พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1222 ผู้วางค่ายกล

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1222 ผู้วางค่ายกล at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

<p>ภายนอกของเคล็ดวิชาสามารถปลอมแปลงกันได้ แต่สูตรท่องจำของเคล็ดวิชากลับไม่สามารถปลอมแปลงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานี้ สมาชิกของตำหนักสวรรค์ที่เข้าร่วมการทดสอบบุกเข้ามาพอดี เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายกำลังป้องกันว่าพวกเขาเป็นสายลับที่ตำหนักสวรรค์ส่งมาหรือไม่</p>
<p>ถ้าไม่ตอบตกลงก็จะฆ่าอย่างไม่ปรานี ไม่มีที่เหลือให้เจรจาต่อรองใดๆ ซือถูเซี่ยวสามารถปฏิเสธได้เหรอ? ไม่มีทางปฏิเสธได้!</p>
<p>เขานำหน้ากากใส่ไว้บนหน้าอีกครั้งอย่างช้าๆ แล้วบอกว่า &#8220;ข้าท่องทั้งหมดไม่ได้หรอก ข้าฝึกแค่ภาคดิน&#8221;</p>
<p>&#8220;ข้าก็ฝึกแค่ภาคดินเหมือนกัน ท่องของภาคดินมาแค่ส่วนหนึ่งก็พอ&#8221; ชายชราชุดดำกล่าว</p>
<p>&#8220;ท่านพูดคำไหนคำนั้นนะ?&#8221; ซือถูเซี่ยวถาม</p>
<p>&#8220;เจ้ามีทางเลือกด้วยเหรอ?&#8221; ชายชราชุดดำตอบ</p>
<p>&#8220;ไม่มี!&#8221; ซือถูเซี่ยวส่ายหน้า แล้วถามอีกว่า &#8220;ท่องต่อหน้าคนเยอะๆ จะเหมาะเหรอ?&#8221;</p>
<p>&#8220;ถ่ายทอดเสียงท่อง&#8221; ชายชราชุดดำตอบ</p>
<p>ซือถูเซี่ยวถอนหายใจอย่างอับจนปัญญา จะไม่เชื่อฟังก็ไม่ได้ เพราะไม่มีทางหนีทีไล่ใดให้รับมือ ทำได้เพียงเริ่มถ่ายทอดเสียงท่อง</p>
<p>พวกเหมียวอี้ล้วนกำลังจ้องมองมาทางนี้ ทุกคนล้วนจ้องมาทางนี้</p>
<p>พอสูตรของเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางถูกถ่ายทอดเสียงท่องออกมาจากปากซือถูเซี่ยว ก็เห็นชายชราชุดดำทำสีหน้านิ่งขรึมทันที สายตาจ้องเขม็งที่ตัวซือถูเซี่ยว ในแววตาเต็มไปด้วยความสับสนประหลาดใจ</p>
<p>ยังไม่ทันรอให้ซือถูเซี่ยวท่องจบ ชายชราชุดดำก็ถอนหายใจเบาๆ แล้ว เขาบอกต่อหน้าทุกคนว่า &#8220;ไม่ต้องท่องแล้ว! ชายชราผู้นี้คือเหลิ่งจัวฉุน ขุนพลของประมุขปราชญ์ลัทธิผี เจ้าชื่ออะไร?&#8221;</p>
<p>&#8220;ซือถูเซี่ยว!&#8221; ซือถูเซี่ยวตอบ แล้วถามว่า &#8220;ตอนนี้ปล่อยพวกเราไปได้รึยัง?&#8221;</p>
<p>ชายชราชุดดำมองซ้ายมองขวาพร้อมบอกว่า &#8220;นั่นก็ต้องถามความเห็นพวกเขาก่อน&#8221;</p>
<p>พอพูดจบ พระที่สวมจีวรสีเทาก็พลันยื่นมือออกมา ฉางเหลยถูกอีกฝ่ายดูดเข้ามาหาอย่างจนใจมาก พระชราไม่พูดพร่ำทำเพลง บอกเพียงว่า &#8220;ถ่ายทอดเสียงท่องหฤทัยสูตรสุขาวดีให้ข้าฟังหน่อย&#8221;</p>
<p>ขณะมองดูพระตรงหน้าที่ผิวกายค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีทองแดงประหลาด ฉางเหลยก็หันมองซือถูเซี่ยวที่อยู่ข้างกาย เมื่อมีบทเรียนให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว แล้วเขาจะทำอย่างไรได้อีก ทำได้เพียงถ่ายทอดเสียงท่องหฤทัยสูตรสุขาวดีเช่นกัน</p>
<p>หลังจากท่องไปได้ส่วนหนึ่ง พระที่ผิวสีทองแดงก็พยักหน้าพูดตัดบทว่า &#8220;ไม่ต้องท่องแล้ว&#8221; จากนั้นก็หันซ้ายหันขวา &#8220;ทางข้าไม่ผิดพลาด&#8221; จากนั้นหันมามองฉางเหลยอีก &#8220;อาตมามีฉายานามว่ากุยอู๋ ท่านล่ะ?&#8221;</p>
<p>&#8220;ฉางเหลย!&#8221; ฉางเหลยประนมมือตอบ</p>
<p>&#8220;ตูหยวนฮ่าว คนไหนฝึกเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน?&#8221; ชายชราชุดดำที่ปล่อยผมกระเซิงเหมือนคนบ้าพลันเอ่ยถาม</p>
<p>ตูหยวนฮ่าวชี้ไปที่อวิ๋นอ้าวเทียน &#8220;เขา ชื่อว่าอวิ๋นอ้าวเทียน&#8221;</p>
<p>ชายชราที่สภาพเหมือนคนบ้ากลับไม่ได้ลากตัวอวิ๋นอ้าวเทียนเข้ามา แต่ตะโกนสั่งโดยตรงว่า &#8220;ข้าคือตานฉิง ถ่ายทอดเสียงท่องเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานให้ข้าฟังหน่อย&#8221;</p>
<p>อวิ๋นอ้าวเทียนเอียงหน้าเล็กน้อยมองเหมียวอี้ที่กำลังเหลียวซ้ายแลขวาเหมือนวางแผนร้ายอะไรอยู่ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็หันมาท่องเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานให้คนที่ชื่อตานฉิงฟัง</p>
<p>หลังจากท่องไปได้ส่วนหนึ่ง ตานฉิงก็พูดตัดบท &#8220;พอแล้ว! ของข้าก็ไม่ผิดพลาดเหมือนกัน&#8221;</p>
<p>นักพรตปีศาจคนหนึ่งที่ตาโตเหมือนระฆังทองแดงยื่นกรงเล็บเข้ามา จีฮวนที่เป็นนักพรตปีศาจเช่นเดียวกันไถลตัวไปตรงหน้าเขาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ตูหยวนฮ่าวเป็นฝ่ายแนะนำเองว่า &#8220;คนนี้ชื่อจีฮวน&#8221;</p>
<p>ชายชราที่ตาโตเหมือนระฆังกล่าวเสียงหยาบทุ้มว่าว่า &#8220;ข้าชื่อจ่างหง ท่อง!&#8221;</p>
<p>จีฮวนยังไม่ทันท่องจบ ตูหยวนฮ่าวก็แนะนำเหมียวอี้กับมู่ฝานจวินแล้ว ทั้งสองถูกร่ายอิทธิฤทธิ์ดึงออกไปพร้อมกัน</p>
<p>ชายชราชุดขาวดุจหิมะที่เรียกตัวเองว่า &#8216;เมิ่งหรู&#8217; มองสำรวจมู่ฝานจวินศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง แล้วถามว่า &#8220;เจ้าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย?&#8221;</p>
<p>เห็นได้ชัดว่ามองออกแล้วว่ามู่ฝานจวินเป็นผู้หญิง แต่เป็นเพราะเคยเข้าใจผิดซือถูเซี่ยว ท่านนี้จึงดูเหมือนไม่ค่อยกล้าแน่ใจ</p>
<p>&#8220;ผู้หญิง&#8221; มู่ฝานจวินตอบ</p>
<p>เมิ่งหรูเอียงหน้ามองซือถูเซี่ยวแวบหนึ่ง  แล้วขมวดคิ้วพึมพำว่า &#8220;สังคมภายนอกเป็นอะไรไปหมดแล้ว? ทำไมผู้ชายถึงไม่เหมือนผู้ชาย ผู้หญิงถึงไม่เหมือนผู้หญิง…ท่อง!&#8221;</p>
<p>ส่วนเหมียวอี้ก็โดนชายชราชุดคลุมเหลือที่ชื่อว่า &#8216;สืออวิ๋นเปียน&#8217; จ้องแล้ว สั่งคำเดียวว่า &#8220;ท่อง!&#8221;</p>
<p>&#8220;ท่องอะไร?&#8221; เหมียวอี้ถามด้วยท่าทางกินปูนร้อนท้อง</p>
<p>อวิ๋นอ้าวเทียน จีฮวน ฉางเหลย ซือถูเซี่ยวที่ท่องเสร็จแล้วหันมามองเหมียวอี้ที่อยู่ทางนี้พร้อมกัน</p>
<p>&#8220;ก็ต้องเป็นมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงอยู่แล้ว&#8221; สืออวิ๋นเปียนกล่าว</p>
<p>&#8220;อ๋อ!&#8221; เหมียวอี้คิดเงียบๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถ่ายทอดเสียงท่อง ตอนแรกที่เขาอยากจะฝึกวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้ากับมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง เขาก็จดจำได้บ้างเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าตอนนี้จะได้นำออกมาใช้งานแล้ว</p>
<p>สืออวิ๋นเปียนกำลังหรี่ตาฟัง แต่ใครจะคิดว่าหลังจากเหมียวอี้ท่องไปได้นิดหน่อย ก็เป็นฝ่ายหยุดท่องเองโดยที่เขาไม่ได้สั่งให้หยุด</p>
<p>สืออวิ๋นเปียนลืมตาขึ้น แล้วถามว่า &#8220;ทำไมไม่ท่องแล้ว?&#8221;</p>
<p>พวกอวิ๋นอ้าวเทียนได้ยินแล้วหัวใจกระตุกวูบ</p>
<p>เหมียวอี้อบร้องในใจว่าซวยแล้ว เขาฝึกมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงไม่สำเร็จ จำได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้ฝึกช่วงหลังจึงไม่ได้ท่องไว้ เขาพยายามท่องอย่างช้าๆ แล้ว หวังว่าจะสามารถตบตาได้ แต่ใครจะคิดว่าตาแก่ที่อยู่ตรงข้ามจะไม่สั่งให้หยุด เขาทำได้เพียงหยุดเอง ประเด็นสำคัญคือถ้าท่องมั่วก็จะตบตาอีกฝ่ายไม่ได้</p>
<p>โชคดีที่ยามหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้เขาไม่ได้อ่อนด้อยฝีมือ กล่าวด้วยท่าทางสบายใจไร้กังวลว่า &#8220;ข้าไม่ได้ฝึกมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงเสียหน่อย อ่านแล้วรู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าสนใจก็เลยล้มเลิก จะไปจำหมดได้ยังไง ผู้อาวุโสสือ ท่านจะให้ข้าท่องสิ่งนี้ไปทำไม?&#8221;</p>
<p>ชั่วพริบตานั้น ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นเงียบกริบ ทุกสายตาจับจ้องไปที่เหมียวอี้คนเดียว</p>
<p>หลังจากสืออวิ๋นเปียนชะงักไปพักหนึ่ง ก็ถามเสียงต่ำว่า &#8220;มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง หนึ่งในหกเคล็ดวิชาพิเศษ เจ้าบอกว่าไม่สนใจงั้นเหรอ?&#8221;</p>
<p>เหมียวอี้รีบแก้คำพูด &#8220;ก็ไม่เชิงว่าไม่สนใจ แค่ตอนนี้ยังไม่ได้ฝึกก็เท่านั้นเอง&#8221;</p>
<p>สืออวิ๋นเปียนทำสีหน้าเหมือนโดนตะคริวกิน ยื่นมือกล่าวว่า &#8220;งั้นเอาเคล็ดวิชาออกมาให้ข้าดูหน่อย&#8221;</p>
<p>เหมียวอี้จะกล้านำเคล็ดวิชาติดตัวไว้ได้อย่างไรกัน ตอนเข้านรกจะต้องถูกค้นตัว หากถูกพบว่าบนตัวมีมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงก็แย่แล้ว เขาย่อมไม่ได้พกมาด้วย จะนำออกมาได้อย่างไรกัน เขาตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า &#8220;ไม่ได้พกติดตัว ซ่อนเอาไว้แล้ว&#8221;</p>
<p>&#8220;&#8230;&#8221; สืออวิ๋นเปียนพูดไม่ออกนิดหน่อย ได้แต่จ้องเหมียวอี้ และไม่มีทางแน่ใจด้วยว่าสิ่งที่เหมียวอี้พูดเป็นความจริงหรือโกหก ถึงอย่างไรเหมียวอี้ก็ท่องออกมาส่วนหนึ่งแล้วจริงๆ</p>
<p>ตอนนี้เหมียวอี้กังวลมากว่าเจ้าหมอนี่จะมาค้นตัวเขา เพราะบนร่างกายเขามีของของตำหนักสวรรค์อยู่ ถ้าถูกค้นและจับได้ว่าตัวเองเป็นคนของตำหนักสวรรค์ โจรกบฏกลุ่มนี้จะต้องจับเขาถลกหนังทั้งเป็นแน่นอน</p>
<p>จู่ๆ สืออวิ๋นเปียนก็ยื่นมือมาดึงคอเสื้อของเหมียวอี้เอาไว้ แล้วถามด้วยน้ำเสียงเดือดดาลว่า &#8220;เจ้าไม่ได้ฝึกมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงแล้วถ่อมาทำอะไรที่นี่?&#8221;</p>
<p>เหมียวอี้ชี้ไปที่ตูหยวนฮ่าว พลางตอบอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก &#8220;พวกเราก็ไม่ได้อยากมาหรอก เป็นขุนพลที่จับพวกเรามา</p>
<p>ตูหยวนฮ่าวอ้าปากค้างพูดไม่ออก</p>
<p>&#8220;เจ้า…&#8221; สืออวิ๋นเปียนเดือดดาลมาก</p>
<p>&#8220;เฒ่าสือ!&#8221; กลับเป็นเมิ่งหรูที่เพิ่งตรวจสอบมู่ฝานจวินเสร็จที่เอ่ยห้ามเขาไว้ &#8220;อย่าบุ่มบ่าม&#8221;</p>
<p>สืออวิ๋นเปียนกล่าวเสียงต่ำว่า &#8220;คนคนนี้มีปัญหา ใครจะไปรู้ว่าเขาพูดจริงหรือโกหก ดีไม่ดีอาจจะมีปัญหากันหมดทั้งหกคน&#8221;</p>
<p>เมื่อกล่าวมาแบบนี้ ก็ทำให้พวกอวิ๋นอ้าวเทียนอกสั่นขวัญแขวนทันที</p>
<p>เมิ่งหรูโบกมือ แล้วชี้ไปด้านนอกท้องฟ้า เหมือนกำลังบอกใบ้อะไรสักอย่าง</p>
<p>สืออวิ๋นเปียนพ่นเสียงทางจมูก แล้วใช้มือผลักเหมียวอี้ออกไป</p>
<p>เมิ่งหรูมองเหมียวอี้ศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง แล้วก็กวาดสายตามองพวกอวิ๋นอ้าวเทียนอีก &#8220;ทุกคนตามข้ามา&#8221;</p>
<p>เขาเหาะขึ้นฟ้านำไปก่อน แล้วสืออวิ๋นเปียนก็ตะคอกสั่งพวกเหมียวอี้ที่กำลังมองหน้ากันเลิกลั่กว่า &#8220;ยังไม่รีบตามไปอีก&#8221;</p>
<p>สิ่งที่เรียกว่า &#8216;อีกฝ่ายมีอำนาจชี้เป็นชี้ตาย แต่ตัวเองเป็นเนื้อบนเขียง&#8217; คืออะไรล่ะ? พวกเหมียวอี้มีควารู้สึกแบบนี้แหละ แต่ก็ช่วยไม่ได้ ทำได้เพียงพุ่งตัวขึ้นฟ้าตามไป</p>
<p>ไม่ใช่แค่พวกเขาเท่านั้น คนหลายสิบคนที่ยืนอยู่นอกตำหนักก็พุ่งขึ้นฟ้าเช่นกัน</p>
<p>ทุกคนพุ่งฝ่าเมฆดำ เหาะฝ่าชั้นบรรยากาศออกไปอยู่ในดาราจักร ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์หกคนเหาะนำทางอยู่ข้างหน้า พวกเหมียวอี้ตามอยู่ข้างหลัง พอหันกลับมามองข้างหลัง แต่ละคนก็เรียกได้ว่าอกสั่นขวัญแขวน ตอนนี้ถึงได้พบว่าสามสิบกว่าคนที่ตามอยู่ข้างหลังล้วนเป็นนักพรตที่มีระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ</p>
<p>พวกเขาไม่ได้เหาะไปไกลนัก หยุดลอยอยู่ในท้องฟ้านอกดาวรองดวงหนึ่งที่โคจรรอบดาวหลัก ที่ดาวรองดวงนั้นมีดาวเสริมสิบเอ็ดดวงโคจรอยู่รอบๆ ดาวเคราะห์สิบสองดวงนี้ล้วนถูกหมอกสีเลือดปกคลุม มองเห็นสถานการณ์บนดาวเคราะห์ได้ไม่ชัดเจน</p>
<p>พวกอวิ๋นอ้าวเทียนไม่รู้ว่าโจรกบฏกลุ่มนี้พาพวกเขามาทำอะไรที่นี่ มีเพียงเหมียวอี้ที่พอกวาดสายตาเจอดาวเคราะห์สิบสองดวงแล้ว สายตาก็ไปหยุดอยู่ตรงดาวรองตรงกลางที่ถูกโคจร  ในใจแอบมีความสุขเล็กน้อย</p>
<p>ตำแหน่งคร่าวๆ ของภาพพิกัดดาวบนแผนที่ซ่อนสมบัติ เมื่อเจอตำแหน่งคร่าวๆ แล้วถึงจะหาตำแหน่งที่เฉพาะเจาะจงได้</p>
<p>แค่มองปราดเดียวเขาก็รู้แล้วว่าเป็นที่ซ่อนเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางภาคดิน มันอยู่บนดาวรองที่มีดาวเสริมสิบสองดวงโคจรรอบๆ นั่นเอง พยายามหาแทบตายแต่ไม่เจอ พอเลิกหาเลิกสนใจ กลับได้มาง่ายๆ แบบคาดไม่ถึงเสียอย่างนั้น</p>
