พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 2059 รับข้าศึกที่ยอมแพ้

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 2059 รับข้าศึกที่ยอมแพ้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หยางเจาชิงตะโกนเรียกทหารด้วยความสุภาพ ให้พาคนไปยังคฤหาสน์รับแขกอีกแห่ง และดึงกำลังพลกลุ่มเล็กให้ไปคุ้มครอง ในเมื่อกงหนีฉางกับอวี่เหวินหรูเมิ่งมาเพื่อเรื่องนี้ โดยทั่วไปถ้าแต่งงานเข้าบ้านมาแล้วก็จะไม่กลับไปอีก ผู้ปกครองก็ตอบตกลงต่อหน้ากลุ่มแขกผู้มีเกียรติแล้วว่าให้แต่งงานกับเหมียวอี้ ตั้งแต่นี้ไปก็จะกลายเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้ทันที ส่วนธรรมเนียมยิบย่อยในการรับตัวเจ้าสาว ถ้าไม่มีอะไรผิดคาดก็ไม่จัดการแล้ว เมื่อกำหนดสถานะ แค่ส่งตัวคนเข้าประตูมาก็พอแล้ว บรรดาอนุภรรยานับร้อยนับพันของอ๋องสวรรค์ส่วนใหญ่ก็ทำอย่างนี้ ต้องจัดงานให้เอิกเกริกทุกครั้ง ก็ยังไม่รู้เลยว่าต้องจัดสักกี่ครั้ง นอกเสียจากว่าจะมีชาติกำเนิดข้างๆ สูงและมีอำนาจหนุนหลังพอสมควร วังสวรรค์ก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน ในปีนั้นเป็นเพราะจ้านหรูอี้เป็นหลานสาวของอิ๋งจิ่วกวง เดิมทีส่งเข้าประตูวังโดยตรงเลยก็สิ้นเรื่องแล้ว จ้านหรูอี้ยังนับว่าโชคดี สนมบางคนทั้งชีวิตนี้ก็แค่ถูกส่งเข้าวังเพื่อรับสถานะเท่านั้น แม้แต่มือของประมุขชิงก็ยังไม่เคยได้สัมผัสด้วยซ้ำ ถ้าหวังจะให้ประมุขชิงกราบไหว้เทวดาฟ้าดินกับทีละคนก็อย่าแม้แต่จะคิดเลย ส่วนตระกูลอวี่เหวินกลับตระกูลกงในเวลานี้ ก็แทบไม่ทันได้กังวลด้วยซ้ำว่าจะทำให้อวิ๋นจือชิวไม่พอใจหรือเปล่า มีหรือที่จะเอ่ยเรื่องจัดงานใหญ่โตเอิกเกริก ทำตัวเด่นเกินหน้้าเกินตาอวิ๋นจือชิวเป็นเรื่องดีเหรอ? กอปรกับเป็นในเวลานี้ พวกเขารู้เช่นกันว่าเหมียวอี้ไม่มีเวลาและสมาธิจะมาเอ่ยถึงเรื่องนี้ แค่ส่งคนเข้าประตูบ้านมากำหนดสถานะก็พอแล้ว คุณหนูผู้ล้ำค่าดุจทองพันชั่งทั้งสองได้รับความไม่ยุติธรรมแล้ว แต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเลือกเช่นกัน ส่วนมารดาของสองคนนั้น ตอนนี้ก็ยังกลับไปไม่ได้เช่นกัน อยู่ที่นี่เป็นเพื่อนลูกสาวต่อไป รอให้เรื่องของกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนเป็นรูปธรรมก่อนถึงจะกลับไป ผ่านไปครู่เดียว อวี้ซวีเจินเหรินก็เดินออกมาจากคฤหาสน์ที่มีกำลังพลเฝ้าอยู่ หยางเจาชิงรออยู่ข้างนอก พอเห็นคนออกมา ก็กุมหมัดขออภัย “ตอนนี้เพิ่งจะให้เจินเหรินออกมา ลำบากเจินเหรินแล้ว