พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1893 ร่วมเดินสู่อนาคตด้วยกัน

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1893 ร่วมเดินสู่อนาคตด้วยกัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เป็นเขาเหรอ? ทุกคนประหลาดใจ แล้วรีบมองไปที่ฝูชิงอีก ฝูชิงพยักหน้าเบาๆ เพื่อยืนยัน

ทุกคนไม่ได้เจอเหมียวอี้มาหลายปีแล้ว ต้องทำแบบนี้เพื่อไม่ให้ตกเป็นที่ต้องสงสัย

เหมือนกับภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ เหมียวอี้หยุดยืนตรงประตูบันไดพร้อมยิ้มให้อย่างสนิทสนม ดูจากปฏิกิริยาของทุกคนแล้ว ก็มองออกเลยว่าฝูชิงรักษาสัญญา ไม่ได้บอกให้คนพวกนี้รู้ล่วงหน้าก่อนที่เขาจะมา

เช่นเดียวกับสงเวย เหมียวอี้เห็นคนพวกนี้แล้วสะท้อนใจมาก ทุกคนกลายเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์หมดแล้ว ได้ครองตำแหน่งที่มีรายได้ดี นอกจากจะร่ำรวยมากแล้ว ทรัพยากรที่ใช้เติมเต็มการฝึกตนของตัวเองก็ไม่มีปัญหา กอปรกับอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างสงบ ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกตน วรยุทธ์ของพวกเขาบรรลุถึงระดับบงกชรุ้งแล้ว เมื่อเทียบกับแปดทูตก็ย่อมเหนือกว่าหนึ่งระดับ

ในปีแรกๆ เหมียวอี้ยังไม่มีความรู้ด้านนี้ แต่ตอนนี้เหมียวอี้สังเกตเห็นแล้ว ว่าถึงแม้การฝึกตนของคนพวกนี้จะไม่ก้าวหน้าเร็วเท่าเขา แต่ถ้าเขาไม่สามารถฝึกให้บรรลุได้อีก ช้าเร็วคนพวกนี้ก็ต้องฝึกได้ก้าวหน้าเร็วกว่าเขาแน่นอน

ยิ่งอยู่ที่พิภพใหญ่นานก็ยิ่งรู้มาก ยิ่งเข้าใจว่าเคล็ดวิชาฝึกตนที่พิภพเล็กนั้นไม่ธรรมดา ไม่มีหลักการไหนที่บอกว่าเคล็ดวิชาฝึกตนไม่ได้เรื่องเพราะอาณาเขตเล็ก เขาเริ่มค้นพบแล้วว่าเคล็ดวิชาฝึกตนของสำนักใหญ่ๆ บางแห่งที่พิภพเล็กก็คือเคล็ดวิชาฝึกตนที่สูญหายจากพิภพใหญ่ไปนานแล้ว ไม่รู้ว่าไปถ่ายทอดอยู่ที่พิภพเล็กได้อย่างไร ยกตัวอย่างเช่นหกเคล็ดวิชาพิเศษ มหาเคล็ดวิชารวมศูนย์ที่มอบให้สวีถังหราน ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเป็นมหาเคล็ดวิชาของหนึ่งในสามสิบสองประมุขดาวที่พิภพใหญ่

ที่เหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นก็คือ ตอนที่ส่งศีลแปดไปยังจุดซ่อนสมบัติลับสำหนักหนานอู๋ เขาก็ค้นพบว่าเคล็ดวิชาฝึกตนของศีลแปดนั้นเกี่ยวข้องกับพุทธธรรมไร้ขอบเขตในตำนาน ว่ากันว่าเป็นวิชาที่พระปีศาจหนานโปหวาดกลัวด้วย แต่วิชาศีลถ่ายทอดอยู่ที่พิภพเล็กมานานแล้ว ทั้งยังไม่สอดคล้องกับตำนานเมื่อหนึ่งแสนปีก่อนด้วย หมายความว่ามันอยู่มานานเกินหนึ่งแสนปี ตั้งแต่วิชาศีลถูกบันทึกไว้อย่างชัดเจนที่สำนักทางพิภพเล็ก ในตอนนั้นคนคนนั้นเกิดหรือยังก็ไม่รู้ ต่อให้เกิดแล้วก็คาดว่ายังเด็กมาก

แล้วก็เป็นเพราะครั้งนั้น ทำให้เหมียวอี้ตระหนักได้แล้ว ว่าคนที่หนีการไล่ฆ่ามาจนถึงพิภพเล็กนั้นใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล เขาสงสัยว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาเจอพิภพเล็กเพราะความบังเอิญ

และเป็นเพราะครั้งนั้นเช่นกัน เขาเริ่มสังเกตเคล็ดวิชาฝึกตนต่างๆ ที่มาจากพิภพเล็ก สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่า เคล็ดวิชาฝึกตนที่สามารถโดดเด่นอยู่ที่พิภพเล็กได้ล้วนไม่ธรรมดา คนที่มีหน้ามีตาที่พิภพเล็กล้วนได้ฝึกเคล็ดวิชาที่ดี ถ้าได้ทรัพยากรฝึกตนที่เพียงพอเมื่อไร อนาคตสดใสไร้ที่สิ้นสุดแน่นอน

ด้วยเหตุผลนี้เอง เขาถึงเดินทางมาที่ตลาดสวรรค์ในครั้งนี้

“ข้าไม่ได้อยากปิดบังทุกคนนะ แต่ตอนแรกเจ้าห้าไม่ให้ข้าบอก” ฝูชิงยิ้มเจื่อนพลางกุมหมัดคารวะต่อทุกคน นับว่าขออภัยแล้ว

ทุกคนกำลังลังเลว่าจะเรียกขานอย่างไร ด้วยความสัมพันธ์ของทุกคนในตอนนี้ ถ้าจะเรียกว่าผู้ตรวจการใหญ่กับนายท่านก็เหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสม ถ้าเรียกตามความสนิทสนมต่อไป ตอนนี้อีกฝ่ายไม่ใช่คนเดิมในอดีต ถ้าเรียกแล้วก็ไม่รู้ว่าเหมียวอี้จะยอมรับได้หรือไม่ แต่พอได้ยินฝูชิงเรียกว่า ‘เจ้าห้า’ ทุกคนก็รู้แล้วว่าฝูชิงกำลังแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับเหมียวอี้ให้พวกเขาเห็น

“เจ้าห้า!” สงเวย อิงอู๋ตี๋และหงเทียนเดินเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้ม ไม่สะดวกจะเรียก ‘น้องห้า’ อีกแล้ว

“คุณชายห้า!” ส่วนแปดทูตก็กุมหมัดคารวะพร้อมกัน

“หลายปีมานี้ทุกคนสบายดีมั้ย?” เหมียวอี้ยิ้มทักทายทุกคนอีก ไม่สะทกสะท้านกับคำเรียก ‘คุณชายห้า’ เช่นกัน

นี่คือความมั่นใจในด้านฐานะตำแหน่ง ประมุขถิ่นทั้งสี่รู้สึกว่าไม่สะดวกจะเรียกแปดทูตอีกแล้ว เพราะทุกคนอยู่ในตำแหน่งที่เท่าเทียมกัน แต่สิ่งนี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเหมียวอี้ เพราะทุกคนเป็นลูกน้องเก่าของเขา และคือคนที่เขาคิดหาทางเลื่อนตำแหน่งให้ด้วย แม้แต่ประมุขถิ่นทั้งสี่เองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น คำว่า ‘คุณชายห้า’ นี้ ไม่ว่าจะเป็นเขาหรือจะเป็นตัวคนเรียกเอง ก็ไม่มีใครรู้สึกว่าไม่เหมาะสม

กลับเป็นพวกเขาที่พอได้เห็นเหมียวอี้แล้วรู้สึกสะท้อนใจมาก ผ่านไปหลายปีขนาดนี้ ทุกคนยังย่ำอยู่ที่เดิม แต่ท่านนี้กลับกระโดดพรวดไปถึงระดับนั้นแล้ว ล้ำหน้าไปถึงระดับแม่ทัพใหญ่ ยามปกติชอบก่อเรื่องคึกโครมจนพวกเขาได้ยินข่าวแล้วอกสั่นขวัญแขวน

ตอนที่พวกเขานั่งลงบนตึก ทุกคนก็ให้เหมียวอี้นั่งที่หัวโต๊ะ แต่เหมียวอี้กลับทิ้งตำแหน่งนั้นให้สงเวยที่เป็นพี่ใหญ่นั่ง แล้วตัวเองก็นั่งข้างหลังหงเทียนตามลำดับพี่น้องร่วมสาบาน ยังนับว่าตัวเองเป็นน้องห้า สิ่งนี้ทำให้ทุกคนสบายใจขึ้นไม่น้อย

“เจ้าห้า ครั้งนี้มาหาพวกเราเพราะมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” หลังจากนั่งประจำที่แล้ว สงเวยก็เอ่ยถาม สายตาของทุกคนจ้องไปที่เหมียวอี้พร้อมกัน นี่คือเรื่องที่ในใจทุกคนอยากถาม

เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะมองทุกคนแล้วบอกว่า “จนป่านนี้แล้ว ข้าเองก็จะไม่ปิดบัง ข้าจะถามแค่คำเดียว พี่น้องทุกคนยินดีจะติดตามข้าเพื่อเดินไปสู่อนาคตด้วยกันมั้ย?”

พอใช้คำว่า ‘ติดตาม’ แค่ประโยคเดียวก็เปิดเผยชัดเจนแล้ว ว่าที่นั่งในปัจจุบันก็คือที่นั่งในปัจจุบัน หวังว่าในภายหลังพวกเจ้าจะทำงานรับใช้ข้า

ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่ก พบว่าคำถามนี้ไม่อ้อมค้อมเลยจริงๆ ฝูชิงถามอย่างลังเล “เจ้าห้า ประสบปัญหาอะไรแล้วต้องการให้พวกเราลงแรงช่วยหรือเปล่า? ตระกูลอิ๋งต้องการจะทำอะไรไม่ดีกับเจ้าหรือเปล่า?”

เรื่องที่เกี่ยวกับตระกูลอิ๋ง ทุกคนล้วนจินตนาการได้ ตระกูลอิ๋งเสียเปรียบไปมากขนาดนั้น มีหรือที่จะยอมหยุดอยู่แค่นี้?

“ตระกูลอิ๋งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการที่ข้ามาหาทุกคนในครั้งนี้ ก็อย่างที่บอก พี่น้องทุกคนยินดีจะติดตามข้าเพื่อเดินไปสู่อนาคตด้วยกันมั้ย?” หลังจากเหมียวอี้ยืนยันอีกครั้ง ก็เท่ากับแสดงท่าทีชัดเจนแล้ว สื่อว่าไม่ต้องบ่นมากอีกแล้ว แค่รอคำตอบที่แน่นอนจากทุกคนเท่านั้น

ขณะเดียวกันเขาก็แอบสังเกตปฏิกิริยาของทุกคนด้วย

แต่ปัญหาก็คือเรื่องนี้กะทันหันเกินไป และค่อนข้างตัดสินใจยากด้วย ถ้าจะปฏิเสธก็เอ่ยออกมาลำบาก แต่ถ้าไม่ปฏิเสธ ทุกคนก็ดีรู้อยู่แก่ใจ ว่าการติดตามเหมียวอี้คือสิ่งที่อันตรายมาก มีความเป็นไปได้สูงว่าต้องเอาชีวิตไปเสี่ยง หลังจากเหมียวอี้ออกจากตลาดสวรรค์ไปแล้ว แต่ละเรื่องที่เขาก่อมีเรื่องไหนเล็กบ้างล่ะ? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตัวละครยักษ์ใหญ่อย่างตระกูลอิ๋งจะนำแรงกดดันอันน่าหวาดกลัวขนาดไหนมาให้ นี่คือการเดิมพันครั้งใหญ่จริงๆ!

แต่เหมียวอี้ดันนั่งอยู่ตรงหน้าทุกคนแล้ว อีกทั้งก่อนหน้านี้ยังปิดบังทุกคนด้วย ไม่ให้โอกาสทุกคนได้ปรึกษาอะไรกันเลย

ทุกคนมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ไม่สะดวกจะถ่ายทอดเสียงปรึกษากันต่อหน้าเหมียวอี้ ทำได้เพียงใช้สายตาสื่อสารกัน

การที่ประมุขถิ่นทั้งสี่สามารถประคับประคองตัวเองที่พิภพเล็กมาได้หลายปี ก็ไม่ใช่คนธรรมดาเช่นกัน ในใจรู้อย่างชัดเจน ว่าการที่เหมียวอี้ทำถึงขั้นนี้ได้ ก็เท่ากับให้โอกาสครั้งสุดท้ายกับทุกคนแล้ว ถ้าตอบตกลงทุกอย่างก็ย่อมคุยง่าย ถ้าปฏิเสธก็เกรงว่าตั้งแต่นี้ไปจะต้องตัดขาดไมตรีกัน!

สุดท้าย ทุกคนก็ทยอยกันพยักหน้าเงียบๆ มีความเห็นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว โดยให้พี่ใหญ่สงเวยเป็นคนตอบ “เจ้าห้า ต่อไปนี้ถ้ามีอะไรต้องให้พวกเราลงแรงช่วย ก็บอกมาได้เลย ขอเพียงพวกเราทำได้ ก็จะทำอย่างเต็มกำลังแน่นอน!”

“ดี!” เหมียวอี้วางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะ ตอนนี้ยิ้มแล้ว ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปเดินมาตรงหน้าทุกคน “แม้ทุกคนจะนั่งอยู่ในตำแหน่งที่รายได้เยอะอย่างผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ แต่นั่นก็เป็นแค่สิ่งที่เทียบกันเท่านั้น ทรัพยากรที่ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ฉกฉวยมา ในตอนนี้นับว่ายังสามารถเติมเต็มความต้องการของทุกคนได้ แต่ในอนาคตล่ะ? ถ้ารอจนวรยุทธ์ของทุกคนเพิ่มขึ้นมาแล้ว เกรงว่ารายได้คงไม่พอกับรายจ่าย ถ้าพูดแบบไม่น่าฟังก็คือ ทุกคนอาจจะลำบากเพราะข้าแล้ว ถ้าอยากจะไต่เต้าให้สูงกว่านี้ก็อาจจะยาก แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะอยู่ในตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์แบบนี้ต่อไป ถ้าเบื้องบนเปลี่ยน เบื้องล่างก็จะได้รับผลกระทบไปด้วยเช่นกัน ช้าเร็วตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ก็ต้องเปลี่ยนคน”

ทุกคนเงียบไป นี่ก็คือสาเหตุสำคัญที่พวกเขายอมตอบตกลงเหมียวอี้

พอดูปฏิกิริยาของทุกคนแล้ว เหมียวอี้ก็พูดต่อว่า “ช่องทางรายได้ที่ข้ามีอยู่ในมือตอนนี้ ถ้าอยากจะเติมเต็มสี่ทัพให้ได้เหมือนตัวละครยักษ์ใหญ่นั่น ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ถ้าจะให้เติมเต็มกำลังพลที่มีอยู่ตอนนี้ ก็นับว่าเหลือเฟือ ไม่ได้แย่กว่าตอนอยู่ตลาดสวรรค์เลย ข้าขอพูดตรงๆ เลยนะ ศึกสระน้ำมังกรดำน่ะ รางวัลที่พลทหารยศเล็กของข้าได้ยังเยอะกว่ารายได้ของพวกเจ้าหลายปีเลยล่ะ ที่สำคัญที่สุดก็คือ ตอนนี้กำลังพลของข้าล้วนยศต่ำ แล้วทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ ส่วนใหญ่ก็ยศสูงกว่าพวกเขาด้วย ถ้าเข้ามาอยู่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลของข้าตอนนี้ ก็ถือว่าเป็นเวลาที่เหมาะเจาะ ถ้ามาช้ากว่านี้ ทุกคนก็จะทำได้แค่อยู่ใต้คนอื่นแล้ว!”

ตอนนี้เขาเพิ่งเผยผลประโยชน์ที่สามารถมอบให้ทุกคนได้ ก่อนหน้านี้เป็นการดูท่าทีของทุกคนก่อน ไม่ได้เอ่ยถึงผลประโยชน์สักคำ ถ้าคนพวกนี้ไม่ตอบตกลง เขาก็ย่อมไม่เอ่ยถึงผลประโยชน์อีกเลยตลอดไป นอกจากนี้ เขายังจะคิดหาทางกำจัดคนพวกนี้ทิ้งให้หมดด้วย เพราะคนพวกนี้มีความน่ากังวลต่ออนาคตของเขามากเกินไป ถ้าเมื่อก่อนทรยศเขาอาจจะไม่คุ้มเพราะได้ผลประโยชน์ไม่มาก แต่ตามแผนการของเขาที่ใหญ่ขึ้นทุกวัน เมื่อผลประโยชน์มีมากกว่าความเสี่ยง ก็รับประกันได้ยากว่าในบรรดาคนพวกนี้จะไม่มีใครทรยศเขาเพื่อแลกกับอนาคตตัวเอง อย่างไรเสียก็มีบางคนที่เขาไม่ได้สนิทมากเท่าไร เขาทำได้เพียงเล่นบทโหดแล้ว!

ตอนนี้ทุกคนตอบตกลงแล้ว เขาเองก็รู้ว่าทุกคนรู้สึกไม่สงบใจเช่นกัน ถึงได้บอกผลประโยชน์เพื่อทำให้ทุกคนสบายใจ

“เจ้าห้า หมายความว่าเจ้าจะไม่ให้พวกเราช่วยอะไรเจ้าที่ตลาดสวรรค์ แต่จะให้พวกเราย้ายเข้าจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลเหรอ?” อิงอู๋ตี๋ถามเสียงต่ำ

เหมียวอี้พยักหน้า “ไม่ผิดหรอก! ทุกคนสู้กับหกปราชญ์ที่พิภพเล็กมาหลายมี ล้วนมีประสบการณ์ในการคุมทหาร ถ้าไปอยู่ที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลก็ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม เวทีที่ตลาดสวรรค์เล็กเกินไป ไม่เหมาะให้พวกท่านแสดงฝีมือหรอก”

สงเวยถามอย่างลังเล “แม้ราชินีสวรรค์จะคุมตลาดสวรรค์ แต่ถึงยังไงตลาดสวรรค์ก็ถูกอำนาจหลายฝ่ายควบคุมอยู่ พวกเรากระจายตัวอยู่ในอาณาเขตของอำนาจใหญ่ฝ่ายต่างๆ ถ้าอยากจะโยกย้ายก็คงไม่ง่ายขนาดนั้น” เขาจะสื่อว่า พวกเรารู้ว่าเจ้ามีความสัมพันธ์อันดีกับราชินีสวรรค์ แต่เกรงว่าเรื่องนี้คงจัดการลำบาก

เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “เรื่องนี้ทุกคนไม่ต้องกังวล ในเมื่อข้าพูดออกมาได้ ก็แปลว่ามีความมั่นใจ เมื่อโอกาสมาถึงเมื่อไร ก็จะถึงเวลาที่พวกเราพี่น้องได้รวมตัวกัน”

เรื่องราวก็ถูกกำหนดไว้อย่างนี้แล้ว จากนั้นเหมียวอี้ก็ไม่แนะนำให้พวกเขาอยู่ที่นี่ต่อ ให้พวกเขากลับไปรอที่อาณาเขตตัวเองเพื่อรอฟังคำสั่งทันที

เรื่องนี้หยางชิ่งไม่รู้ หยางชิ่งกังวลว่าในแผนการตอนหลังของเหมียวอี้จะมีเรื่องส่วนตัวเข้ามาแทรก นับว่าเดาไม่ผิดจริงๆ

ก่อนจะออกจากทะเลดาวนักษัตร ทุกคนใจคอแห้งเหี่ยว ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าจะได้มาเดินร่วมทางกับเหมียวอี้อีก  นึกย้อนไปถึงอดีต เพื่อที่จะรักษาความลับ ลูกน้องเก่าที่ทะเลดาวนักษัตรถูกพวกเขาทิ้งไว้ที่พิภพเล็กแล้ว ส่วนคนที่พามาด้วยส่วนใหญ่ก็ถูกพวกเขากำจัดทิ้งเพราะกลัวจะเป็นภัยคุกคาม ใครจะคิดว่าสุดท้ายจะกลายเป็นอย่างนี้ จะให้ทนความรู้สึกนี้ได้อย่างไร!

เหมียวอี้ยังไม่ได้ออกจากตำหนักคุ้มเมืองของดาวเทียนหยวนในทันที แอบพักอยู่ที่นี่ก่อนชั่วคราว

หลังจากนั้นหลายวัน หยางเจาชิงที่ปลอมตัวแล้วก็มาถึง ขึ้นมาพบเหมียวอี้บนตึกในลานบ้าน

เมื่อเจอกัน เหมียวอี้ก็ถามเลยว่า “เรื่องราวราบรื่นใช่มั้ย?”

หยางเจาชิงพยักหน้า “ส่งของให้คนของตระกูลเซี่ยโห้วแล้วขอรับ กำลังพลสี่หมื่นกระจายตัวอยู่ตามตลาดสวรรค์ของดาวต่างๆ แล้ว ตอนนี้ทุกอย่างราบรื่น”

เหมียวอี้เดินมาริมหน้าต่าง เอามือไขว้หลังมองไปข้างนอก ตรงหว่างคิ้วแสดงออกถึงความวิตกกังวล กำลังพลสี่หมื่นที่ย้ายออกมาแยกกันเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่ละกลุ่มมีสี่คนขึ้นไป กระจายอยู่ตามตลาดสวรรค์หลายแห่งเพื่อรับมือกับมรสุมที่กำลังจะมาถึง ไม่รู้ว่าคนพวกนี้จะรับมือไหวหรือไม่

……………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1893 ร่วมเดินสู่อนาคตด้วยกัน

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1893 ร่วมเดินสู่อนาคตด้วยกัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เป็นเขาเหรอ? ทุกคนประหลาดใจ แล้วรีบมองไปที่ฝูชิงอีก ฝูชิงพยักหน้าเบาๆ เพื่อยืนยัน

ทุกคนไม่ได้เจอเหมียวอี้มาหลายปีแล้ว ต้องทำแบบนี้เพื่อไม่ให้ตกเป็นที่ต้องสงสัย

เหมือนกับภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ เหมียวอี้หยุดยืนตรงประตูบันไดพร้อมยิ้มให้อย่างสนิทสนม ดูจากปฏิกิริยาของทุกคนแล้ว ก็มองออกเลยว่าฝูชิงรักษาสัญญา ไม่ได้บอกให้คนพวกนี้รู้ล่วงหน้าก่อนที่เขาจะมา

เช่นเดียวกับสงเวย เหมียวอี้เห็นคนพวกนี้แล้วสะท้อนใจมาก ทุกคนกลายเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์หมดแล้ว ได้ครองตำแหน่งที่มีรายได้ดี นอกจากจะร่ำรวยมากแล้ว ทรัพยากรที่ใช้เติมเต็มการฝึกตนของตัวเองก็ไม่มีปัญหา กอปรกับอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างสงบ ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกตน วรยุทธ์ของพวกเขาบรรลุถึงระดับบงกชรุ้งแล้ว เมื่อเทียบกับแปดทูตก็ย่อมเหนือกว่าหนึ่งระดับ

ในปีแรกๆ เหมียวอี้ยังไม่มีความรู้ด้านนี้ แต่ตอนนี้เหมียวอี้สังเกตเห็นแล้ว ว่าถึงแม้การฝึกตนของคนพวกนี้จะไม่ก้าวหน้าเร็วเท่าเขา แต่ถ้าเขาไม่สามารถฝึกให้บรรลุได้อีก ช้าเร็วคนพวกนี้ก็ต้องฝึกได้ก้าวหน้าเร็วกว่าเขาแน่นอน

ยิ่งอยู่ที่พิภพใหญ่นานก็ยิ่งรู้มาก ยิ่งเข้าใจว่าเคล็ดวิชาฝึกตนที่พิภพเล็กนั้นไม่ธรรมดา ไม่มีหลักการไหนที่บอกว่าเคล็ดวิชาฝึกตนไม่ได้เรื่องเพราะอาณาเขตเล็ก เขาเริ่มค้นพบแล้วว่าเคล็ดวิชาฝึกตนของสำนักใหญ่ๆ บางแห่งที่พิภพเล็กก็คือเคล็ดวิชาฝึกตนที่สูญหายจากพิภพใหญ่ไปนานแล้ว ไม่รู้ว่าไปถ่ายทอดอยู่ที่พิภพเล็กได้อย่างไร ยกตัวอย่างเช่นหกเคล็ดวิชาพิเศษ มหาเคล็ดวิชารวมศูนย์ที่มอบให้สวีถังหราน ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเป็นมหาเคล็ดวิชาของหนึ่งในสามสิบสองประมุขดาวที่พิภพใหญ่

ที่เหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นก็คือ ตอนที่ส่งศีลแปดไปยังจุดซ่อนสมบัติลับสำหนักหนานอู๋ เขาก็ค้นพบว่าเคล็ดวิชาฝึกตนของศีลแปดนั้นเกี่ยวข้องกับพุทธธรรมไร้ขอบเขตในตำนาน ว่ากันว่าเป็นวิชาที่พระปีศาจหนานโปหวาดกลัวด้วย แต่วิชาศีลถ่ายทอดอยู่ที่พิภพเล็กมานานแล้ว ทั้งยังไม่สอดคล้องกับตำนานเมื่อหนึ่งแสนปีก่อนด้วย หมายความว่ามันอยู่มานานเกินหนึ่งแสนปี ตั้งแต่วิชาศีลถูกบันทึกไว้อย่างชัดเจนที่สำนักทางพิภพเล็ก ในตอนนั้นคนคนนั้นเกิดหรือยังก็ไม่รู้ ต่อให้เกิดแล้วก็คาดว่ายังเด็กมาก

แล้วก็เป็นเพราะครั้งนั้น ทำให้เหมียวอี้ตระหนักได้แล้ว ว่าคนที่หนีการไล่ฆ่ามาจนถึงพิภพเล็กนั้นใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล เขาสงสัยว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาเจอพิภพเล็กเพราะความบังเอิญ

และเป็นเพราะครั้งนั้นเช่นกัน เขาเริ่มสังเกตเคล็ดวิชาฝึกตนต่างๆ ที่มาจากพิภพเล็ก สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่า เคล็ดวิชาฝึกตนที่สามารถโดดเด่นอยู่ที่พิภพเล็กได้ล้วนไม่ธรรมดา คนที่มีหน้ามีตาที่พิภพเล็กล้วนได้ฝึกเคล็ดวิชาที่ดี ถ้าได้ทรัพยากรฝึกตนที่เพียงพอเมื่อไร อนาคตสดใสไร้ที่สิ้นสุดแน่นอน

ด้วยเหตุผลนี้เอง เขาถึงเดินทางมาที่ตลาดสวรรค์ในครั้งนี้

“ข้าไม่ได้อยากปิดบังทุกคนนะ แต่ตอนแรกเจ้าห้าไม่ให้ข้าบอก” ฝูชิงยิ้มเจื่อนพลางกุมหมัดคารวะต่อทุกคน นับว่าขออภัยแล้ว

ทุกคนกำลังลังเลว่าจะเรียกขานอย่างไร ด้วยความสัมพันธ์ของทุกคนในตอนนี้ ถ้าจะเรียกว่าผู้ตรวจการใหญ่กับนายท่านก็เหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสม ถ้าเรียกตามความสนิทสนมต่อไป ตอนนี้อีกฝ่ายไม่ใช่คนเดิมในอดีต ถ้าเรียกแล้วก็ไม่รู้ว่าเหมียวอี้จะยอมรับได้หรือไม่ แต่พอได้ยินฝูชิงเรียกว่า ‘เจ้าห้า’ ทุกคนก็รู้แล้วว่าฝูชิงกำลังแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับเหมียวอี้ให้พวกเขาเห็น

“เจ้าห้า!” สงเวย อิงอู๋ตี๋และหงเทียนเดินเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้ม ไม่สะดวกจะเรียก ‘น้องห้า’ อีกแล้ว

“คุณชายห้า!” ส่วนแปดทูตก็กุมหมัดคารวะพร้อมกัน

“หลายปีมานี้ทุกคนสบายดีมั้ย?” เหมียวอี้ยิ้มทักทายทุกคนอีก ไม่สะทกสะท้านกับคำเรียก ‘คุณชายห้า’ เช่นกัน

นี่คือความมั่นใจในด้านฐานะตำแหน่ง ประมุขถิ่นทั้งสี่รู้สึกว่าไม่สะดวกจะเรียกแปดทูตอีกแล้ว เพราะทุกคนอยู่ในตำแหน่งที่เท่าเทียมกัน แต่สิ่งนี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเหมียวอี้ เพราะทุกคนเป็นลูกน้องเก่าของเขา และคือคนที่เขาคิดหาทางเลื่อนตำแหน่งให้ด้วย แม้แต่ประมุขถิ่นทั้งสี่เองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น คำว่า ‘คุณชายห้า’ นี้ ไม่ว่าจะเป็นเขาหรือจะเป็นตัวคนเรียกเอง ก็ไม่มีใครรู้สึกว่าไม่เหมาะสม

กลับเป็นพวกเขาที่พอได้เห็นเหมียวอี้แล้วรู้สึกสะท้อนใจมาก ผ่านไปหลายปีขนาดนี้ ทุกคนยังย่ำอยู่ที่เดิม แต่ท่านนี้กลับกระโดดพรวดไปถึงระดับนั้นแล้ว ล้ำหน้าไปถึงระดับแม่ทัพใหญ่ ยามปกติชอบก่อเรื่องคึกโครมจนพวกเขาได้ยินข่าวแล้วอกสั่นขวัญแขวน

ตอนที่พวกเขานั่งลงบนตึก ทุกคนก็ให้เหมียวอี้นั่งที่หัวโต๊ะ แต่เหมียวอี้กลับทิ้งตำแหน่งนั้นให้สงเวยที่เป็นพี่ใหญ่นั่ง แล้วตัวเองก็นั่งข้างหลังหงเทียนตามลำดับพี่น้องร่วมสาบาน ยังนับว่าตัวเองเป็นน้องห้า สิ่งนี้ทำให้ทุกคนสบายใจขึ้นไม่น้อย

“เจ้าห้า ครั้งนี้มาหาพวกเราเพราะมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” หลังจากนั่งประจำที่แล้ว สงเวยก็เอ่ยถาม สายตาของทุกคนจ้องไปที่เหมียวอี้พร้อมกัน นี่คือเรื่องที่ในใจทุกคนอยากถาม

เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะมองทุกคนแล้วบอกว่า “จนป่านนี้แล้ว ข้าเองก็จะไม่ปิดบัง ข้าจะถามแค่คำเดียว พี่น้องทุกคนยินดีจะติดตามข้าเพื่อเดินไปสู่อนาคตด้วยกันมั้ย?”

พอใช้คำว่า ‘ติดตาม’ แค่ประโยคเดียวก็เปิดเผยชัดเจนแล้ว ว่าที่นั่งในปัจจุบันก็คือที่นั่งในปัจจุบัน หวังว่าในภายหลังพวกเจ้าจะทำงานรับใช้ข้า

ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่ก พบว่าคำถามนี้ไม่อ้อมค้อมเลยจริงๆ ฝูชิงถามอย่างลังเล “เจ้าห้า ประสบปัญหาอะไรแล้วต้องการให้พวกเราลงแรงช่วยหรือเปล่า? ตระกูลอิ๋งต้องการจะทำอะไรไม่ดีกับเจ้าหรือเปล่า?”

เรื่องที่เกี่ยวกับตระกูลอิ๋ง ทุกคนล้วนจินตนาการได้ ตระกูลอิ๋งเสียเปรียบไปมากขนาดนั้น มีหรือที่จะยอมหยุดอยู่แค่นี้?

“ตระกูลอิ๋งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการที่ข้ามาหาทุกคนในครั้งนี้ ก็อย่างที่บอก พี่น้องทุกคนยินดีจะติดตามข้าเพื่อเดินไปสู่อนาคตด้วยกันมั้ย?” หลังจากเหมียวอี้ยืนยันอีกครั้ง ก็เท่ากับแสดงท่าทีชัดเจนแล้ว สื่อว่าไม่ต้องบ่นมากอีกแล้ว แค่รอคำตอบที่แน่นอนจากทุกคนเท่านั้น

ขณะเดียวกันเขาก็แอบสังเกตปฏิกิริยาของทุกคนด้วย

แต่ปัญหาก็คือเรื่องนี้กะทันหันเกินไป และค่อนข้างตัดสินใจยากด้วย ถ้าจะปฏิเสธก็เอ่ยออกมาลำบาก แต่ถ้าไม่ปฏิเสธ ทุกคนก็ดีรู้อยู่แก่ใจ ว่าการติดตามเหมียวอี้คือสิ่งที่อันตรายมาก มีความเป็นไปได้สูงว่าต้องเอาชีวิตไปเสี่ยง หลังจากเหมียวอี้ออกจากตลาดสวรรค์ไปแล้ว แต่ละเรื่องที่เขาก่อมีเรื่องไหนเล็กบ้างล่ะ? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตัวละครยักษ์ใหญ่อย่างตระกูลอิ๋งจะนำแรงกดดันอันน่าหวาดกลัวขนาดไหนมาให้ นี่คือการเดิมพันครั้งใหญ่จริงๆ!

แต่เหมียวอี้ดันนั่งอยู่ตรงหน้าทุกคนแล้ว อีกทั้งก่อนหน้านี้ยังปิดบังทุกคนด้วย ไม่ให้โอกาสทุกคนได้ปรึกษาอะไรกันเลย

ทุกคนมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ไม่สะดวกจะถ่ายทอดเสียงปรึกษากันต่อหน้าเหมียวอี้ ทำได้เพียงใช้สายตาสื่อสารกัน

การที่ประมุขถิ่นทั้งสี่สามารถประคับประคองตัวเองที่พิภพเล็กมาได้หลายปี ก็ไม่ใช่คนธรรมดาเช่นกัน ในใจรู้อย่างชัดเจน ว่าการที่เหมียวอี้ทำถึงขั้นนี้ได้ ก็เท่ากับให้โอกาสครั้งสุดท้ายกับทุกคนแล้ว ถ้าตอบตกลงทุกอย่างก็ย่อมคุยง่าย ถ้าปฏิเสธก็เกรงว่าตั้งแต่นี้ไปจะต้องตัดขาดไมตรีกัน!

สุดท้าย ทุกคนก็ทยอยกันพยักหน้าเงียบๆ มีความเห็นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว โดยให้พี่ใหญ่สงเวยเป็นคนตอบ “เจ้าห้า ต่อไปนี้ถ้ามีอะไรต้องให้พวกเราลงแรงช่วย ก็บอกมาได้เลย ขอเพียงพวกเราทำได้ ก็จะทำอย่างเต็มกำลังแน่นอน!”

“ดี!” เหมียวอี้วางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะ ตอนนี้ยิ้มแล้ว ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปเดินมาตรงหน้าทุกคน “แม้ทุกคนจะนั่งอยู่ในตำแหน่งที่รายได้เยอะอย่างผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ แต่นั่นก็เป็นแค่สิ่งที่เทียบกันเท่านั้น ทรัพยากรที่ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ฉกฉวยมา ในตอนนี้นับว่ายังสามารถเติมเต็มความต้องการของทุกคนได้ แต่ในอนาคตล่ะ? ถ้ารอจนวรยุทธ์ของทุกคนเพิ่มขึ้นมาแล้ว เกรงว่ารายได้คงไม่พอกับรายจ่าย ถ้าพูดแบบไม่น่าฟังก็คือ ทุกคนอาจจะลำบากเพราะข้าแล้ว ถ้าอยากจะไต่เต้าให้สูงกว่านี้ก็อาจจะยาก แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะอยู่ในตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์แบบนี้ต่อไป ถ้าเบื้องบนเปลี่ยน เบื้องล่างก็จะได้รับผลกระทบไปด้วยเช่นกัน ช้าเร็วตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ก็ต้องเปลี่ยนคน”

ทุกคนเงียบไป นี่ก็คือสาเหตุสำคัญที่พวกเขายอมตอบตกลงเหมียวอี้

พอดูปฏิกิริยาของทุกคนแล้ว เหมียวอี้ก็พูดต่อว่า “ช่องทางรายได้ที่ข้ามีอยู่ในมือตอนนี้ ถ้าอยากจะเติมเต็มสี่ทัพให้ได้เหมือนตัวละครยักษ์ใหญ่นั่น ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ถ้าจะให้เติมเต็มกำลังพลที่มีอยู่ตอนนี้ ก็นับว่าเหลือเฟือ ไม่ได้แย่กว่าตอนอยู่ตลาดสวรรค์เลย ข้าขอพูดตรงๆ เลยนะ ศึกสระน้ำมังกรดำน่ะ รางวัลที่พลทหารยศเล็กของข้าได้ยังเยอะกว่ารายได้ของพวกเจ้าหลายปีเลยล่ะ ที่สำคัญที่สุดก็คือ ตอนนี้กำลังพลของข้าล้วนยศต่ำ แล้วทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ ส่วนใหญ่ก็ยศสูงกว่าพวกเขาด้วย ถ้าเข้ามาอยู่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลของข้าตอนนี้ ก็ถือว่าเป็นเวลาที่เหมาะเจาะ ถ้ามาช้ากว่านี้ ทุกคนก็จะทำได้แค่อยู่ใต้คนอื่นแล้ว!”

ตอนนี้เขาเพิ่งเผยผลประโยชน์ที่สามารถมอบให้ทุกคนได้ ก่อนหน้านี้เป็นการดูท่าทีของทุกคนก่อน ไม่ได้เอ่ยถึงผลประโยชน์สักคำ ถ้าคนพวกนี้ไม่ตอบตกลง เขาก็ย่อมไม่เอ่ยถึงผลประโยชน์อีกเลยตลอดไป นอกจากนี้ เขายังจะคิดหาทางกำจัดคนพวกนี้ทิ้งให้หมดด้วย เพราะคนพวกนี้มีความน่ากังวลต่ออนาคตของเขามากเกินไป ถ้าเมื่อก่อนทรยศเขาอาจจะไม่คุ้มเพราะได้ผลประโยชน์ไม่มาก แต่ตามแผนการของเขาที่ใหญ่ขึ้นทุกวัน เมื่อผลประโยชน์มีมากกว่าความเสี่ยง ก็รับประกันได้ยากว่าในบรรดาคนพวกนี้จะไม่มีใครทรยศเขาเพื่อแลกกับอนาคตตัวเอง อย่างไรเสียก็มีบางคนที่เขาไม่ได้สนิทมากเท่าไร เขาทำได้เพียงเล่นบทโหดแล้ว!

ตอนนี้ทุกคนตอบตกลงแล้ว เขาเองก็รู้ว่าทุกคนรู้สึกไม่สงบใจเช่นกัน ถึงได้บอกผลประโยชน์เพื่อทำให้ทุกคนสบายใจ

“เจ้าห้า หมายความว่าเจ้าจะไม่ให้พวกเราช่วยอะไรเจ้าที่ตลาดสวรรค์ แต่จะให้พวกเราย้ายเข้าจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลเหรอ?” อิงอู๋ตี๋ถามเสียงต่ำ

เหมียวอี้พยักหน้า “ไม่ผิดหรอก! ทุกคนสู้กับหกปราชญ์ที่พิภพเล็กมาหลายมี ล้วนมีประสบการณ์ในการคุมทหาร ถ้าไปอยู่ที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลก็ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม เวทีที่ตลาดสวรรค์เล็กเกินไป ไม่เหมาะให้พวกท่านแสดงฝีมือหรอก”

สงเวยถามอย่างลังเล “แม้ราชินีสวรรค์จะคุมตลาดสวรรค์ แต่ถึงยังไงตลาดสวรรค์ก็ถูกอำนาจหลายฝ่ายควบคุมอยู่ พวกเรากระจายตัวอยู่ในอาณาเขตของอำนาจใหญ่ฝ่ายต่างๆ ถ้าอยากจะโยกย้ายก็คงไม่ง่ายขนาดนั้น” เขาจะสื่อว่า พวกเรารู้ว่าเจ้ามีความสัมพันธ์อันดีกับราชินีสวรรค์ แต่เกรงว่าเรื่องนี้คงจัดการลำบาก

เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “เรื่องนี้ทุกคนไม่ต้องกังวล ในเมื่อข้าพูดออกมาได้ ก็แปลว่ามีความมั่นใจ เมื่อโอกาสมาถึงเมื่อไร ก็จะถึงเวลาที่พวกเราพี่น้องได้รวมตัวกัน”

เรื่องราวก็ถูกกำหนดไว้อย่างนี้แล้ว จากนั้นเหมียวอี้ก็ไม่แนะนำให้พวกเขาอยู่ที่นี่ต่อ ให้พวกเขากลับไปรอที่อาณาเขตตัวเองเพื่อรอฟังคำสั่งทันที

เรื่องนี้หยางชิ่งไม่รู้ หยางชิ่งกังวลว่าในแผนการตอนหลังของเหมียวอี้จะมีเรื่องส่วนตัวเข้ามาแทรก นับว่าเดาไม่ผิดจริงๆ

ก่อนจะออกจากทะเลดาวนักษัตร ทุกคนใจคอแห้งเหี่ยว ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าจะได้มาเดินร่วมทางกับเหมียวอี้อีก  นึกย้อนไปถึงอดีต เพื่อที่จะรักษาความลับ ลูกน้องเก่าที่ทะเลดาวนักษัตรถูกพวกเขาทิ้งไว้ที่พิภพเล็กแล้ว ส่วนคนที่พามาด้วยส่วนใหญ่ก็ถูกพวกเขากำจัดทิ้งเพราะกลัวจะเป็นภัยคุกคาม ใครจะคิดว่าสุดท้ายจะกลายเป็นอย่างนี้ จะให้ทนความรู้สึกนี้ได้อย่างไร!

เหมียวอี้ยังไม่ได้ออกจากตำหนักคุ้มเมืองของดาวเทียนหยวนในทันที แอบพักอยู่ที่นี่ก่อนชั่วคราว

หลังจากนั้นหลายวัน หยางเจาชิงที่ปลอมตัวแล้วก็มาถึง ขึ้นมาพบเหมียวอี้บนตึกในลานบ้าน

เมื่อเจอกัน เหมียวอี้ก็ถามเลยว่า “เรื่องราวราบรื่นใช่มั้ย?”

หยางเจาชิงพยักหน้า “ส่งของให้คนของตระกูลเซี่ยโห้วแล้วขอรับ กำลังพลสี่หมื่นกระจายตัวอยู่ตามตลาดสวรรค์ของดาวต่างๆ แล้ว ตอนนี้ทุกอย่างราบรื่น”

เหมียวอี้เดินมาริมหน้าต่าง เอามือไขว้หลังมองไปข้างนอก ตรงหว่างคิ้วแสดงออกถึงความวิตกกังวล กำลังพลสี่หมื่นที่ย้ายออกมาแยกกันเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่ละกลุ่มมีสี่คนขึ้นไป กระจายอยู่ตามตลาดสวรรค์หลายแห่งเพื่อรับมือกับมรสุมที่กำลังจะมาถึง ไม่รู้ว่าคนพวกนี้จะรับมือไหวหรือไม่

……………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+