The Divine Nine Dragon Cauldron 646

Now you are reading The Divine Nine Dragon Cauldron Chapter 646 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“แหวนรวมพลังรึ?”

 

เมื่อมองเพียงปราดเดียว เซี่ยหวู่ก็ชักสีหน้า

 

“หลบเร็ว!”

 

เขาตกใจมาก

 

กองทัพนับหมื่นของเฉินหลงนี่มาจากไหนกัน? แล้ววงแหวนรวมพลังของฝั่งพวกเขาตกไปอยู่ในมือของเฉินหลงได้ยังไง? แล้วพวกเฉินหลงรู้วิธีใช้งานมันได้ยังไง?

 

แม้ว่าเขาจะตอบสนองได้เร็ว การมาของกองทัพลึกลับก็ทำให้พวกเขาตกใจ เพราะพวกเขาเพิ่งจะลอบโจมตีตำหนักรองมาเมื่อไม่นานเท่านั้น

 

ตู้ม

 

ลำแสงใหญ่ที่อัดแน่นไปด้วยพลังของคนนับหมื่นได้ระเบิดออกมา แสงนั้นขาวกระจ่างราวกับหิมะที่สาดใส่พวกเขา แสงสีขาวนี้ไม่ต่างกับใบหน้าที่ขาวซีดของเหล่ากึ่งภูติจากต่างโลกเลย

 

ลำแสงทะลวงผ่านนภา เสียงเสียดสีจากระยะไกลทำให้เกิดเพลิงและสายฟ้าตามมาด้วย พลังเพิ่มขึ้นมาจนยากจะรับมือ

 

ลำแสงปกคลุมพื้นที่เหนือตำหนักทั้งหมด มันจ้าจนทุกคนมองอะไรไม่เห็น ไม่มีใครมองได้ตรงๆ แม้แต่ดวงตะวันก็ดูหม่นแสงไปเมื่อเทียบกัน

 

ในความวุ่นวาย ลำแสงที่สาดส่องลงมาทำให้ตำหนักสั่นอย่างแรง เพลิงและสายฟ้าที่น่ากลัวปล่อยพลังทำลายล้างอย่างไม่รู้จบ

 

เมื่อแรงสั่นสะเทือนอ่อนลง สายฟ้ากับเพลิงค่อยๆหายไป โลกอันสว่างไสวกลับมาเป็นดังเดิม สายลมพ้นผ่านทำให้ทุกอย่างกลายเป็นปกติ

 

พื้นที่รอบๆตำหนักถูกกวาดโล่ง ทัพจากต่างโลกที่เคยล้อมได้หายไปเฉยๆ

 

ทหารจำนวนสองร้อยในตอนนี้เหลือเพียงราวสามสิบคน ทหารเหล่านี้แววตาว่างเปล่า มีหลายคนที่บาดเจ็บหนักจนสู้ต่อไม่ไหว

 

“วิชา! รวม! พลัง!”

 

ดวงตาอันงดงามของเจ้าตำหนักหนานกวงเบิกกว้าง หัวใจนางหยุดเต้นไปชั่วขณะ

 

นางเป็นแค่คนเดียวที่มองเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้อย่างขัดเจน เมื่อลำแสงแล่นผ่าน กองทัพของต่างโลกได้หายไปเหลือแต่ความว่างเปล่า!

 

ไม่มีใครหนีไปได้ ทุกคนกลายเป็นเศษฝุ่น เพียงแค่การโจมตีเดียวก็เกือบทำให้กองทัพศัตรูสูญสิ้น!

 

คนทั้งสามหมื่นเงียบกริบ ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะหายใจเมื่อจ้องมองเมฆาทมิฬที่อยู่ห่างไกลบนขอบนภา พวกเขารู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก

 

“ใครกัน?”

 

มีคนเริ่มพูดขึ้นมา

 

เขาคือเซี่ยหวู่ที่ถือหอกเมฆาเลือดในมือ เขายืนหน้ากึ่งภูติราวสามสิบคน ผิวของหอกนั้นสั่นเบาๆและดูไม่สดใส เซี่ยหวู่เองก็มีสภาพไม่ดีเท่าใดนัก เส้นผมของเขายุ่งเหยิง ดวงตาดูบ้าคลั่ง

 

เขาเป็นคนที่ปกป้องกึ่งภูติที่เหลือในจังหวะสุดท้าย ไม่อย่างนั้นทุกคนคงจะตายหมดเพราะลำแสงนี้

 

ตู้ม

 

เมฆาทมิฬสั่นไหว เสียงราวกับอาชาหลายพันวิ่งมาจากบนฟ้า จิตสังหารอันกล้าแกร่งตามมากับแรงกดดันมหาศาล มันให้ความรู้สึกที่เหมือนกับวายุสายฟ้าที่คืบคลานเข้าใกล้

 

ดวงตาอันบ้าคลั่งของเซี่ยหวู่สั่นไหว กึ่งภูติที่อยู่ข้างหลังเขาก็ตกใจไม่แพ้กัน

 

หนึ่งในนั้นอุทานออกมา

 

“ไม่คิดเลยว่าจะมีกองทัพใหญ่เช่นนี้ในทวีปเฉินหลง! ข้าไม่เคยเห็นจิตสังหารระดับนั้นมาก่อน”

 

เจ้าตำหนักหนานกวงสับสนเกินกว่าใคร นางรู้สึกถึงจิตตั้งมั่นที่เอ่อล้นออกมาจากเมฆาทมิฬของกองทัพ บรรยากาศที่ปล่อยออกมานี้มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียว มันทำให้นางรู้สึกหนักอึ้งอยู่ในใจ

 

มีกองทัพที่มีพลังมหาศาลเช่นนี้ในพวกเฉินหลงด้วยรึ? พวกนี้เป็นใครกัน? หลายคนสงสัยอยู่ในใจ ทั้งคนเฉินหลงและคนจากต่างโลกตั้งคำถามแบบเดียวกัน

 

ตั้งแต่ที่กองทัพต่างโลกเข้ารุกราน แม้ว่าทวีปเฉินหลงจะตอบโต้ พวกเขาก็ไม่เคยเห็นกองทัพเลือดเหล็กที่พลังใจอย่างเดียวก็น่ากลัวเช่นนี้

 

“พันธฒิตรผู้คุมสวรรค์!”

 

คำตอบของคำถามจากทุกคนดังก้อง เสียงที่หลอมรวมเป็นหนึ่งประกาศฐานะของทัพตนเอง

 

พันธมิตรผู้คุมสวรรค์!

 

“พันธมิตรผู้คุมสวรรค์รึ?”

 

เจ้าตำหนักหนานกวงไม่คิดเลยว่ากองทัพเลือดเหล็กนี้จะเกี่ยวข้องกับพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ แม้พันธมิตรผู้คุมสวรรค์จะแข็งแกร่ง พวกเขาก็ไม่เคยเป็นที่รู้จักในความกระหายเลือดเช่นนี้มาก่อน

 

“พันธมิตรผู้คุมสวรรค์น่ะรึ? ไอ้พวกกลุ่มตาขาวน่ะรึ? เป็นไปไม่ได้!”

 

เซี่ยหวู่แปลกใจเมื่อได้ฟังคำตอบ

 

ถ้าเขาจำไม่ผิด พันธมิตรผู้คุมสวรรค์เป็นสำนักที่แปดศักดิ์สิทธิ์รับหน้าที่จัดการ และถ้าหากพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ปรากฏตัวที่นี่พร้อมกับวงแหวน นั่นก็แสดงว่าแปดศักดิ์สิทธิ์ตายไปแล้ว

 

ในตอนนั้น เมื่อเมฆาทมิฬเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ คนจากอาณาจักรทมิฬก็ได้เห็นคนหมื่นคนที่รวมกลุ่มกันอย่างแน่นหนา

 

แต่ละคนมีดวงตาอาบด้วยจิตสังหารอันแข็งแกร่งที่ลุกไหม้อยู่ภายใน หมื่นคนนี้ดูทรงอำนาจเป็นอย่างยิ่ง

 

มีผู้เฒ่ากึ่งภูติหกคนลอยอยู่ด้านหน้ากองทัพนี้ แต่คนที่อยู่หน้าสุดก็คือเด็กหนุ่มผมสีเงิน

 

มีกึ่งภูติสิบหกคนที่ปกป้องเด็กหนุ่มผมสีเงินจากสองด้านและยืนอยู่หลังเขาเล็กน้อย และยังมีภูติระดับสองคนหนึ่งที่ตามเขาอย่างใกล้ชิดราวกับคนรับใช้

 

กองทัพนับหมื่นนี้ถูกนำโดยคนคนเดียว! ภาพอันแปลกประหลาดทำให้เป็นที่สับสนกับคนทั่วไป

 

เซี่ยหวู่ไม่จำเป็นต้องสนใจผู้เฒ่าทั้งหกเพราะพวกเขาคือผู้เฒ่าของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ แต่เรื่องที่พวกเขามีแม้กระทั่งภูติอยู่ด้วยหนึ่งคนนั้นน่าฉงนยิ่งนัก และที่ร้ายกว่านั้นคือมีเด็กหนุ่มเป็นคนนำทัพของพวกเขา

 

ยากที่เขาจะเชื่อว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดกับตาตัวเอง

 

เขาเป็นใครกัน? ทุกคนสงสัยเกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนนี้

 

“หยินหยู!”

 

เจ้าตำหนักหนานกวงตัวแข็งทื่อ ตอนที่นางได้ยินว่าพวกเขาคือพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ นางคิดว่าคนที่เป็นคนผู้นำควรจะเป็นผู้เฒ่าจิว แต่กลับกลายเป็นเด็กหนุ่มผมสีเงินที่นางไม่คุ้นหน้า

 

“หยินหยู!”

 

เสียงดังมาจากข้างๆนาง เสียงนั้นตกตะลึง แปลกใจ และดีใจ

 

เสียงมาจากฮั่วฉีหลาน นางเอามือป้องปากด้วยความตกใจ ในดวงตามีความรู้สึกมากมายอัดแน่นอยู่

 

“นั่นมันเขา!”

 

เจ้าตำหนักหนานกวงสูดหายใจเข้าลึก ความคิดแล่นเข้าหัวไม่หยุด…

 

นางคิดว่าเขาหายตัวไปนานมากแล้ว…

 

จู่ๆเขามานำทัพพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ได้อย่างไร?

 

นางสงสัยด้วยซ้ำว่าฮั่วฉีหลานอาจจะเข้าใจผิด

 

เด็กหนุ่มที่เคยเป็นผู้ร้ายของอาณาจักรทมิฬจะกลายมาเป็นหัวหน้าเหล่าทัพใหญ่ขนาดนี้ได้ยังไง?

 

ความต่างในฐานะทั้งสองทำให้นางพูดไม่ออก

 

“รองเจ้าตำหนักหยินหยูรึ?”

 

เสียงคุ้นหูดังมาจากกลุ่มคน

 

เมื่อซือหยูก้มลงงมองก็พบกลุ่มยอดฝีมือ พวกเขาอ่อนแอ แต่ซือหยูก็จดจำได้

 

พวกเขาเคยเป็นองครักษ์ของตำหนักหยินหยู แม้ว่าซือหยูจำมิอาจจำชื่อได้ เขาก็จดจำใบหน้าได้อย่างชัดเจน

 

เขตหยินหยูก็ตกอยู่ในความโกลาหลเหมือนกันรึ?

 

แววตาซือหยูมีแต่ความเยือกเย็นเมื่อคิดเช่นนี้ เขากำลังคิดว่าความสูญเสียเกิดขึ้นไปแล้วเท่าใด

 

“วู่เหิง เจ้าถูกพวกมันจับเป็นเชลยเรอะ?”

 

เซี่ยหวู่เบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าผู้ศักดิ์สิทธิ์วู่เหิงที่เคยอยู่ฝ่ายเดียวกันได้ยืนอยู่ข้างหลังเด็กหนุ่มผมสีเงิน เขาถามด้วยความแปลกใจ

 

วู่เหิงยักไหล่ถอนหายใจ

 

“ก็อย่างที่เจ้าเห็น…”

 

เซี่ยหวู่ใจสั่นเล็กน้อย มันน่ากลัวที่คิดว่าเด็กหนุ่มผมสีเงินคนนี้จะสามารถทำให้ภูติระดับสองมารับใช้ตัวเองได้!

 

เขามั่นใจว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้ดูธรรมดาอย่างที่ตาเห็น เขาจะต้องมีพลังเทพบางอย่างที่คนอื่นไม่รู้

 

แม้ว่าเซี่ยหวู่จะระวังตัว เขาก็ไม่ได้หวาดกลัว นั่นก็เพราะในด้านฐานพลัง วู่เหิงสามคนรวมกันก็เอาชนะเขาคนเดียวไม่ได้ นอกซะจากเขามีวิชาสังหารอื่น

 

“เจ้าเป็นใครกันแน่?”

 

เซี่ยหวู่จ้องมองซือหยู เพราะว่าทุกคนนอกจากซือหยูก็ไม่ต่างจากหิ่งห้อยในสายตาของเขา

 

“นี่คือเจ้าพันธมิตรคนใหม่ของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ของพวกเรา เจ้าพันธมิตรซือหยู! เซี่ยหวู่ เห็นแก่ความเป็นสหายร่วมสำนัก ข้าขอให้เจ้ายอมแพ้ซะ ถ้าเจ้ายอม ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า”

 

วู่เหิงกล่าว

 

เมื่อเขาพูด เขาได้คิดถึงเรื่องราวที่ซือหยูเคยพบเจอในกระโจมเทพสวรรค์ วู่เหิงยังใจสั่นมาจนถึงตอนนี้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด