พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1928 บีบให้ยอมแพ้

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1928 บีบให้ยอมแพ้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ไม่ต้องพูดเลย ต้องถามก่วงลิ่งกงอยู่แล้วว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่ เจ้าให้ข้ารวบรวมยอดฝีมือของสายมะเมียเยอะขนาดนั้น จะให้ทัพเกรียงไกรหนึ่งล้านของข้าจบเห่ตั้งแต่ยังไม่ได้แสดงความสามารถไม่ได้หรอกใช่ไหม จึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อก่วงลิ่งกงทันที ติดต่อไปที่เจ้าตัวโดยตรง

ก่วงลิ่งกงที่แจกจ่ายงานเรียบร้อยแล้วกำลังนั่งเล่นหมากล้อมอยู่กับหวังเฟยเม่ยเหนียง และลูกสาวก่วงเม่ยเอ๋อร์ ในที่สุดก็ได้ออกจากห้องหนังสือเสียที อยากจะให้ตัวเองให้ผ่อนคลายสักหน่อย และอยากจะคลายความรู้สึกตึงเครียดที่เกิดขึ้นจากเรื่องก่อนหน้านี้ให้เม่ยเหนียงและลูกสาว

ไม่ว่าก่วงลิ่งกงจะพูดจายิ้มแย้มอย่างไร ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็เหมือนยังมีปมในใจ ใช้เวลาสั้นๆ ก็กู้สภาพจิตใจของสาวน้อยกลับคืนมาได้ยาก เชิญหน้ากับท่านพ่อนางกังวลเล็กน้อย แอบมองสีหน้าของก่วงลิ่งกงเป็นระยะ

ขณะที่พูดคุยอยู่ ก่วงลิ่งกงก็ได้รับข่าวจากหวงฮ่าว รอยยิ้มบนใบหน้าเข้มข้นขึ้น ยังนึกว่าหวงฮ่าวจัดการเรื่องทางนั้นเรียบร้อยแล้ว ใครจะคิดว่าหลังจากรู้สถานการณ์ชัดเจนแล้ว ก็เพราะว่าไม่ใช่เรื่องนั้นเลย ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ไม่ใช่แค่จัดการหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้ กลับโดนทัพใหญ่ของหนิวโหย่วเต๋อล้อมไว้ด้วย ความเป็นความตายของทัพเกรียงไกรหนึ่งล้านล้วนขึ้นอยู่กับคำพูดของหนิวโหย่วเต๋อ ตัวเองยังมีอารมณ์มาเล่นหมากล้อมอยู่ตรงนี้อีก คนที่โดนน้ำเย็นสาดหน้าเดือดดาลเต็มอกแล้ว

ก่วงลิ่งกงสีหน้าเครียดขรึมลงในชั่วพริบตาเดียว ยังจะมีอารมณ์เล่นหมากล้อมได้อย่างไรอีก หวงฮ่าวต้องการคำชี้แจง จงกล่าวเสียงต่ำว่า “ออกไป!”

“ท่านอ๋อง…”

เม่ยเหนียงยังไม่ทันลองถามจบประโยค ก่วงลิ่งกงก็ใช้สายตาเย็นเยียบมองมาแล้ว “ข้าให้พวกเจ้าออกไป ไม่ได้ยินเหรอ?”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ลุกขึ้นยืนอย่างตัวสั่นเหมือนนกกระทาทันที ย่อตัวคำนับตามมารดาแล้วรีบเดินออกไป

จากนั้นสองแม่ลูกก็ได้ยินเสียงอันเย็นเยียบของก่วงลิ่งกง “ให้โกวเยว่เข้ามา”

“ค่ะ!” เม่ยเหนียงเอ่ยรับ

ผ่านไปประเดี๋ยวเดียว โกวเยว่ก็สาวเท้าเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา ยังไม่ทันได้คำนับ ก่วงลิ่งกงก็โบกมือบอกใบ้ว่าไม่ต้องมากพิธี เล่าสถานการณ์ให้ฟังโดยตรงเลย

หลังจากฟังจบ โกวเยว่ก็ครุ่นคิด แล้วกล่าวยังไม่แน่ใจว่า “ล้อมไว้แต่ไม่โจมตี? ใช้งานทหารแบบนี้ไม่เหมือนลักษณะของหนิวโหย่วเต๋อ ยิ่งไปกว่านั้น หนิวโหย่วเต๋อจะบัญชาการทัพใหญ่ของลิ่งหูโต้วจ้งได้ยังไง หรือว่าลิ่งหูโต้วจ้งจะมีเรื่องอะไรกับหนิวโหย่วเต๋อพอดี จู่ๆ ก็ถูกล้อมไว้ ไม่รู้เจตนาของฝ่ายพวกเรา นึกว่าพวกเราต้องการกำจัดเขา ลิ่งหูโต้วจ้งยอมต้องปกป้องตัวเองอยู่แล้ว”

ก่วงลิ่งกงตาเป็นประกายทันที ความมืดครึ้มในใจหายไปแล้ว ราวกับแหวกเมฆเห็นฟ้าใส มองโกวเยว่อย่างชื่นชม แล้วพยักหน้าซ้ำๆ “พูดได้ดีมาก!”

ในจวนจอมพลสายมะเมีย หวงฮ่าวพี่เดินไปเดินมาหยุดฝีเท้าแล้ว หลังจากได้รับการชี้แนะจากก่วงลิ่งกง ก็ทำสีหน้ากระจ่างขึ้นหลายส่วน ถอนหายใจแล้วบอกหลี่จวินว่า “ท่านอ๋องสมกับเป็นท่านอ๋อง บอกนิดเดียวก็มองทะลุหมดแล้ว กลับเป็นข้าที่ลนลาน ทำไมข้าถึงนึกไม่ได้นะ?”

ในดาราจักรยังคุมเชิงกันเหมือนเดิม ถึงได้ปรากฏสถานการณ์ที่มีวงล้อมซ้อนกัน เป็นเพราะการจับตาดูที่เข้มงวดของตระกูลก่วง จึงรู้ทิศทางกำลังพลของเหมียวอี้ พบว่าเหมียวอี้ที่ปล่อยกำลังพลเข้ามามาสำรวจเส้นทางก่อน เพื่อไม่ให้แหวกหญ้าให้งูตื่น ใครจะคิดว่ากำลังพลที่มาเบิกทางซ่อนกองทัพใหญ่เอาไว้ สถานการณ์จึงเป็นอย่างนี้

เบื้องบนมีการตัดสินใจแล้ว เบื้องล่างย่อมมีทิศทางการรับมือ ไม่อย่างนั้นคนเบื้องล่างที่ไม่รู้เรื่องก็ไม่เข้าใจสถานการณ์เลย

เหยียนเซียวที่เข้าใจเจตนาของเบื้องบนมีความมั่นใจขึ้นแล้ว ภายใต้การคุ้มกันของกำลังทหารที่หนาแน่น เขาก้าวขึ้นมาเล็กน้อย ตะโกนเรียกแม่ทัพคนหนึ่งที่รู้จัก “ใช่พี่ข่ง ข่งเซียนหรือเปล่า? ข้าเหยียนเซียวแล้ว!”

ลิ่งหูโต้วจ้งพี่อยู่ฝั่งนี้สั่งให้แม่ทัพใหญ่ข้างกายบอกเจตนาให้ข่งเซียนนั่นรู้ทันที ตอนนี้เขายังไม่อยากเปิดโปงตัวตน

แม่ทัพที่ชื่อว่าข่งเซียนทำความเข้าใจเงียบๆ แล้วตะโกนเสียงดังบอกเหยียนเซียว “อย่ามาแกล้งทำเป็นตาบอดกับข้า ข้ารู้ว่าเจ้าคือเหยียนเซียว ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จ่อมาที่หัวข้อแล้ว ถ้ายังจำเจ้าไม่ได้อีก เกรงว่าคงต้องตายตาไม่หลับ!”

เหมียวอี้ยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์  ชำเลืองมองข่งเซียนแวบหนึ่ง พบว่าท่านนี้พูดจาน่าสนใจ

เหยียนเซียวถามเสียงดังว่า  “พี่ข่ง เข้าใจผิด ไม่ทราบว่าท่านจอมพลลิ่งหูอยู่ด้วยหรือเปล่า?”

“ไม่อยู่! ท่านจอมพลไม่อยู่แล้วจะทำไม? เจ้าจะแข่งจำนวนคนเหรอ? ต่อให้ท่านจอมพลไม่อยู่ คนข้างกายข้าก็เยอะกว่าเจ้าอยู่ดี” ข่งเซียนตอบ

เหยียนเซียวบอกว่า “พี่ข่ง เข้าใจผิดแล้วจริงๆ ข้าเล็งเป้าหมายมาที่ใครท่านก็รู้ดี ก่อนหน้านี้ไม่รู้จริงๆ ว่ากำลังพลของจอมพลลิ่งหูก็อยู่ด้วย มหันตภัยมาเยือนคนอยู่บ้านเดียวกันแล้ว ขออภัยจริงๆ วันหลังจะจัดโต๊ะชดเชยขอโทษ พี่ข่ง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกท่าน ข้าจะเปิดทางให้ ให้กำลังพลของพี่ข่งออกไปอย่างสบายใจได้เลย ข้าไม่กล้าล่วงเกินเด็ดขาด!”

ข่งเซียนบอกว่า “อย่ามาเล่นลูกไม้นี้! ถ้าฝั่งข้ามีคนน้อย เกรงว่าเจ้าหลานอย่างเจ้าคงจะออกคำสั่งให้ลงมือแล้ว ใช้ไม้แข็งไม่ได้ก็เลยใช้ไม้อ่อน เจ้าช่างกล้า! ข้าจะบอกเจ้าให้นะ สั่งให้คนของเจ้าวางอาวุธยอมแพ้เดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าพวกเราไม่เกรงใจ!” พูดถึงการเจรจา ถ้ามีความมั่นใจเมื่อไร การพูดจาก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว

เหยียนเซียวไฟโกรธลุกเต็มอก แอบด่าว่าไอ้พวกฝูงหมาไร้เจ้าของ บังอาจทำตัวกำเริบเสิบสาน แต่ก็ต้องข่มความโกรธเอาไว้ เพราะคนอยู่เหนือสถานการณ์ ตะโกนเสียงดังว่า “พี่ข่ง เข้าใจผิดจริงๆ ก่อนหน้านี้ไม่รู้จริงๆ ว่าคนของจอมพลลิ่งหูท่านก็อยู่ด้วย เอาอย่างนี้นะ ข้าจะให้คนของข้าหลีกทางให้ก่อนเพื่อแสดงความจริงใจ…”

“อย่าเลย! ข้าเตือนเจ้าก่อน อย่าเคลื่อนไหวซี้ซั้ว ถ้ากล้าขยับตัว ก็อย่าโทษว่าดาบและธนูของข้าไร้ตา” ข่งเซียนไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายพลิกสถานการณ์เลย ใช้เวลามาบีบบังคับ “อย่าหาว่าข้าไม่ให้โอกาสเจ้า ให้เวลาเจ้าไตร่ตรองสิบห้านาที ถ้าไม่ยอมแพ้ก็ฆ่า!”

เหยียนเซียวบอกว่า “พี่ข่ง เอาอย่างนี้ดีไหม เเจ้าหลีกทางให้ ให้พวกเราไปได้หรือเปล่า?” ดูจากสถานการณ์แล้ว ถ้าคนฝ่ายตัวเองอยากจะลงมือกับหนิวโหย่วเต๋อ ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ ทำได้เพียงคิดหาทางปกป้องตัวเอง

“ในเมื่อจะสู้กันแล้ว ถ้าปล่อยพวกเจ้าไป ใครจะไปรู้ว่ากลับไปพวกเจ้าจะระดมกำลังพลมาสู้กับพวกเราหรือเปล่า อย่าเสียเวลาเลย ยอมแพ้เดี๋ยวนี้!” ข่งเซียนกล่าว

“พี่ข่ง ในอดีตพวกเราก็เคยดื่มสุราด้วยกัน ตอนนี้ทำไมต้องกลั่นแกล้งกันขนาดนี้?” เหยียนเซียวถาม

เขาเอาแต่เรียก ‘พี่ข่ง’ กล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมเพื่อรักษาหน้าทุกฝ่าย แต่ข่งเซียนกลับไม่รับน้ำใจนี้ “กลั่นแกล้งบ้าอะไรล่ะ! มาล้อมข้าไว้แล้ว ยังจะบอกว่ากลั่นแกล้งอีก ใครกลั่นแกล้งใครกันแน่? เห็นแก่ไมตรีในวันเก่า ข้าจะเตือนเจ้าไว้ก่อน ข้าไม่ได้ล้อเล่นนะ ถ้ายังพูดมากอีก ข้าจะไม่ให้เวลาเจ้าแล้วนะ!”

เห็นได้ชัดว่าเบื้องบนคาดการณ์ไว้ไม่ผิดพลาด ไม่มีทางเจรจาต่อไปได้เลย เหยียนเซียวทำได้เพียงถอยกลับไปในขณะที่กำลังทหารล้อมพิทักษ์ ติดต่อไปหาหวงฮ่าวอีกครั้ง

สุดท้ายสถานการณ์นี้ย่อมรายงานไปถึงก่วงลิ่งกง

ก่วงลิ่งกงกำลังนั่งอยู่ข้างกระดานหมากล้อม กำลังใช้หว่างนิ้วคีบเล่นตัวหมาก ขมวดคิ้วครุ่นคิดพลางบอกว่า “ทำไมกำลังพลของลิ่งหูโต้วจ้งถึงไปรวมกับหนิวโหย่วเต๋อได้ อย่าบอกนะว่าลิ่งหูโต้วจ้งต้องการจะไปขอพึ่งพาแดนรัตติกาล? ถ้าเป็นอย่างนี้จริง เรื่องนี้ก็ไม่พ้นเกี่ยวข้องกับประมุขชิง เขาอยากจะเปลี่ยนใช้อีกรูปแบบหนึ่งเพื่อฮุบกำลังพลกลุ่มนี้! ถ้าไม่ใช่  นี่เป็นความคิดของลิ่งหูโต้วจ้ง หรือเป็นความคิดของหนิวโหย่วเต๋อกันแน่?”

โกวเยว่เตือนว่า “ท่านอ๋อง อีกฝ่ายให้เวลาแค่สิบห้านาที ถ้าส่งข่าวกลับไปกลับมาอย่างนี้ เกรงว่าจะเสียเวลาไปไม่น้อย หนิวโหย่วเต๋อคนข้างบ้าบิ่น”

“เจ้าติดต่อไปถามลิ่งหูโต้วจ้งหน่อย” ก่วงลิ่งกงกล่าว

โกวเยว่ปฏิบัติตามคำสั่งทันที เพียงแต่ผ่านไปผู้เดียว ก็ถือระฆังดาราตอบว่า “ท่านอ๋อง ลิ่งหูโต้วจ้งไม่ตอบกลับ”

ก่วงลิ่งกงแสยะยิ้ม “ไปเรียกหวังเฟย”

ผ่านไปประเดี๋ยวเดียว เม่ยเหนียงก็ถูกเรียกมาแล้ว เนื่องจากเรื่องก่อนหน้านี้ ในใจนางยังหวาดกลัวไม่หาย นางคำนับอย่างระมัดระวัง “ท่านอ๋อง!”

ก่วงลิ่งกงเชิดคางใส่นางเบาๆ “เจ้ามีช่องทางติดต่อกับอวิ๋นจือชิวนั่นหรือเปล่า? ตอนนี้เจ้าติดต่อนางเดี๋ยวนี้ สั่งให้นางบอกหนิวโหย่วเต๋อ ปล่อยคน!”

เดิมทีสามารถใช้ช่องทางติดต่อเหมือนก่อนหน้านี้ได้ เพราะเรื่องบางเรื่องก็ไม่อยากให้ผู้หญิงในบ้านเข้าไปยุ่งด้วย แต่ขโมยไก่ก็ไม่ได้ทั้งยังเสียข้าวสารอีกกำมือ ค่อนข้างเสียหน้า ให้คนในครอบครัวตัวเองบอกต่อให้จะดีกว่า

เม่ยเหนียงหวาดระแวงสงสัยไม่หยุด หนิวโหย่วเต๋อจับใครของท่านอ๋องไป? หนิวโหย่วเต๋อพุ่งเป้ามาที่ท่านอ๋องครั้งแล้วครั้งเล่า ใจกล้าเกินไปแล้วกระมัง? นางอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ปล่อยใครหรือคะ?”

ก่วงลิ่งกงตอบอย่างเย็นชา “สิ่งที่ไม่ควรถามก็อย่าถาม เจ้าพูดตามที่ข้าบอก หนิวโหย่วเต๋อย่อมรู้”

“ค่ะ!” เม่ยเหนียงปฏิบัติตามทันที

ดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง อวิ๋นจือชิวที่เดินไปเดินมาอยู่ท่ามกลางป่าหินระเกะระกะกำลังกลุ้มใจ เงยหน้ามองท้องฟ้าที่เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างเป็นระยะ นางกำลังกังวลเรื่องเหมียวอี้ เพราะเหมียวอี้เข้าไปเกี่ยวข้องอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ผันผวนในใต้หล้า ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมา ก็มีภัยถึงแก่ชีวิต แต่ในเมื่อสามีตัดสินใจแล้วว่าจะยืนหยัดอยู่ในโลกนี้ด้วยปณิธานอันยิ่งใหญ่ นางที่ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ก็ไม่อยากจะเป็นภาระ ทำได้เพียงแอบกังวล

การได้รับข่าวอย่างกะทันหันจากเม่ยเหนียงทำให้นางตกใจ จู่ๆ ก็ติดต่อมาแบบนี้ ทำให้นางพูดไม่ออกมาก นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?

นางย่อมติดต่อเหมียวอี้ในทันที

ระฆังดารามีการตอบสนอง เหมียวอี้ที่อยู่ท่ามกลางการล้อมพิทักษ์ของทหารก็ขมวดคิ้ว แอบคิดในใจว่า อวิ๋นจือชิวเปลี่ยนเป็นคนที่ไม่รู้ความตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมถึงเอาแต่เข้ามายุ่งในเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ? ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ว่าอวิ๋นจือชิวเป็นผู้หญิงที่รู้จักแยกแยะความสำคัญ ไม่ค่อยทำซี้ซั้วกับงานใหญ่ เกรงว่าเขาคงจะไม่สนใจใยดีเลยก็ได้

หลังจากหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อแล้ว ถึงได้รู้ว่าเข้าใจอวิ๋นจือชิวผิดไป  นางไม่ได้ติดต่อมาเพราะเรื่องจูเก๋อชิง เขาสงสัยนิดหน่อยว่าทำไมก่วงลิ่งกงถึงเปลี่ยนวิธีการติดต่อกับเขา

หลังจากรู้สถานการณ์แล้ว เหมียวอี้ก็ตอบว่า : จะบอกต่อให้ด้วยนะ ให้คนของเขายอมแพ้ ขอเพียงข้ากลับถึงแดนรัตติกาลอย่างปลอดภัย ข้าจะปล่อยคนของเขาเอง

อวิ๋นจือชิว : มันเรื่องอะไรกัน เจ้าจับคนของเขาไปเหรอ?

เหมียวอี้ : ไม่มีอะไร ตาแก่นั่นส่งกองทัพใหญ่หนึ่งล้านมาซุ่มโจมตีข้า ก็เลยโดนกำลังพลของข้าล้อมไว้

อวิ๋นจือชิว : เจ้าล้อมกำลังพลของเขาไว้เหรอ? เจ้าเอาคนมาจากไหนเยอะแยะขนาดนั้น?

เหมียวอี้ : ตอนนี้ไม่มีเวลามาอธิบายให้เจ้าฟัง ถ้าถ่วงเวลาต่อไป เกรงว่าคงให้เวลาพวกเขาคิดแผนชั่วได้ จะให้เวลาพวกเขาไตร่ตรองนานไม่ได้ กลับไปค่อยเล่ารายละเอียดให้ฟัง เจ้าบอกเขาเดี๋ยวนี้

อวิ๋นจือชิวไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักแยกแยะความสำคัญ รีบถ่ายทอดคำพูดของเหมียวอี้ให้เม่ยเหนียงรู้ทันที ขณะที่รอเม่ยเหนียงตอบกลับ นางก็กัดริมฝีปากแน่น รู้ว่าสามีของตัวเองตกอยู่ท่ามกลางความเป็นความตายอีกแล้ว บรรยายความรู้สึกนี้ออกมาได้ยาก!

หลังจากได้ฟังเม่ยเหนียงรายงานแล้ว ก่วงลิ่งกงก็นั่งหน้าตึงอยู่อย่างนั้น ตัวหมากในมือถูกบีบจนแตกเป็นผุยผง

โกวเยว่เตือนว่า “ท่านอ๋อง นี่เป็นทัพเกรียงไหนหนึ่งล้านเชียวนะขอรับ ถ้าเห็นว่าใกล้ตายแล้วไม่ช่วย เกรงว่าจะกระทบต่อขวัญกำลังใจทหาร โดยเฉพาะในเวลาแบบนี้ กองทัพของอิ๋งจิ่วกวงก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว ไม่รู้ว่าประมุขชิงจะฉวยโอกาสก่อกวนอีกหรือเปล่า มิหนำซ้ำ ในจำนวนนั้นก็มียอดฝีมือของหวงฮ่าวอยู่ไม่น้อย ถ้าปล่อยให้เสียหายไปอย่างนี้ เกรงว่าหวงฮ่าวก็จะไม่พอใจเช่นกัน!”

เม่ยเหนียงแววตาวูบไหวอย่างต่อเนื่อง นางแอบตกใจ หนิวโหย่วเต๋อก็มีความสามารถที่จะกักตัวกำลังพลหนึ่งล้านของท่านอ๋องด้วยเหรอ?

ก่วงลิ่งกงลาวเสี่ยงต่ำว่า “บอกทางนั้นไป ถ้าเขากล้าพูดแล้วคืนคำ ก็ยังนึกว่าแดนรัตติกาลไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของข้า แล้วข้าจะไม่กล้าแตะต้องเขา ถึงตอนนั้นข้าจะทำลายแดนรัตติกาลเวลาเป็นหน้ากลองแน่นอน!”

โกวเยว่ยื่นมือเชิญให้เม่ยเหนียงเร่งมือทันที นางรีบทำตาม หลังจากตอบแล้ว เม่ยเหนียงก็ตอบกลับมาว่า “หนิวโหย่วเต๋อบอกว่าเขาไม่คืนคำ ขอเพียงเขาสามารถกลับไปได้อย่างปลอดภัย เขาก็จะทำเหมือนว่าเรื่องครั้งนี้ไม่เคยเกิดขึ้น…แค่เท่านี้ ไม่มีแล้ว”

ปั้ง! ก่วงลิ่งกงกำหมัดทุบโต๊ะ บางครั้งเขาก็แค้นที่ตัวเองอยู่ในตำแหน่งสูง ต้องคำนึงถึงหลายอย่างมากเกินไป ไม่เหมือนหนิวโหย่วเต๋อที่ทำอะไรได้ตามอำเภอใจ เขาคบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ให้พวกเขาทนรับความไม่ยุติธรรมหน่อย!”

โกวเยว่เข้าใจแล้ว นี่คือการบอกให้ทางฝั่งนั้นยอมแพ้ เพียงแต่เขาไม่สะดวกจะพูดคำว่าคำว่า ‘ยอมแพ้’ ออกมาจากปาก

……………………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1928 บีบให้ยอมแพ้

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1928 บีบให้ยอมแพ้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ไม่ต้องพูดเลย ต้องถามก่วงลิ่งกงอยู่แล้วว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่ เจ้าให้ข้ารวบรวมยอดฝีมือของสายมะเมียเยอะขนาดนั้น จะให้ทัพเกรียงไกรหนึ่งล้านของข้าจบเห่ตั้งแต่ยังไม่ได้แสดงความสามารถไม่ได้หรอกใช่ไหม จึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อก่วงลิ่งกงทันที ติดต่อไปที่เจ้าตัวโดยตรง

ก่วงลิ่งกงที่แจกจ่ายงานเรียบร้อยแล้วกำลังนั่งเล่นหมากล้อมอยู่กับหวังเฟยเม่ยเหนียง และลูกสาวก่วงเม่ยเอ๋อร์ ในที่สุดก็ได้ออกจากห้องหนังสือเสียที อยากจะให้ตัวเองให้ผ่อนคลายสักหน่อย และอยากจะคลายความรู้สึกตึงเครียดที่เกิดขึ้นจากเรื่องก่อนหน้านี้ให้เม่ยเหนียงและลูกสาว

ไม่ว่าก่วงลิ่งกงจะพูดจายิ้มแย้มอย่างไร ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็เหมือนยังมีปมในใจ ใช้เวลาสั้นๆ ก็กู้สภาพจิตใจของสาวน้อยกลับคืนมาได้ยาก เชิญหน้ากับท่านพ่อนางกังวลเล็กน้อย แอบมองสีหน้าของก่วงลิ่งกงเป็นระยะ

ขณะที่พูดคุยอยู่ ก่วงลิ่งกงก็ได้รับข่าวจากหวงฮ่าว รอยยิ้มบนใบหน้าเข้มข้นขึ้น ยังนึกว่าหวงฮ่าวจัดการเรื่องทางนั้นเรียบร้อยแล้ว ใครจะคิดว่าหลังจากรู้สถานการณ์ชัดเจนแล้ว ก็เพราะว่าไม่ใช่เรื่องนั้นเลย ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ไม่ใช่แค่จัดการหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้ กลับโดนทัพใหญ่ของหนิวโหย่วเต๋อล้อมไว้ด้วย ความเป็นความตายของทัพเกรียงไกรหนึ่งล้านล้วนขึ้นอยู่กับคำพูดของหนิวโหย่วเต๋อ ตัวเองยังมีอารมณ์มาเล่นหมากล้อมอยู่ตรงนี้อีก คนที่โดนน้ำเย็นสาดหน้าเดือดดาลเต็มอกแล้ว

ก่วงลิ่งกงสีหน้าเครียดขรึมลงในชั่วพริบตาเดียว ยังจะมีอารมณ์เล่นหมากล้อมได้อย่างไรอีก หวงฮ่าวต้องการคำชี้แจง จงกล่าวเสียงต่ำว่า “ออกไป!”

“ท่านอ๋อง…”

เม่ยเหนียงยังไม่ทันลองถามจบประโยค ก่วงลิ่งกงก็ใช้สายตาเย็นเยียบมองมาแล้ว “ข้าให้พวกเจ้าออกไป ไม่ได้ยินเหรอ?”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ลุกขึ้นยืนอย่างตัวสั่นเหมือนนกกระทาทันที ย่อตัวคำนับตามมารดาแล้วรีบเดินออกไป

จากนั้นสองแม่ลูกก็ได้ยินเสียงอันเย็นเยียบของก่วงลิ่งกง “ให้โกวเยว่เข้ามา”

“ค่ะ!” เม่ยเหนียงเอ่ยรับ

ผ่านไปประเดี๋ยวเดียว โกวเยว่ก็สาวเท้าเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา ยังไม่ทันได้คำนับ ก่วงลิ่งกงก็โบกมือบอกใบ้ว่าไม่ต้องมากพิธี เล่าสถานการณ์ให้ฟังโดยตรงเลย

หลังจากฟังจบ โกวเยว่ก็ครุ่นคิด แล้วกล่าวยังไม่แน่ใจว่า “ล้อมไว้แต่ไม่โจมตี? ใช้งานทหารแบบนี้ไม่เหมือนลักษณะของหนิวโหย่วเต๋อ ยิ่งไปกว่านั้น หนิวโหย่วเต๋อจะบัญชาการทัพใหญ่ของลิ่งหูโต้วจ้งได้ยังไง หรือว่าลิ่งหูโต้วจ้งจะมีเรื่องอะไรกับหนิวโหย่วเต๋อพอดี จู่ๆ ก็ถูกล้อมไว้ ไม่รู้เจตนาของฝ่ายพวกเรา นึกว่าพวกเราต้องการกำจัดเขา ลิ่งหูโต้วจ้งยอมต้องปกป้องตัวเองอยู่แล้ว”

ก่วงลิ่งกงตาเป็นประกายทันที ความมืดครึ้มในใจหายไปแล้ว ราวกับแหวกเมฆเห็นฟ้าใส มองโกวเยว่อย่างชื่นชม แล้วพยักหน้าซ้ำๆ “พูดได้ดีมาก!”

ในจวนจอมพลสายมะเมีย หวงฮ่าวพี่เดินไปเดินมาหยุดฝีเท้าแล้ว หลังจากได้รับการชี้แนะจากก่วงลิ่งกง ก็ทำสีหน้ากระจ่างขึ้นหลายส่วน ถอนหายใจแล้วบอกหลี่จวินว่า “ท่านอ๋องสมกับเป็นท่านอ๋อง บอกนิดเดียวก็มองทะลุหมดแล้ว กลับเป็นข้าที่ลนลาน ทำไมข้าถึงนึกไม่ได้นะ?”

ในดาราจักรยังคุมเชิงกันเหมือนเดิม ถึงได้ปรากฏสถานการณ์ที่มีวงล้อมซ้อนกัน เป็นเพราะการจับตาดูที่เข้มงวดของตระกูลก่วง จึงรู้ทิศทางกำลังพลของเหมียวอี้ พบว่าเหมียวอี้ที่ปล่อยกำลังพลเข้ามามาสำรวจเส้นทางก่อน เพื่อไม่ให้แหวกหญ้าให้งูตื่น ใครจะคิดว่ากำลังพลที่มาเบิกทางซ่อนกองทัพใหญ่เอาไว้ สถานการณ์จึงเป็นอย่างนี้

เบื้องบนมีการตัดสินใจแล้ว เบื้องล่างย่อมมีทิศทางการรับมือ ไม่อย่างนั้นคนเบื้องล่างที่ไม่รู้เรื่องก็ไม่เข้าใจสถานการณ์เลย

เหยียนเซียวที่เข้าใจเจตนาของเบื้องบนมีความมั่นใจขึ้นแล้ว ภายใต้การคุ้มกันของกำลังทหารที่หนาแน่น เขาก้าวขึ้นมาเล็กน้อย ตะโกนเรียกแม่ทัพคนหนึ่งที่รู้จัก “ใช่พี่ข่ง ข่งเซียนหรือเปล่า? ข้าเหยียนเซียวแล้ว!”

ลิ่งหูโต้วจ้งพี่อยู่ฝั่งนี้สั่งให้แม่ทัพใหญ่ข้างกายบอกเจตนาให้ข่งเซียนนั่นรู้ทันที ตอนนี้เขายังไม่อยากเปิดโปงตัวตน

แม่ทัพที่ชื่อว่าข่งเซียนทำความเข้าใจเงียบๆ แล้วตะโกนเสียงดังบอกเหยียนเซียว “อย่ามาแกล้งทำเป็นตาบอดกับข้า ข้ารู้ว่าเจ้าคือเหยียนเซียว ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จ่อมาที่หัวข้อแล้ว ถ้ายังจำเจ้าไม่ได้อีก เกรงว่าคงต้องตายตาไม่หลับ!”

เหมียวอี้ยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์  ชำเลืองมองข่งเซียนแวบหนึ่ง พบว่าท่านนี้พูดจาน่าสนใจ

เหยียนเซียวถามเสียงดังว่า  “พี่ข่ง เข้าใจผิด ไม่ทราบว่าท่านจอมพลลิ่งหูอยู่ด้วยหรือเปล่า?”

“ไม่อยู่! ท่านจอมพลไม่อยู่แล้วจะทำไม? เจ้าจะแข่งจำนวนคนเหรอ? ต่อให้ท่านจอมพลไม่อยู่ คนข้างกายข้าก็เยอะกว่าเจ้าอยู่ดี” ข่งเซียนตอบ

เหยียนเซียวบอกว่า “พี่ข่ง เข้าใจผิดแล้วจริงๆ ข้าเล็งเป้าหมายมาที่ใครท่านก็รู้ดี ก่อนหน้านี้ไม่รู้จริงๆ ว่ากำลังพลของจอมพลลิ่งหูก็อยู่ด้วย มหันตภัยมาเยือนคนอยู่บ้านเดียวกันแล้ว ขออภัยจริงๆ วันหลังจะจัดโต๊ะชดเชยขอโทษ พี่ข่ง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกท่าน ข้าจะเปิดทางให้ ให้กำลังพลของพี่ข่งออกไปอย่างสบายใจได้เลย ข้าไม่กล้าล่วงเกินเด็ดขาด!”

ข่งเซียนบอกว่า “อย่ามาเล่นลูกไม้นี้! ถ้าฝั่งข้ามีคนน้อย เกรงว่าเจ้าหลานอย่างเจ้าคงจะออกคำสั่งให้ลงมือแล้ว ใช้ไม้แข็งไม่ได้ก็เลยใช้ไม้อ่อน เจ้าช่างกล้า! ข้าจะบอกเจ้าให้นะ สั่งให้คนของเจ้าวางอาวุธยอมแพ้เดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าพวกเราไม่เกรงใจ!” พูดถึงการเจรจา ถ้ามีความมั่นใจเมื่อไร การพูดจาก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว

เหยียนเซียวไฟโกรธลุกเต็มอก แอบด่าว่าไอ้พวกฝูงหมาไร้เจ้าของ บังอาจทำตัวกำเริบเสิบสาน แต่ก็ต้องข่มความโกรธเอาไว้ เพราะคนอยู่เหนือสถานการณ์ ตะโกนเสียงดังว่า “พี่ข่ง เข้าใจผิดจริงๆ ก่อนหน้านี้ไม่รู้จริงๆ ว่าคนของจอมพลลิ่งหูท่านก็อยู่ด้วย เอาอย่างนี้นะ ข้าจะให้คนของข้าหลีกทางให้ก่อนเพื่อแสดงความจริงใจ…”

“อย่าเลย! ข้าเตือนเจ้าก่อน อย่าเคลื่อนไหวซี้ซั้ว ถ้ากล้าขยับตัว ก็อย่าโทษว่าดาบและธนูของข้าไร้ตา” ข่งเซียนไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายพลิกสถานการณ์เลย ใช้เวลามาบีบบังคับ “อย่าหาว่าข้าไม่ให้โอกาสเจ้า ให้เวลาเจ้าไตร่ตรองสิบห้านาที ถ้าไม่ยอมแพ้ก็ฆ่า!”

เหยียนเซียวบอกว่า “พี่ข่ง เอาอย่างนี้ดีไหม เเจ้าหลีกทางให้ ให้พวกเราไปได้หรือเปล่า?” ดูจากสถานการณ์แล้ว ถ้าคนฝ่ายตัวเองอยากจะลงมือกับหนิวโหย่วเต๋อ ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ ทำได้เพียงคิดหาทางปกป้องตัวเอง

“ในเมื่อจะสู้กันแล้ว ถ้าปล่อยพวกเจ้าไป ใครจะไปรู้ว่ากลับไปพวกเจ้าจะระดมกำลังพลมาสู้กับพวกเราหรือเปล่า อย่าเสียเวลาเลย ยอมแพ้เดี๋ยวนี้!” ข่งเซียนกล่าว

“พี่ข่ง ในอดีตพวกเราก็เคยดื่มสุราด้วยกัน ตอนนี้ทำไมต้องกลั่นแกล้งกันขนาดนี้?” เหยียนเซียวถาม

เขาเอาแต่เรียก ‘พี่ข่ง’ กล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมเพื่อรักษาหน้าทุกฝ่าย แต่ข่งเซียนกลับไม่รับน้ำใจนี้ “กลั่นแกล้งบ้าอะไรล่ะ! มาล้อมข้าไว้แล้ว ยังจะบอกว่ากลั่นแกล้งอีก ใครกลั่นแกล้งใครกันแน่? เห็นแก่ไมตรีในวันเก่า ข้าจะเตือนเจ้าไว้ก่อน ข้าไม่ได้ล้อเล่นนะ ถ้ายังพูดมากอีก ข้าจะไม่ให้เวลาเจ้าแล้วนะ!”

เห็นได้ชัดว่าเบื้องบนคาดการณ์ไว้ไม่ผิดพลาด ไม่มีทางเจรจาต่อไปได้เลย เหยียนเซียวทำได้เพียงถอยกลับไปในขณะที่กำลังทหารล้อมพิทักษ์ ติดต่อไปหาหวงฮ่าวอีกครั้ง

สุดท้ายสถานการณ์นี้ย่อมรายงานไปถึงก่วงลิ่งกง

ก่วงลิ่งกงกำลังนั่งอยู่ข้างกระดานหมากล้อม กำลังใช้หว่างนิ้วคีบเล่นตัวหมาก ขมวดคิ้วครุ่นคิดพลางบอกว่า “ทำไมกำลังพลของลิ่งหูโต้วจ้งถึงไปรวมกับหนิวโหย่วเต๋อได้ อย่าบอกนะว่าลิ่งหูโต้วจ้งต้องการจะไปขอพึ่งพาแดนรัตติกาล? ถ้าเป็นอย่างนี้จริง เรื่องนี้ก็ไม่พ้นเกี่ยวข้องกับประมุขชิง เขาอยากจะเปลี่ยนใช้อีกรูปแบบหนึ่งเพื่อฮุบกำลังพลกลุ่มนี้! ถ้าไม่ใช่  นี่เป็นความคิดของลิ่งหูโต้วจ้ง หรือเป็นความคิดของหนิวโหย่วเต๋อกันแน่?”

โกวเยว่เตือนว่า “ท่านอ๋อง อีกฝ่ายให้เวลาแค่สิบห้านาที ถ้าส่งข่าวกลับไปกลับมาอย่างนี้ เกรงว่าจะเสียเวลาไปไม่น้อย หนิวโหย่วเต๋อคนข้างบ้าบิ่น”

“เจ้าติดต่อไปถามลิ่งหูโต้วจ้งหน่อย” ก่วงลิ่งกงกล่าว

โกวเยว่ปฏิบัติตามคำสั่งทันที เพียงแต่ผ่านไปผู้เดียว ก็ถือระฆังดาราตอบว่า “ท่านอ๋อง ลิ่งหูโต้วจ้งไม่ตอบกลับ”

ก่วงลิ่งกงแสยะยิ้ม “ไปเรียกหวังเฟย”

ผ่านไปประเดี๋ยวเดียว เม่ยเหนียงก็ถูกเรียกมาแล้ว เนื่องจากเรื่องก่อนหน้านี้ ในใจนางยังหวาดกลัวไม่หาย นางคำนับอย่างระมัดระวัง “ท่านอ๋อง!”

ก่วงลิ่งกงเชิดคางใส่นางเบาๆ “เจ้ามีช่องทางติดต่อกับอวิ๋นจือชิวนั่นหรือเปล่า? ตอนนี้เจ้าติดต่อนางเดี๋ยวนี้ สั่งให้นางบอกหนิวโหย่วเต๋อ ปล่อยคน!”

เดิมทีสามารถใช้ช่องทางติดต่อเหมือนก่อนหน้านี้ได้ เพราะเรื่องบางเรื่องก็ไม่อยากให้ผู้หญิงในบ้านเข้าไปยุ่งด้วย แต่ขโมยไก่ก็ไม่ได้ทั้งยังเสียข้าวสารอีกกำมือ ค่อนข้างเสียหน้า ให้คนในครอบครัวตัวเองบอกต่อให้จะดีกว่า

เม่ยเหนียงหวาดระแวงสงสัยไม่หยุด หนิวโหย่วเต๋อจับใครของท่านอ๋องไป? หนิวโหย่วเต๋อพุ่งเป้ามาที่ท่านอ๋องครั้งแล้วครั้งเล่า ใจกล้าเกินไปแล้วกระมัง? นางอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ปล่อยใครหรือคะ?”

ก่วงลิ่งกงตอบอย่างเย็นชา “สิ่งที่ไม่ควรถามก็อย่าถาม เจ้าพูดตามที่ข้าบอก หนิวโหย่วเต๋อย่อมรู้”

“ค่ะ!” เม่ยเหนียงปฏิบัติตามทันที

ดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง อวิ๋นจือชิวที่เดินไปเดินมาอยู่ท่ามกลางป่าหินระเกะระกะกำลังกลุ้มใจ เงยหน้ามองท้องฟ้าที่เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างเป็นระยะ นางกำลังกังวลเรื่องเหมียวอี้ เพราะเหมียวอี้เข้าไปเกี่ยวข้องอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ผันผวนในใต้หล้า ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมา ก็มีภัยถึงแก่ชีวิต แต่ในเมื่อสามีตัดสินใจแล้วว่าจะยืนหยัดอยู่ในโลกนี้ด้วยปณิธานอันยิ่งใหญ่ นางที่ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ก็ไม่อยากจะเป็นภาระ ทำได้เพียงแอบกังวล

การได้รับข่าวอย่างกะทันหันจากเม่ยเหนียงทำให้นางตกใจ จู่ๆ ก็ติดต่อมาแบบนี้ ทำให้นางพูดไม่ออกมาก นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?

นางย่อมติดต่อเหมียวอี้ในทันที

ระฆังดารามีการตอบสนอง เหมียวอี้ที่อยู่ท่ามกลางการล้อมพิทักษ์ของทหารก็ขมวดคิ้ว แอบคิดในใจว่า อวิ๋นจือชิวเปลี่ยนเป็นคนที่ไม่รู้ความตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมถึงเอาแต่เข้ามายุ่งในเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ? ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ว่าอวิ๋นจือชิวเป็นผู้หญิงที่รู้จักแยกแยะความสำคัญ ไม่ค่อยทำซี้ซั้วกับงานใหญ่ เกรงว่าเขาคงจะไม่สนใจใยดีเลยก็ได้

หลังจากหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อแล้ว ถึงได้รู้ว่าเข้าใจอวิ๋นจือชิวผิดไป  นางไม่ได้ติดต่อมาเพราะเรื่องจูเก๋อชิง เขาสงสัยนิดหน่อยว่าทำไมก่วงลิ่งกงถึงเปลี่ยนวิธีการติดต่อกับเขา

หลังจากรู้สถานการณ์แล้ว เหมียวอี้ก็ตอบว่า : จะบอกต่อให้ด้วยนะ ให้คนของเขายอมแพ้ ขอเพียงข้ากลับถึงแดนรัตติกาลอย่างปลอดภัย ข้าจะปล่อยคนของเขาเอง

อวิ๋นจือชิว : มันเรื่องอะไรกัน เจ้าจับคนของเขาไปเหรอ?

เหมียวอี้ : ไม่มีอะไร ตาแก่นั่นส่งกองทัพใหญ่หนึ่งล้านมาซุ่มโจมตีข้า ก็เลยโดนกำลังพลของข้าล้อมไว้

อวิ๋นจือชิว : เจ้าล้อมกำลังพลของเขาไว้เหรอ? เจ้าเอาคนมาจากไหนเยอะแยะขนาดนั้น?

เหมียวอี้ : ตอนนี้ไม่มีเวลามาอธิบายให้เจ้าฟัง ถ้าถ่วงเวลาต่อไป เกรงว่าคงให้เวลาพวกเขาคิดแผนชั่วได้ จะให้เวลาพวกเขาไตร่ตรองนานไม่ได้ กลับไปค่อยเล่ารายละเอียดให้ฟัง เจ้าบอกเขาเดี๋ยวนี้

อวิ๋นจือชิวไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักแยกแยะความสำคัญ รีบถ่ายทอดคำพูดของเหมียวอี้ให้เม่ยเหนียงรู้ทันที ขณะที่รอเม่ยเหนียงตอบกลับ นางก็กัดริมฝีปากแน่น รู้ว่าสามีของตัวเองตกอยู่ท่ามกลางความเป็นความตายอีกแล้ว บรรยายความรู้สึกนี้ออกมาได้ยาก!

หลังจากได้ฟังเม่ยเหนียงรายงานแล้ว ก่วงลิ่งกงก็นั่งหน้าตึงอยู่อย่างนั้น ตัวหมากในมือถูกบีบจนแตกเป็นผุยผง

โกวเยว่เตือนว่า “ท่านอ๋อง นี่เป็นทัพเกรียงไหนหนึ่งล้านเชียวนะขอรับ ถ้าเห็นว่าใกล้ตายแล้วไม่ช่วย เกรงว่าจะกระทบต่อขวัญกำลังใจทหาร โดยเฉพาะในเวลาแบบนี้ กองทัพของอิ๋งจิ่วกวงก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว ไม่รู้ว่าประมุขชิงจะฉวยโอกาสก่อกวนอีกหรือเปล่า มิหนำซ้ำ ในจำนวนนั้นก็มียอดฝีมือของหวงฮ่าวอยู่ไม่น้อย ถ้าปล่อยให้เสียหายไปอย่างนี้ เกรงว่าหวงฮ่าวก็จะไม่พอใจเช่นกัน!”

เม่ยเหนียงแววตาวูบไหวอย่างต่อเนื่อง นางแอบตกใจ หนิวโหย่วเต๋อก็มีความสามารถที่จะกักตัวกำลังพลหนึ่งล้านของท่านอ๋องด้วยเหรอ?

ก่วงลิ่งกงลาวเสี่ยงต่ำว่า “บอกทางนั้นไป ถ้าเขากล้าพูดแล้วคืนคำ ก็ยังนึกว่าแดนรัตติกาลไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของข้า แล้วข้าจะไม่กล้าแตะต้องเขา ถึงตอนนั้นข้าจะทำลายแดนรัตติกาลเวลาเป็นหน้ากลองแน่นอน!”

โกวเยว่ยื่นมือเชิญให้เม่ยเหนียงเร่งมือทันที นางรีบทำตาม หลังจากตอบแล้ว เม่ยเหนียงก็ตอบกลับมาว่า “หนิวโหย่วเต๋อบอกว่าเขาไม่คืนคำ ขอเพียงเขาสามารถกลับไปได้อย่างปลอดภัย เขาก็จะทำเหมือนว่าเรื่องครั้งนี้ไม่เคยเกิดขึ้น…แค่เท่านี้ ไม่มีแล้ว”

ปั้ง! ก่วงลิ่งกงกำหมัดทุบโต๊ะ บางครั้งเขาก็แค้นที่ตัวเองอยู่ในตำแหน่งสูง ต้องคำนึงถึงหลายอย่างมากเกินไป ไม่เหมือนหนิวโหย่วเต๋อที่ทำอะไรได้ตามอำเภอใจ เขาคบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ให้พวกเขาทนรับความไม่ยุติธรรมหน่อย!”

โกวเยว่เข้าใจแล้ว นี่คือการบอกให้ทางฝั่งนั้นยอมแพ้ เพียงแต่เขาไม่สะดวกจะพูดคำว่าคำว่า ‘ยอมแพ้’ ออกมาจากปาก

……………………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+