<p>มองซ้ายก็แล้วมองขวาก็แล้ว ก็ยังไม่เข้าใจว่าการที่โจรกบฏกลุ่มนี้พาตัวเองมาถึงที่ซ่อนสมบัติหมายความว่าอย่างไร</p>
<p>เมิ่งหรูที่จ้องมองอยู่พักหนึ่งหันตัวมามองพวกเหมียวอี้ แล้วชี้ไปยังดาวเคราะห์สิบสองดวงพร้อมถามว่า &#8220;เห็นดาวเคราะห์สิบสองดวงนั่นหรือยัง?&#8221;</p>
<p>พวกเหมียวอี้สบตากันแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าตอบพร้อมกันว่า &#8220;เห็นแล้ว&#8221;</p>
<p>เมิ่งหรูกล่าวอธิบายว่า &#8220;หลังจากประมุขปราชญ์หกท่านตายแล้ว พวกเราก็ล่าถอยมาที่แดนอเวจี เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้กระจัดกระจายจนติดต่อกับโจรกบฏภายนอกได้ยาก ทั้งหกลัทธิจึงเลือกประมุขขุนพลหนึ่งคนมาบัญชาการพวกเรา ตอนนี้ประมุขขุนพลหกท่านถูกขังบนบนดาวรองที่มีดาวเสริมสิบเอ็ดดวงโคจร และบนดาวสิบสองดวงนั้นก็ถูกใครบางคนใช้พลังอิทธิฤทธิ์อันแข็งแกร่งวางค่ายกลขนาดใหญ่ไว้ ค่ายกลใหญ่กับชีวิตของประมุขขุนพลหกท่านมีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น ถ้าอยากจะช่วยชีวิตประมุขขุนพลหกท่านออกมาจากดาวรอง ก็ต้องทำลายค่ายกลที่เกี่ยวโยงกันบนดาวเสริมสิบเอ็ดดวงก่อนถึงจะเข้าไปได้ ที่พาพวกเจ้าหกคนมาที่นี่ ก็เพราะต้องการจะให้พวกเจ้าทำลายค่ายกล ถ้าสามารถทำลายค่ายกลได้ เราก็จะไว้ชีวิตพวกเจ้า แต่ถ้าพวกเจ้าทำลายค่ายกลไม่ได้ ข้าก็จะเอาชีวิตพวกเจ้า!&#8221;</p>
<p>ทั้งหกคนเหม่อทันที อวิ๋นอ้าวเทียนถามว่า &#8220;ขนาดอาศัยวรยุทธ์ของพวกท่านยังไม่สามารถทำลายค่ายกลได้เลย ให้พวกเราไปทำลายค่ายกลนี่กำลังล้อเล่นรึเปล่า แบบนี้ต่างอะไรกับการกดดันให้พวกเราเอาชีวิตไปทิ้ง?&#8221;</p>
<p>&#8220;ในปีนั้นคนที่เคยวางค่ายกลนี้เคยบอกเอาไว้ ว่าให้รอจนผู้สืบทอดมหาเคล็ดวิชาพิเศษของประมุขปราชญ์หกท่านมาถึง ก็จะเป็นเวลาที่ประมุขขุนพลหกท่านจะได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกครั้ง&#8221; เมิ่งหรูกล่าว</p>
<p>ทั้งหกคนเข้าใจทันทีว่าทำไมโจรกบฏกลุ่มนี้จึงพิสูจน์ยืนยันเคล็ดวิชาฝึกตนของพวกเขา ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง</p>
<p>เหมียวอี้ที่เหลือบมองชายชราสามคนถามหยั่งเชิงว่า &#8220;ผู้อาวุโสทั้งหกท่านก็ฝึกหกเคล็ดวิชาพิเศษไม่ใช่เหรอ? ทำไมไม่ทำลายเองล่ะ?&#8221;</p>
<p>เมิ่งหรูส่ายหน้าบอกว่า &#8220;พวกเราฝึกแค่หกเคล็ดวิชาพิเศษภาคดิน และเป็นผู้วางค่ายกลท่านนั้นที่ถ่ายทอดวิชาให้เรา เป้าหมายในการถ่ายทอดวิชาก็เพื่อให้ต้อนรับและนำทางคนทำลายค่ายกล พวกเราก็เคยลองทำลายค่ายกลแล้วเหมือนกัน แต่จนใจที่หาวิธีการไม่ได้ ไม่กล้าฝืนทดลอง ไม่กล้าเอาชีวิตประมุขขุนพลหกท่านมาเสี่ยงอันตราย&#8221;</p>
<p>มีคนที่กุมหกเคล็ดวิชาพิเศษไว้ในมือเหรอ? เหมียวอี้ตาเป็นประกาย นึกเชื่อมโยงอะไรบางอย่าง รีบถามต่อว่า &#8220;ไม่ทราบว่าคนวางค่ายกลคือใคร ในมือถึงมีมหาเคล็ดวิชาพิเศษของประมุขปราชญ์หกท่านได้?&#8221;</p>
<p>&#8220;ประมุขไป๋!&#8221; เมิ่งหรูตอบเสียงดัง</p>
<p>เป็นเขาจริงๆ ด้วย! เหมียวอี้ถามอีกว่า &#8220;ในมือประมุขไป๋มีหกเคล็ดวิชาพิเศษได้อย่างไร?&#8221;</p>
<p>เมิ่งหรูค่อยๆ หลับตาสองข้าง แล้วถามว่า &#8220;เจ้าถามเยอะเกินไปหรือเปล่า?&#8221;</p>
<p>หลายปีมานี้ถูกหกเคล็ดวิชาพิเศษที่ประมุขไป๋ซ่อนคอยจูงจมูกให้เดินมาตลอด เหมียวอี้ย่อมอยากคลายปริศนาในใจอยู่แล้ว จึงอธิบายว่า &#8220;พวกท่านบังคับให้พวกเราทำลายค่ายกล ถ้าพวกเราไม่รู้แม้แต่ต้นสายปลายเหตุ แล้วจะให้พวกเราทำลายค่ายกลได้อย่างไร?&#8221;</p>
<p>หลังจากตรงนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง กุยอู๋ พระที่ผิวสีทองแดงก็ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า &#8220;หกเคล็ดวิชาพิเศษเป็นสิ่งที่ประมุขปราชญ์หกท่านมอบให้ประมุขไป๋&#8221;</p>
<p>เหมียวอี้ยิ่งฟังยิ่งแปลกใจ &#8220;ประมุขไป๋กับประมุขปราชญ์หกท่านเป็นศัตรูคู่แค้นกันไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงมอบเคล็ดวิชาให้เขาได้?&#8221;</p>
<p>กุยอู๋กล่าวด้วยน้ำเสียงขื่นขมว่า &#8220;ในปีนั้นประมุขพุทธะ ประมุขชิง ประมุขไป๋ระดมกำลังพลกลุ่มใหญ่เพื่อร่วมมือกันก่อกบฏ หลังจากศึกใหญ่ผ่านไป ประมุขไป๋ก็คาดคะเนเส้นทางหนีของพวกเราได้อย่างแม่นยำ จึงดักซุ่มสกัดพวกเราไว้ แต่ประมุขปราชญ์หกท่านร่วมมือกันก็ยังสู้ประมุขไป๋ไม่ได้ ภายใต้ความจนตรอกไร้ทางไป ประมุขปราชญ์หกท่านสละหกเคล็ดวิชาพิเศษให้แล้วปลิดชีพตัวเอง ประมุขไป๋ซาบซึ้งใจจึงปล่อยให้พวกเรารอดชีวิต เป็นประมุขปราชญ์หกท่านที่สละชีวิตตัวเอง พวกเราถึงได้ถอยทัพเข้ามาในแดนอเวจี ไม่อย่างนั้นคงพินาศย่อยยับไปหมดตั้งนานแล้ว จะมีวันนี้ได้อย่างไรกัน!&#8221;</p>
<p>…………………………</p>

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด