พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1095 ลูบหน้าปะจมูก

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1095 ลูบหน้าปะจมูก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
บทที่ 1095 ลูบหน้าปะจมูก

“ข้าจะตายได้ยังไง?” เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ท่ามกลางเพลิงเดือดเขย่าทวนพลางหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “หลานชายเจ้าตายด้วยน้ำมือข้า ลูกศิษย์เจ้าตายด้วยน้ำมือข้า สะใภ้ที่หลานชายเจ้าแต่งงานด้วยก็ถูกข้าแย่งมาทำเมีย ข้าก็ยังอยู่สบายเหมือนเดิม เจ้าจะทำอะไรข้าได้ล่ะ?”

พูดจาโอหังอวดดีเพราะมีเจตนาแน่นอน เขาอยากยั่วยุให้เฟิงเป่ยเฉินออกมาสู้ตายกับเขา

ทว่าคำพูดประเภทนี้ เมื่อดังอยู่ในหูคนอื่นก็ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไร ถึงอย่างไรหน้าของเฟิงเป่ยเฉินก็เหมือนโดนตบเสียงดังเพี้ยะๆ เจ้าตัวโมโหจนตคอกว่า “ข้าให้เจ้าปากดีเสียให้พอใจ!”

สองแขนที่อยู่ใต้แขนเสื้อที่ขาดชูขึ้นฟ้า นอกจากมังกรน้ำที่อยู่เหนือผิวทะเลจะพุ่งขึ้นฟ้าต่อไปแล้ว แนวก้อนน้ำที่อยู่บนฟ้าก็หมุนวนขึ้นมาอย่างรวดเร็วด้วย

ในแนวก้อนน้ำ เหมียวอี้ที่กำลังถือทวนมองไปรอบๆ พบความผิดปกติทันที พื้นที่ว่างที่เขาอยู่เกิดแรงกดดันจากพายุหมุนขนาดใหญ่ กดดันให้เพลิงเดือดที่โหมซัดสาดออกมาหดกลับเข้าไป ทำให้เพลิงเดือดที่เขาปล่อยออกมาลุกโชนอยู่ในพื้นที่ว่างส่วนหนึ่งเท่านั้น

เพียงแต่เมื่ออยู่ภายใต้เพลิงเดือดที่เหมียวอี้ปล่อยออกมา ก้อนน้ำที่อยู่รอบข้างก็ไม่มีทางเข้าใกล้เขาได้เช่นกัน แนวก้อนน้ำไม่มีทางสำแดงอานุภาพการสังหารออกมาได้

เฟิงเป่ยเฉินที่ยืนอยู่บนผิวทะเลพลันโบกมือ สัตว์เทพที่หน้าตาเหมือนสิงโตตัวหนึ่งกระโจนออกมาจากกระเป๋าสัตว์ ร่างกายของมันใหญ่กว่าสิงโตหลายเท่า ทั้งตัวมีขนสีทองระยิบระยับ มันต้านอากาศบินวนอยู่รอบกายเฟิงเป่ยเฉิน ลักษณะน่ายำเกรงดุจเสือ เขี้ยวยาวยื่นห้าวหาญ ดูมีพลังไม่ธรรมดา

คนที่เคยได้ยินมาบ้างต่างก็รู้ว่านี่คือสัตว์พาหนะของหกปราชญ์ สัตว์ตัวนี้ก็คือโห่วขนทอง เป็นสัตว์พาหนะของเฟิงเป่ยเฉิน ถึงแม้จุดเด่นจะไม่ได้อยู่ที่ความเร็วในการบิน และไม่ใช่ว่าสัตว์เทพทุกตัวจะมีจุดเด่นเรื่องความเร็วในการบินเหมือนกันหมด แต่ขนสีทองทั้งตัวนั้นฟันแทงไม่เข้า สามารถเพลิงเดือดที่มีควันพิษออกมา แรงเยอะไม่มีที่สิ้นสุดก็คือข้อได้เปรียบของมัน ตำนานบอกว่าถ้ามันวิวัฒนาการได้ถึงระดับหนึ่ง ก็จะมีพลังสู้กับมังกรได้!

พอเฟิงเป่ยเฉินสะบัดมืออย่างลวกๆ หนึ่งที โห่วขนทองที่บินวนอยู่รอบกายก็กระโจนขึ้นฟ้า แล้วบุกตรงเข้าไปในแนวก้อนน้ำ

“ระวังโห่วขนทอง สัตว์พาหนะของเฟิงเป่ยเฉิน!” ฉินเวยเวยร่ายอิทธิฤทธิ์ส่งเสียงตักเตือนที่เจือด้วยความกังวลมาแต่ไกลๆ

ฟางซู่ซู่ที่อยู่ในทะเลด้วยกันตกใจมาก นึกไม่ถึงว่าฉินเวยเวยจะเปล่งเสียงออกมาในเวลานี้ นางจึงรีบดึงแขนฉินเวยเวย เจตนาจะเตือนว่า นี่เจ้ากลัวคนอื่นหาพวกเราไม่เจอหรืออย่างไร?

เป็นอย่างที่คาดไว้ เฟิงเป่ยเฉินได้ยินแล้วรีบหันมามองแวบหนึ่ง แววตาไปหยุดอยู่บนศีรษะหลายใบที่โผล่อยู่ท่ามกลางคลื่นลูกใหญ่ ถ้าไม่ใช่เพราะฉินเวยเวยส่งเสียงเตือน เขาก็ลืมสังเกตไปชั่วขณะว่าคนพวกนี้ยังไม่หนีไป แต่สำหรับเขาแล้ว ฉินเวยเวยไม่นับว่าสำคัญอะไรเลย ที่แดนเซียนจะมีคนเพิ่มขึ้นสักคนหรือลดไปสักคนก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับเขา

ฉินซีที่อยู่บนไหล่เขาจ้องตามทันที นางขมวดคิ้วมุ่น ท่ามกลางคลื่นลูกใหญ่ที่กระเพื่อมขึ้นลง ศีรษะหลายใบที่โผล่อยู่เหนือผิวน้ำไกลๆ ถ้าไม่เตือนจะมีใครสังเกตเห็น นางเองก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าฉินเวยเวยจะยังไม่หนีไป

กานเจ๋อกวงกลับตกตะลึงเล็กน้อย ในที่สุดครั้งนี้ก็เห็นฟางซู่ซู่ที่อยู่ข้างกายฉินเวยเวยแล้ว พวกนางไปอยู่ด้วยกันได้อย่างไร?

หลังจากฟางซู่ซู่สบตากับเขาแล้ว ในใจก็แอบร้องเช่นกัน พบว่าฉินเวยเวยทำให้นางลำบากแล้ว ต้องโทษตัวเองด้วยเหมือนกัน จะตามพวกฉินเวยเวยมาทำไม?

เหมียวอี้ที่อยู่ท่ามกลางแนวก้อนน้ำได้ยินเสียงของฉินเวยเวยดังแว่วมา เขาตกใจทันที ทำไมยังไม่หนีไปอีก?

ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ คำเตือนของฉินเวยเวยกลับทำให้เขาได้รับคำเตือนล่วงหน้า โห่วขนทองสัตว์พาหนะเฟิงเป่ยเฉิน เขาเองก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน สามารถพ่นเพลิงเดือดควันพิษ ก็แสดงว่ามันไม่กลัวไฟ เขาจึงโบกมือชี้ไปที่พื้น กระบี่เล็กเพลิงจิตหลายเล่มหลบเข้าในทะเลเพลิงอย่างรวดเร็วเพื่อวางกับดักซุ่มโจมตี เขาเองก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าโห่วขนทองจะกลัวเพลิงจิตของเขาหรือไม่

ตรงนี้เพิ่งจะเตรียมตัวเสร็จ ในทะเลเพลิงที่อยู่เหนือศีรษะจู่ๆ ก็มีหัวขนาดยักษ์ของสิงโตขนทองโผล่ออกมา “กรร!” เสาควันสีดำสายหนึ่งพุ่งเข้ามาท่ามกลางเสียงคำรามที่ดังสะเทือนฟ้า ควันพิษที่มันพ่นออกมาไม่กลัวไฟ เมื่อเจอไฟกลับยิ่งลุกโชนด้วยซ้ำ

เสียงคำรามดังก้องอยู่ในพื้นที่ว่างที่แนวก้อนน้ำไม่หยุด

เหมียวอี้โบกทวนตีเสาควันที่พ่นเข้ามาให้กระจายออกไป แล้วก็ถือทวนไล่ตามสังหารเข้าไป

เห็นได้ชัดว่าโห่วขนทองก็รู้จักความคมของทวนวิเศษเหมือนกัน มันถลันตัวถอยหลังทันที ไม่ปะทะหน้ากับเขาตรงๆ หลบหายเข้าไปในแนวก้อนน้ำอีกครั้ง มีเฟิงเป่ยเฉินวางค่ายกลช่วย ถ้าเหมียวอี้คิดจะหามันให้พบในแนวก้อนน้ำก็ไม่น่าจะเป็นไปได้

ต่อจากนั้น โห่วขนทองก็ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในแนวก้อนน้ำ พ่นควันพิษใส่เขาไปทั่วทุกที่ ภายใต้แรงดันอากาศที่หมุนวนของแนวก้อนน้ำ ใช้เวลาไม่นานรายกายเหมียวอี้ก็ถูกปกคลุมด้วยควันพิษสีดำ พอลองสัมผัสดูนิดหน่อย เหมียวอี้ก็รู้ทันทีว่าควันพิษสามารถกัดกร่อนเกราะพลังอิทธิฤทธิ์ได้ แต่การที่เฟิงเป่ยเฉินคิดจะใช้สิ่งนี้สู้กับเขา ก็เหมือนจะเป็นความคิดที่ผิดแล้ว

ท่ามกลางการบุกทางนั้นทีบุกทางนี้ที ในที่สุดโห่วขนทองก็อยู่ในขอบเขตกับดักที่วางเอาไว้แล้ว พอเหมียวอี้กำหมัด กระบี่เล็กเพลิงจิตนับร้อยเล่มก็ยิงโอบล้อมออกมาพร้อมกันทันที

“กรร!” โห่วขนทองคำรามอย่างดุดัน บนสีทองบนตัวราวกับเป็นเกราะอ่อนๆ หนึ่งชั้น กระบี่เล็กเพลิงจิตไม่มีทางโจมตีทะลุได้เลย แต่กลับสลายกลายเป็นเพลิงเดือดในชั่วพริบตาเดียว ส่วนกระบี่ที่แทรกซึมเข้าไปก็ลุกไหม้อยู่ในซอกขน

“อู…อู…” เสียงคำรามของโห่วขนทองเปลี่ยนเป็นเสียงร้องน่าเวทนาทันที แล้วก็พลิกตัวไปมาอยู่อย่างนั้น

เฟิงเป่ยเฉินกำลังยืนอยู่บนผิวทะเล กำลังขมวดคิ้วแปลกใจว่าทำไมควันพิษของโห่วขนทองถึงยังทำให้เหมียวอี้ตายไม่ได้ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องอันน่าเวทนาของโห่วขนทอง ทำให้เขาตกใจทันที รีบร่ายอิทธิฤทธิ์เรียกให้มันกลับมา

มีหรือที่เหมียวอี้จะปล่อยให้โห่วขนทองหนีไปง่ายๆ เขาฉวยโอกาสพุ่งตรงเข้าไปตอนที่โห่วขนทองกำลังหมุนตัวอย่างสับสนและไม่รู้จักหลบหนี  แล้วใช้ทวนเกล็ดย้อนโจมตีอย่างแน่วแน่ ทวนแทงสอดเกี่ยวเข้าไปในศีรษะใบใหญ่ของสิงโตขนทองแล้ว พอโบกทวนปาดหนึ่งที ก็ทำให้ร่างกายขนาดยักษ์ของมันปลิวออกมา

“ไอ้จัญไร!” เมื่อสัมผัสได้ว่าโห่วขนทองเผชิญความลำบาก เฟิงเป่ยเฉินก็ตะโกนอุทานอย่างโมโห

เหมียวอี้โบกมือเรียกเพลิงจิตกลับมา แล้วหัวเราะเยาะพร้อมตอบว่า “ไอ้แก่เฟิง ยังมีวิธีการอะไรก็งัดออกมาใช้ให้หมด ท่านเหมียวจะรออยู่ตรงนี้!”

ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่การต่อสู้อยู่บนผิวทะเลหรือบนไหล่เขา เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็รู้ทันทีว่าเฟิงเป่ยเฉินเสียเปรียบให้เหมียวอี้อีกแล้ว ทุกคนตกตะลึงในใจ อย่าบอกนะว่าแม้แต่ปราชญ์เต๋าก็ทำอะไรเขาไม่ได้จริงๆ อย่าบอกนะว่าลำดับของพิภพเล็กจะต้องเขียนแก้ใหม่แล้ว?

เฟิงเป่ยเฉินที่ยืนอยู่บนผิวทะเลกล่าวเสียงดุดันว่า “ไอ้จัญไร ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะมีไฟให้เผาอีกสักเท่าไร!”

เหมียวอี้หัวเราะลั่น “เฒ่าจัญไรอย่ากลัวไปเลย ผลึกบรมอัคคีที่เจ้าใช้หลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรตอนแรกอยู่ในมือข้าหมดแล้ว เพียงพอให้ข้าเผาได้อีกหลายปี ว่าแต่เจ้าเถอะ รักษาค่ายกลขนาดใหญ่เท่านี้เอาไว้ ไม่รู้ว่าพลังอิทธิฤทธิ์ของเจ้าจะยืนหยัดได้นานแค่ไหนกัน หวังว่าจะทนได้จนกว่ามู่ฝานจวินจะตามมาถึงนะ”

ที่จริงเขาอยากจะบอกเฟิงเป่ยเฉินมาก ว่าเจ้าจัดการข้าแบบนี้ไม่ใช่วิธีการที่ดีเลย ถ้าไม่สู้ตายกับข้าให้จบๆ ไป ก็รีบวางมือเสียแต่เนิ่นๆ เถอะ

แต่ใครจะคิดว่านี่กลับเป็นคำเตือนให้เฟิงเป่ยเฉิน เสียเวลาแบบนี้ต่อไปก็ทำอะไรเหมียวอี้ไม่ได้จริงๆ ถ้ามู่ฝานจวินตามมาถึง แล้วมู่ฝานจวินกับไอ้เหมียวจัญไรร่วมมือกัน เกรงว่าคนที่ซวยก็จะเป็นเขา

เป็นอย่างที่เหมียวอี้ปรารถนา เฟิงเป่ยเฉินเด็ดขาดถึงขีดสุด พอกางแขนสองข้าง ก็เลิกใช้พลังอิทธิฤทธิ์ควบคุมแนวก้อนน้ำทันที เกิดเสียงดังซวบ เขาเหาะขนาบกับผิวทะเลไปอย่างรวดเร็ว

ทิศทางที่เขามุ่งไปกลับทำให้ฉินซีอกสั่นขวัญแขวน

เสียงดังโครมคราม ก้อนน้ำที่ลอยอยู่เต็มท้องฟ้าตกลงบนผิวทะเล เหมียวอี้ที่รีบกวาดตามองหาเฟิงเป่ยเฉินพลันเบิกตากว้าง รู้สึกเป็นกังวลมากเช่นกัน โบกมือปล่อยตั๊กแตนห้าตัวออกมาทันที ปล่อยให้บินไล่ตามเฟิงเป่ยเฉินอย่างรวดเร็ว

ทิศทางที่เฟิงเป่ยเฉินไปก็คือจุดที่พวกฉินเวยเวยอยู่

พวกฉินเวยเวยตกใจมาก ภายใต้ความวิตกกังวล ฉินเวยเวยตะโกรอย่างร้อนใจว่า “ทุกคนแยกย้ายกันหนี!”

ผู้หญิงทั้งสี่คนแยกย้ายกันดำลงใต้ผิวทะเลทันที แยกย้ายกันหลบหนี

เฟิงเป่ยเฉินไม่ได้สนใจว่าทั้งสี่จะแยกย้ายกันหลบหนีหรือไม่ เพราะเขากำหนดไว้เป้าหมายเดียว นั่นก็คือฉินเวยเวย เขาขี้คร้านจะสนใจพวกที่เหลือ เขาฟาดฝ่ามือแยกผิวทะเลออก แล้วพุ่งตัวลงมา ผิวทะเลยังไม่ทันหุบเข้าหากัน เฟิงเป่ยเฉินก็ใช้ฝ่ามือข้างเดียวบีบคอฉินเวยเวยพุ่งขึ้นมาบนฟ้าแล้ว

เมื่ออยู่ในน้ำมือของเขา ฉินเวยเวยก็ไม่มีแรงที่จะตอบโต้ใดๆ เลย

เฟิงเป่ยเฉินเองก็ตกใจจนเหงื่อกาฬท่วมตัวเช่นกัน ตอนนี้เขาถูกตั๊กแตนห้าตัวล้อมไว้แล้ว เขานึกไม่ถึงว่าตั๊กแตนห้าตัวจะบินเร็วขนาดนี้ ถ้าเหมียวอี้ปล่อยตั๊กแตนห้าตัวออกมาก่อนหน้านี้ เกรงว่าตนคงจะมีโอกาสรอดน้อยมาก

เมื่อเห็นตั๊กแตนห้าตัวตรงหน้าเตรียมจะโจมตี เฟิงเป่ยเฉินก็รีบหิ้วคอฉินเวยเวยขึ้นมาคุมสถานการณ์ ชัดเจนว่ากำลังบอกเหมียวอี้ว่า ถ้ากล้าลงมือซี้ซั้ว ข้าก็จะบีบคอนางให้นาย

เหมียวอี้ถือทวนพุ่งตามมาทีหลัง เมื่อเห็นฉินเวยเวยทำสีหน้าทุกข์ทรมานและขยับตัวลำบาก ก็เรียกได้ว่าโมโหจนตาแทบถลนออกมา เขาแค้นจนอยากจะเอาทวนแทงตัวเองให้ตาย นึกเสียใจทีหลังเป็นอย่างมาก

เขาไม่โทษฉินเวยเวยที่ขัดคำสั่งเขาและไม่หนีไปให้ทันเวลา ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาก็คงไม่สามารถมองดูฉินเวยเวยประสบอันตรายแล้วทิ้งนางไว้เพื่อหนีไปเช่นกัน โทษแต่ตัวเองที่ไม่ใช้กำลังทั้งหมดที่มีฆ่าเฒ่าจัญไรอย่างเฟิงเป่ยเฉินทิ้งไปเสีย

ที่จริงตอนแรกเขาสามารปล่อยตั๊กแตนห้าตัวออกมาช่วยต่อสู้ได้ แต่เขาอยากจะทดสอบพลังของหกปราชญ์ว่าเป็นอย่างไรกันแน่ มีเจตนาอยากจะประมือกับเฟิงเป่ยเฉินเพื่อทดสอบฝีมือ เผื่อตอนหลังยามแปรพักตร์กับหกปราชญ์จะได้มีความมั่นใจ ผลปรากฏว่าทดสอบจนเกิดปัญหาใหญ่แล้ว

เมื่อเห็นเหมียวอี้ลูบหน้าปะจมูก เฟิงเป่ยเฉินก็หัวเราะหึหึ “ไอ้จัญไร! ส่งของที่อยู่บนตัวเจ้าออกมา แล้วข้าจะปล่อยนางไป แล้วจะไว้ชีวิตพวกเจ้า!” ขณะที่พูดก็ชี้เกราะรบและทวนวิเศษบนตัวเหมียวอี้ แล้วก็กำไรเก็บสมบัติด้วย

เหมียวอี้จะไปเชื่อคำพูดนี้ได้อย่างไร ถ้าส่งของออกไป เกรงว่าจะตายทั้งเขาทั้งฉินเวยเวย จึงกล่าวเสียงต่ำทันทีว่า “เวยเวย! ถ้าเจ้ามีอันเป็นไป ข้าจะล้างแค้นแทนเจ้าเอง!”

คำพูดนี้แสดงออกชัดเจนมากว่าปฏิเสธคำขอเสนอของเฟิงเป่ยเฉิน

เฟิงเป่ยเฉินมองไปรอบๆ ไม่สะดวกจะอยู่ที่นี่นานจริงๆ ตัวประหันในมือสามารถทำให้เหมียวอี้ลูบหน้าปะจมูกได้ แต่ถ้ามู่ฝานจวินมาถึง เขาก็บีบจุดอ่อนของมู่ฝานจวินไม่ได้ จึงเสยะยิ้มทันที “ไอ้จัญไร ใจแข็งใช้ได้เลย! ไม่เป็นไรหรอก ข้าให้เวลาเจ้าคิดสักหน่อยก็แล้วกัน ถ้าคิดได้แล้วก็มาหาข้าที่นภาอู๋เลี่ยง!”

ชัดเจนว่ากำลังใช้ฉินเวยเวยเป็นโล่กำบัง เขาพุ่งฝ่าวงล้อมของตั๊กแตนออกไปทันที

เมื่อเห็นเหมียวอี้ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเหมียวอี้ค่อนข้างเป็นห่วงผู้หญิงคนนี้ ระหว่างนี้มีเวลาให้ทำอะไรมากมาย เขาหัวเราะลั่นพร้อมจากไปทันที

แต่ไม่นานก็หัวเราะไม่ออกแล้ว เขามาเหยียบบนไหล่เขา เห็นเพียงกานเจ๋อกวงแค่คนเดียว แต่กลับไม่เห็นฉินซี จึงถามอย่างตกใจ “ฮูหยินล่ะ?”

กานเจ๋อกวงตอบอย่างระมัดระวังปนหวาดกลัวว่า “ฮูหยินเห็นท่านปราชญ์จับตัวประกัน กลัวว่าฝ่ายศัตรูจะใช้วิธีการเดียวกันโต้ตอบ มาจับนางเป็นตัวประกัน จึงบอกว่าจะหนีไปก่อนขอรับ”

เหมียวอี้ที่ตามหลังมาได้ยินแล้วกระอักเลือด ทำไมลืมไปได้ว่าควรจับฉินซีเป็นตัวประกัน ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะพลาดโอกาสดีๆ แบบนี้ไปแล้ว!

เมื่อเห็นฉินเวยเวยประสบอันตราย เขาเองก็กังวลไปชั่วขณะเช่นกัน สนใจแต่จะช่วยชีวิตฉินเวยเวย ไม่ได้คิดถึงอย่างอื่น

“ฮ่าๆ!” เฟิงเป่ยเฉินหัวเราะลั่น “สมกับเป็นฮูหยินของข้า!” จากนั้นก็หันขวับกลับมา ชูร่างของฉินเวยเวยพร้อมขู่ว่า “ถ้าไม่อยากให้นางได้รับความทรมานทางร่างกาย เจ้าก็ต้องซื่อสัตย์หน่อย ห้ามตามมา ถ้าคิดได้แล้วค่อยมาที่นภาอู๋เลี่ยง!”

พอพูดจบก็ลงมืออย่างกะทันหัน ประทับฝ่ามือลงบนหน้าอกของกานเจ๋อกวงอย่างแรงหนึ่งที

ปั้ง! กานเจ๋อกวงไม่ทันได้ร้องออกมาด้วยซ้ำ ร่างระเบิดแยกออกจากกันแล้ว เลือดเนื้อระเบิดกระจาย

เขาเองก็นับว่าตายอย่างไร้ความยุติธรรมเช่นกัน เหตุผลแค่เพราะเขาได้เห็นเฟิงเป่ยเฉินสะบักสะบอมจนตรอกอยู่ภายในน้ำมือของเหมียวอี้

จากนั้นเฟิงเป่ยเฉินก็ผนึกวรยุทธ์ของฉินเวยเวย เก็บนางเข้ากระเป๋าสัตว์ แล้วแฉลบไปบนท้องฟ้าด้วยความเร็วสูง ทิ้งไว้เพียงเสียงหัวเราะเยาะ

ตึง! เหมียวอี้กระทุ้งทวนลงบนพื้น ผิวดินแยกออกจากกัน ได้แต่มองดูเฟิงเป่ยเฉินหนีไปไกลโดยทำอะไรไม่ได้

“เหมียวอี้!” จู่ๆ เสียงที่นุ่มนวลของผู้หญิงก็ดังมา

เหมียวอี้เหล่ตามองแวบหนึ่ง ทำให้รู้สึกอึ้งอยู่บ้าง พบว่าผู้ที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นฉินซีฮูหยินของเฟิงเป่ยเฉิน ผู้หญิงคนนี้เป็นยอดหญิงงามท่างกลางโลกมนุษย์อย่างแท้จริง

พยายามหาแทบตายแต่ไม่เจอ พอเลิกหาเลิกสนใจ กลับได้มาง่ายๆ แบบคาดไม่ถึงเสียอย่างนั้น ฉินซีลอยมาเหยียบลงตรงหน้า เหมียวอี้ชี้ทวนออกมาแล้ว หัวทวนแหลมคมกำลังจ่ออยู่บนหน้าอกของนาง

ฉินซีไม่สะทกสะท้าน กล่าวเสียงเรียบว่า “เจ้าจับข้าไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก ชีวิตเดียวของข้าขู่อะไรคนแบบเฟิงเป่ยเฉินไม่ได้ ถ้าอยากจะช่วยชีวิตฉินเวยเวยกลับมา เจ้าต้องไปจับลูกสาวของโม่หมิง เจ้าสำนักงามวิจิตรมาเดี๋ยวนี้ มีเพียงการจับโม่จวินหลันเท่านั้น ถึงจะสามารถตัวฉินเวยเวยกลับมาได้”

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด