The Divine Nine Dragon Cauldron 953 – ความหมายอันลึกล้ำของกฎสวรรค์

Now you are reading The Divine Nine Dragon Cauldron Chapter 953 - ความหมายอันลึกล้ำของกฎสวรรค์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

DND.
  ร่างวิญญาณบินออกมาจากกล่องหยกในชายเสื้อของซือหยูและเปลี่ยนเป็นร่างที่จับต้องได้เขาดูเหมือนกับมนุษย์ที่มีเนื้อหนังและโลหิต หากไม่ดูให้ดีก็ยากที่จะมองออกว่าเขาเป็นร่างวิญญาณ
  “ฮ่าๆๆๆ เจ้าเด็กน้อย ข้าไม่ได้เจอเจ้ามานาน! เจ้าเติบโตได้น่าตกใจนัก”
  หยุนย่าสีมองซือหยูและพยักหน้ายอมรับหยุนย่าสีเป็นบุรุษผู้มีจิตใจกว้างใหญ่ไพศาล เขาได้ก้าวข้ามผ่านวิถีแห่งพลังมาจนเทียบเท่ากับดวงดาวบนท้องฟ้า หากได้รับคำชมว่า ‘น่าตกใจ’ จากเขา การเติบโตของซือหยูก็น่าจะยอดเยี่ยมของจริง
  “ท่านอาจารย์”
  ดวงวิญญาณซือหยูกลับสู่ร่างเขาโค้งคำนับด้วยความดีใจ
  “ซือหยูผู้นี้ขอต้อนรับอาจารย์ที่ได้กลับมา”
  ตั้งแต่ที่เขามาถึงจิวโจวเป็นเรื่องยากที่เขาจะได้พบกับคนรู้จักที่จากมานาน ความรู้สึกต่าง ๆ เอ่อล้นเข้ามา
  หยุนย่าสีหัวเราะเบาๆ และพยุงซือหยูให้ยืนขึ้น เขาพูดทั้งรอยยิ้ม
  “เจ้าจะมีพิธีรีตรองอะไรกับข้านัก”
  เขาเงยหน้ามองรอบๆ และถามด้วยความแปลกใจ
  “ที่นี่ไม่ใช่เฉินหลงอีกแล้วใช่ไหม?”
  “ใช่แล้วท่านอาจารย์ที่นี่คือจิวโจว”
  ซือหยูตอบ
  หยุนย่าสีคิดถึงความหลัง
  “พวกเราอยู่ในจิวโจวแล้วสินะข้าเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน มันคือสถานที่ต้นกำเนิดเผ่าพันธุ์มนุษย์ ถ้าข้าจำไม่ผิดตัวแทนดวงดาวที่ดูแลจิวโจวแห่งนี้ก็คือแม่สาวน้อยที่ชื่อหลินหลางสินะ?”
  เขาถาม
  “ท่านอาจารย์พูดถึงเซียนมณีหรือ?”
  ซือหยูถาม
  หยุนย่าสีมอง
  “เซียนรึ?นางก้าวข้ามผ่านความเจ็บปวดไม่ได้ แล้วก็ตายไปแล้วหรือ?”
  “อายุขัยของเซียนนั้นอยู่ได้เพียงหนึ่งนิรันดร์หนึ่งนิรันดร์ก็ผ่านไปแล้ว แต่นางยังถูกเรียกว่าเซียน นั่นหมายความว่านางจะต้องตายไปแล้ว”
  ซือหยูตัวแข็งทื่อถ้าเขาจำไม่ผิด เซียนมณีคือผู้ที่มีชีวิตมานานก่อนนิรันดร์จะผ่าน นางคือเซียนที่มีอายุมากที่สุดในจิวโจว ตำนานความเชื่อได้เล่าเรื่องราวของนางผ่านตำราเก่ามากมาย แต่หยุนย่าสีนั้นกลับเรียกนางว่าเป็น ‘สาวน้อย’ นี่ไม่ได้บอกว่าหยุนย่าสีมีตัวตนมานานชั่วนิรันดร์แล้วงั้นรึ?
  “ใช่แล้วท่านอาจารย์นางตายไปก่อนแล้ว…”
  “นางทิ้งมรดกไว้ในจิวโจวเพื่อให้ผู้สืบทอดในจิวโจวได้ใช้มันเรียกว่าแดนมณี”
  หยุนย่าสีลูบเคราะ
  “นางรักษาสัญญาที่ว่าจะทิ้งมรดกไว้ให้มนุษย์จิวโจวด้วยหรือ?”
  สัญญารึ?ซือหยูถามทันที
  “ท่านอาจารย์สัญญาอะไรหรือ?”
  หยุนย่าสีมองซือหยูในแววตานั้นดูเปล่าเปลี่ยว
  “สัญญาระหว่างแม่สาวน้อยนั่นกับข้าน่ะ”
  หยุนย่าสีคงจะไม่พูดมากกว่านี้ซือหยูจึงไม่ถามต่อ
  “หากนางตายแล้วสิ่งนั้นจะต้องถูกทิ้งเอาไว้ด้วย ซือหยู เจ้าจำเป็นต้องไปแดนมณี มันรอคอยเจ้ามานานแล้ว…”
  หยุนย่าสีพูด
  ซือหยูยิ่งสงสัยเซียนมณีทิ้งบางอย่างเอาไว้และรอคอยให้ซือหยูไปรับมันหรือ? บางทีมันอาจจะเป็นสัญญาระหว่างหยุนย่าสีกับเซียนมณีก็ได้
  “ย่อมได้ท่านอาจารย์”
  ซือหยูตอบกลับ
  หยุนย่าสีเงียบไปนานก่อนที่ความเศร้าและความเหงาในดวงตาจะเลือนหายเขามองซือหยูด้วยแววตาที่สดใสอีกครั้ง
  “บอกข้ามาสิ…”
  “เกิดอะไรขึ้นบ้างตอนที่ข้าหลับ”
  ซือหยูพยักหน้าจากนั้นจึงเล่าหลายเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากกระโจมเทพสวรรค์ ตั้งแต่ที่เฉินหลงถูกรุกราน และประสบการณ์ที่เขาได้มาอยู่ในจิวโจวและแทรกซึมมาอยู่ในตำหนักโลหิต ซือหยูอธิบายรายละเอียดแทบจะทั้งหมด
  เมื่อฟังจบหยุนย่าสีดูรู้สึกผิด นั่นก็เพราะว่าความเข้มงวดของเขาต่อซือหยูได้ทำให้ซือหยูต้องพบเจอกับความยากลำบากและสิ่งกีดขวางทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว แม้ว่าซือหยูจะเล่ามันอย่างเรียบเฉย หยุนย่าสีก็สัมผัสได้ถึงอันตรายที่เขาต้องเผชิญ
  “ถ้าเจ้าเจอเทพไม้ที่กำลังจะตายโชคก็อยู่ข้างเจ้าแล้ว”
  หยุนย่าสีกล่าว
  “ข้าได้ยินเรื่องเผ่าพันธุ์ไม้ทองแดงมาก่อนครั้งหน้า ข้าจะช่วยนาง ข้าจะไม่ยอมให้ศิษย์ข้าต้องติดหนี้บุญคุณกับผู้ใด”
  ซือหยูสอบถาม
  “ท่านอาจารย์พลังของท่านเป็นอย่างไรบ้าง? ท่านฟื้นคืนจากเดิมมาเท่าใดแล้ว?”
  หยุนย่าสีหัวเราะ
  “ฮ่าๆ ตอนนี้ก็คงจะหนึ่งในพันของพลังเดิม วิญญาณข้าเสียหายเช่นนี้ ข้าจะเทียบกับในอดีตได้หรือ? พลังของข้าตอนนี้น่าจะเทียบได้กับสิบร่องรอยของที่นี่ เอ๋ ต้องสิบเอ็ดสิ”
  สิบร่องรอยนี้น่าจะต้องหมายถึงราชาเก้าเขตและจ้าวผาบั่นภูติแล้วคนที่สิบเอ็ดคือใครกัน?
  “น่าแปลกทำไมถึงมีกลิ่นเผ่าภูติผีที่นี่?”
  หยุนย่าสีพูดเบาๆ และจ้องไปยังทิศใต้ราวกับว่ามองทะลุทวีปไปได้
  ซือหยูไม่ได้ยินเสียงของเขาและเขาก็ไม่ได้สนใจถึงเรื่องคนที่สิบเอ็ดเช่นกัน เท่าที่รู้ จิวโจวนั้นกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต การปรากฏตัวของคนที่แข็งแกร่งเท่าราชาเก้าเขตนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก
  “ท่านอาจารย์ถ้าเช่นนั้น ท่านก็เทียบได้กับราชาเขตกลางสินะ?”
  ซือหยูไม่เคยลืมคำขู่ของราชาเขตกลางว่าหลังจากบ่มเพาะพลังจบเขาจะมาตามล่าซือหยูด้วยตัวเอง
  หยุนย่าสีส่ายหน้า
  “จากเศษฝุ่นทองบนตัวเจ้าคนผู้นั้นแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสิบเอ็ดคน ข้าไม่แน่ใจว่าข้าจะรับมือได้หรือไม่”
  เหล่าราชาเก้าเขตนั้นแข็งแกร่งที่สุดลำดับของราชาเป็นเรื่องลึกลับอยู่เสมอ นั่นก็เพราะราชาจะปรากฏตัวในยามที่เกี่ยวข้องกับบัลลังก์ครองจิวโจวเท่านั้น ในเวลาอื่น ราชาเก้าเขตจะมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุข เมื่อได้รู้ว่าราชาเขตกลางแข็งแกร่งที่สุด ความรู้สึกอันตรายจึงได้ปกคลุมหัวใจซือหยู
  “เจ้าไม่ต้องกังวลนักกลิ่นของคนผู้นั้นแปลกประหลาด มันจะต้องมีปัญหากับการบ่มเพาะพลังอยู่ ตอนนี้มันจะไม่เป็นปัญหากับเจ้า…”
  หยุนย่าสีพูด
  “เข้าใจแล้วอาจารย์ข้าจะหาวิธีเพิ่มพลังของข้า”
  ซือหยูพูดอย่างจริงจัง
  หยุนย่าสีพยักหน้าเบาๆ
  “เจ้าเข้าใจภาษาที่ข้าถ่ายทอดให้มากเท่าใดแล้ว?”
