พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 2004 ช่วยสร้างความบันเทิงให้เถ้าแก่

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 2004 ช่วยสร้างความบันเทิงให้เถ้าแก่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับ

จากนั้นเหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหวงฝู่ตวนหรงและหวงฝู่จวินโหรว บอกสองแม่ลูกให้พยายามติดต่อกับโลกภายนอกให้ลดลง จะได้หลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น สองแม่ลูกถามว่าเกิดอะไรขึ้น มีอันตรายอะไร?

เหมียวอี้ให้ทั้งสองทำตามที่บอก เขาไม่สะดวกจะบอกว่าตัวเองกังวลว่าพระปีศาจหนานโปจะไปหาพวกนางสองคน

สองแม่ลูกไม่รู้ที่อยู่ของเจียงอวิ๋นเลย ถ้าไม่ถึงขั้นหมดทางเลือกจริงๆ เขาก็ไม่อยากใหเหวงฝู่จวินโหรวเข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องเจียงอวิ๋น กลัวว่าจะทำให้คนพวกนี้ตื่นตัว เขาเองก็ไม่อยากเห็นทั้งสองบังเอิญไปเจอกับพระปีศาจหนานโป แบบนั้นไม่คุ้มค่า

ดาวเกาะคราม ชายหนุ่มรูปร่างกำยำคนหนึ่งยืนอยู่ริมหน้าต่างที่ฉลุลายจากหน้าผาหิน หันหน้าเข้าหาทะเลอันกว้างใหญ่ นี่ก็คือพระปีศาจหนานโปที่ยึดครองร่างคนอื่นมานั่นเอง

ผ่านไปไม่นาน ในห้องถ้ำด้านหลังเขา จั่วเอ๋อร์ เฉาหยินกับสงฉีก็มาทำความเคาพพร้อมกัน”ผู้อาวุโส!”

พระปีศาจหนานโปย้ายสายตาออกจากทะเลกว้าง หันตัวมาเผชิญหน้ากับทุกคน แล้วกล่าวอย่างไม่อ้อมค้อม “ตำหนักสวรรค์มีสถานที่ลับหลอมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อยู่แห่งหนึ่ง พวกเจ้ารู้หรือเปล่าว่าอยู่ที่ไหน?”

ทั้งสามมองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ พระปีศาจมาสนสิ่งนี้ จั่วเอ๋อร์ตอบว่า “ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์คือกุญแจสำคัญที่ประมุขชิงใช้ทำให้ใต้หล้าเกรงกลัว ประมุขชิงรักษาความลับแหล่งผลิตธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์สุดๆ ไม่เคยให้คนนอกรู้เลย พวกเราไม่รู้เช่นกัน”

“ในมือสมาคมวีรชนใช้วิธีการไร้คุณธรรมควบคุมคนพวกนั้นให้แอบทำงานให้ มีเรื่องอย่างนี้อยู่หรือเปล่า?” พระปีศาจหนานโปถาม

จั่วเอ๋อร์พยักหน้า “น่าจะมีเรื่องแบบนี้อยู่ ที่จริงอำนาจแต่ละฝ่ายก็มีเรื่องทำนองนี้อยู่บ้างเหมือนกัน”

หลังจากพระปีศาจหนานโปยืนยันได้แล้ว ก็ชูสองนิ้ว “จัดการสองเรื่องนี้ก่อน หนึ่ง ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เป็นอาวุธที่ติดให้กองทัพองครักษ์มากขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่ประมุขชิงจะหลอมสร้างด้วยตัวเอง ต้องมีคนช่วยประมุขชิงรับผิดชอบเรื่องในด้านนี้แน่ พวกเจ้ากำหนดขอบเขตก่อน ยืนยันตัวคนที่อาจจะรู้เรื่องนี้มากที่สุด ดูว่าคนไหนที่พวกเรามีโอกาสเข้าใกล้ได้ สอง สมาคมวีรชนใช้วิธีการไร้ศีลธรรมควบคุมคนพวกนั้น ยืนยันให้ได้ว่าใครของสมาคมวีรชนที่กำลังรับผิดชอบเรื่องนี้ ดูว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องคนไหนที่พวกเราสามารถเข้าใกล้ได้บ้าง”

แม้ทั้งสามจะกลุ้มใจ ไม่รู้ว่าพระปีศาจหนานโปต้องการจะทำอะไร แต่ก็ยังกุมหมัดคารวะ “รับทราบ!”

นอกจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล กลุ่มคนสิบกว่าคนเหาะลงมาจากฟ้า หลังจากผ่านการตรวจสอบแล้วก็เข้ามาข้างใน

คนกลุ่มนี้ล้วนใส่หน้ากากปลอมตัว ผู้ที่นำหน้ามากลับสวมชุดคลุมสีดำ คลุมตั้งแต่ศีรษะจดเท้า

ตอนที่เข้ามาเรือนด้านใน ทหารยามก็กันผู้ติดตามเอาไว้ ไม่ให้ตามเข้าไปข้างใน ให้คนที่เป็นหัวหน้าเข้าไปได้แค่คนเดียวเท่านั้น

ผู้ที่นำหน้ามาชี้คนข้างกาย บอกหยางเจาชิงที่เข้ามาต้อนรับว่า “เขาจะเข้าไปกับข้าด้วย”

หยางเจาชิงโบกมือให้ทหารยาม ให้ขวางคนอื่นไว้ แล้วปล่อยคนนั้นตามหัวหน้าเข้าไป

หยางเจาชิงนำทั้งสองเดินมาตลอดทางจนถึงบนตึกศาลาที่สามารถเห็นทิวทัศน์ได้รอบด้าน

บนตึกศาลา เตรียมสุราอาหารไว้โต๊ะหนึ่งเรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ยืนเอามือไขว้หลังพิงระเบียงหันหลังให้ ท่วงท่าผึ่งผาย

คนที่ขึ้นมาบนตึกศาลาไม่ได้เดินไปถึงขอบตึกศาลาที่คนนอกสามารถเห็นได้ แต่ยืนตรงกลางตึกศาลา ฉีกหน้าปากบนใบหน้าลงมา ถอดชุดคลุมออก แล้วโยนให้ผู้ติดตามที่อยู่ข้างกายรับไว้ ก่อนจะกล่าวว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ช่างมีอารมณ์สุนทรีย์ ทำไมถึงนึกนัดให้เฉาผู้นี้มาดื่มสุราได้?”

ไม่ใช่ใครอื่น  เขาคือเถ้าแก่เฉาหม่านแห่งตึกศาลาสัตยพรต คนข้างกายเขาก็ถอดหน้ากากออกแล้วเช่นกัน เป็นคนรู้จักของเหมียวอี้ เฉาเฟิ่งฉือ!

เหมียวอี้เพิ่งจะหันตัวมา เดินกุมหมัดคารวะเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม “ไม่อยากให้คนนอกสังเกตเห็น ขออภัยที่ไม่ได้ออกไปต้อนรับด้วยตัวเอง หวังว่าเถ้าแก่เฉาจะไม่ถือสา”

เฉาหม่านยิ้มโดยไม่พูดอะไร เดินไปนั่งหน้าโต๊ะข้างๆ โดยไม่ได้รอให้บอก ส่วนเฉาเฟิ่งฉือที่แต่งตัวเป็นชายก็ยืนอยู่ข้างกาย จ้องเหมียวอี้ด้วยแววตาเป็นประกาย

เหมียวอี้พยักหน้าบอกใบ้เฉาเฟิ่งฉือ แล้วนั่งลงตรงกันข้าม ขณะกำลังจะยื่นมือไปถือกาสุรารินให้ด้วยตัวเอง ใครจะคิดว่าเฉาเฟิ่งฉือกลับชิงก้าวเข้ามาแย่งกาน้ำชาไปก่อน

“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ จะบังอาจรบกวนผู้ตรวจการใหญ่ได้ยังไง ให้นางหนูทำเถอะ” เฉาหม่านกล่าวเสียงเรียบ

เหมียวอี้ยิ้มบางๆ ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยเช่นกัน มองเฉาเฟิ่งฉือพร้อมบอกว่า “ดูท่าแล้วเถ้าแก่คงกำลังฝึกให้แม่นางเฟิ่งฉือเป็นผู้สืบทอดของตึกศาลาสัตยพรตสินะ!”

คนที่รู้เรื่องราวเบื้องลึก ถ้าได้ยินประโยคนี้ก็คงจะได้รู้ข้อมูลอะไรมากมาย ตามหลักแล้วคนที่คุมตึกศาลาสัตยพรตมต้องได้รับแต่งตั้งจากหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วเท่านั้น จะให้เฉาหม่านกำหนดเองได้ที่ไหนกัน ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ แค่คิดก็รู้แล้วว่าความสามารถในการควบคุมตึกศาลาสัตยพรตของหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วเป็นอย่างไร

สำหรับเฉาหม่าน คำพูดพวกนี้แค่ฟังเอาไว้ก็พอ ไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ แต่กลับรู้สึกสะท้อนใจกับคนที่อยู่ตรงหน้า นึกถึงในปีนั้นที่ตัวเองพูดประโยคเดียวก็ทำให้อีกฝ่ายไร้ที่ยืนในตลาดผีได้ แต่ตอนนกลับกัน อีกฝ่ายให้ตนมาดื่มสุราด้วย ตนก็ปฏิเสธลำบาก

ทว่าสถานการณ์อยู่เหนือตัวบุคคล ทั้งแดนรัตติกาลล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมจากทัพใหญ่ของเหมียวอี้ ตั้งแต่รู้ว่าเซี่ยโห้วลิ่งอาจจะลงมือกับเขา เขาก็ไม่กล้าย้ายสถานที่ของตลาดผีง่ายๆ ยังต้องให้เหมียวอี้มอบสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยให้ หรือพูดได้อีกอย่างว่า ตอนนี้ตัวเขาอยู่ภายใต้การล้อมพิทักษ์จากทัพใหญ่ของเหมียวอี้ เรื่องบางเรื่องก็ไม่กล้าไม่ไว้หน้า ยิ่งไปกว่านั้น เหมียวอี้ก็ไว้หน้าเขามากด้วย ไม่ได้อาศัยกำลังทหารบีบเอาอำนาจการควบคุมตลาดผีไปจากตึกศาลาสัตยพรต ตลาดผียังคงอยู่ในอำนาจการตัดสินใจของเฉาหม่าน

แน่นอน เฉาหม่านก็มีที่พึ่งเหมือนกัน ถ้าเหมียวอี้กล้าแตะต้องเขา กิจการทั้งหมดของเหมียวอี้ที่ตลาดมืดก็จะได้รับความเสียหาย

ดังนั้น ทั้งสองอยู่ในสถานการณ์ที่พึ่งพาและร่วมงานกัน เพราะต่างฝ่ายต่างมีศักยภาพที่ทำให้อีกฝ่ายกลัว แบบนี้ความร่วมมือของทั้งสองฝ่ายถึงจะทำในระยะยาวได้

“ดื่มสุรา!” เฉาหม่านยกจอกสุราเชื้อเชิญ เหมียวอี้ยกจอกสุราชนกับจอกสุราเขา แล้วดื่มหมดจอกพร้อมกัน ส่วนเฉาเฟิ่งฉือก็คอยรินสุราอยู่ข้างๆ ต่อไป

“สุราไม่เลวเลย เป็นของบรรณาการของวังสวรรค์” เฉาหม่านกล่าวส่งเดชไปอย่างนั้น

“ได้รับความโปรดปรานจากราชินีสวรรค์ ได้มาเป็นรางวัล” เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม

“เพียงแต่ตอนนี้ในใจราชินีสวรรค์กลับรู้สึกขัดเคือง เกรงว่าคงสังเกตเห็นแล้วว่าผู้ตรวจการใหญ่กำลังอาศัยกำลังทหารแข็งข้อต่อเบื้องบน ตระหนักได้แล้วว่าตัวเองถูกผู้ตรวจการใหญ่หลอกใช้ประโยชน์” เฉาหม่านกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา

เหมียวอี้ตอบด้วยน้ำเสียงปกติว่า “กล่าวเกินความจริงแล้ว สำหรับราชินีสวรรค์ จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลเคารพนับถือมาตลอด ไม่เคยจงรักภักดีต่อราชินีสวรรค์น้อยลงเลย เรื่องที่ราชินีสวรรค์อยากจะทำ ขอเพียงให้เลยเถิดเกินไป จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลล้วนพยายามสุดความสามารถทำให้เหนียงเหนียงพอใจ ถ้าทำแบบนี้แล้วยังนับว่าหลอกใช้ประโยชน์ เช่นนั้นคนในใต้หล้าก็คงอิจฉากันหมดแล้ว”

เฉาหม่านบอกว่า “ถ้าเปลี่ยนเป็นในปีนั้น งานที่ผู้ตรวจการใหญ่ทำให้เหนียงเหนียงไม่ใช่คำขอที่เกินไปและยอมรับไม่ได้ ในปีนั้นแค่เหนียงเหนียงสั่งคำเดียว ผู้ตรวจการใหญ่ก็กล้าแม้กระทั่งชิงตัวสนมของราชันสวรรค์ ในปีนั้นเวลาเหนียงเหนียงออกคำสั่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกินตัวหรือไม่ ยังมีเรื่องไหนที่ผู้ตรวจการใหญ่ไม่กล้าทำด้วยหรือ?”

เหมียวอี้พิมพ์อย่างใจเย็น “เถ้าแก่ จะพูดซี้ซั้วอย่างนั้นไม่ได้ หนิวไม่เคยชิงตัวสนมของราชันสวรรค์เสียหน่อย”

“ตอนนี้หากราชินีสวรรค์อยากจะพบผู้ตรวจการใหญ่สักครั้ง เกรงว่าจะไม่ง่ายแล้ว นึกถึงในปีนั้นที่พอเรียกหาก็มาทันที!” เฉาหม่านกล่าว

“งานเยอะจนยุ่งเท่านั้นเอง เหนียงเหนียงไม่เคยถือสาผู้น้อยเลย” เหมียวอี้ตอบ

“อ้อ! ถ้าเหนียงเหนียงอยากจะถอดกำลังทหารของผู้ตรวจการใหญ่ ออกคำสั่งให้ผู้ตรวจการใหญ่ย้ายออกจากแดนรัตติกาล ให้ผู้ตรวจการใหญ่หลุดพ้นจากงานยุ่งออกมาเสพสุข ผู้ตรวจการใหญ่จะรับคำสั่งหรือเเปล่า?” เฉาหม่านถาม

“เฮ้อ! เถ้าแก่เองก็รู้ ทัพใหญ่หลายสิบล้านของแดนรัตติกาลล้วนเคยเป็นพวกบ้านแตกสาแหรกขาด ค่อนข้างมีความตื่นตัวต่อวิกฤติ ใจคนยากจะมั่นคงได้ หนิวพยายามสื่อสารกับพวกเขามาตลอด พยายามให้พวกเขารักษาสงบเอาไว้ สุดท้ายก็ได้รับความเชื่อใจจากพวกเขา ถ้าเหนียงเหนียงมีคำสั่ง หนิวย่อมปฏิบัติตามคำสั่งอยู่แล้ว เพียงแต่กลัวว่ากำลังพลเบื้องล่างพวกนั้นจะดื้อรั้น ถ้าก่อเรื่องอะไรขึ้นมา อาจจะบีบให้ผู้สำเร็จราชการคนนี้ก่อกบฏก็ได้” เหมียวอี้ถอนหายใจ ทำท่าเหมือนจนใจมาก

พูดจาไพเราะยิ่งกว่าร้องเพลงเสียอีก แต่ความหมายที่แท้จริงก็คือกำลังอาศัยกำลังทหารแข็งข้อต่อเบื้องบนไม่ใช่หรอกหรือ! เฉาหม่านแสยะยิ้มในใจ “ข้ารู้ว่าผู้ตรวจการใหญ่คงไม่อาศัยกำลังทหารแข็งข้อต่อเบื้องบนเหมือนพวกอ๋องสวรรค์ อย่างไรเสียผู้ตรวจการใหญ่ก็ยังแตกต่างจากอ๋องสวรรค์พวกนั้น อาณาเขตของพวกอ๋องสวรรค์นั้นกว้างใหญ่ ผลประโยชน์เยอะมาก คนเบื้องล่างเกี่ยวข้องกับการแก่งแย่งผลประโยชน์ ย่อมขัดแย้งไม่หยุดหย่อน กำลังคนเพิ่มลดอยู่ตลอด เมื่อเวลานานไปก็รักษาความสมดุลไว้ได้ระดับหนึ่ง แต่แดนรัตติกาลในปกครองของผู้ตรวจการใหญ่นั้นต่างกัน ทั้งไม่มีพื้นที่ ยังไม่มีผลประโยชน์ให้แก่งแย่ง ดังนั้นกำลังพลจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลจึงไม่ได้สิ้นเปลืองกำลังแบบนั้น กำลังเติบโตอย่างมั่นคงตลอด สักวันหนึ่งต้องกลายเป็นทัพเกรียงไกรในใต้หล้าแน่นอน!” ประโยคสุดท้ายแฝงความหมายล้ำลึก

เหมียวอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ในโลกนี้จะมีคนตาดีมากมาย  แม้แต่เฉาหม่านก็ยังมองออก วังสวรรค์มีหรือที่จะมองไม่ออก ดูท่าแล้วช้าเร็วก็คงหนีเคราะห์กรรมหนีไม่พ้น คงต้องเร่งดำเนินการเรื่องมารดาของเฟยหงแล้ว

“ฟังจากที่เถ้าแก่บอก เหนียงเหนียงเหมือนจะกำลังเป็นห่วงฝ่าบาท…ฟังจากน้ำเสียงของเถ้าแก่ ทำไมเข้ารู้สึกว่าท่านไม่พอใจค่า?” เหมียวอี้ยกจอกสุราหยอกล้อ เขากำลังบอกใบ้ให้อีกฝ่ายหยุด

เฉาหม่านยกจอกสุราตอบ “ข้ารู้สึกว่าผู้ตรวจการใหญ่เชิญข้ามาดื่มสุรา แสดงว่ามีเรื่องจะคุยกับข้าแน่นอน คงไม่ได้เชิญมาดื่มสุราอย่างเดียวหรอกมั้ง?” เขากำลังบอกใบ้ให้เหมียวอี้พูดมาตรงๆ อย่าอ้อมค้อม

เหมียวอี้ตอบด้วยรอยยิ้มว่า “สงสัยสุราชั้นดีคงไม่ทำให้เถ้าแก่บันเทิงเต็มที่ ก็ได้ ข้าจะเล่านิทานสองเรื่องที่ช่วยสร้างความบันเทิงให้เถ้าแก่”

“อ้อ! สองเรื่อง?” เฉาหม่านแสดงความสนใจ ทำสีหน้าเหมือนตั้งหน้าตั้งตารอฟัง อยากจะเห็นว่าเหมียวอี้คิดจะทำอะไร

เหมียวอี้วางจอกสุราลง แล้วกล่าวอย่างค่อนข้างสะเทือนใจ “ในปีนั้นตอนที่ข้ายังไม่เข้าตำหนักสวรรค์ ยังไม่ทำร้านขายของชำซื่อตรง มีอยู่ครั้งหนึ่งไปทัศนาจรที่แดนไร้ระเบียบ เจอศิษย์ปราสาทดำเนินนภาคนหนึ่งกำลังถูกมารปีศาจกลุ่มหนึ่งไล่สังหารไป ข้าบังเอิญโดนจี้ตัว โดนกดดันให้หนีเข้าไปในดาวมารโลหิตพร้อมกับศิษย์ปราสาทดำนเนินภาคนนั้น จำต้องดิ้นรนสู้ตายที่ดาวมารโลหิต ใครจะคิดว่าจะเป็นตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลังตั๊กแตน บังเอิญไปเจอปีศาจโลหิต โดนปีศาจโลหิตเก็บเข้าไปขังในค่ายกลมารโลหิต ค่ายกลมารโลหิตนี้ไม่เล็กเลย ข้ากับศิษย์ปราสาทดำนเนินนภาคนนั้นแทบเอาชีวิตไม่รอด ตอนที่โชคดีรอดจากค่ายกลมารโลหิตได้ ข้าก็ได้บัวโลหิตต้นหนึ่งจากทะเลเลือดในค่ายกลมารโลหิต แต่ใครจะคิดว่าบัวโลหิตที่ปลูกในทะเลเลือดจะไม่ธรรมดา มันคือสมุนไพรจิตวิญญาณ มีผลช่วยคนตายให้ฟื้น ก่อกระดูกใหม่ ขอเพียงจิตวิญญาณไม่แตกดับ ก็ล้วนสามารถใช้สมุนไพรจิตวิญญาณนี้มาฟื้นชีพได้ ตอนหลังปีศาจโลหิตมาเกาะแกะข้าไม่เลิกเพื่อสมุนไพรจิตวิญญาณต้นนี้ ข้าถึงได้รู้ว่าปีศาจโลหิตเป็นคนของสมาคมวีรชน ทำให้ข้ายุ่งยากมาก เพียงแต่ตอนหลังจู่ๆ ปีศาจโลหิตก็หายไป ไม่รู้ว่าไปไหนแล้ว ข้าถึงได้พักหายใจ”

เฉาหม่านสบตากับเฉาเฟิ่งฉือโดยไม่รู้ตัว

เฉาเฟิ่งฉือตกใจกับคำว่า ‘สมุนไพรจิตวิญญาณ’ เพียงแต่เรื่องที่ปีศาจโลหิตเกาะแกะหนิวโหย่วเต๋อ นางเองก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน เซี่ยโห้วหลงเฉิงพี่ใหญ่ของนางก็เหมือนจะเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ด้วย เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าจู่ๆ เหมียวอี้พูดถึงเรื่องนี้หมายความว่าอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาเป็นฝ่ายเปิดเผยเองว่าในมือมีสมุนไพรจิตวิญญาณ

เฉาหม่านกลับฟังจนหนังตากระตุก เพราะเขารู้ว่าตอนหลังปีศาจโลหิตอยู่ที่ไหน รู้ว่าตอนหลังปีศาจโลหิตไปที่ไหน ตระหนักได้แล้วว่าการดื่มสุราในวันนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา เขาโน้มกายมาข้างหน้าเล็กน้อย แล้วถามอย่างสนใจสุดๆ ว่า “ตอนหลังล่ะ?”

…………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 2004 ช่วยสร้างความบันเทิงให้เถ้าแก่

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 2004 ช่วยสร้างความบันเทิงให้เถ้าแก่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับ

จากนั้นเหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหวงฝู่ตวนหรงและหวงฝู่จวินโหรว บอกสองแม่ลูกให้พยายามติดต่อกับโลกภายนอกให้ลดลง จะได้หลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น สองแม่ลูกถามว่าเกิดอะไรขึ้น มีอันตรายอะไร?

เหมียวอี้ให้ทั้งสองทำตามที่บอก เขาไม่สะดวกจะบอกว่าตัวเองกังวลว่าพระปีศาจหนานโปจะไปหาพวกนางสองคน

สองแม่ลูกไม่รู้ที่อยู่ของเจียงอวิ๋นเลย ถ้าไม่ถึงขั้นหมดทางเลือกจริงๆ เขาก็ไม่อยากใหเหวงฝู่จวินโหรวเข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องเจียงอวิ๋น กลัวว่าจะทำให้คนพวกนี้ตื่นตัว เขาเองก็ไม่อยากเห็นทั้งสองบังเอิญไปเจอกับพระปีศาจหนานโป แบบนั้นไม่คุ้มค่า

ดาวเกาะคราม ชายหนุ่มรูปร่างกำยำคนหนึ่งยืนอยู่ริมหน้าต่างที่ฉลุลายจากหน้าผาหิน หันหน้าเข้าหาทะเลอันกว้างใหญ่ นี่ก็คือพระปีศาจหนานโปที่ยึดครองร่างคนอื่นมานั่นเอง

ผ่านไปไม่นาน ในห้องถ้ำด้านหลังเขา จั่วเอ๋อร์ เฉาหยินกับสงฉีก็มาทำความเคาพพร้อมกัน”ผู้อาวุโส!”

พระปีศาจหนานโปย้ายสายตาออกจากทะเลกว้าง หันตัวมาเผชิญหน้ากับทุกคน แล้วกล่าวอย่างไม่อ้อมค้อม “ตำหนักสวรรค์มีสถานที่ลับหลอมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อยู่แห่งหนึ่ง พวกเจ้ารู้หรือเปล่าว่าอยู่ที่ไหน?”

ทั้งสามมองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ พระปีศาจมาสนสิ่งนี้ จั่วเอ๋อร์ตอบว่า “ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์คือกุญแจสำคัญที่ประมุขชิงใช้ทำให้ใต้หล้าเกรงกลัว ประมุขชิงรักษาความลับแหล่งผลิตธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์สุดๆ ไม่เคยให้คนนอกรู้เลย พวกเราไม่รู้เช่นกัน”

“ในมือสมาคมวีรชนใช้วิธีการไร้คุณธรรมควบคุมคนพวกนั้นให้แอบทำงานให้ มีเรื่องอย่างนี้อยู่หรือเปล่า?” พระปีศาจหนานโปถาม

จั่วเอ๋อร์พยักหน้า “น่าจะมีเรื่องแบบนี้อยู่ ที่จริงอำนาจแต่ละฝ่ายก็มีเรื่องทำนองนี้อยู่บ้างเหมือนกัน”

หลังจากพระปีศาจหนานโปยืนยันได้แล้ว ก็ชูสองนิ้ว “จัดการสองเรื่องนี้ก่อน หนึ่ง ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เป็นอาวุธที่ติดให้กองทัพองครักษ์มากขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่ประมุขชิงจะหลอมสร้างด้วยตัวเอง ต้องมีคนช่วยประมุขชิงรับผิดชอบเรื่องในด้านนี้แน่ พวกเจ้ากำหนดขอบเขตก่อน ยืนยันตัวคนที่อาจจะรู้เรื่องนี้มากที่สุด ดูว่าคนไหนที่พวกเรามีโอกาสเข้าใกล้ได้ สอง สมาคมวีรชนใช้วิธีการไร้ศีลธรรมควบคุมคนพวกนั้น ยืนยันให้ได้ว่าใครของสมาคมวีรชนที่กำลังรับผิดชอบเรื่องนี้ ดูว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องคนไหนที่พวกเราสามารถเข้าใกล้ได้บ้าง”

แม้ทั้งสามจะกลุ้มใจ ไม่รู้ว่าพระปีศาจหนานโปต้องการจะทำอะไร แต่ก็ยังกุมหมัดคารวะ “รับทราบ!”

นอกจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล กลุ่มคนสิบกว่าคนเหาะลงมาจากฟ้า หลังจากผ่านการตรวจสอบแล้วก็เข้ามาข้างใน

คนกลุ่มนี้ล้วนใส่หน้ากากปลอมตัว ผู้ที่นำหน้ามากลับสวมชุดคลุมสีดำ คลุมตั้งแต่ศีรษะจดเท้า

ตอนที่เข้ามาเรือนด้านใน ทหารยามก็กันผู้ติดตามเอาไว้ ไม่ให้ตามเข้าไปข้างใน ให้คนที่เป็นหัวหน้าเข้าไปได้แค่คนเดียวเท่านั้น

ผู้ที่นำหน้ามาชี้คนข้างกาย บอกหยางเจาชิงที่เข้ามาต้อนรับว่า “เขาจะเข้าไปกับข้าด้วย”

หยางเจาชิงโบกมือให้ทหารยาม ให้ขวางคนอื่นไว้ แล้วปล่อยคนนั้นตามหัวหน้าเข้าไป

หยางเจาชิงนำทั้งสองเดินมาตลอดทางจนถึงบนตึกศาลาที่สามารถเห็นทิวทัศน์ได้รอบด้าน

บนตึกศาลา เตรียมสุราอาหารไว้โต๊ะหนึ่งเรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ยืนเอามือไขว้หลังพิงระเบียงหันหลังให้ ท่วงท่าผึ่งผาย

คนที่ขึ้นมาบนตึกศาลาไม่ได้เดินไปถึงขอบตึกศาลาที่คนนอกสามารถเห็นได้ แต่ยืนตรงกลางตึกศาลา ฉีกหน้าปากบนใบหน้าลงมา ถอดชุดคลุมออก แล้วโยนให้ผู้ติดตามที่อยู่ข้างกายรับไว้ ก่อนจะกล่าวว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ช่างมีอารมณ์สุนทรีย์ ทำไมถึงนึกนัดให้เฉาผู้นี้มาดื่มสุราได้?”

ไม่ใช่ใครอื่น  เขาคือเถ้าแก่เฉาหม่านแห่งตึกศาลาสัตยพรต คนข้างกายเขาก็ถอดหน้ากากออกแล้วเช่นกัน เป็นคนรู้จักของเหมียวอี้ เฉาเฟิ่งฉือ!

เหมียวอี้เพิ่งจะหันตัวมา เดินกุมหมัดคารวะเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม “ไม่อยากให้คนนอกสังเกตเห็น ขออภัยที่ไม่ได้ออกไปต้อนรับด้วยตัวเอง หวังว่าเถ้าแก่เฉาจะไม่ถือสา”

เฉาหม่านยิ้มโดยไม่พูดอะไร เดินไปนั่งหน้าโต๊ะข้างๆ โดยไม่ได้รอให้บอก ส่วนเฉาเฟิ่งฉือที่แต่งตัวเป็นชายก็ยืนอยู่ข้างกาย จ้องเหมียวอี้ด้วยแววตาเป็นประกาย

เหมียวอี้พยักหน้าบอกใบ้เฉาเฟิ่งฉือ แล้วนั่งลงตรงกันข้าม ขณะกำลังจะยื่นมือไปถือกาสุรารินให้ด้วยตัวเอง ใครจะคิดว่าเฉาเฟิ่งฉือกลับชิงก้าวเข้ามาแย่งกาน้ำชาไปก่อน

“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ จะบังอาจรบกวนผู้ตรวจการใหญ่ได้ยังไง ให้นางหนูทำเถอะ” เฉาหม่านกล่าวเสียงเรียบ

เหมียวอี้ยิ้มบางๆ ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยเช่นกัน มองเฉาเฟิ่งฉือพร้อมบอกว่า “ดูท่าแล้วเถ้าแก่คงกำลังฝึกให้แม่นางเฟิ่งฉือเป็นผู้สืบทอดของตึกศาลาสัตยพรตสินะ!”

คนที่รู้เรื่องราวเบื้องลึก ถ้าได้ยินประโยคนี้ก็คงจะได้รู้ข้อมูลอะไรมากมาย ตามหลักแล้วคนที่คุมตึกศาลาสัตยพรตมต้องได้รับแต่งตั้งจากหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วเท่านั้น จะให้เฉาหม่านกำหนดเองได้ที่ไหนกัน ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ แค่คิดก็รู้แล้วว่าความสามารถในการควบคุมตึกศาลาสัตยพรตของหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วเป็นอย่างไร

สำหรับเฉาหม่าน คำพูดพวกนี้แค่ฟังเอาไว้ก็พอ ไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ แต่กลับรู้สึกสะท้อนใจกับคนที่อยู่ตรงหน้า นึกถึงในปีนั้นที่ตัวเองพูดประโยคเดียวก็ทำให้อีกฝ่ายไร้ที่ยืนในตลาดผีได้ แต่ตอนนกลับกัน อีกฝ่ายให้ตนมาดื่มสุราด้วย ตนก็ปฏิเสธลำบาก

ทว่าสถานการณ์อยู่เหนือตัวบุคคล ทั้งแดนรัตติกาลล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมจากทัพใหญ่ของเหมียวอี้ ตั้งแต่รู้ว่าเซี่ยโห้วลิ่งอาจจะลงมือกับเขา เขาก็ไม่กล้าย้ายสถานที่ของตลาดผีง่ายๆ ยังต้องให้เหมียวอี้มอบสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยให้ หรือพูดได้อีกอย่างว่า ตอนนี้ตัวเขาอยู่ภายใต้การล้อมพิทักษ์จากทัพใหญ่ของเหมียวอี้ เรื่องบางเรื่องก็ไม่กล้าไม่ไว้หน้า ยิ่งไปกว่านั้น เหมียวอี้ก็ไว้หน้าเขามากด้วย ไม่ได้อาศัยกำลังทหารบีบเอาอำนาจการควบคุมตลาดผีไปจากตึกศาลาสัตยพรต ตลาดผียังคงอยู่ในอำนาจการตัดสินใจของเฉาหม่าน

แน่นอน เฉาหม่านก็มีที่พึ่งเหมือนกัน ถ้าเหมียวอี้กล้าแตะต้องเขา กิจการทั้งหมดของเหมียวอี้ที่ตลาดมืดก็จะได้รับความเสียหาย

ดังนั้น ทั้งสองอยู่ในสถานการณ์ที่พึ่งพาและร่วมงานกัน เพราะต่างฝ่ายต่างมีศักยภาพที่ทำให้อีกฝ่ายกลัว แบบนี้ความร่วมมือของทั้งสองฝ่ายถึงจะทำในระยะยาวได้

“ดื่มสุรา!” เฉาหม่านยกจอกสุราเชื้อเชิญ เหมียวอี้ยกจอกสุราชนกับจอกสุราเขา แล้วดื่มหมดจอกพร้อมกัน ส่วนเฉาเฟิ่งฉือก็คอยรินสุราอยู่ข้างๆ ต่อไป

“สุราไม่เลวเลย เป็นของบรรณาการของวังสวรรค์” เฉาหม่านกล่าวส่งเดชไปอย่างนั้น

“ได้รับความโปรดปรานจากราชินีสวรรค์ ได้มาเป็นรางวัล” เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม

“เพียงแต่ตอนนี้ในใจราชินีสวรรค์กลับรู้สึกขัดเคือง เกรงว่าคงสังเกตเห็นแล้วว่าผู้ตรวจการใหญ่กำลังอาศัยกำลังทหารแข็งข้อต่อเบื้องบน ตระหนักได้แล้วว่าตัวเองถูกผู้ตรวจการใหญ่หลอกใช้ประโยชน์” เฉาหม่านกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา

เหมียวอี้ตอบด้วยน้ำเสียงปกติว่า “กล่าวเกินความจริงแล้ว สำหรับราชินีสวรรค์ จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลเคารพนับถือมาตลอด ไม่เคยจงรักภักดีต่อราชินีสวรรค์น้อยลงเลย เรื่องที่ราชินีสวรรค์อยากจะทำ ขอเพียงให้เลยเถิดเกินไป จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลล้วนพยายามสุดความสามารถทำให้เหนียงเหนียงพอใจ ถ้าทำแบบนี้แล้วยังนับว่าหลอกใช้ประโยชน์ เช่นนั้นคนในใต้หล้าก็คงอิจฉากันหมดแล้ว”

เฉาหม่านบอกว่า “ถ้าเปลี่ยนเป็นในปีนั้น งานที่ผู้ตรวจการใหญ่ทำให้เหนียงเหนียงไม่ใช่คำขอที่เกินไปและยอมรับไม่ได้ ในปีนั้นแค่เหนียงเหนียงสั่งคำเดียว ผู้ตรวจการใหญ่ก็กล้าแม้กระทั่งชิงตัวสนมของราชันสวรรค์ ในปีนั้นเวลาเหนียงเหนียงออกคำสั่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกินตัวหรือไม่ ยังมีเรื่องไหนที่ผู้ตรวจการใหญ่ไม่กล้าทำด้วยหรือ?”

เหมียวอี้พิมพ์อย่างใจเย็น “เถ้าแก่ จะพูดซี้ซั้วอย่างนั้นไม่ได้ หนิวไม่เคยชิงตัวสนมของราชันสวรรค์เสียหน่อย”

“ตอนนี้หากราชินีสวรรค์อยากจะพบผู้ตรวจการใหญ่สักครั้ง เกรงว่าจะไม่ง่ายแล้ว นึกถึงในปีนั้นที่พอเรียกหาก็มาทันที!” เฉาหม่านกล่าว

“งานเยอะจนยุ่งเท่านั้นเอง เหนียงเหนียงไม่เคยถือสาผู้น้อยเลย” เหมียวอี้ตอบ

“อ้อ! ถ้าเหนียงเหนียงอยากจะถอดกำลังทหารของผู้ตรวจการใหญ่ ออกคำสั่งให้ผู้ตรวจการใหญ่ย้ายออกจากแดนรัตติกาล ให้ผู้ตรวจการใหญ่หลุดพ้นจากงานยุ่งออกมาเสพสุข ผู้ตรวจการใหญ่จะรับคำสั่งหรือเเปล่า?” เฉาหม่านถาม

“เฮ้อ! เถ้าแก่เองก็รู้ ทัพใหญ่หลายสิบล้านของแดนรัตติกาลล้วนเคยเป็นพวกบ้านแตกสาแหรกขาด ค่อนข้างมีความตื่นตัวต่อวิกฤติ ใจคนยากจะมั่นคงได้ หนิวพยายามสื่อสารกับพวกเขามาตลอด พยายามให้พวกเขารักษาสงบเอาไว้ สุดท้ายก็ได้รับความเชื่อใจจากพวกเขา ถ้าเหนียงเหนียงมีคำสั่ง หนิวย่อมปฏิบัติตามคำสั่งอยู่แล้ว เพียงแต่กลัวว่ากำลังพลเบื้องล่างพวกนั้นจะดื้อรั้น ถ้าก่อเรื่องอะไรขึ้นมา อาจจะบีบให้ผู้สำเร็จราชการคนนี้ก่อกบฏก็ได้” เหมียวอี้ถอนหายใจ ทำท่าเหมือนจนใจมาก

พูดจาไพเราะยิ่งกว่าร้องเพลงเสียอีก แต่ความหมายที่แท้จริงก็คือกำลังอาศัยกำลังทหารแข็งข้อต่อเบื้องบนไม่ใช่หรอกหรือ! เฉาหม่านแสยะยิ้มในใจ “ข้ารู้ว่าผู้ตรวจการใหญ่คงไม่อาศัยกำลังทหารแข็งข้อต่อเบื้องบนเหมือนพวกอ๋องสวรรค์ อย่างไรเสียผู้ตรวจการใหญ่ก็ยังแตกต่างจากอ๋องสวรรค์พวกนั้น อาณาเขตของพวกอ๋องสวรรค์นั้นกว้างใหญ่ ผลประโยชน์เยอะมาก คนเบื้องล่างเกี่ยวข้องกับการแก่งแย่งผลประโยชน์ ย่อมขัดแย้งไม่หยุดหย่อน กำลังคนเพิ่มลดอยู่ตลอด เมื่อเวลานานไปก็รักษาความสมดุลไว้ได้ระดับหนึ่ง แต่แดนรัตติกาลในปกครองของผู้ตรวจการใหญ่นั้นต่างกัน ทั้งไม่มีพื้นที่ ยังไม่มีผลประโยชน์ให้แก่งแย่ง ดังนั้นกำลังพลจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลจึงไม่ได้สิ้นเปลืองกำลังแบบนั้น กำลังเติบโตอย่างมั่นคงตลอด สักวันหนึ่งต้องกลายเป็นทัพเกรียงไกรในใต้หล้าแน่นอน!” ประโยคสุดท้ายแฝงความหมายล้ำลึก

เหมียวอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ในโลกนี้จะมีคนตาดีมากมาย  แม้แต่เฉาหม่านก็ยังมองออก วังสวรรค์มีหรือที่จะมองไม่ออก ดูท่าแล้วช้าเร็วก็คงหนีเคราะห์กรรมหนีไม่พ้น คงต้องเร่งดำเนินการเรื่องมารดาของเฟยหงแล้ว

“ฟังจากที่เถ้าแก่บอก เหนียงเหนียงเหมือนจะกำลังเป็นห่วงฝ่าบาท…ฟังจากน้ำเสียงของเถ้าแก่ ทำไมเข้ารู้สึกว่าท่านไม่พอใจค่า?” เหมียวอี้ยกจอกสุราหยอกล้อ เขากำลังบอกใบ้ให้อีกฝ่ายหยุด

เฉาหม่านยกจอกสุราตอบ “ข้ารู้สึกว่าผู้ตรวจการใหญ่เชิญข้ามาดื่มสุรา แสดงว่ามีเรื่องจะคุยกับข้าแน่นอน คงไม่ได้เชิญมาดื่มสุราอย่างเดียวหรอกมั้ง?” เขากำลังบอกใบ้ให้เหมียวอี้พูดมาตรงๆ อย่าอ้อมค้อม

เหมียวอี้ตอบด้วยรอยยิ้มว่า “สงสัยสุราชั้นดีคงไม่ทำให้เถ้าแก่บันเทิงเต็มที่ ก็ได้ ข้าจะเล่านิทานสองเรื่องที่ช่วยสร้างความบันเทิงให้เถ้าแก่”

“อ้อ! สองเรื่อง?” เฉาหม่านแสดงความสนใจ ทำสีหน้าเหมือนตั้งหน้าตั้งตารอฟัง อยากจะเห็นว่าเหมียวอี้คิดจะทำอะไร

เหมียวอี้วางจอกสุราลง แล้วกล่าวอย่างค่อนข้างสะเทือนใจ “ในปีนั้นตอนที่ข้ายังไม่เข้าตำหนักสวรรค์ ยังไม่ทำร้านขายของชำซื่อตรง มีอยู่ครั้งหนึ่งไปทัศนาจรที่แดนไร้ระเบียบ เจอศิษย์ปราสาทดำเนินนภาคนหนึ่งกำลังถูกมารปีศาจกลุ่มหนึ่งไล่สังหารไป ข้าบังเอิญโดนจี้ตัว โดนกดดันให้หนีเข้าไปในดาวมารโลหิตพร้อมกับศิษย์ปราสาทดำนเนินภาคนนั้น จำต้องดิ้นรนสู้ตายที่ดาวมารโลหิต ใครจะคิดว่าจะเป็นตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลังตั๊กแตน บังเอิญไปเจอปีศาจโลหิต โดนปีศาจโลหิตเก็บเข้าไปขังในค่ายกลมารโลหิต ค่ายกลมารโลหิตนี้ไม่เล็กเลย ข้ากับศิษย์ปราสาทดำนเนินนภาคนนั้นแทบเอาชีวิตไม่รอด ตอนที่โชคดีรอดจากค่ายกลมารโลหิตได้ ข้าก็ได้บัวโลหิตต้นหนึ่งจากทะเลเลือดในค่ายกลมารโลหิต แต่ใครจะคิดว่าบัวโลหิตที่ปลูกในทะเลเลือดจะไม่ธรรมดา มันคือสมุนไพรจิตวิญญาณ มีผลช่วยคนตายให้ฟื้น ก่อกระดูกใหม่ ขอเพียงจิตวิญญาณไม่แตกดับ ก็ล้วนสามารถใช้สมุนไพรจิตวิญญาณนี้มาฟื้นชีพได้ ตอนหลังปีศาจโลหิตมาเกาะแกะข้าไม่เลิกเพื่อสมุนไพรจิตวิญญาณต้นนี้ ข้าถึงได้รู้ว่าปีศาจโลหิตเป็นคนของสมาคมวีรชน ทำให้ข้ายุ่งยากมาก เพียงแต่ตอนหลังจู่ๆ ปีศาจโลหิตก็หายไป ไม่รู้ว่าไปไหนแล้ว ข้าถึงได้พักหายใจ”

เฉาหม่านสบตากับเฉาเฟิ่งฉือโดยไม่รู้ตัว

เฉาเฟิ่งฉือตกใจกับคำว่า ‘สมุนไพรจิตวิญญาณ’ เพียงแต่เรื่องที่ปีศาจโลหิตเกาะแกะหนิวโหย่วเต๋อ นางเองก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน เซี่ยโห้วหลงเฉิงพี่ใหญ่ของนางก็เหมือนจะเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ด้วย เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าจู่ๆ เหมียวอี้พูดถึงเรื่องนี้หมายความว่าอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาเป็นฝ่ายเปิดเผยเองว่าในมือมีสมุนไพรจิตวิญญาณ

เฉาหม่านกลับฟังจนหนังตากระตุก เพราะเขารู้ว่าตอนหลังปีศาจโลหิตอยู่ที่ไหน รู้ว่าตอนหลังปีศาจโลหิตไปที่ไหน ตระหนักได้แล้วว่าการดื่มสุราในวันนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา เขาโน้มกายมาข้างหน้าเล็กน้อย แล้วถามอย่างสนใจสุดๆ ว่า “ตอนหลังล่ะ?”

…………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 2004 ช่วยสร้างความบันเทิงให้เถ้าแก่

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 2004 ช่วยสร้างความบันเทิงให้เถ้าแก่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับ

จากนั้นเหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหวงฝู่ตวนหรงและหวงฝู่จวินโหรว บอกสองแม่ลูกให้พยายามติดต่อกับโลกภายนอกให้ลดลง จะได้หลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น สองแม่ลูกถามว่าเกิดอะไรขึ้น มีอันตรายอะไร?

เหมียวอี้ให้ทั้งสองทำตามที่บอก เขาไม่สะดวกจะบอกว่าตัวเองกังวลว่าพระปีศาจหนานโปจะไปหาพวกนางสองคน

สองแม่ลูกไม่รู้ที่อยู่ของเจียงอวิ๋นเลย ถ้าไม่ถึงขั้นหมดทางเลือกจริงๆ เขาก็ไม่อยากใหเหวงฝู่จวินโหรวเข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องเจียงอวิ๋น กลัวว่าจะทำให้คนพวกนี้ตื่นตัว เขาเองก็ไม่อยากเห็นทั้งสองบังเอิญไปเจอกับพระปีศาจหนานโป แบบนั้นไม่คุ้มค่า

ดาวเกาะคราม ชายหนุ่มรูปร่างกำยำคนหนึ่งยืนอยู่ริมหน้าต่างที่ฉลุลายจากหน้าผาหิน หันหน้าเข้าหาทะเลอันกว้างใหญ่ นี่ก็คือพระปีศาจหนานโปที่ยึดครองร่างคนอื่นมานั่นเอง

ผ่านไปไม่นาน ในห้องถ้ำด้านหลังเขา จั่วเอ๋อร์ เฉาหยินกับสงฉีก็มาทำความเคาพพร้อมกัน”ผู้อาวุโส!”

พระปีศาจหนานโปย้ายสายตาออกจากทะเลกว้าง หันตัวมาเผชิญหน้ากับทุกคน แล้วกล่าวอย่างไม่อ้อมค้อม “ตำหนักสวรรค์มีสถานที่ลับหลอมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อยู่แห่งหนึ่ง พวกเจ้ารู้หรือเปล่าว่าอยู่ที่ไหน?”

ทั้งสามมองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ พระปีศาจมาสนสิ่งนี้ จั่วเอ๋อร์ตอบว่า “ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์คือกุญแจสำคัญที่ประมุขชิงใช้ทำให้ใต้หล้าเกรงกลัว ประมุขชิงรักษาความลับแหล่งผลิตธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์สุดๆ ไม่เคยให้คนนอกรู้เลย พวกเราไม่รู้เช่นกัน”

“ในมือสมาคมวีรชนใช้วิธีการไร้คุณธรรมควบคุมคนพวกนั้นให้แอบทำงานให้ มีเรื่องอย่างนี้อยู่หรือเปล่า?” พระปีศาจหนานโปถาม

จั่วเอ๋อร์พยักหน้า “น่าจะมีเรื่องแบบนี้อยู่ ที่จริงอำนาจแต่ละฝ่ายก็มีเรื่องทำนองนี้อยู่บ้างเหมือนกัน”

หลังจากพระปีศาจหนานโปยืนยันได้แล้ว ก็ชูสองนิ้ว “จัดการสองเรื่องนี้ก่อน หนึ่ง ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เป็นอาวุธที่ติดให้กองทัพองครักษ์มากขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่ประมุขชิงจะหลอมสร้างด้วยตัวเอง ต้องมีคนช่วยประมุขชิงรับผิดชอบเรื่องในด้านนี้แน่ พวกเจ้ากำหนดขอบเขตก่อน ยืนยันตัวคนที่อาจจะรู้เรื่องนี้มากที่สุด ดูว่าคนไหนที่พวกเรามีโอกาสเข้าใกล้ได้ สอง สมาคมวีรชนใช้วิธีการไร้ศีลธรรมควบคุมคนพวกนั้น ยืนยันให้ได้ว่าใครของสมาคมวีรชนที่กำลังรับผิดชอบเรื่องนี้ ดูว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องคนไหนที่พวกเราสามารถเข้าใกล้ได้บ้าง”

แม้ทั้งสามจะกลุ้มใจ ไม่รู้ว่าพระปีศาจหนานโปต้องการจะทำอะไร แต่ก็ยังกุมหมัดคารวะ “รับทราบ!”

นอกจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล กลุ่มคนสิบกว่าคนเหาะลงมาจากฟ้า หลังจากผ่านการตรวจสอบแล้วก็เข้ามาข้างใน

คนกลุ่มนี้ล้วนใส่หน้ากากปลอมตัว ผู้ที่นำหน้ามากลับสวมชุดคลุมสีดำ คลุมตั้งแต่ศีรษะจดเท้า

ตอนที่เข้ามาเรือนด้านใน ทหารยามก็กันผู้ติดตามเอาไว้ ไม่ให้ตามเข้าไปข้างใน ให้คนที่เป็นหัวหน้าเข้าไปได้แค่คนเดียวเท่านั้น

ผู้ที่นำหน้ามาชี้คนข้างกาย บอกหยางเจาชิงที่เข้ามาต้อนรับว่า “เขาจะเข้าไปกับข้าด้วย”

หยางเจาชิงโบกมือให้ทหารยาม ให้ขวางคนอื่นไว้ แล้วปล่อยคนนั้นตามหัวหน้าเข้าไป

หยางเจาชิงนำทั้งสองเดินมาตลอดทางจนถึงบนตึกศาลาที่สามารถเห็นทิวทัศน์ได้รอบด้าน

บนตึกศาลา เตรียมสุราอาหารไว้โต๊ะหนึ่งเรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ยืนเอามือไขว้หลังพิงระเบียงหันหลังให้ ท่วงท่าผึ่งผาย

คนที่ขึ้นมาบนตึกศาลาไม่ได้เดินไปถึงขอบตึกศาลาที่คนนอกสามารถเห็นได้ แต่ยืนตรงกลางตึกศาลา ฉีกหน้าปากบนใบหน้าลงมา ถอดชุดคลุมออก แล้วโยนให้ผู้ติดตามที่อยู่ข้างกายรับไว้ ก่อนจะกล่าวว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ช่างมีอารมณ์สุนทรีย์ ทำไมถึงนึกนัดให้เฉาผู้นี้มาดื่มสุราได้?”

ไม่ใช่ใครอื่น  เขาคือเถ้าแก่เฉาหม่านแห่งตึกศาลาสัตยพรต คนข้างกายเขาก็ถอดหน้ากากออกแล้วเช่นกัน เป็นคนรู้จักของเหมียวอี้ เฉาเฟิ่งฉือ!

เหมียวอี้เพิ่งจะหันตัวมา เดินกุมหมัดคารวะเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม “ไม่อยากให้คนนอกสังเกตเห็น ขออภัยที่ไม่ได้ออกไปต้อนรับด้วยตัวเอง หวังว่าเถ้าแก่เฉาจะไม่ถือสา”

เฉาหม่านยิ้มโดยไม่พูดอะไร เดินไปนั่งหน้าโต๊ะข้างๆ โดยไม่ได้รอให้บอก ส่วนเฉาเฟิ่งฉือที่แต่งตัวเป็นชายก็ยืนอยู่ข้างกาย จ้องเหมียวอี้ด้วยแววตาเป็นประกาย

เหมียวอี้พยักหน้าบอกใบ้เฉาเฟิ่งฉือ แล้วนั่งลงตรงกันข้าม ขณะกำลังจะยื่นมือไปถือกาสุรารินให้ด้วยตัวเอง ใครจะคิดว่าเฉาเฟิ่งฉือกลับชิงก้าวเข้ามาแย่งกาน้ำชาไปก่อน

“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ จะบังอาจรบกวนผู้ตรวจการใหญ่ได้ยังไง ให้นางหนูทำเถอะ” เฉาหม่านกล่าวเสียงเรียบ

เหมียวอี้ยิ้มบางๆ ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยเช่นกัน มองเฉาเฟิ่งฉือพร้อมบอกว่า “ดูท่าแล้วเถ้าแก่คงกำลังฝึกให้แม่นางเฟิ่งฉือเป็นผู้สืบทอดของตึกศาลาสัตยพรตสินะ!”

คนที่รู้เรื่องราวเบื้องลึก ถ้าได้ยินประโยคนี้ก็คงจะได้รู้ข้อมูลอะไรมากมาย ตามหลักแล้วคนที่คุมตึกศาลาสัตยพรตมต้องได้รับแต่งตั้งจากหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วเท่านั้น จะให้เฉาหม่านกำหนดเองได้ที่ไหนกัน ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ แค่คิดก็รู้แล้วว่าความสามารถในการควบคุมตึกศาลาสัตยพรตของหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วเป็นอย่างไร

สำหรับเฉาหม่าน คำพูดพวกนี้แค่ฟังเอาไว้ก็พอ ไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ แต่กลับรู้สึกสะท้อนใจกับคนที่อยู่ตรงหน้า นึกถึงในปีนั้นที่ตัวเองพูดประโยคเดียวก็ทำให้อีกฝ่ายไร้ที่ยืนในตลาดผีได้ แต่ตอนนกลับกัน อีกฝ่ายให้ตนมาดื่มสุราด้วย ตนก็ปฏิเสธลำบาก

ทว่าสถานการณ์อยู่เหนือตัวบุคคล ทั้งแดนรัตติกาลล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมจากทัพใหญ่ของเหมียวอี้ ตั้งแต่รู้ว่าเซี่ยโห้วลิ่งอาจจะลงมือกับเขา เขาก็ไม่กล้าย้ายสถานที่ของตลาดผีง่ายๆ ยังต้องให้เหมียวอี้มอบสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยให้ หรือพูดได้อีกอย่างว่า ตอนนี้ตัวเขาอยู่ภายใต้การล้อมพิทักษ์จากทัพใหญ่ของเหมียวอี้ เรื่องบางเรื่องก็ไม่กล้าไม่ไว้หน้า ยิ่งไปกว่านั้น เหมียวอี้ก็ไว้หน้าเขามากด้วย ไม่ได้อาศัยกำลังทหารบีบเอาอำนาจการควบคุมตลาดผีไปจากตึกศาลาสัตยพรต ตลาดผียังคงอยู่ในอำนาจการตัดสินใจของเฉาหม่าน

แน่นอน เฉาหม่านก็มีที่พึ่งเหมือนกัน ถ้าเหมียวอี้กล้าแตะต้องเขา กิจการทั้งหมดของเหมียวอี้ที่ตลาดมืดก็จะได้รับความเสียหาย

ดังนั้น ทั้งสองอยู่ในสถานการณ์ที่พึ่งพาและร่วมงานกัน เพราะต่างฝ่ายต่างมีศักยภาพที่ทำให้อีกฝ่ายกลัว แบบนี้ความร่วมมือของทั้งสองฝ่ายถึงจะทำในระยะยาวได้

“ดื่มสุรา!” เฉาหม่านยกจอกสุราเชื้อเชิญ เหมียวอี้ยกจอกสุราชนกับจอกสุราเขา แล้วดื่มหมดจอกพร้อมกัน ส่วนเฉาเฟิ่งฉือก็คอยรินสุราอยู่ข้างๆ ต่อไป

“สุราไม่เลวเลย เป็นของบรรณาการของวังสวรรค์” เฉาหม่านกล่าวส่งเดชไปอย่างนั้น

“ได้รับความโปรดปรานจากราชินีสวรรค์ ได้มาเป็นรางวัล” เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม

“เพียงแต่ตอนนี้ในใจราชินีสวรรค์กลับรู้สึกขัดเคือง เกรงว่าคงสังเกตเห็นแล้วว่าผู้ตรวจการใหญ่กำลังอาศัยกำลังทหารแข็งข้อต่อเบื้องบน ตระหนักได้แล้วว่าตัวเองถูกผู้ตรวจการใหญ่หลอกใช้ประโยชน์” เฉาหม่านกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา

เหมียวอี้ตอบด้วยน้ำเสียงปกติว่า “กล่าวเกินความจริงแล้ว สำหรับราชินีสวรรค์ จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลเคารพนับถือมาตลอด ไม่เคยจงรักภักดีต่อราชินีสวรรค์น้อยลงเลย เรื่องที่ราชินีสวรรค์อยากจะทำ ขอเพียงให้เลยเถิดเกินไป จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลล้วนพยายามสุดความสามารถทำให้เหนียงเหนียงพอใจ ถ้าทำแบบนี้แล้วยังนับว่าหลอกใช้ประโยชน์ เช่นนั้นคนในใต้หล้าก็คงอิจฉากันหมดแล้ว”

เฉาหม่านบอกว่า “ถ้าเปลี่ยนเป็นในปีนั้น งานที่ผู้ตรวจการใหญ่ทำให้เหนียงเหนียงไม่ใช่คำขอที่เกินไปและยอมรับไม่ได้ ในปีนั้นแค่เหนียงเหนียงสั่งคำเดียว ผู้ตรวจการใหญ่ก็กล้าแม้กระทั่งชิงตัวสนมของราชันสวรรค์ ในปีนั้นเวลาเหนียงเหนียงออกคำสั่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกินตัวหรือไม่ ยังมีเรื่องไหนที่ผู้ตรวจการใหญ่ไม่กล้าทำด้วยหรือ?”

เหมียวอี้พิมพ์อย่างใจเย็น “เถ้าแก่ จะพูดซี้ซั้วอย่างนั้นไม่ได้ หนิวไม่เคยชิงตัวสนมของราชันสวรรค์เสียหน่อย”

“ตอนนี้หากราชินีสวรรค์อยากจะพบผู้ตรวจการใหญ่สักครั้ง เกรงว่าจะไม่ง่ายแล้ว นึกถึงในปีนั้นที่พอเรียกหาก็มาทันที!” เฉาหม่านกล่าว

“งานเยอะจนยุ่งเท่านั้นเอง เหนียงเหนียงไม่เคยถือสาผู้น้อยเลย” เหมียวอี้ตอบ

“อ้อ! ถ้าเหนียงเหนียงอยากจะถอดกำลังทหารของผู้ตรวจการใหญ่ ออกคำสั่งให้ผู้ตรวจการใหญ่ย้ายออกจากแดนรัตติกาล ให้ผู้ตรวจการใหญ่หลุดพ้นจากงานยุ่งออกมาเสพสุข ผู้ตรวจการใหญ่จะรับคำสั่งหรือเเปล่า?” เฉาหม่านถาม

“เฮ้อ! เถ้าแก่เองก็รู้ ทัพใหญ่หลายสิบล้านของแดนรัตติกาลล้วนเคยเป็นพวกบ้านแตกสาแหรกขาด ค่อนข้างมีความตื่นตัวต่อวิกฤติ ใจคนยากจะมั่นคงได้ หนิวพยายามสื่อสารกับพวกเขามาตลอด พยายามให้พวกเขารักษาสงบเอาไว้ สุดท้ายก็ได้รับความเชื่อใจจากพวกเขา ถ้าเหนียงเหนียงมีคำสั่ง หนิวย่อมปฏิบัติตามคำสั่งอยู่แล้ว เพียงแต่กลัวว่ากำลังพลเบื้องล่างพวกนั้นจะดื้อรั้น ถ้าก่อเรื่องอะไรขึ้นมา อาจจะบีบให้ผู้สำเร็จราชการคนนี้ก่อกบฏก็ได้” เหมียวอี้ถอนหายใจ ทำท่าเหมือนจนใจมาก

พูดจาไพเราะยิ่งกว่าร้องเพลงเสียอีก แต่ความหมายที่แท้จริงก็คือกำลังอาศัยกำลังทหารแข็งข้อต่อเบื้องบนไม่ใช่หรอกหรือ! เฉาหม่านแสยะยิ้มในใจ “ข้ารู้ว่าผู้ตรวจการใหญ่คงไม่อาศัยกำลังทหารแข็งข้อต่อเบื้องบนเหมือนพวกอ๋องสวรรค์ อย่างไรเสียผู้ตรวจการใหญ่ก็ยังแตกต่างจากอ๋องสวรรค์พวกนั้น อาณาเขตของพวกอ๋องสวรรค์นั้นกว้างใหญ่ ผลประโยชน์เยอะมาก คนเบื้องล่างเกี่ยวข้องกับการแก่งแย่งผลประโยชน์ ย่อมขัดแย้งไม่หยุดหย่อน กำลังคนเพิ่มลดอยู่ตลอด เมื่อเวลานานไปก็รักษาความสมดุลไว้ได้ระดับหนึ่ง แต่แดนรัตติกาลในปกครองของผู้ตรวจการใหญ่นั้นต่างกัน ทั้งไม่มีพื้นที่ ยังไม่มีผลประโยชน์ให้แก่งแย่ง ดังนั้นกำลังพลจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลจึงไม่ได้สิ้นเปลืองกำลังแบบนั้น กำลังเติบโตอย่างมั่นคงตลอด สักวันหนึ่งต้องกลายเป็นทัพเกรียงไกรในใต้หล้าแน่นอน!” ประโยคสุดท้ายแฝงความหมายล้ำลึก

เหมียวอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ในโลกนี้จะมีคนตาดีมากมาย  แม้แต่เฉาหม่านก็ยังมองออก วังสวรรค์มีหรือที่จะมองไม่ออก ดูท่าแล้วช้าเร็วก็คงหนีเคราะห์กรรมหนีไม่พ้น คงต้องเร่งดำเนินการเรื่องมารดาของเฟยหงแล้ว

“ฟังจากที่เถ้าแก่บอก เหนียงเหนียงเหมือนจะกำลังเป็นห่วงฝ่าบาท…ฟังจากน้ำเสียงของเถ้าแก่ ทำไมเข้ารู้สึกว่าท่านไม่พอใจค่า?” เหมียวอี้ยกจอกสุราหยอกล้อ เขากำลังบอกใบ้ให้อีกฝ่ายหยุด

เฉาหม่านยกจอกสุราตอบ “ข้ารู้สึกว่าผู้ตรวจการใหญ่เชิญข้ามาดื่มสุรา แสดงว่ามีเรื่องจะคุยกับข้าแน่นอน คงไม่ได้เชิญมาดื่มสุราอย่างเดียวหรอกมั้ง?” เขากำลังบอกใบ้ให้เหมียวอี้พูดมาตรงๆ อย่าอ้อมค้อม

เหมียวอี้ตอบด้วยรอยยิ้มว่า “สงสัยสุราชั้นดีคงไม่ทำให้เถ้าแก่บันเทิงเต็มที่ ก็ได้ ข้าจะเล่านิทานสองเรื่องที่ช่วยสร้างความบันเทิงให้เถ้าแก่”

“อ้อ! สองเรื่อง?” เฉาหม่านแสดงความสนใจ ทำสีหน้าเหมือนตั้งหน้าตั้งตารอฟัง อยากจะเห็นว่าเหมียวอี้คิดจะทำอะไร

เหมียวอี้วางจอกสุราลง แล้วกล่าวอย่างค่อนข้างสะเทือนใจ “ในปีนั้นตอนที่ข้ายังไม่เข้าตำหนักสวรรค์ ยังไม่ทำร้านขายของชำซื่อตรง มีอยู่ครั้งหนึ่งไปทัศนาจรที่แดนไร้ระเบียบ เจอศิษย์ปราสาทดำเนินนภาคนหนึ่งกำลังถูกมารปีศาจกลุ่มหนึ่งไล่สังหารไป ข้าบังเอิญโดนจี้ตัว โดนกดดันให้หนีเข้าไปในดาวมารโลหิตพร้อมกับศิษย์ปราสาทดำนเนินภาคนนั้น จำต้องดิ้นรนสู้ตายที่ดาวมารโลหิต ใครจะคิดว่าจะเป็นตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลังตั๊กแตน บังเอิญไปเจอปีศาจโลหิต โดนปีศาจโลหิตเก็บเข้าไปขังในค่ายกลมารโลหิต ค่ายกลมารโลหิตนี้ไม่เล็กเลย ข้ากับศิษย์ปราสาทดำนเนินนภาคนนั้นแทบเอาชีวิตไม่รอด ตอนที่โชคดีรอดจากค่ายกลมารโลหิตได้ ข้าก็ได้บัวโลหิตต้นหนึ่งจากทะเลเลือดในค่ายกลมารโลหิต แต่ใครจะคิดว่าบัวโลหิตที่ปลูกในทะเลเลือดจะไม่ธรรมดา มันคือสมุนไพรจิตวิญญาณ มีผลช่วยคนตายให้ฟื้น ก่อกระดูกใหม่ ขอเพียงจิตวิญญาณไม่แตกดับ ก็ล้วนสามารถใช้สมุนไพรจิตวิญญาณนี้มาฟื้นชีพได้ ตอนหลังปีศาจโลหิตมาเกาะแกะข้าไม่เลิกเพื่อสมุนไพรจิตวิญญาณต้นนี้ ข้าถึงได้รู้ว่าปีศาจโลหิตเป็นคนของสมาคมวีรชน ทำให้ข้ายุ่งยากมาก เพียงแต่ตอนหลังจู่ๆ ปีศาจโลหิตก็หายไป ไม่รู้ว่าไปไหนแล้ว ข้าถึงได้พักหายใจ”

เฉาหม่านสบตากับเฉาเฟิ่งฉือโดยไม่รู้ตัว

เฉาเฟิ่งฉือตกใจกับคำว่า ‘สมุนไพรจิตวิญญาณ’ เพียงแต่เรื่องที่ปีศาจโลหิตเกาะแกะหนิวโหย่วเต๋อ นางเองก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน เซี่ยโห้วหลงเฉิงพี่ใหญ่ของนางก็เหมือนจะเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ด้วย เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าจู่ๆ เหมียวอี้พูดถึงเรื่องนี้หมายความว่าอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาเป็นฝ่ายเปิดเผยเองว่าในมือมีสมุนไพรจิตวิญญาณ

เฉาหม่านกลับฟังจนหนังตากระตุก เพราะเขารู้ว่าตอนหลังปีศาจโลหิตอยู่ที่ไหน รู้ว่าตอนหลังปีศาจโลหิตไปที่ไหน ตระหนักได้แล้วว่าการดื่มสุราในวันนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา เขาโน้มกายมาข้างหน้าเล็กน้อย แล้วถามอย่างสนใจสุดๆ ว่า “ตอนหลังล่ะ?”

…………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+