นายหญิงซือถูจะตัวแข็งทื่อแต่ไป่ชานเหลียงกับกงซุนหวูซื่อก็ขมวดคิ้ว ทุกคนคิด…ยังมีหนทางที่จะพลิกสถานการร์นี้อยู่อีกหรือ?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Divine Nine Dragon Cauldron 933 – จ้าวเทวะระดับหก

Now you are reading The Divine Nine Dragon Cauldron Chapter 933 - จ้าวเทวะระดับหก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

DND.
  วิหคจ้าวเทวะระดับห้ายังคงจำได้ว่าไป่ชานเหลียงได้เปลี่ยนจ้าวเทวะระดับสี่ให้กลายเป็นกองเลือดจากโลหิตที่พ่นออกมามันกรีดร้องเสียงดังและหนีเอาชีวิตรอด
  แต่วิชาแส้ของหูหวังกุยนั้นพึ่งพาได้ไม่นาน หูหวังกุย นายหญิงซือถู ไป่ชานเหลียงและกงซุนหวูซื่อก็ตามมันทัน
  มันโดนล้อมรอบเอาไว้ส่วนทางด้านซือหยู วิหคจ้าวเทวะระดับสี่ทั้งสี่ตัวถือโอกาสยามที่ซือหยูอยู่ตัวคนเดียวและสิ้นหวังเข้าจู่โจมเขาจากทุกทิศทาง พวกมันคิดจะฉีกกระชากซือหยูให้เป็นชิ้นๆ
  แต่ซือหยูนั้นมิได้ตกใจเขาหายใจเบาๆและขยับมือเล็กน้อย ไม่นานเสียงมังกรสี่ตัวก็คำรามดังราวกับฟ้าผ่า!
  เสียงมังกรคำรามนั้นมีแรงกดดันวิญญาณมหาศาลไม่เพียงแต่คนตระกูลซือถูจะตัวสั่น เหล่าวิหคก็ตัวสั่นด้วย เหล่าฝูงวิหคตัวอื่นที่อยู่นอกค่ายกลกำลังตื่นตระหนก
  พวกมันอยากที่จะหนีพวกมันคงจะบินแตกรังไปไกลแล้วถ้าหากชายชุดม่วงไม่ได้ควบคุมพวกมันเอาไว้…
  “นั่นมันอะไรกัน?”
  “ทำไมข้าถึงได้ยินเสียงมังกรคำรามจากร่างซือหยูเซี่ยนล่ะ?”
  ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายพลังอสูรได้พวยพุ่งออกจากอกของซือหยู หัวมังกรผุดออกมาจากร่างกายของเขาและกลายเป็นกลุ่มก้อนเงาทมิฬ จากนั้นตัวที่สองสามสี่ก็ตามออกมา!
  ไม่นานมังกรอสูรทั้งสี่ก็อยู่เหนือหัวซือหยูพวกมันมีร่างขนาดใหญ่ยักษ์ มันยังดูดุร้ายน่ากลัว ความป่าเถื่อนบ้าคลั่งแผ่ออกมาจากพวกมัน
  เมื่อได้เห็นมังกรวิหคทั้งสี่ที่พุ่งเข้ามาตัวสั่นและบินหนีพร้อมกรีดร้อง! แต่มังกรอสูรทั้งสี่ก็ได้ไล่ล่าไปในทันที
  ตัวที่ใกล้ที่สุดถูกมังกรทั้งสี่ทะลวงร่างไปพร้อมกันก่อนที่จะมีโอกาสได้หนีไปไกลมันกลายเป็นกองเถ้าในพริบตา ทันทีหลังจากนั้นก็เกิดเรื่องแบบเดียวกันกับวิหคตัวที่สอง
  ไม่นานตัวที่สามก็พบชะตาไม่ต่างกันนักพวกมันกลายเป็นเถ้าถ่านและกระจัดกระจายไปตามลม ตัวสุดท้ายโชคดีที่หนีไปได้ แต่ด้วยความตกใจจากพลังที่ได้เห็นทำให้ชายหนุ่มชุดม่วงเสียการควบคุมจากมันไป มันบินหนีสูงขึ้นฟ้าไปไกล
  ทุกคนตกตะลึงเพราะหายากที่จะได้เห็นภูติระดับหกสังหารวิหคจ้าวเทวะระดับสี่ได้สามตัวด้วยมือตัวเอง! แม้จะดูเป็นวิชาโจมตีที่เรียบง่าย เขาก็แข็งแกร่งมากกว่ามนุษย์จ้าวเทวะระดับสามอยู่หลายขุม
  “นั่นมันวิชาอสูรอะไรกัน?มันแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!”
  ผู้เฒ่าตระกูลซือถูอุทานพวกเขาทั้งตกใจและหวาดกลัว
  ทีแรกพวกเขาคิดว่าซือหยูแค่โชคดีที่แสดงพลังมหาศาลออกมาได้โดยเฉพาะพรสวรรค์และการป้องกันที่มี เมื่อมาถึงตอนนี้พวกเขาจึงได้ตระหนักกว่าซือหยูสามารถสังหารจ้าวเทวะได้ด้วยตัวเอง!
  ไป่ชานเหลียงตาเป็นกระกายเขาทั้งตกใจและสับสน
  “นั่นมันวิชาอสูรใด?ทำไมมันดูเหมือนวิชาเก้ามังกรอสูรล่ะ? แต่…ตำรานั่นเป็นไปไม่ได้ที่จะบ่มเพาะไม่ใช่หรือ?”
  กงซุนหวูซื่อจ้องมองซือหยูนางรู้สึกประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆ นางมิอาจมองชายที่นางชิงชังออก เขาลึกลับเกินไป อุบายและวิชาที่ซุกซ่อนเอาไว้ก็ห่างไกลเกินกว่าที่นางปกปิดตัวเอง
  นั่นทำให้นางรู้สึกคุ้นเคยกับคนคนหนึ่งนางเคยได้รับความรู้สึกเช่นนี้กับคนอื่นมาก่อน…ชายวิถีอสูรผู้เด็ดขาด…ชายหนุ่มลึกลับที่สังหารจักรพรรดิโลหิต!
  แต่ไม่นานนางก็ส่ายหน้า
  “นังโง่!ไอ้แก่นั่นจะไปเทียบกับเขาได้ยังไง?”
  หลังจากจำกัดพวกจ้าวเทวะระดับสี่ไปแล้วซือหยูก็หันไปมองจ้าวเทวะระดับห้า
  ด้วยกำลังหลักของหูหวังกุยและกำลังเสริมจากนายหญิงซือถูไป่ชานเหลียง และกงซุนหวูซื่อ มันบาดเจ็บอย่างหนัก แต่ความดุร้ายของมันมิได้หายไป มันยังคงใช้จำนวนมากพยายามออกจากค่ายกลเพื่อหนี
  ชายหนุ่มชุดม่วงควบคุมฝูงวิหคที่อยู่นอกค่ายกลให้พยายามมาช่วยมันซึ่งก็ทำให้ไม่มีใครกล้าตามต่อ เพราะพวกเขาคงจะกลายเป็นอาหารของฝูงวิหคเป็นแน่
  แต่จากนั้นก็มีแสงสีแดงส่องฉาบร่างวิหคจ้าวเทวะระดับห้าที่กำลังจะหนีพ้นค่ายกลจากนั้นพลังมิติก็โอบล้อมร่างงของมัน
  ไม่นานมันก็ถูกเคลื่อนย้ายกลับมาที่หน้านายหญิงซือถูและคนอื่นๆนายหญิงซือถูกับคนอื่นๆตกใจในทีแรก แต่จากนั้นพวกนางก็ดีใจมาก พวกนางจู่โจมมันด้วยพลังสูงสุดก่อนที่วิหคจะได้ตอบสนอง!
  เพี๊ยะ!
  หัวของมันถูกแส้หูหวังกุยฟาดอย่างแรกจากนั้นมันก็ถูกเลือดพิษของไป่ชานเหลียงและเครื่องรางพลังจ้าวเทวะระดับห้าของกงซุนหวูซื่อ และด้วยวิชาของนายหญิงซือถู ร่างกายกับวิญญาณของมันแหลกสลายในทันที
  พริบตาเดียววิหคจ้าวเทวะระดับห้าและสี่ถูกรุมทึ้งไม่เหลือชิ้นดี! ชายหนุ่มชุดม่วงตกตะลึงเมื่อมองดูทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
  วิหคเหล่านี้ต้องจ่ายมหาศาลเพื่อที่จะฝึกมันได้!ถึงอย่างนั้นมันก็ตายหมด แม้แต่ตัวที่แข็งแกร่งสุดก็มิอาจหนีออกมาได้
  “พวกเจ้าถ้าข้าไม่ฆ่าพวกเจ้าตอนนี้ ความโกรธของข้าก็ไม่มีวันจางหาย!”
  ชายชุดม่วงโกรธแค้นถึงขีดสุด
  ซือหยูยืนมือไพล่หลังเขาพูดอย่างเรียบเฉย
  “ตอนนี้เจ้าห่วงตัวเองเสียดีกว่า”
  เมื่อพูดจบซือหยูกระพริบตา บรรยากาศแปลกๆแพร่กระจายไปยังทุกทิศทาง ไป่ชานเหลียง กงซุนหวูซื่อ นายหญิงซือถู และคนอื่นๆรู้สึกราวกับว่าอยู่ในบางสิ่งบางอย่าง ดวงวิญญาณของพวกเขาพบกับการเปลี่ยนแปลง
  มันคือบรรยากาศที่ต่อต้านสวรรค์และพื้นโลกมันคือบรรยากาศของความต่อต้านทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังนี้ พวกเขารู้สึกตัวเล็กจ้อย
  พวกเขารู้สึกราวกับว่าตนเป็นแมลงที่ได้เจอกับมนุษย์ผู้ตระการตาตรงหน้าทุกคนมองไปยังท้องนภาและพบกับเนตรที่ก่อตัวขึ้น
  มันเป็นเนตรกว้างใหญ่ที่ทอดยาวนับหมื่นลี้บนท้องฟ้ามัดบดบังแสงอาทิตย์และดวงจันทร์เช่นเดียวกับฟ้าคราม มันมองทุกสิ่งเบื้องล่างเงียบๆ
  “สวรรค์แสดงพลัง!”
  มีคนตะโกนออกมา
  ไป่ชานเหลียงกับกงซุนหวูซื่อหายใจเข้าลึกทั้งสองตะโกนอุทานพร้อมกัน
  “ฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์!”
  ทั้งสองมองไปยังซือหยูพร้อมกันและทั้งสองก็ต้องตกตะลึงอีกครั้ง
  “เขาก้าวเข้าสู่วิถีฎีกาสวรรค์และได้รับสภาวะบริสุทธิ์มา!”
  กงซุนหวูซื่อจ้องซือหยูนางรู้สึกว่าเขายิ่งเหมือนกับเด็กหนุ่มลึกลับในใจของนางกว่าเดิม
  ไป่ชานเหลียงพูดอย่างเคร่งเครียด
  “ฎีกาสวรรค์เป็นหนทางอันยากลำบากเสมอมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผู้ที่เดินบนเส้นทางฎีกาสวรรค์จะไม่มีทางได้เป็นจ้าวเทวะ แต่ยอดฝีมือที่อยู่บนวิถีฎีกาสวรรค์จะแข็งแกร่งกว่ายอดฝีมือทั่วไปอย่างมาก โดยเฉพาะระดับปัญญาที่ไม่มีใครเทียบได้!”
  นายหญิงซือถูชาไปทั้งตัวความสั่นสะเทือนที่หัวใจของนางนั้นมิอาจอธิบายได้
  “หายไปซะ!”
  ซือหยูลั่นวาจาออกมา
  หลังจากพูดแล้วเนตรขนาดมหึมาบนนภาหลับช้าๆ เมื่อลืมขึ้นอีกครั้ง วิหคร้อยตัวที่เป็นจ้าวเทวะระดับสองก็ละลายหายไปราวกับเกล็ดหิมะ
  จากนั้นฝูงวิหคหนาแน่นได้กระจัดกระจายแยกกันหนีทุกตัวที่ตายไปนั้นไม่มีโอกาสได้กรีดร้องก่อนจะหายไปด้วยซ้ำ
  ไป่ชานเหลียงคืนสติจากความตกตะลึงเขาเลียริมฝีปากด้วยความตื่นเต้น
  “ฮ่าๆๆๆศิษย์น้องข้าแสดงพลังออกมาเช่นนี้ แล้วข้าจะยังนับว่าเป็นศิษย์พี่ได้อย่างไร?”
  ฟึ่บ!
  ไป่ชานเหลียงเรียกหุ่นเชิดวิหคไม้ตัวเล็กออกมาขว้างออกไปมันบินไปยังฝูงวิหค จากนั้นวิหคตัวหนึ่งก็กวาดกรงเล็บใส่วิหคไม้ตัวเล็กจนแหลกละเอียด จากนั้นได้เกิดควันสีเหลืองหม่นกระจายมาจากหุ่นเชิดวิหค
  ไม่ว่าควันจะลอยไปทางใดวิหคทุกคนไม่ว่าจะพลังเท่าไหนก็กลายเป็นวิหคสีเหลืองและร่วงลงกับพื้น พริบตาเดียวมันก็ตายไปสามสิบสี่ตัว!
  แต่ไป่ชานเหลียงมิได้มีหุ่นเชิดวิหคแค่ตัวเดียวเขายังมีอีกนับร้อยนับพัน!
  กงซุนหวูซื่อเองก็ไม่ยอมถูกทิ้งไว้นางเริ่มเรียกเครื่องร่างแข็งแกร่งออกมาราวกับไม่สนใจราคาของมัน และเครื่องรางทั้งหมดของนางก็สามารถกำจัดวิหคทุกตัวในระยะได้ ไม่กี่ลมหายใจนางก็ใช้เครื่องรางที่มีค่าหนึ่งล้านไปแล้ว นางเหลือบมองซือหยูบ้างในบางครั้ง!
  คนจากตระกูลซือถูมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยควาามตกตะลึงมันมิใช่ฝูงวิหคที่ล่าสังหารพวกเขา แต่เป็นสัตว์ประหลาดสามตัวจากตำหนักโลหิตที่ไล่เชือดพวกมัน!
  ชายหนุ่มชุดม่วงพูดไม่ออก…พวกมันน่ากลัวมาก!
  โดยเฉพาะพลังที่แท้จริงของซือหยูการทำลายล้างของเนตรสวรรค์ได้สังหารฝูงวิหคที่เขาใช้เวลาสะสมมาเกือบร้อยปี เขาฝึกฝนพวกมันอย่างยากลำบาก! มันจะปล่อยไปเฉยๆไม่ได้! เขาจะต้องไม่ให้วิหคเหล่านั้นตายอย่างสูญเปล่า!
  ชายหนุ่มชุดม่วงหยิบขลุ่ยสีม่วงยาวออกมาเป่ามันเกิดเสียงใสที่ดังก้อง วิหคทั้งหมดที่ได้ยินเสียงบินเข้ามาล้อมเขาและบินออกไปไกล
  ไป่ชานเหลียงกับกงซุนหวูซื่อกำลังเสพติดการฆ่าทั้งสองไล่ตามไปทันทีโดยตามล่าสังหารพวกมันอย่างไม่รู้เหนื่อย หลายคนจากตระกูลซือถูก็ตามไปด้วยความตื่นเต้น
  ซือหยูรู้สึกไม่ดีเขารีบเรียก
  “นายหญิงบอกให้คนของท่านกลับมาเดี๋ยวนี้! อย่าไปหลงกลมัน”
  เขารู้ว่าค่ายกลสามารถรับมือกับศัตรูได้ชั่วคราวแต่ถ้าหากออกจากค่ายกลไปแล้ว พวกเขาจะไร้เครื่องปกป้อง ความสูญเสียต้องเกิดขึ้นแน่นอน! หลังพูดจบเสียงกรีดร้องของคนตระกูลซือถูก็ดังขึ้น!
  หลายคนกลายเป็นกองโลหิตกระจายไปทุกทิศทางราวกับว่ามีพลังอันรุนแรงป่าเถื่อนกระแทกเข้าใส่! และที่แย่ยิ่งกว่า…พลังนั้นกำลังตรงมาที่ซือหยู!.Aileen-novel.
  ไม่นานโลหิตของตระกูลซือถูก็ร่วงโรยราวกับสายวารีมีคนหนึ่งก้าวออกมา เขาสวมหมวกไผ่อยู่ในหมอกเลือดนั้น
  หลังเขาปรากฏตัวไป่ชานเหลียงและกงซุนหวูซื่อไม่มีโอกาสได้มาช่วยก่อนที่คนผู้นั้นจะพุ่งเข้าใส่ซือหยู จิตสังหารของเขาชั่วร้ายอย่างมากราวกับว่าเขามีความอาฆาตแค้นที่ยังไม่ได้สะสางกับซือหยู
  ซือหยูขนลุกเมื่อสัมผัสจิตสังหารนั้นได้จากนั้นซือหยูใช้จิตสั่งให้หูหวังกุยฟาดแส้ใส่คนที่พุ่งเข้ามา
  ถึงอย่างนั้นมันก็รับแส้กระดูกเอาไว้อย่างง่ายดายพร้อมกับดึงแส้อย่างแรงจนหูหวังกุยที่ถือแส้อยู่ถูกกระชากเข้าไป!
  ผั่วะ!
  ชายสวมหมวกไผ่ไม่หยุดแต่พุ่งตรงทะลวงร่างของหูหวังกุยหูกวังกุยร่างขาดเป็นสองท่อน แม้แต่วิญญาณก็แตกดับในพริบตา เขาตายเสียยิ่งกว่าตาย!
  ซือหยูตกใจและหยิบวงแหวนขนาดเท่าฝ่ามือออกมาทันทีมันคือยานเคลือบที่กงซุนหวูซื่อมอบให้เขา
  จากนั้นเขาก็อัดพลังชีวิตเข้าไปยานเคลือบขยายขนาดอย่างรวดเร็วและบินหนีในทันที มันขยายใหญกว่าสามสิบศอก กงล้อวงกลมนี้สามารถรับคนสามคนได้
  หลังจากซือหยูกระโดดขึ้นยานเคลือบก็ได้หมุนด้วยความเร็วสูง ภูติระดับหกไม่สามารถเทียบความเร็วได้เลย! พริบตาเดียวซือหยูก็หายไปทางขอบนภาอย่างไร้ร่องรอย
  ชายในหมวกไผ่มิได้ไล่ตามแต่ซัดมือไปทางท้องฟ้าดวงตาโกรธเกรี้ยวของเขาจ้องมองเมฆาจากนั้นจึงจ้องมองนายหญิงซือถูอย่างเยือกเย็น
  เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วไปจับตัวนางแต่จากนั้นยานเคลือบที่หนีไปก็ร่อนลงมาจากสวรรค์และพาตัวนางหนีไปด้วย
  ชายสวมหมวกไผ่ตกตะลึงเขาคิดจะตามทั้งสองไปแต่ก็ตามความเร็วของยานเคลือบไม่ทัน มันเร็วจนไม่เหลือรอยให้ตาม
  ที่หลายล้านลี้ไกลออกไปยานเคลือบได้ปรากฏที่หน้าไป่ชานเหลียงและกงซุนหวูซื่อก่อนจะลากทั้งสองมาข้างใน
  “ยานเคลือบหรือ?ทำไมเจ้าถึงต้องใช้มันล่ะ?”
  กงซุนหวูซื่อสงสัย
  นางให้ยานเคลือบกับซือหยูไว้รักษาชีวิตและนางก็รู้ว่ามันใช้ได้ครั้งเดียว…หรือว่าจะมีภัยร้ายหลังจากที่ฝูงวิหคพวกนั้นตายแล้ว?
  “พวกเจ้าถูกหลอกพวกมันใช้โอกาสโจมตีหลังจากที่พวกเจ้าออกจากค่ายกล…”
  ซือหยูอธิบาย
  ไป่ชานเหลียงพูดขึ้นมา
  “คนที่จะเข้าค่ายกลได้อย่างน้อยก็ต้องเป็นจ้าวเทวะระดับสี่ใช่ไหม?แล้ว…คนที่ทำให้เจ้าหนีก็ต้องแข็งแกร่งกว่าระดับห้า!”
  ซือหยูพยักหน้า
  “ใช่มันเป็นระดับหก! มันซ่อนตัวอยู่และจงใจไม่ปรากฏตัว มันลงมือตอนที่ไอ้ชุดม่วงเสียเปรียบ!”
  “จ้าวเทวะระดับหกรึ?”
  นายหญิงซือถูตกใจ
  นางไป่ชานเหลียง และกงซุนหวูซื่อคิดหนัก ทุกคนรู้สึกไม่ปลอดภัยเลย พวกเขาร่วมมือกันเมื่อครู่ แต่ก็ทำได้แค่สังหารจ้าวเทวะระดับห้า!
  ยิ่งไปกว่านั้นจ้าวเทวะระดับหกยังแข็งแกร่งกว่าระดับห้าถึงสิบห้าเท่า! พวกเขาย่อมทำอะไรไม่ได้ การหนีถือเป็นทางเลือกเดียว!
  “เดี๋ยวสิ!คนของข้าล่ะ! ถ้าเราหนี พวกเขาก็ไม่มีโอกาสรอด!”
  นายหญิงซือถูหน้าซีด
  ไป่ชานเหลียงพูดเบาๆ
  “นายหญิงมันสายไปแล้ว จ้าวเทวะระดับหกไม่ใช่คนที่ท่านจะต่อสู้ด้วยได้ ถ้ากลับไปตอนนี้ก็ไม่ต่างจากกระโดดลงไปตาย! จากสถานการณ์ มันคงเป็นสหายเก่าที่ชายชุดม่วงหมายถึง และท่านกลับไปก็ช่วยชีวิตใครไม่ได้ และแย่กว่า…ท่านอาจจะ…”
  เขาไม่พูดต่อเพราะนางคงรู้ว่ามันคืออะไรในตอนนี้ พวกเขามิอาจช่วยชีวิตใครได้ ความโศกเศร้าปรากฏเต็มแววตานายหญิงซือถู นางส่ายหน้าช้าๆ ไหล่ของนางสั่นระริกเมื่อสะอื้นไห้
  นางพูด
  “ข้าขอบคุณที่เจ้าหวังดีแต่สามีข้าส่งต่อตระกูลให้กับข้า ช่างไร้เหตุผลหากข้าจะมีชีวิตรอดคนเดียวแล้วยืนมองดูตระกูลถูกทำลาย”
  ความภักดีต่อสามีที่นางมีนั้นหนักแน่นและไม่เคยสั่นคลอน
  กงซุนหวูซื่อถอนหายใจและเรียกยานเคลือบอีกอันออกมา
  “หวังว่าท่านจะช่วยได้สักสองคนข้าทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้แล้ว”
  นายหญิงซือถูตกใจแต่ในดวงตานั้นแสดงความขอบคุณ
  “ขอบคุณเจ้ามาก…ข้าติดค้างเจ้ามากเหลือเกินหากชาตินี้มิอาจตอบแทน ข้าจะขอตอบแทนเจ้าในชาติหน้า”
  นายหญิงซือถูรับยานเคลือบเอาไว้และกำลังจะบินไปไกลแต่ก่อนที่นางจะได้เดินทาง ฝ่ามือหนึ่งได้กดไหล่ของนาง เสียงดังขึ้นถาม
  “ไปแล้วจะมีประโยชน์อันใด?นอกจากจะถูกสังหารแล้วยังช่วยใครไม่ได้อีก!”
  คนที่จับไหล่นางก็คือซือหยูเขาชี้ชายหนุ่มชุดม่วงที่กำลังถูกไป่ชานเหลียงไล่ตาม
  ไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาเมื่อใดแต่ถ้าหากเขาอยากจะลงมือ เขาก็ต้องรอจ้าวเทวะระดับหกคนนั้น ถ้าพวกเขาไม่หนีตอนนี้ พวกเขาก็ต้องตายอย่างแน่นอน
  ส่วนนายหญิงซือถูนางไม่มีแม้แต่เวลาจะกลับไปหาตระกูล ไม่ต้องพูดถึงการช่วยชีวิตใคร นางได้แต่ตัวสั่น น้ำตาไหลพรากไม่หยุดหย่อน เล็บมือจิกลึกในฝ่ามือ โลหิตไหลออกเป็นสาย นางถอนหายใจยาว ตระกูลซือถูกำลังจะถูกทำลายแล้ว
  แต่ซือหยูก็พูดขึ้นมา
  “มีหนทางดีกว่าที่จะช่วยตระกูลท่านอาจจะไม่มีใครสูญเสียเลยก็ได้…”
  ไม่เพียงแต่นายหญิงซือถูจะตัวแข็งทื่อแต่ไป่ชานเหลียงกับกงซุนหวูซื่อก็ขมวดคิ้ว ทุกคนคิด…ยังมีหนทางที่จะพลิกสถานการร์นี้อยู่อีกหรือ?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+