  “ข้าเชี่ยวชาญภาษาไม้ในขั้นสูงสุดภาษาอสูรหกในสิบส่วน ส่วนภาษามังกร ภาษาแมลง ภาษาภูติผิ ข้าเข้าใจมันราวสองถึงสามส่วน”
  หยุนย่าสีตกใจ
  “เชี่ยวชาญภาษาไม้ขั้นสูงสุดรึ?แค่ไม่กี่ปีเท่านั้นเอง”
  เขารีบประเมินซือหยูด้ยความตกใจซือหยูสามารถตอบได้อย่างไม่มีข้อบกพร่อง แม้ว่าจะเป็นภาษาไม้โบราณที่ไม่มีใครกล่าวถึงนักก็ไม่ใช่เรื่องท้าทาย Aileen-novel
  “หึหึข้าเป็นอัจฉริยะมากนักที่อ้างว่าตัวเองเชี่ยวชาญภาษา แต่ถ้าเทียบกับเจ้า พวกมันก็แค่คนธรรมดา!”
  หยุนย่าสีตกใจมากเขามองซือหยูหัวจรดเท้าราวกับจะมองทะลุร่างไป
  “ถ้าจะเข้าใจภาษาไม้ที่ข้าถ่ายทอดคนที่ไร้ความสามารถต้องใช้เวลาร้อยปี คนธรรมดาห้าสิบปี แต่เจ้าใช้เวลาแค่สองปี…”
  หยุนย่าสีจ้องมองซือหยูราวกับได้เจอสบัติหายาก
  ซือหยูเขินอายเขามาถึงขั้นนี้ได้ก็เพราะพลังเร่งเวลาของหม้อเก้ามังกร ถ้าหากคำนวนเวลาจริง เขาใช้เวลาไปประมาณสี่สิบถึงห้าสิบปี พรสวรรค์ของเขาก็แค่เท่าคนธรรมดาเท่านั้น
  “ท่านอาจารย์ชมข้ามากไปแล้ว”
  ซือหยูพูดอย่างอ่อนน้อม
  หยุนย่าสีเกิดความคิดเขาคิดอยู่นานก่อนจะพูด
  “ถ้าอย่างนั้นก็ถึงเวลาที่จะถ่ายทอดอีกตำรากับเจ้าทีแรกข้าคิดว่าเจ้าจะใช้เวลาหนึ่งอายุขัยในการศึกษาภาษาที่ข้าส่งต่อให้ ถ้าหากพรสวรรค์เจ้าเสียเปล่าเช่นนั้นก็คงจะน่าเสียดาย”
  หยุนย่าสีดึงเอาก้อนโปร่งใสออกมาจากหน้าผากมันได้ก่อร่างเป็นตำราลอยไปที่มือซือหยู
  มีข้อความซับซ้อนในตำรามันคือข้อความที่เขาไม่คุ้น ไม่เพียงเท่านั้น ทุกคำยังมีความหมายที่จับต้องไม่ได้ ซือหยูรู้สึกเหมือนได้ก้าวเข้าสู่วิถีอันยิ่งใหญ่แห่งจักรวาลเมื่อเปิดดูด้านในคร่าว ๆ เขาจมดิ่งอยู่ในความสงสัยไม่รู้จบ ยุคสมับโบราณ จักรวาล หมู่ดาว ทุกสิ่งมีชีวิต ชีวิต ความตาย การเกิดใหม่ โชคชะตา…ความหมายอันลึกซึ้งของฟ้าดินนับไม่ถ้วนแสดงอยู่ในจิตใจของซือหยู เขาราวกับได้มองต้นกำเนิดของโลก การเกิดของจักรวาลกว้างใหญ่ การขยายเผ่าพันธุ์ของสิ่งต่าง ๆ ชีวิต ความตาย ความลึกลับของการเกิดใหม่ และกฎแห่งโชคชะตา
  เขายังเห็นชายหนุ่มนั่งเล่นหมากรุกเขาถูกรายล้อมด้วยโลกและจักรวาล การสรรสร้าง ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างหมุนวนรอบกายเขา เขาเป็นตรงกลางของทุกสรรพสิ่ง ซือหยูจ้องมองชายหนุ่มและรู้สึกสับสน…ใครกัน ทำไมข้าถึงเห็นเขาล่ะ?
  ในตอนนั้นเองชายหนุ่มหันมองกลับมา การมองทำให้ร่างกายของซือหยูโปร่งใส ราวกับว่าเขามองได้ทะลุปรุโปร่งและไร้ทางหนี แม้แต่หม้อเก้ามังกรในดวงวิญญาณก็ถูกมองเห็น ซือหยูรู้สึกว่าวิญญาณกำลังแหลกสลายจากสายตาของคนผู้นี้
  “ซือหยูตื่น!”
  ในตอนนั้นเสียงห้วนดังดังราวกับสายฟ้าที่หู ซือหยูตัวสั่น หมู่ดาวและจักรวาลทั้งหมดที่ได้เห็นสลายไปทั้งอย่างนั้น ความเป็นจริงกลับมาตรงหน้าอีกครั้ง
  หยุนย่าสีถามอย่างเคร่งเครียด
  “เจ้าเห็นอะไร?”
  ซือหยูพูด‘ทุกอย่าง’ จากตำรา เขาเห็นทุกสิ่งที่เคยมีอยู่ในจักรวาล ราวกับว่าตำรานี้เก็บรวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้
  หยุนย่าสีพยักหน้าเบาๆ เขายิ้มอย่างภาคภูมิใจ แต่คำพูดต่อมาของซือหยูได้ทำให้เขาเลิกคิ้ว
  “กับชายนั่งเล่นหมากรุก…”
  รอยยิ้มหยุนย่าสีเลือนลับความเยือกเย็นราวน้ำแข็งแสดงผ่านใบหน้า
  “เจ้าเห็นเขารึ?”
  ซือหยูพยักหน้าทั้งๆ ที่ยังคงงุนงง
  “ท่านอาจารย์เขาเป็นใคร ทำไมโลกกับจักรวาลถึงหมุนวนรอบเขาเล่า?”
  ความรู้สึกแสดงผ่านดวงตาหยุนย่าสีดวงตาเขาเปล่งประกายอย่างที่ซือหยูไม่เคยเจอมาก่อน เขาเงียบไปนานกว่าจะตอบ
  “เมื่อถึงเวลาเจ้าจะได้รู้…”
  ในที่สุดหยุนย่าสีก็พูดขึ้นมา
  ซือหยูพยายามจะนึกถึงรูปลักษณ์ของชายหนุ่มแต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าใดก็ล้มเหลว ราวกับว่ามีพลังไร้ลักษณ์ของโลกกำลังลบความทรงจำส่วนนี้ไป
  “เจ้าเรียกตำรานี้ได้ว่า‘ตำราสวรรค์แรก’ มันบอกว่าระหว่างจักรวาลถือกำเนิด สิ่งแรกที่ถูกสร้างคืออักษรหมื่นตัว…”
  “ภาษาของทุกเผ่าพันธุ์บนโลกได้มีต้นแบบมาจากหนึ่งคำในตำรานี้”
  ภาษาตั้งแต่โลกถือกำเนิดรึ?ซือหยูนิ่งแทบจะเป็นหิน
  มนุษย์เลือกหนึ่งอักษรภาษามนุษย์จึงเกิดขึ้น อสูรเลือกหนึ่งอักษร ภาษาอสูรถึงเกิดขึ้น เผ่าไม้เลือกหนึ่งอักษร ภาษาไม้จึงถือกำเนิดขึ้น
  หยุนย่าสีกล่าว
  “จะบอกก็ได้ว่าถ้าเจ้าเข้าใจทุกคำใน‘ตำราสวรรค์แรก’ เจ้าจะบรรลุเรื่องกฎสวรรค์อันลึกล้ำทั้งแปด ชะตา การเกิดใหม่ ความตาย ชีวิต เวลา มิติ วิญญาณ ลิขิต”
  นี่เป็นครั้งแรกที่ซือหยูได้ยินถึงเรื่องความหมายของกฎสวรรค์
  “แปดความหมายอันลึกล้ำหากเข้าใจสักอย่างเดียวก็ทำให้เป็นยอดในทุกเผ่าพันธุ์ ได้อยู่เหนือทุกชีวิต”
  ซือหยูเก็บมาคิด
  “แล้วถ้าเข้าใจทั้งแปดอย่างเล่า?”
  “ทั้งแปดหรือ…”
  หยุนย่าสีส่ายหน้า
  “มีผู้เดียวเท่านั้นที่เข้าใจทั้งแปดความหมายอันลึกล้ำตั้งแต่จักรวาลถือกำเนิดขึ้นมาคนผู้นั้นคือคนที่เจ้าเห็น ชายที่เล่นหมากรุกคนนั้น เขามิใช่สิ่งมีชีวิตอีกแล้ว เขาคือตัวตนของการกำเนิดกฎสวรรค์…”
  หยุนย่าสีกล่าว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Divine Nine Dragon Cauldron 953 – ความหมายอันลึกล้ำของกฎสวรรค์

Now you are reading The Divine Nine Dragon Cauldron Chapter 953 - ความหมายอันลึกล้ำของกฎสวรรค์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

DND.
  ร่างวิญญาณบินออกมาจากกล่องหยกในชายเสื้อของซือหยูและเปลี่ยนเป็นร่างที่จับต้องได้เขาดูเหมือนกับมนุษย์ที่มีเนื้อหนังและโลหิต หากไม่ดูให้ดีก็ยากที่จะมองออกว่าเขาเป็นร่างวิญญาณ
  “ฮ่าๆๆๆ เจ้าเด็กน้อย ข้าไม่ได้เจอเจ้ามานาน! เจ้าเติบโตได้น่าตกใจนัก”
  หยุนย่าสีมองซือหยูและพยักหน้ายอมรับหยุนย่าสีเป็นบุรุษผู้มีจิตใจกว้างใหญ่ไพศาล เขาได้ก้าวข้ามผ่านวิถีแห่งพลังมาจนเทียบเท่ากับดวงดาวบนท้องฟ้า หากได้รับคำชมว่า ‘น่าตกใจ’ จากเขา การเติบโตของซือหยูก็น่าจะยอดเยี่ยมของจริง
  “ท่านอาจารย์”
  ดวงวิญญาณซือหยูกลับสู่ร่างเขาโค้งคำนับด้วยความดีใจ
  “ซือหยูผู้นี้ขอต้อนรับอาจารย์ที่ได้กลับมา”
  ตั้งแต่ที่เขามาถึงจิวโจวเป็นเรื่องยากที่เขาจะได้พบกับคนรู้จักที่จากมานาน ความรู้สึกต่าง ๆ เอ่อล้นเข้ามา
  หยุนย่าสีหัวเราะเบาๆ และพยุงซือหยูให้ยืนขึ้น เขาพูดทั้งรอยยิ้ม
  “เจ้าจะมีพิธีรีตรองอะไรกับข้านัก”
  เขาเงยหน้ามองรอบๆ และถามด้วยความแปลกใจ
  “ที่นี่ไม่ใช่เฉินหลงอีกแล้วใช่ไหม?”
  “ใช่แล้วท่านอาจารย์ที่นี่คือจิวโจว”
  ซือหยูตอบ
  หยุนย่าสีคิดถึงความหลัง
  “พวกเราอยู่ในจิวโจวแล้วสินะข้าเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน มันคือสถานที่ต้นกำเนิดเผ่าพันธุ์มนุษย์ ถ้าข้าจำไม่ผิดตัวแทนดวงดาวที่ดูแลจิวโจวแห่งนี้ก็คือแม่สาวน้อยที่ชื่อหลินหลางสินะ?”
  เขาถาม
  “ท่านอาจารย์พูดถึงเซียนมณีหรือ?”
  ซือหยูถาม
  หยุนย่าสีมอง
  “เซียนรึ?นางก้าวข้ามผ่านความเจ็บปวดไม่ได้ แล้วก็ตายไปแล้วหรือ?”
  “อายุขัยของเซียนนั้นอยู่ได้เพียงหนึ่งนิรันดร์หนึ่งนิรันดร์ก็ผ่านไปแล้ว แต่นางยังถูกเรียกว่าเซียน นั่นหมายความว่านางจะต้องตายไปแล้ว”
  ซือหยูตัวแข็งทื่อถ้าเขาจำไม่ผิด เซียนมณีคือผู้ที่มีชีวิตมานานก่อนนิรันดร์จะผ่าน นางคือเซียนที่มีอายุมากที่สุดในจิวโจว ตำนานความเชื่อได้เล่าเรื่องราวของนางผ่านตำราเก่ามากมาย แต่หยุนย่าสีนั้นกลับเรียกนางว่าเป็น ‘สาวน้อย’ นี่ไม่ได้บอกว่าหยุนย่าสีมีตัวตนมานานชั่วนิรันดร์แล้วงั้นรึ?
  “ใช่แล้วท่านอาจารย์นางตายไปก่อนแล้ว…”
  “นางทิ้งมรดกไว้ในจิวโจวเพื่อให้ผู้สืบทอดในจิวโจวได้ใช้มันเรียกว่าแดนมณี”
  หยุนย่าสีลูบเคราะ
  “นางรักษาสัญญาที่ว่าจะทิ้งมรดกไว้ให้มนุษย์จิวโจวด้วยหรือ?”
  สัญญารึ?ซือหยูถามทันที
  “ท่านอาจารย์สัญญาอะไรหรือ?”
  หยุนย่าสีมองซือหยูในแววตานั้นดูเปล่าเปลี่ยว
  “สัญญาระหว่างแม่สาวน้อยนั่นกับข้าน่ะ”
  หยุนย่าสีคงจะไม่พูดมากกว่านี้ซือหยูจึงไม่ถามต่อ
  “หากนางตายแล้วสิ่งนั้นจะต้องถูกทิ้งเอาไว้ด้วย ซือหยู เจ้าจำเป็นต้องไปแดนมณี มันรอคอยเจ้ามานานแล้ว…”
  หยุนย่าสีพูด
  ซือหยูยิ่งสงสัยเซียนมณีทิ้งบางอย่างเอาไว้และรอคอยให้ซือหยูไปรับมันหรือ? บางทีมันอาจจะเป็นสัญญาระหว่างหยุนย่าสีกับเซียนมณีก็ได้
  “ย่อมได้ท่านอาจารย์”
  ซือหยูตอบกลับ
  หยุนย่าสีเงียบไปนานก่อนที่ความเศร้าและความเหงาในดวงตาจะเลือนหายเขามองซือหยูด้วยแววตาที่สดใสอีกครั้ง
  “บอกข้ามาสิ…”
  “เกิดอะไรขึ้นบ้างตอนที่ข้าหลับ”
  ซือหยูพยักหน้าจากนั้นจึงเล่าหลายเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากกระโจมเทพสวรรค์ ตั้งแต่ที่เฉินหลงถูกรุกราน และประสบการณ์ที่เขาได้มาอยู่ในจิวโจวและแทรกซึมมาอยู่ในตำหนักโลหิต ซือหยูอธิบายรายละเอียดแทบจะทั้งหมด
  เมื่อฟังจบหยุนย่าสีดูรู้สึกผิด นั่นก็เพราะว่าความเข้มงวดของเขาต่อซือหยูได้ทำให้ซือหยูต้องพบเจอกับความยากลำบากและสิ่งกีดขวางทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว แม้ว่าซือหยูจะเล่ามันอย่างเรียบเฉย หยุนย่าสีก็สัมผัสได้ถึงอันตรายที่เขาต้องเผชิญ
  “ถ้าเจ้าเจอเทพไม้ที่กำลังจะตายโชคก็อยู่ข้างเจ้าแล้ว”
  หยุนย่าสีกล่าว
  “ข้าได้ยินเรื่องเผ่าพันธุ์ไม้ทองแดงมาก่อนครั้งหน้า ข้าจะช่วยนาง ข้าจะไม่ยอมให้ศิษย์ข้าต้องติดหนี้บุญคุณกับผู้ใด”
  ซือหยูสอบถาม
  “ท่านอาจารย์พลังของท่านเป็นอย่างไรบ้าง? ท่านฟื้นคืนจากเดิมมาเท่าใดแล้ว?”
  หยุนย่าสีหัวเราะ
  “ฮ่าๆ ตอนนี้ก็คงจะหนึ่งในพันของพลังเดิม วิญญาณข้าเสียหายเช่นนี้ ข้าจะเทียบกับในอดีตได้หรือ? พลังของข้าตอนนี้น่าจะเทียบได้กับสิบร่องรอยของที่นี่ เอ๋ ต้องสิบเอ็ดสิ”
  สิบร่องรอยนี้น่าจะต้องหมายถึงราชาเก้าเขตและจ้าวผาบั่นภูติแล้วคนที่สิบเอ็ดคือใครกัน?
  “น่าแปลกทำไมถึงมีกลิ่นเผ่าภูติผีที่นี่?”
  หยุนย่าสีพูดเบาๆ และจ้องไปยังทิศใต้ราวกับว่ามองทะลุทวีปไปได้
  ซือหยูไม่ได้ยินเสียงของเขาและเขาก็ไม่ได้สนใจถึงเรื่องคนที่สิบเอ็ดเช่นกัน เท่าที่รู้ จิวโจวนั้นกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต การปรากฏตัวของคนที่แข็งแกร่งเท่าราชาเก้าเขตนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก
  “ท่านอาจารย์ถ้าเช่นนั้น ท่านก็เทียบได้กับราชาเขตกลางสินะ?”
  ซือหยูไม่เคยลืมคำขู่ของราชาเขตกลางว่าหลังจากบ่มเพาะพลังจบเขาจะมาตามล่าซือหยูด้วยตัวเอง
  หยุนย่าสีส่ายหน้า
  “จากเศษฝุ่นทองบนตัวเจ้าคนผู้นั้นแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสิบเอ็ดคน ข้าไม่แน่ใจว่าข้าจะรับมือได้หรือไม่”
  เหล่าราชาเก้าเขตนั้นแข็งแกร่งที่สุดลำดับของราชาเป็นเรื่องลึกลับอยู่เสมอ นั่นก็เพราะราชาจะปรากฏตัวในยามที่เกี่ยวข้องกับบัลลังก์ครองจิวโจวเท่านั้น ในเวลาอื่น ราชาเก้าเขตจะมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุข เมื่อได้รู้ว่าราชาเขตกลางแข็งแกร่งที่สุด ความรู้สึกอันตรายจึงได้ปกคลุมหัวใจซือหยู
  “เจ้าไม่ต้องกังวลนักกลิ่นของคนผู้นั้นแปลกประหลาด มันจะต้องมีปัญหากับการบ่มเพาะพลังอยู่ ตอนนี้มันจะไม่เป็นปัญหากับเจ้า…”
  หยุนย่าสีพูด
  “เข้าใจแล้วอาจารย์ข้าจะหาวิธีเพิ่มพลังของข้า”
  ซือหยูพูดอย่างจริงจัง
  หยุนย่าสีพยักหน้าเบาๆ
  “เจ้าเข้าใจภาษาที่ข้าถ่ายทอดให้มากเท่าใดแล้ว?”
  “ข้าเชี่ยวชาญภาษาไม้ในขั้นสูงสุดภาษาอสูรหกในสิบส่วน ส่วนภาษามังกร ภาษาแมลง ภาษาภูติผิ ข้าเข้าใจมันราวสองถึงสามส่วน”
  หยุนย่าสีตกใจ
  “เชี่ยวชาญภาษาไม้ขั้นสูงสุดรึ?แค่ไม่กี่ปีเท่านั้นเอง”
  เขารีบประเมินซือหยูด้ยความตกใจซือหยูสามารถตอบได้อย่างไม่มีข้อบกพร่อง แม้ว่าจะเป็นภาษาไม้โบราณที่ไม่มีใครกล่าวถึงนักก็ไม่ใช่เรื่องท้าทาย Aileen-novel
  “หึหึข้าเป็นอัจฉริยะมากนักที่อ้างว่าตัวเองเชี่ยวชาญภาษา แต่ถ้าเทียบกับเจ้า พวกมันก็แค่คนธรรมดา!”
  หยุนย่าสีตกใจมากเขามองซือหยูหัวจรดเท้าราวกับจะมองทะลุร่างไป
  “ถ้าจะเข้าใจภาษาไม้ที่ข้าถ่ายทอดคนที่ไร้ความสามารถต้องใช้เวลาร้อยปี คนธรรมดาห้าสิบปี แต่เจ้าใช้เวลาแค่สองปี…”
  หยุนย่าสีจ้องมองซือหยูราวกับได้เจอสบัติหายาก
  ซือหยูเขินอายเขามาถึงขั้นนี้ได้ก็เพราะพลังเร่งเวลาของหม้อเก้ามังกร ถ้าหากคำนวนเวลาจริง เขาใช้เวลาไปประมาณสี่สิบถึงห้าสิบปี พรสวรรค์ของเขาก็แค่เท่าคนธรรมดาเท่านั้น
  “ท่านอาจารย์ชมข้ามากไปแล้ว”
  ซือหยูพูดอย่างอ่อนน้อม
  หยุนย่าสีเกิดความคิดเขาคิดอยู่นานก่อนจะพูด
  “ถ้าอย่างนั้นก็ถึงเวลาที่จะถ่ายทอดอีกตำรากับเจ้าทีแรกข้าคิดว่าเจ้าจะใช้เวลาหนึ่งอายุขัยในการศึกษาภาษาที่ข้าส่งต่อให้ ถ้าหากพรสวรรค์เจ้าเสียเปล่าเช่นนั้นก็คงจะน่าเสียดาย”
  หยุนย่าสีดึงเอาก้อนโปร่งใสออกมาจากหน้าผากมันได้ก่อร่างเป็นตำราลอยไปที่มือซือหยู
  มีข้อความซับซ้อนในตำรามันคือข้อความที่เขาไม่คุ้น ไม่เพียงเท่านั้น ทุกคำยังมีความหมายที่จับต้องไม่ได้ ซือหยูรู้สึกเหมือนได้ก้าวเข้าสู่วิถีอันยิ่งใหญ่แห่งจักรวาลเมื่อเปิดดูด้านในคร่าว ๆ เขาจมดิ่งอยู่ในความสงสัยไม่รู้จบ ยุคสมับโบราณ จักรวาล หมู่ดาว ทุกสิ่งมีชีวิต ชีวิต ความตาย การเกิดใหม่ โชคชะตา…ความหมายอันลึกซึ้งของฟ้าดินนับไม่ถ้วนแสดงอยู่ในจิตใจของซือหยู เขาราวกับได้มองต้นกำเนิดของโลก การเกิดของจักรวาลกว้างใหญ่ การขยายเผ่าพันธุ์ของสิ่งต่าง ๆ ชีวิต ความตาย ความลึกลับของการเกิดใหม่ และกฎแห่งโชคชะตา
  เขายังเห็นชายหนุ่มนั่งเล่นหมากรุกเขาถูกรายล้อมด้วยโลกและจักรวาล การสรรสร้าง ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างหมุนวนรอบกายเขา เขาเป็นตรงกลางของทุกสรรพสิ่ง ซือหยูจ้องมองชายหนุ่มและรู้สึกสับสน…ใครกัน ทำไมข้าถึงเห็นเขาล่ะ?
  ในตอนนั้นเองชายหนุ่มหันมองกลับมา การมองทำให้ร่างกายของซือหยูโปร่งใส ราวกับว่าเขามองได้ทะลุปรุโปร่งและไร้ทางหนี แม้แต่หม้อเก้ามังกรในดวงวิญญาณก็ถูกมองเห็น ซือหยูรู้สึกว่าวิญญาณกำลังแหลกสลายจากสายตาของคนผู้นี้
  “ซือหยูตื่น!”
  ในตอนนั้นเสียงห้วนดังดังราวกับสายฟ้าที่หู ซือหยูตัวสั่น หมู่ดาวและจักรวาลทั้งหมดที่ได้เห็นสลายไปทั้งอย่างนั้น ความเป็นจริงกลับมาตรงหน้าอีกครั้ง
  หยุนย่าสีถามอย่างเคร่งเครียด
  “เจ้าเห็นอะไร?”
  ซือหยูพูด‘ทุกอย่าง’ จากตำรา เขาเห็นทุกสิ่งที่เคยมีอยู่ในจักรวาล ราวกับว่าตำรานี้เก็บรวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้
  หยุนย่าสีพยักหน้าเบาๆ เขายิ้มอย่างภาคภูมิใจ แต่คำพูดต่อมาของซือหยูได้ทำให้เขาเลิกคิ้ว
  “กับชายนั่งเล่นหมากรุก…”
  รอยยิ้มหยุนย่าสีเลือนลับความเยือกเย็นราวน้ำแข็งแสดงผ่านใบหน้า
  “เจ้าเห็นเขารึ?”
  ซือหยูพยักหน้าทั้งๆ ที่ยังคงงุนงง
  “ท่านอาจารย์เขาเป็นใคร ทำไมโลกกับจักรวาลถึงหมุนวนรอบเขาเล่า?”
  ความรู้สึกแสดงผ่านดวงตาหยุนย่าสีดวงตาเขาเปล่งประกายอย่างที่ซือหยูไม่เคยเจอมาก่อน เขาเงียบไปนานกว่าจะตอบ
  “เมื่อถึงเวลาเจ้าจะได้รู้…”
  ในที่สุดหยุนย่าสีก็พูดขึ้นมา
  ซือหยูพยายามจะนึกถึงรูปลักษณ์ของชายหนุ่มแต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าใดก็ล้มเหลว ราวกับว่ามีพลังไร้ลักษณ์ของโลกกำลังลบความทรงจำส่วนนี้ไป
  “เจ้าเรียกตำรานี้ได้ว่า‘ตำราสวรรค์แรก’ มันบอกว่าระหว่างจักรวาลถือกำเนิด สิ่งแรกที่ถูกสร้างคืออักษรหมื่นตัว…”
  “ภาษาของทุกเผ่าพันธุ์บนโลกได้มีต้นแบบมาจากหนึ่งคำในตำรานี้”
  ภาษาตั้งแต่โลกถือกำเนิดรึ?ซือหยูนิ่งแทบจะเป็นหิน
  มนุษย์เลือกหนึ่งอักษรภาษามนุษย์จึงเกิดขึ้น อสูรเลือกหนึ่งอักษร ภาษาอสูรถึงเกิดขึ้น เผ่าไม้เลือกหนึ่งอักษร ภาษาไม้จึงถือกำเนิดขึ้น
  หยุนย่าสีกล่าว
  “จะบอกก็ได้ว่าถ้าเจ้าเข้าใจทุกคำใน‘ตำราสวรรค์แรก’ เจ้าจะบรรลุเรื่องกฎสวรรค์อันลึกล้ำทั้งแปด ชะตา การเกิดใหม่ ความตาย ชีวิต เวลา มิติ วิญญาณ ลิขิต”
  นี่เป็นครั้งแรกที่ซือหยูได้ยินถึงเรื่องความหมายของกฎสวรรค์
  “แปดความหมายอันลึกล้ำหากเข้าใจสักอย่างเดียวก็ทำให้เป็นยอดในทุกเผ่าพันธุ์ ได้อยู่เหนือทุกชีวิต”
  ซือหยูเก็บมาคิด
  “แล้วถ้าเข้าใจทั้งแปดอย่างเล่า?”
  “ทั้งแปดหรือ…”
  หยุนย่าสีส่ายหน้า
  “มีผู้เดียวเท่านั้นที่เข้าใจทั้งแปดความหมายอันลึกล้ำตั้งแต่จักรวาลถือกำเนิดขึ้นมาคนผู้นั้นคือคนที่เจ้าเห็น ชายที่เล่นหมากรุกคนนั้น เขามิใช่สิ่งมีชีวิตอีกแล้ว เขาคือตัวตนของการกำเนิดกฎสวรรค์…”
  หยุนย่าสีกล่าว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Divine Nine Dragon Cauldron 953 – ความหมายอันลึกล้ำของกฎสวรรค์

Now you are reading The Divine Nine Dragon Cauldron Chapter 953 - ความหมายอันลึกล้ำของกฎสวรรค์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

DND.
  ร่างวิญญาณบินออกมาจากกล่องหยกในชายเสื้อของซือหยูและเปลี่ยนเป็นร่างที่จับต้องได้เขาดูเหมือนกับมนุษย์ที่มีเนื้อหนังและโลหิต หากไม่ดูให้ดีก็ยากที่จะมองออกว่าเขาเป็นร่างวิญญาณ
  “ฮ่าๆๆๆ เจ้าเด็กน้อย ข้าไม่ได้เจอเจ้ามานาน! เจ้าเติบโตได้น่าตกใจนัก”
  หยุนย่าสีมองซือหยูและพยักหน้ายอมรับหยุนย่าสีเป็นบุรุษผู้มีจิตใจกว้างใหญ่ไพศาล เขาได้ก้าวข้ามผ่านวิถีแห่งพลังมาจนเทียบเท่ากับดวงดาวบนท้องฟ้า หากได้รับคำชมว่า ‘น่าตกใจ’ จากเขา การเติบโตของซือหยูก็น่าจะยอดเยี่ยมของจริง
  “ท่านอาจารย์”
  ดวงวิญญาณซือหยูกลับสู่ร่างเขาโค้งคำนับด้วยความดีใจ
  “ซือหยูผู้นี้ขอต้อนรับอาจารย์ที่ได้กลับมา”
  ตั้งแต่ที่เขามาถึงจิวโจวเป็นเรื่องยากที่เขาจะได้พบกับคนรู้จักที่จากมานาน ความรู้สึกต่าง ๆ เอ่อล้นเข้ามา
  หยุนย่าสีหัวเราะเบาๆ และพยุงซือหยูให้ยืนขึ้น เขาพูดทั้งรอยยิ้ม
  “เจ้าจะมีพิธีรีตรองอะไรกับข้านัก”
  เขาเงยหน้ามองรอบๆ และถามด้วยความแปลกใจ
  “ที่นี่ไม่ใช่เฉินหลงอีกแล้วใช่ไหม?”
  “ใช่แล้วท่านอาจารย์ที่นี่คือจิวโจว”
  ซือหยูตอบ
  หยุนย่าสีคิดถึงความหลัง
  “พวกเราอยู่ในจิวโจวแล้วสินะข้าเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน มันคือสถานที่ต้นกำเนิดเผ่าพันธุ์มนุษย์ ถ้าข้าจำไม่ผิดตัวแทนดวงดาวที่ดูแลจิวโจวแห่งนี้ก็คือแม่สาวน้อยที่ชื่อหลินหลางสินะ?”
  เขาถาม
  “ท่านอาจารย์พูดถึงเซียนมณีหรือ?”
  ซือหยูถาม
  หยุนย่าสีมอง
  “เซียนรึ?นางก้าวข้ามผ่านความเจ็บปวดไม่ได้ แล้วก็ตายไปแล้วหรือ?”
  “อายุขัยของเซียนนั้นอยู่ได้เพียงหนึ่งนิรันดร์หนึ่งนิรันดร์ก็ผ่านไปแล้ว แต่นางยังถูกเรียกว่าเซียน นั่นหมายความว่านางจะต้องตายไปแล้ว”
  ซือหยูตัวแข็งทื่อถ้าเขาจำไม่ผิด เซียนมณีคือผู้ที่มีชีวิตมานานก่อนนิรันดร์จะผ่าน นางคือเซียนที่มีอายุมากที่สุดในจิวโจว ตำนานความเชื่อได้เล่าเรื่องราวของนางผ่านตำราเก่ามากมาย แต่หยุนย่าสีนั้นกลับเรียกนางว่าเป็น ‘สาวน้อย’ นี่ไม่ได้บอกว่าหยุนย่าสีมีตัวตนมานานชั่วนิรันดร์แล้วงั้นรึ?
  “ใช่แล้วท่านอาจารย์นางตายไปก่อนแล้ว…”
  “นางทิ้งมรดกไว้ในจิวโจวเพื่อให้ผู้สืบทอดในจิวโจวได้ใช้มันเรียกว่าแดนมณี”
  หยุนย่าสีลูบเคราะ
  “นางรักษาสัญญาที่ว่าจะทิ้งมรดกไว้ให้มนุษย์จิวโจวด้วยหรือ?”
  สัญญารึ?ซือหยูถามทันที
  “ท่านอาจารย์สัญญาอะไรหรือ?”
  หยุนย่าสีมองซือหยูในแววตานั้นดูเปล่าเปลี่ยว
  “สัญญาระหว่างแม่สาวน้อยนั่นกับข้าน่ะ”
  หยุนย่าสีคงจะไม่พูดมากกว่านี้ซือหยูจึงไม่ถามต่อ
  “หากนางตายแล้วสิ่งนั้นจะต้องถูกทิ้งเอาไว้ด้วย ซือหยู เจ้าจำเป็นต้องไปแดนมณี มันรอคอยเจ้ามานานแล้ว…”
  หยุนย่าสีพูด
  ซือหยูยิ่งสงสัยเซียนมณีทิ้งบางอย่างเอาไว้และรอคอยให้ซือหยูไปรับมันหรือ? บางทีมันอาจจะเป็นสัญญาระหว่างหยุนย่าสีกับเซียนมณีก็ได้
  “ย่อมได้ท่านอาจารย์”
  ซือหยูตอบกลับ
  หยุนย่าสีเงียบไปนานก่อนที่ความเศร้าและความเหงาในดวงตาจะเลือนหายเขามองซือหยูด้วยแววตาที่สดใสอีกครั้ง
  “บอกข้ามาสิ…”
  “เกิดอะไรขึ้นบ้างตอนที่ข้าหลับ”
  ซือหยูพยักหน้าจากนั้นจึงเล่าหลายเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากกระโจมเทพสวรรค์ ตั้งแต่ที่เฉินหลงถูกรุกราน และประสบการณ์ที่เขาได้มาอยู่ในจิวโจวและแทรกซึมมาอยู่ในตำหนักโลหิต ซือหยูอธิบายรายละเอียดแทบจะทั้งหมด
  เมื่อฟังจบหยุนย่าสีดูรู้สึกผิด นั่นก็เพราะว่าความเข้มงวดของเขาต่อซือหยูได้ทำให้ซือหยูต้องพบเจอกับความยากลำบากและสิ่งกีดขวางทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว แม้ว่าซือหยูจะเล่ามันอย่างเรียบเฉย หยุนย่าสีก็สัมผัสได้ถึงอันตรายที่เขาต้องเผชิญ
  “ถ้าเจ้าเจอเทพไม้ที่กำลังจะตายโชคก็อยู่ข้างเจ้าแล้ว”
  หยุนย่าสีกล่าว
  “ข้าได้ยินเรื่องเผ่าพันธุ์ไม้ทองแดงมาก่อนครั้งหน้า ข้าจะช่วยนาง ข้าจะไม่ยอมให้ศิษย์ข้าต้องติดหนี้บุญคุณกับผู้ใด”
  ซือหยูสอบถาม
  “ท่านอาจารย์พลังของท่านเป็นอย่างไรบ้าง? ท่านฟื้นคืนจากเดิมมาเท่าใดแล้ว?”
  หยุนย่าสีหัวเราะ
  “ฮ่าๆ ตอนนี้ก็คงจะหนึ่งในพันของพลังเดิม วิญญาณข้าเสียหายเช่นนี้ ข้าจะเทียบกับในอดีตได้หรือ? พลังของข้าตอนนี้น่าจะเทียบได้กับสิบร่องรอยของที่นี่ เอ๋ ต้องสิบเอ็ดสิ”
  สิบร่องรอยนี้น่าจะต้องหมายถึงราชาเก้าเขตและจ้าวผาบั่นภูติแล้วคนที่สิบเอ็ดคือใครกัน?
  “น่าแปลกทำไมถึงมีกลิ่นเผ่าภูติผีที่นี่?”
  หยุนย่าสีพูดเบาๆ และจ้องไปยังทิศใต้ราวกับว่ามองทะลุทวีปไปได้
  ซือหยูไม่ได้ยินเสียงของเขาและเขาก็ไม่ได้สนใจถึงเรื่องคนที่สิบเอ็ดเช่นกัน เท่าที่รู้ จิวโจวนั้นกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต การปรากฏตัวของคนที่แข็งแกร่งเท่าราชาเก้าเขตนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก
  “ท่านอาจารย์ถ้าเช่นนั้น ท่านก็เทียบได้กับราชาเขตกลางสินะ?”
  ซือหยูไม่เคยลืมคำขู่ของราชาเขตกลางว่าหลังจากบ่มเพาะพลังจบเขาจะมาตามล่าซือหยูด้วยตัวเอง
  หยุนย่าสีส่ายหน้า
  “จากเศษฝุ่นทองบนตัวเจ้าคนผู้นั้นแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสิบเอ็ดคน ข้าไม่แน่ใจว่าข้าจะรับมือได้หรือไม่”
  เหล่าราชาเก้าเขตนั้นแข็งแกร่งที่สุดลำดับของราชาเป็นเรื่องลึกลับอยู่เสมอ นั่นก็เพราะราชาจะปรากฏตัวในยามที่เกี่ยวข้องกับบัลลังก์ครองจิวโจวเท่านั้น ในเวลาอื่น ราชาเก้าเขตจะมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุข เมื่อได้รู้ว่าราชาเขตกลางแข็งแกร่งที่สุด ความรู้สึกอันตรายจึงได้ปกคลุมหัวใจซือหยู
  “เจ้าไม่ต้องกังวลนักกลิ่นของคนผู้นั้นแปลกประหลาด มันจะต้องมีปัญหากับการบ่มเพาะพลังอยู่ ตอนนี้มันจะไม่เป็นปัญหากับเจ้า…”
  หยุนย่าสีพูด
  “เข้าใจแล้วอาจารย์ข้าจะหาวิธีเพิ่มพลังของข้า”
  ซือหยูพูดอย่างจริงจัง
  หยุนย่าสีพยักหน้าเบาๆ
  “เจ้าเข้าใจภาษาที่ข้าถ่ายทอดให้มากเท่าใดแล้ว?”
  “ข้าเชี่ยวชาญภาษาไม้ในขั้นสูงสุดภาษาอสูรหกในสิบส่วน ส่วนภาษามังกร ภาษาแมลง ภาษาภูติผิ ข้าเข้าใจมันราวสองถึงสามส่วน”
  หยุนย่าสีตกใจ
  “เชี่ยวชาญภาษาไม้ขั้นสูงสุดรึ?แค่ไม่กี่ปีเท่านั้นเอง”
  เขารีบประเมินซือหยูด้ยความตกใจซือหยูสามารถตอบได้อย่างไม่มีข้อบกพร่อง แม้ว่าจะเป็นภาษาไม้โบราณที่ไม่มีใครกล่าวถึงนักก็ไม่ใช่เรื่องท้าทาย Aileen-novel
  “หึหึข้าเป็นอัจฉริยะมากนักที่อ้างว่าตัวเองเชี่ยวชาญภาษา แต่ถ้าเทียบกับเจ้า พวกมันก็แค่คนธรรมดา!”
  หยุนย่าสีตกใจมากเขามองซือหยูหัวจรดเท้าราวกับจะมองทะลุร่างไป
  “ถ้าจะเข้าใจภาษาไม้ที่ข้าถ่ายทอดคนที่ไร้ความสามารถต้องใช้เวลาร้อยปี คนธรรมดาห้าสิบปี แต่เจ้าใช้เวลาแค่สองปี…”
  หยุนย่าสีจ้องมองซือหยูราวกับได้เจอสบัติหายาก
  ซือหยูเขินอายเขามาถึงขั้นนี้ได้ก็เพราะพลังเร่งเวลาของหม้อเก้ามังกร ถ้าหากคำนวนเวลาจริง เขาใช้เวลาไปประมาณสี่สิบถึงห้าสิบปี พรสวรรค์ของเขาก็แค่เท่าคนธรรมดาเท่านั้น
  “ท่านอาจารย์ชมข้ามากไปแล้ว”
  ซือหยูพูดอย่างอ่อนน้อม
  หยุนย่าสีเกิดความคิดเขาคิดอยู่นานก่อนจะพูด
  “ถ้าอย่างนั้นก็ถึงเวลาที่จะถ่ายทอดอีกตำรากับเจ้าทีแรกข้าคิดว่าเจ้าจะใช้เวลาหนึ่งอายุขัยในการศึกษาภาษาที่ข้าส่งต่อให้ ถ้าหากพรสวรรค์เจ้าเสียเปล่าเช่นนั้นก็คงจะน่าเสียดาย”
  หยุนย่าสีดึงเอาก้อนโปร่งใสออกมาจากหน้าผากมันได้ก่อร่างเป็นตำราลอยไปที่มือซือหยู
  มีข้อความซับซ้อนในตำรามันคือข้อความที่เขาไม่คุ้น ไม่เพียงเท่านั้น ทุกคำยังมีความหมายที่จับต้องไม่ได้ ซือหยูรู้สึกเหมือนได้ก้าวเข้าสู่วิถีอันยิ่งใหญ่แห่งจักรวาลเมื่อเปิดดูด้านในคร่าว ๆ เขาจมดิ่งอยู่ในความสงสัยไม่รู้จบ ยุคสมับโบราณ จักรวาล หมู่ดาว ทุกสิ่งมีชีวิต ชีวิต ความตาย การเกิดใหม่ โชคชะตา…ความหมายอันลึกซึ้งของฟ้าดินนับไม่ถ้วนแสดงอยู่ในจิตใจของซือหยู เขาราวกับได้มองต้นกำเนิดของโลก การเกิดของจักรวาลกว้างใหญ่ การขยายเผ่าพันธุ์ของสิ่งต่าง ๆ ชีวิต ความตาย ความลึกลับของการเกิดใหม่ และกฎแห่งโชคชะตา
  เขายังเห็นชายหนุ่มนั่งเล่นหมากรุกเขาถูกรายล้อมด้วยโลกและจักรวาล การสรรสร้าง ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างหมุนวนรอบกายเขา เขาเป็นตรงกลางของทุกสรรพสิ่ง ซือหยูจ้องมองชายหนุ่มและรู้สึกสับสน…ใครกัน ทำไมข้าถึงเห็นเขาล่ะ?
  ในตอนนั้นเองชายหนุ่มหันมองกลับมา การมองทำให้ร่างกายของซือหยูโปร่งใส ราวกับว่าเขามองได้ทะลุปรุโปร่งและไร้ทางหนี แม้แต่หม้อเก้ามังกรในดวงวิญญาณก็ถูกมองเห็น ซือหยูรู้สึกว่าวิญญาณกำลังแหลกสลายจากสายตาของคนผู้นี้
  “ซือหยูตื่น!”
  ในตอนนั้นเสียงห้วนดังดังราวกับสายฟ้าที่หู ซือหยูตัวสั่น หมู่ดาวและจักรวาลทั้งหมดที่ได้เห็นสลายไปทั้งอย่างนั้น ความเป็นจริงกลับมาตรงหน้าอีกครั้ง
  หยุนย่าสีถามอย่างเคร่งเครียด
  “เจ้าเห็นอะไร?”
  ซือหยูพูด‘ทุกอย่าง’ จากตำรา เขาเห็นทุกสิ่งที่เคยมีอยู่ในจักรวาล ราวกับว่าตำรานี้เก็บรวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้
  หยุนย่าสีพยักหน้าเบาๆ เขายิ้มอย่างภาคภูมิใจ แต่คำพูดต่อมาของซือหยูได้ทำให้เขาเลิกคิ้ว
  “กับชายนั่งเล่นหมากรุก…”
  รอยยิ้มหยุนย่าสีเลือนลับความเยือกเย็นราวน้ำแข็งแสดงผ่านใบหน้า
  “เจ้าเห็นเขารึ?”
  ซือหยูพยักหน้าทั้งๆ ที่ยังคงงุนงง
  “ท่านอาจารย์เขาเป็นใคร ทำไมโลกกับจักรวาลถึงหมุนวนรอบเขาเล่า?”
  ความรู้สึกแสดงผ่านดวงตาหยุนย่าสีดวงตาเขาเปล่งประกายอย่างที่ซือหยูไม่เคยเจอมาก่อน เขาเงียบไปนานกว่าจะตอบ
  “เมื่อถึงเวลาเจ้าจะได้รู้…”
  ในที่สุดหยุนย่าสีก็พูดขึ้นมา
  ซือหยูพยายามจะนึกถึงรูปลักษณ์ของชายหนุ่มแต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าใดก็ล้มเหลว ราวกับว่ามีพลังไร้ลักษณ์ของโลกกำลังลบความทรงจำส่วนนี้ไป
  “เจ้าเรียกตำรานี้ได้ว่า‘ตำราสวรรค์แรก’ มันบอกว่าระหว่างจักรวาลถือกำเนิด สิ่งแรกที่ถูกสร้างคืออักษรหมื่นตัว…”
  “ภาษาของทุกเผ่าพันธุ์บนโลกได้มีต้นแบบมาจากหนึ่งคำในตำรานี้”
  ภาษาตั้งแต่โลกถือกำเนิดรึ?ซือหยูนิ่งแทบจะเป็นหิน
  มนุษย์เลือกหนึ่งอักษรภาษามนุษย์จึงเกิดขึ้น อสูรเลือกหนึ่งอักษร ภาษาอสูรถึงเกิดขึ้น เผ่าไม้เลือกหนึ่งอักษร ภาษาไม้จึงถือกำเนิดขึ้น
  หยุนย่าสีกล่าว
  “จะบอกก็ได้ว่าถ้าเจ้าเข้าใจทุกคำใน‘ตำราสวรรค์แรก’ เจ้าจะบรรลุเรื่องกฎสวรรค์อันลึกล้ำทั้งแปด ชะตา การเกิดใหม่ ความตาย ชีวิต เวลา มิติ วิญญาณ ลิขิต”
  นี่เป็นครั้งแรกที่ซือหยูได้ยินถึงเรื่องความหมายของกฎสวรรค์
  “แปดความหมายอันลึกล้ำหากเข้าใจสักอย่างเดียวก็ทำให้เป็นยอดในทุกเผ่าพันธุ์ ได้อยู่เหนือทุกชีวิต”
  ซือหยูเก็บมาคิด
  “แล้วถ้าเข้าใจทั้งแปดอย่างเล่า?”
  “ทั้งแปดหรือ…”
  หยุนย่าสีส่ายหน้า
  “มีผู้เดียวเท่านั้นที่เข้าใจทั้งแปดความหมายอันลึกล้ำตั้งแต่จักรวาลถือกำเนิดขึ้นมาคนผู้นั้นคือคนที่เจ้าเห็น ชายที่เล่นหมากรุกคนนั้น เขามิใช่สิ่งมีชีวิตอีกแล้ว เขาคือตัวตนของการกำเนิดกฎสวรรค์…”
  หยุนย่าสีกล่าว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Divine Nine Dragon Cauldron 953 – ความหมายอันลึกล้ำของกฎสวรรค์

Now you are reading The Divine Nine Dragon Cauldron Chapter 953 - ความหมายอันลึกล้ำของกฎสวรรค์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

DND.
  ร่างวิญญาณบินออกมาจากกล่องหยกในชายเสื้อของซือหยูและเปลี่ยนเป็นร่างที่จับต้องได้เขาดูเหมือนกับมนุษย์ที่มีเนื้อหนังและโลหิต หากไม่ดูให้ดีก็ยากที่จะมองออกว่าเขาเป็นร่างวิญญาณ
  “ฮ่าๆๆๆ เจ้าเด็กน้อย ข้าไม่ได้เจอเจ้ามานาน! เจ้าเติบโตได้น่าตกใจนัก”
  หยุนย่าสีมองซือหยูและพยักหน้ายอมรับหยุนย่าสีเป็นบุรุษผู้มีจิตใจกว้างใหญ่ไพศาล เขาได้ก้าวข้ามผ่านวิถีแห่งพลังมาจนเทียบเท่ากับดวงดาวบนท้องฟ้า หากได้รับคำชมว่า ‘น่าตกใจ’ จากเขา การเติบโตของซือหยูก็น่าจะยอดเยี่ยมของจริง
  “ท่านอาจารย์”
  ดวงวิญญาณซือหยูกลับสู่ร่างเขาโค้งคำนับด้วยความดีใจ
  “ซือหยูผู้นี้ขอต้อนรับอาจารย์ที่ได้กลับมา”
  ตั้งแต่ที่เขามาถึงจิวโจวเป็นเรื่องยากที่เขาจะได้พบกับคนรู้จักที่จากมานาน ความรู้สึกต่าง ๆ เอ่อล้นเข้ามา
  หยุนย่าสีหัวเราะเบาๆ และพยุงซือหยูให้ยืนขึ้น เขาพูดทั้งรอยยิ้ม
  “เจ้าจะมีพิธีรีตรองอะไรกับข้านัก”
  เขาเงยหน้ามองรอบๆ และถามด้วยความแปลกใจ
  “ที่นี่ไม่ใช่เฉินหลงอีกแล้วใช่ไหม?”
  “ใช่แล้วท่านอาจารย์ที่นี่คือจิวโจว”
  ซือหยูตอบ
  หยุนย่าสีคิดถึงความหลัง
  “พวกเราอยู่ในจิวโจวแล้วสินะข้าเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน มันคือสถานที่ต้นกำเนิดเผ่าพันธุ์มนุษย์ ถ้าข้าจำไม่ผิดตัวแทนดวงดาวที่ดูแลจิวโจวแห่งนี้ก็คือแม่สาวน้อยที่ชื่อหลินหลางสินะ?”
  เขาถาม
  “ท่านอาจารย์พูดถึงเซียนมณีหรือ?”
  ซือหยูถาม
  หยุนย่าสีมอง
  “เซียนรึ?นางก้าวข้ามผ่านความเจ็บปวดไม่ได้ แล้วก็ตายไปแล้วหรือ?”
  “อายุขัยของเซียนนั้นอยู่ได้เพียงหนึ่งนิรันดร์หนึ่งนิรันดร์ก็ผ่านไปแล้ว แต่นางยังถูกเรียกว่าเซียน นั่นหมายความว่านางจะต้องตายไปแล้ว”
  ซือหยูตัวแข็งทื่อถ้าเขาจำไม่ผิด เซียนมณีคือผู้ที่มีชีวิตมานานก่อนนิรันดร์จะผ่าน นางคือเซียนที่มีอายุมากที่สุดในจิวโจว ตำนานความเชื่อได้เล่าเรื่องราวของนางผ่านตำราเก่ามากมาย แต่หยุนย่าสีนั้นกลับเรียกนางว่าเป็น ‘สาวน้อย’ นี่ไม่ได้บอกว่าหยุนย่าสีมีตัวตนมานานชั่วนิรันดร์แล้วงั้นรึ?
  “ใช่แล้วท่านอาจารย์นางตายไปก่อนแล้ว…”
  “นางทิ้งมรดกไว้ในจิวโจวเพื่อให้ผู้สืบทอดในจิวโจวได้ใช้มันเรียกว่าแดนมณี”
  หยุนย่าสีลูบเคราะ
  “นางรักษาสัญญาที่ว่าจะทิ้งมรดกไว้ให้มนุษย์จิวโจวด้วยหรือ?”
  สัญญารึ?ซือหยูถามทันที
  “ท่านอาจารย์สัญญาอะไรหรือ?”
  หยุนย่าสีมองซือหยูในแววตานั้นดูเปล่าเปลี่ยว
  “สัญญาระหว่างแม่สาวน้อยนั่นกับข้าน่ะ”
  หยุนย่าสีคงจะไม่พูดมากกว่านี้ซือหยูจึงไม่ถามต่อ
  “หากนางตายแล้วสิ่งนั้นจะต้องถูกทิ้งเอาไว้ด้วย ซือหยู เจ้าจำเป็นต้องไปแดนมณี มันรอคอยเจ้ามานานแล้ว…”
  หยุนย่าสีพูด
  ซือหยูยิ่งสงสัยเซียนมณีทิ้งบางอย่างเอาไว้และรอคอยให้ซือหยูไปรับมันหรือ? บางทีมันอาจจะเป็นสัญญาระหว่างหยุนย่าสีกับเซียนมณีก็ได้
  “ย่อมได้ท่านอาจารย์”
  ซือหยูตอบกลับ
  หยุนย่าสีเงียบไปนานก่อนที่ความเศร้าและความเหงาในดวงตาจะเลือนหายเขามองซือหยูด้วยแววตาที่สดใสอีกครั้ง
  “บอกข้ามาสิ…”
  “เกิดอะไรขึ้นบ้างตอนที่ข้าหลับ”
  ซือหยูพยักหน้าจากนั้นจึงเล่าหลายเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากกระโจมเทพสวรรค์ ตั้งแต่ที่เฉินหลงถูกรุกราน และประสบการณ์ที่เขาได้มาอยู่ในจิวโจวและแทรกซึมมาอยู่ในตำหนักโลหิต ซือหยูอธิบายรายละเอียดแทบจะทั้งหมด
  เมื่อฟังจบหยุนย่าสีดูรู้สึกผิด นั่นก็เพราะว่าความเข้มงวดของเขาต่อซือหยูได้ทำให้ซือหยูต้องพบเจอกับความยากลำบากและสิ่งกีดขวางทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว แม้ว่าซือหยูจะเล่ามันอย่างเรียบเฉย หยุนย่าสีก็สัมผัสได้ถึงอันตรายที่เขาต้องเผชิญ
  “ถ้าเจ้าเจอเทพไม้ที่กำลังจะตายโชคก็อยู่ข้างเจ้าแล้ว”
  หยุนย่าสีกล่าว
  “ข้าได้ยินเรื่องเผ่าพันธุ์ไม้ทองแดงมาก่อนครั้งหน้า ข้าจะช่วยนาง ข้าจะไม่ยอมให้ศิษย์ข้าต้องติดหนี้บุญคุณกับผู้ใด”
  ซือหยูสอบถาม
  “ท่านอาจารย์พลังของท่านเป็นอย่างไรบ้าง? ท่านฟื้นคืนจากเดิมมาเท่าใดแล้ว?”
  หยุนย่าสีหัวเราะ
  “ฮ่าๆ ตอนนี้ก็คงจะหนึ่งในพันของพลังเดิม วิญญาณข้าเสียหายเช่นนี้ ข้าจะเทียบกับในอดีตได้หรือ? พลังของข้าตอนนี้น่าจะเทียบได้กับสิบร่องรอยของที่นี่ เอ๋ ต้องสิบเอ็ดสิ”
  สิบร่องรอยนี้น่าจะต้องหมายถึงราชาเก้าเขตและจ้าวผาบั่นภูติแล้วคนที่สิบเอ็ดคือใครกัน?
  “น่าแปลกทำไมถึงมีกลิ่นเผ่าภูติผีที่นี่?”
  หยุนย่าสีพูดเบาๆ และจ้องไปยังทิศใต้ราวกับว่ามองทะลุทวีปไปได้
  ซือหยูไม่ได้ยินเสียงของเขาและเขาก็ไม่ได้สนใจถึงเรื่องคนที่สิบเอ็ดเช่นกัน เท่าที่รู้ จิวโจวนั้นกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต การปรากฏตัวของคนที่แข็งแกร่งเท่าราชาเก้าเขตนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก
  “ท่านอาจารย์ถ้าเช่นนั้น ท่านก็เทียบได้กับราชาเขตกลางสินะ?”
  ซือหยูไม่เคยลืมคำขู่ของราชาเขตกลางว่าหลังจากบ่มเพาะพลังจบเขาจะมาตามล่าซือหยูด้วยตัวเอง
  หยุนย่าสีส่ายหน้า
  “จากเศษฝุ่นทองบนตัวเจ้าคนผู้นั้นแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสิบเอ็ดคน ข้าไม่แน่ใจว่าข้าจะรับมือได้หรือไม่”
  เหล่าราชาเก้าเขตนั้นแข็งแกร่งที่สุดลำดับของราชาเป็นเรื่องลึกลับอยู่เสมอ นั่นก็เพราะราชาจะปรากฏตัวในยามที่เกี่ยวข้องกับบัลลังก์ครองจิวโจวเท่านั้น ในเวลาอื่น ราชาเก้าเขตจะมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุข เมื่อได้รู้ว่าราชาเขตกลางแข็งแกร่งที่สุด ความรู้สึกอันตรายจึงได้ปกคลุมหัวใจซือหยู
  “เจ้าไม่ต้องกังวลนักกลิ่นของคนผู้นั้นแปลกประหลาด มันจะต้องมีปัญหากับการบ่มเพาะพลังอยู่ ตอนนี้มันจะไม่เป็นปัญหากับเจ้า…”
  หยุนย่าสีพูด
  “เข้าใจแล้วอาจารย์ข้าจะหาวิธีเพิ่มพลังของข้า”
  ซือหยูพูดอย่างจริงจัง
  หยุนย่าสีพยักหน้าเบาๆ
  “เจ้าเข้าใจภาษาที่ข้าถ่ายทอดให้มากเท่าใดแล้ว?”
  “ข้าเชี่ยวชาญภาษาไม้ในขั้นสูงสุดภาษาอสูรหกในสิบส่วน ส่วนภาษามังกร ภาษาแมลง ภาษาภูติผิ ข้าเข้าใจมันราวสองถึงสามส่วน”
  หยุนย่าสีตกใจ
  “เชี่ยวชาญภาษาไม้ขั้นสูงสุดรึ?แค่ไม่กี่ปีเท่านั้นเอง”
  เขารีบประเมินซือหยูด้ยความตกใจซือหยูสามารถตอบได้อย่างไม่มีข้อบกพร่อง แม้ว่าจะเป็นภาษาไม้โบราณที่ไม่มีใครกล่าวถึงนักก็ไม่ใช่เรื่องท้าทาย Aileen-novel
  “หึหึข้าเป็นอัจฉริยะมากนักที่อ้างว่าตัวเองเชี่ยวชาญภาษา แต่ถ้าเทียบกับเจ้า พวกมันก็แค่คนธรรมดา!”
  หยุนย่าสีตกใจมากเขามองซือหยูหัวจรดเท้าราวกับจะมองทะลุร่างไป
  “ถ้าจะเข้าใจภาษาไม้ที่ข้าถ่ายทอดคนที่ไร้ความสามารถต้องใช้เวลาร้อยปี คนธรรมดาห้าสิบปี แต่เจ้าใช้เวลาแค่สองปี…”
  หยุนย่าสีจ้องมองซือหยูราวกับได้เจอสบัติหายาก
  ซือหยูเขินอายเขามาถึงขั้นนี้ได้ก็เพราะพลังเร่งเวลาของหม้อเก้ามังกร ถ้าหากคำนวนเวลาจริง เขาใช้เวลาไปประมาณสี่สิบถึงห้าสิบปี พรสวรรค์ของเขาก็แค่เท่าคนธรรมดาเท่านั้น
  “ท่านอาจารย์ชมข้ามากไปแล้ว”
  ซือหยูพูดอย่างอ่อนน้อม
  หยุนย่าสีเกิดความคิดเขาคิดอยู่นานก่อนจะพูด
  “ถ้าอย่างนั้นก็ถึงเวลาที่จะถ่ายทอดอีกตำรากับเจ้าทีแรกข้าคิดว่าเจ้าจะใช้เวลาหนึ่งอายุขัยในการศึกษาภาษาที่ข้าส่งต่อให้ ถ้าหากพรสวรรค์เจ้าเสียเปล่าเช่นนั้นก็คงจะน่าเสียดาย”
  หยุนย่าสีดึงเอาก้อนโปร่งใสออกมาจากหน้าผากมันได้ก่อร่างเป็นตำราลอยไปที่มือซือหยู
  มีข้อความซับซ้อนในตำรามันคือข้อความที่เขาไม่คุ้น ไม่เพียงเท่านั้น ทุกคำยังมีความหมายที่จับต้องไม่ได้ ซือหยูรู้สึกเหมือนได้ก้าวเข้าสู่วิถีอันยิ่งใหญ่แห่งจักรวาลเมื่อเปิดดูด้านในคร่าว ๆ เขาจมดิ่งอยู่ในความสงสัยไม่รู้จบ ยุคสมับโบราณ จักรวาล หมู่ดาว ทุกสิ่งมีชีวิต ชีวิต ความตาย การเกิดใหม่ โชคชะตา…ความหมายอันลึกซึ้งของฟ้าดินนับไม่ถ้วนแสดงอยู่ในจิตใจของซือหยู เขาราวกับได้มองต้นกำเนิดของโลก การเกิดของจักรวาลกว้างใหญ่ การขยายเผ่าพันธุ์ของสิ่งต่าง ๆ ชีวิต ความตาย ความลึกลับของการเกิดใหม่ และกฎแห่งโชคชะตา
  เขายังเห็นชายหนุ่มนั่งเล่นหมากรุกเขาถูกรายล้อมด้วยโลกและจักรวาล การสรรสร้าง ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างหมุนวนรอบกายเขา เขาเป็นตรงกลางของทุกสรรพสิ่ง ซือหยูจ้องมองชายหนุ่มและรู้สึกสับสน…ใครกัน ทำไมข้าถึงเห็นเขาล่ะ?
  ในตอนนั้นเองชายหนุ่มหันมองกลับมา การมองทำให้ร่างกายของซือหยูโปร่งใส ราวกับว่าเขามองได้ทะลุปรุโปร่งและไร้ทางหนี แม้แต่หม้อเก้ามังกรในดวงวิญญาณก็ถูกมองเห็น ซือหยูรู้สึกว่าวิญญาณกำลังแหลกสลายจากสายตาของคนผู้นี้
  “ซือหยูตื่น!”
  ในตอนนั้นเสียงห้วนดังดังราวกับสายฟ้าที่หู ซือหยูตัวสั่น หมู่ดาวและจักรวาลทั้งหมดที่ได้เห็นสลายไปทั้งอย่างนั้น ความเป็นจริงกลับมาตรงหน้าอีกครั้ง
  หยุนย่าสีถามอย่างเคร่งเครียด
  “เจ้าเห็นอะไร?”
  ซือหยูพูด‘ทุกอย่าง’ จากตำรา เขาเห็นทุกสิ่งที่เคยมีอยู่ในจักรวาล ราวกับว่าตำรานี้เก็บรวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้
  หยุนย่าสีพยักหน้าเบาๆ เขายิ้มอย่างภาคภูมิใจ แต่คำพูดต่อมาของซือหยูได้ทำให้เขาเลิกคิ้ว
  “กับชายนั่งเล่นหมากรุก…”
  รอยยิ้มหยุนย่าสีเลือนลับความเยือกเย็นราวน้ำแข็งแสดงผ่านใบหน้า
  “เจ้าเห็นเขารึ?”
  ซือหยูพยักหน้าทั้งๆ ที่ยังคงงุนงง
  “ท่านอาจารย์เขาเป็นใคร ทำไมโลกกับจักรวาลถึงหมุนวนรอบเขาเล่า?”
  ความรู้สึกแสดงผ่านดวงตาหยุนย่าสีดวงตาเขาเปล่งประกายอย่างที่ซือหยูไม่เคยเจอมาก่อน เขาเงียบไปนานกว่าจะตอบ
  “เมื่อถึงเวลาเจ้าจะได้รู้…”
  ในที่สุดหยุนย่าสีก็พูดขึ้นมา
  ซือหยูพยายามจะนึกถึงรูปลักษณ์ของชายหนุ่มแต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าใดก็ล้มเหลว ราวกับว่ามีพลังไร้ลักษณ์ของโลกกำลังลบความทรงจำส่วนนี้ไป
  “เจ้าเรียกตำรานี้ได้ว่า‘ตำราสวรรค์แรก’ มันบอกว่าระหว่างจักรวาลถือกำเนิด สิ่งแรกที่ถูกสร้างคืออักษรหมื่นตัว…”
  “ภาษาของทุกเผ่าพันธุ์บนโลกได้มีต้นแบบมาจากหนึ่งคำในตำรานี้”
  ภาษาตั้งแต่โลกถือกำเนิดรึ?ซือหยูนิ่งแทบจะเป็นหิน
  มนุษย์เลือกหนึ่งอักษรภาษามนุษย์จึงเกิดขึ้น อสูรเลือกหนึ่งอักษร ภาษาอสูรถึงเกิดขึ้น เผ่าไม้เลือกหนึ่งอักษร ภาษาไม้จึงถือกำเนิดขึ้น
  หยุนย่าสีกล่าว
  “จะบอกก็ได้ว่าถ้าเจ้าเข้าใจทุกคำใน‘ตำราสวรรค์แรก’ เจ้าจะบรรลุเรื่องกฎสวรรค์อันลึกล้ำทั้งแปด ชะตา การเกิดใหม่ ความตาย ชีวิต เวลา มิติ วิญญาณ ลิขิต”
  นี่เป็นครั้งแรกที่ซือหยูได้ยินถึงเรื่องความหมายของกฎสวรรค์
  “แปดความหมายอันลึกล้ำหากเข้าใจสักอย่างเดียวก็ทำให้เป็นยอดในทุกเผ่าพันธุ์ ได้อยู่เหนือทุกชีวิต”
  ซือหยูเก็บมาคิด
  “แล้วถ้าเข้าใจทั้งแปดอย่างเล่า?”
  “ทั้งแปดหรือ…”
  หยุนย่าสีส่ายหน้า
  “มีผู้เดียวเท่านั้นที่เข้าใจทั้งแปดความหมายอันลึกล้ำตั้งแต่จักรวาลถือกำเนิดขึ้นมาคนผู้นั้นคือคนที่เจ้าเห็น ชายที่เล่นหมากรุกคนนั้น เขามิใช่สิ่งมีชีวิตอีกแล้ว เขาคือตัวตนของการกำเนิดกฎสวรรค์…”
  หยุนย่าสีกล่าว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+