นายท่านสั่งไว้ว่าให้ดูแลให้ดี” เห็นได้ชัดว่าท่าทีที่มีต่ออวี้ซวีเจินเหรินแตกต่างกันไป ต่อให้เป่าเหลียนจะแย่สักแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็ได้รับอนุญาตจากนายท่านและฮูหยินตอนแต่งงานเข้ามา มิหนำซ้ำฮูหยินยังเป็นคนส่งเสริมให้ลุล่วงด้วยดีด้วย “ไม่เป็นอะไร เฮ้อ เรื่องของคนใหญ่คนโตอย่างพวกเจ้า ข้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน” อวี้ซวีเจินเหรินยิ้มเจื่อน แล้วถามว่า “ข้ากลับไปได้หรือยัง?” หยางเจาชิงตอบอย่างไม่แน่ใจ “ไม่ต้องรีบกลับขอรับ ข้าเตรียมเรือนพักแห่งอื่นไว้ให้เจินเหรินพักแล้ว เจินเหรินวางใจได้ ไม่ได้มีเจตนาอื่น ด้านนอกอยู่ในภาวะสงคราม เกิดเรื่องได้ง่าย อีกไม่นานก็คงจะกลับมาสงบเหมือนเดิมแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยกลับนายท่านจะวางใจกว่า” อวี้ซวีเจินเหรินถอนหายใจพลางพยักหน้าเบาๆ ไม่ได้ถือสาที่เหมียวอี้เพิ่งแต่งงานกับเป่าเหลียนแล้วแต่งงานรับเพิ่มอีกสองคน เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่า เหมียวอี้จะใช้อุบายปลุกปั่นสถานการณ์จนกลายเป็นอย่างนี้ ความเคลื่อนไหวนี้ใหญ่เกินไปแล้ว ก่อนหน้านี้ได้ยินคนที่อยู่ข้างๆ วิพากษ์วิจารณ์กัน ถ้าไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย เหมียวอี้ก็กำลังจะกลายเป็นอ๋องสวรรค์ที่คุมทัพใต้แล้ว! เด็กดี! อ๋องสวรรค์ที่คุมทัพใต้หมายความว่าอะไรล่ะ? พูดได้อีกอย่างว่า มีความเป็นไปได้สูงที่เป่าเหลียนจะได้กลายเป็นอนุภรรยาของอ๋องสวรรค์หนิว เรื่องนี้ขนาดคิดเฉยๆ ก็ยังรู้สึกอึ้ง ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีของเป่าเหลียนหรือไม่ที่แต่งงานเร็วไปก้าวหนึ่ง เพราะถ้าแต่งช้ากว่านี้ รอให้ฝั่งนี้กลายเป็นอ๋องสวรรค์หนิว เกรงว่าต่อให้ศิษย์พี่เจ้าสำนักจะหน้าด้านขนาดไหน แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากเสนอแน่ เพราะฐานะแตกต่างกันเกินไป ต่อให้ตีให้ตายก็ไม่เอ่ยปาก เกรงว่าทั้งชีวิตนี้เป่าเหลียนคงไร้วาสนาต่อหนิวโหย่วเต๋อตลอดไป เพียงแต่เขายังไม่เข้าใจสถานการณ์ในใต้หล้า อย่างไรเสียแค่ฟังอย่างเดียวก็อกสั่นขวัญแขวนแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าเป่าเหลียนแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อแล้วเป็นโชคดีหรือโชคร้าย เขาได้แต่ถอนหายใจ… ตอนนี้ในจวนจอมพลควบคุมตัวทุกคนของตระกูลผังเอาไว้ อนุภรรยาที่แต่งเข้าบ้านมาใหม่เสพสุขไม่ได้ ในเรือนหลังหนึ่ง มีการตกแต่งไว้เมื่อเรื่องจวนตัว ประดับผ้าสีแดงและโคมไฟหลากสีสัน แม้แต่ห้องหอก็จัดไว้แล้ว เขตลานบ้านเดียวมีสองห้องหอ แค่รอให้คนใหม่เข้ามาอยู่เท่านั้น บ่าวรับใช้ของตระกูลอวี่เหวินกับตระกูลกงคอยอาบน้ำเปลี่ยนชุดให้เจ้าสาว เมื่อสวมผ้าคลุมหน้าสีแดงแล้วก็มานั่งที่ขอบเตียงในห้องหอ มารดาของเจ้าสาวทั้งสองอดไม่ได้ที่จะหลบมาร้องไห้อย่างปวดใจ ไม่เคยนึกมาก่อนว่าลูกสาวตัวเองจะได้แต่งงานอย่างฉาบฉวยขนาดนี้ บุตรสาวของจอมพลผู้สง่าภูมิฐานไม่มีแม้แต่โต๊ะสุรามงคล รู้สึกผิดและรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจแทนลูกสาวตัวเองเกินไปแล้ว ที่น่าน้อยเนื้อต่ำใจกว่านั้นยังอยู่ข้างหลัง เจ้าบ่าวเหมือนไม่มีท่าทีว่าจะเข้าห้องหอ หนึ่งคืนผ่านไปก็ไม่แม้แต่จะโผล่หน้ามาด้วยซ้ำ เจ้าสาวทั้งสองนั่งรออยู่อย่างนั้นโดยเสียเปล่าทั้งคืน ภรรยาทั้งสองของจอมพลย่อมรายงานสถานการณ์ขึ้นไป จอมพลทั้งสองนอกจากจะรู้สึกขมขื่นเต็มอกแล้วยังจะพูดอะไรได้อีก ทำได้เพียงปลอบใจ บอกว่าตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อยุ่งอยู่กับงานกองทัพ ไม่มีอารมณ์มาเข้าห้องหอ แค่ได้สถานะมาก็พอแล้ว ในความเป็นจริง หลังจากเจ้าสาวทั้งสองแต่งเข้ามาแล้ว แม้เวลาจะผ่านไปนานมาก เหมียวอี้ก็ไม่ได้เข้าห้องของพวกนางอยู่ดี หลังจากนั้นหนึ่งวัน ด้วยแรงกดดันจากทั้งภายนอกและภายใน กงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนก็นำกำลังพลของตัวเองมาถึงแล้ว พามาเพียงแม่ทัพหลักเช่นพวกเทพประจำดาวและท่านโหว ไม่ได้พากำลังพลมามากกว่านี้ เมื่อเข้ามาในอาณาเขตดาวผืนนี้แล้ว ภายใต้การควบคุมจากทัพใหญ่แดนรัตติกาล ทั้งหมดก็แทบจะถอดเกราะรบออกหมด พอเข้ามาในประตูดวงดาวถูกตรวจสอบ และถูกควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์แล้ว นอกตำหนักประชุมใหญ่ของจวนจอมพล เหมียวอี้ยืนอยู่บนบันไดสูง สองฝั่งของลานกว้างด้านล่างมีกำลังพลรวมตัวกันหนาแน่น ตรงกลางของกำลังพลเป็นทางผ่านประตูใหญ่ ที่ด้านนอกประตูใหญ่กงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนกำลังนำคนนับร้อยเดินก้าวยาวเข้ามา ทั้งหมดถอดเกราะรบแล้ว ส่วนกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนก็ถึงขั้นเปลือยท่อนบน แบกไม้เอาไว้บนหลัง เห็นได้ชัดเจนว่ามาขอยอมรับผิด! เมื่อมาถึงปีนบันไดของตำหนักใหญ่ กงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนก็คุกเข่าพร้อมกัน แล้วกุมหมัดคารวะต่อเบื้องบน “กงเชียนชิว อวี่เหวินชวน มาสวามิภักดิ์ช้าไป ขอรับผิดต่อผู้ตรวจการใหญ่!” กำลังพลสองกว่าคนข้างหลังพวกเขาก็ทยอยกันคุกเข่าเช่นกัน แต่กลับไม่เหมือนสองคนนั้น พวกเขาคุกเข่าข้างเดียวเท่านั้น ภาพนี้ฉากนี้ ทำให้กำลังพลของทัพใหญ่แดนรัตติกาลที่อยู่ในเหตุการณ์รู้สึกเลือดเดือดพล่าน เมื่อก่อนตอนที่ติดตามลิ่งหูโต้วจ้ง ก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีวันนี้ แม้แต่จอมพลตำหนักสวรรค์ก็ยอมแพ้ให้พวกเขาแล้ว คุกเข่าให้พวกเขาแล้ว! ซูอวิ้นกับเฉินหวยจิ่วที่ยืนอยู่ริมสุดใต้ชายคาของตำหนักใหญ่เงียบงัน แต่ซูอวิ้นมองกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนด้วยสายตาโกรธแค้น! จู่ๆ สวีถังหรานที่ยืนอยู่ใต้คานก็ตะโกนว่า “ผู้ตรวจการใหญ่!” กำลังพลทั้งหมดที่อยู่บนลานกว้างชูอาวุธในมือขึ้นฟ้า พร้อมเปล่งเสียงตะโกนดังก้อง “ผู้ตรวจการใหญ่!ผู้ตรวจการใหญ่!ผู้ตรวจการใหญ่…” ทุกคนตื่นเต้นดีใจจนหน้าแดง แน่นอนว่าพวกเขารู้ว่าหลังจากคนพวกนี้ยอมแพ้แล้วหมายความว่าอะไร ก็หมายความว่าผู้ตรวจการใหญ่กวาดล้างในอาณาเขตทัพใต้เรียบร้อยแล้ว กำลังพลที่มาจากแดนรัตติกาลอย่างพวกเขาได้เงยหน้าอ้าปากแล้ว! ทำกลางเสียงตะโกนที่ดังไม่ขาดสาย พวกกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนก้มศีรษะอันสูงส่งแล้ว ความเจ็บปวดรวดร้าวในใจไม่มีทางลืมได้ไปทั้งชีวิต! เหมียวอี้ที่ยืนอยู่บนบันไดหน้าตำหนักตรงกลางยังคงไม่เคลื่อนไหว ท่าทางไม่สะทกสะท้าน กำลังมองไปเบื้องล่างอย่างเย็นเยียบ ไม่มีใครรู้ถึงความรู้สึกของเขาในตอนนี้! พวกผังก้วนที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนด้านในทยอยกันเดินออกมาจากห้อง ต่างก็ตกใจเสียงตะโกนด้านนอกจึงออกมา พากันมองไปตามแหล่งกำเนิดเสียงด้วยความตื่นตะลึง ผังก้วนที่ดูเหมือนแก่ชราโรงแรมไม่น้อยมองไปทางตำหนักใหญ่อย่างเหม่อลอย เกิดความรู้สึกมากมายปนกันอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่รู้เลยสักนิดว่าด้านนอกเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หลังจากแยกกับเฉินหวยจิ่วแล้ว ก็ไม่ได้เจอกันอีกเช่นกัน ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว ถูกปิดข่าวเอาไว้อย่างนี้ตลอด เรียกได้ว่าเขาไม่รู้ข่าวอะไรที่อยู่นอกเรือนเลย หน้าตำหนัก เหมียวอี้พลันยกมือขึ้น ทำให้เสียงตะโกนที่เหมือนคลื่นยักษ์สูงเสียดฟ้าเงียบลงอย่างฉับพลัน มีเสียงก้องค้างอยู่ ก่อนจะค่อยๆ เงียบสงบลง เหมียวอี้เดินลงบันไดด้วยก้าวที่หนักแน่นมั่นคง เดินไปถึงข้างกายกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนเพียงลำพังท่ามกลางสายตาฝูงชน แล้วโน้มตัวประคองทั้งสองขึ้นมาด้วยตัวเอง ทั้งยังช่วยเเก้มัดกิ่งไม้ที่มัดอยู่บนหลังของทั้งสองออกด้วยตัวเอง ก่อนจะยื่นมือไปรับชุดคลุมสองตัวที่หยางเจาชิงยื่นให้ แล้วคลุมให้ทั้งสองกับมือตัวเอง พร้อมกล่าวปลอบใจว่า “หันกลับมาก็จะเห็นฝั่ง ยังไม่ถือว่าสายไป!” จากนั้นก็ผายมือให้คนอื่นอีก “ทั้งหมดยืนขึ้นเถอะ!” ท่าทีของเหมียวอี้ทำให้บรรดาทหารที่ยอมแพ้โล่งใจแล้ว พวกเขาทยอยกันลุกขึ้น แล้วก็กุมหมัดคารวะอีกโดยมีกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนเป็นคนนำ “ขอบคุณผู้ตรวจการใหญ่ที่ใจกว้าง!” ไม่ยอมแพ้เสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็เรียกได้ว่าทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับกองทัพที่ยอมแพ้ในตอนแรกแล้ว แต่ก็เรียกได้ว่าไม่ได้ทำตามสัญญาเช่นกัน เรื่องที่ไม่ได้ทำตามสัญญาก็เริ่มตั้งแต่สองจอมพลอย่างกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวน ไปจนถึงเทพประจำดาว ท่านโหว หัวหน้าภาคที่อยู่ระดับต่ำลงไป ถ้าคิดจะริบอำนาจทางทหารของเจ้าอาณาเขตเหล่านี้ทั้งหมด เขาก็ไม่มีอำนาจที่จะทำอย่างนั้น ยังต้องรายงานขึ้นไปที่ตำหนักสวรรค์เพื่อขอคำสั่งจากตำหนักสวรรค์อีก แต่นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขากังวลในตอนนี้ สถานการณ์แบบนี้ทำให้บรรดาแม่ทัพคนสำคัญที่ยอมแพ้ยอมรับได้ยาก พวกเขาไม่มีหลักประกันเรื่องราวต่อจากนี้เลยสักนิด แล้วจะสั่งให้พวกลูกน้องให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ได้อย่างไร ก่อนมาเตรียมแผนสำรองสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดคิดเอาไว้ แต่หัวหน้าพวกนี้ก็ถูกหลอกให้มาแล้ว ตกอยู่ในมือเหมียวอี้แล้ว จะไม่ตอบตกลงก็ไม่ได้ ไม่ว่าใครก็ไม่กล้ารับประกันว่าคนบ้าอย่างเหมียวอี้จะไม่ใช้วิธีสังหารหมู่! ส่วนเหมียวอี้แม้จะผิดสัญญา แต่กลับไม่กล้าสังหารพวกเขาง่ายๆ ถ้าตอนนี้ผิดสัญญาอย่างโจ่งแจ้ง กองทัพที่ยอมแพ้ของสายมะโรงกับสายมะเส็งจะไปรู้ได้อย่างไรว่าจบเรื่องนี้แล้วเขาจะผิดคำพูดหรือไม่ ถ้ามีคนปลุกปั่นแม้แต่นิดเดียว พอไม่ระวังก็จะเกิดความวุ่นวายใหญ่โตทันที ยากที่จะทำให้สถานการณ์ของอาณาเขตทัพใต้มีเสถียรภาพได้ภายในเวลาสั้นๆ ไม่เป็นประโยชน์ต่อสถานการณ์ปัจจุบันของเขา ดังนั้นเขายังต้อง ‘เกลี้ยกล่อม’ ขอความร่วมมือจากคนพวกนี้! สุดท้ายหลังจากทั้งสองฝ่ายประนีประนอมกันแล้ว คนที่ทิ้งอำนาจทางทหาร บางคนก็สั่งให้คนส่งลูกสาวมาให้ คนที่ไม่มีลูกสาวก็ส่งพี่สาวน้องสาวมาให้ บางคนส่งหลานสาวมาก็มี บางคนถึงขั้นให้ญาติเมียตัวเองแสร้งเป็นลูกสาวแล้วส่งมา ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ สาเหตุก็เหมือนกับกงเชียนชิวและอวี่เหวินชวน ต้องการหลักประกันสุดท้าย ต้องการเกี่ยวดองกับเหมียวอี้ ถ้าได้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับเหมียวอี้แล้ว ต่อให้เสียอำนาจไปแต่ก็ไม่มีใครกล้ามาแตะต้องพวกเขาสุ่มสี่สุ่มห้า ยังสามารถรับประกันได้ว่าทั้งครอบครัวจะสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้ ส่วนสิ่งที่เหมียวอี้ต้องจ่ายให้กับสิ่งนี้ก็คือ ต้องเขียนทะเบียนสมรสหนึ่งพันกว่าฉบับในรวดเดียว เป็นแบบที่ต้องให้เขาลงตราประจำตัว ต้องให้คนอื่นเป็นประจักษ์พยาน ว่าเขาเป็นญาติกับคนพวกนั้นแล้ว ครั้งนี้เหมียวอี้ทุ่มสุดตัวแล้วเช่นกัน รับอนุภรรยาพันกว่าคนในรวดเดียว เรียกได้ว่าใครมาก็ไม่ปฏิเสธ บางคนถึงขั้นบีบบังคับให้พี่สาวน้องสาวและลูกสาวเลิกกับสามีแล้วมาแต่งงานใหม่อีกครั้งด้วย เหมียวอี้เองก็กัดฟันจดทะเบียนสมรสเช่นกัน ส่วนเรื่องสูงเตี้ยอ้วนผอม จะสวยหรืออัปลักษณ์ก็ไม่มีเวลามาสนใจแล้ว เมื่อให้การรับประกันสุดท้ายกับคนเหล่านี้แล้ว การปรับปรุงกำลังพลทัพใต้ครั้งใหญ่ก็เริ่มขึ้นแล้ว เกรงว่าทัพใต้ในปีนั้นคงทำให้ฮ่าวเต๋อฟางรู้สึกเหมือนเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาได้ยาก แต่สำหรับเหมียวอี้ในครั้งนี้ กลับเป็นโอกาสดีที่หาพบได้ยาก ที่ว่ากันว่าปราศจากการทำลายล้าง ย่อมไร้การประกอบสร้างก็เป็นเช่นนี้เอง เหมียวอี้ย่อมต้องฉวยโอกาสนี้แก้ปัญหาในรวดเดียว สำหรับที่สิ่งที่ปฏิบัติต่อทหารที่เหลือรอดของฮ่าวเต๋อฟาง เหมียวอี้ไม่ได้กลืนคำพูด กับกำลังพลของผังก้วนก็ไม่ได้ผิดคำพูดเช่นกัน กับระดับหัวหน้าภาคลงไปของทัพใต้ก็เบี้ยวสัญญา เพราะอาศัยแค่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลไม่อาจควบคุมอาณาเขตที่ใหญ่ขนาดนี้ได้ ยังต้องใช้งานคนบางคน แต่กลับปรับปรุงกำลังพลที่อยู่ระดับล่างของทัพใต้ครั้งใหญ่ ทำลายระบบเดิม จับกำลังพลทั้งหมดผสมกันมั่วๆ แล้วก่อตั้งโครงสร้างใหม่ของทัพใต้ขึ้นมา …………………

หยางเจาชิงตะโกนเรียกทหารด้วยความสุภาพ ให้พาคนไปยังคฤหาสน์รับแขกอีกแห่ง และดึงกำลังพลกลุ่มเล็กให้ไปคุ้มครอง

ในเมื่อกงหนีฉางกับอวี่เหวินหรูเมิ่งมาเพื่อเรื่องนี้ โดยทั่วไปถ้าแต่งงานเข้าบ้านมาแล้วก็จะไม่กลับไปอีก

ผู้ปกครองก็ตอบตกลงต่อหน้ากลุ่มแขกผู้มีเกียรติแล้วว่าให้แต่งงานกับเหมียวอี้ ตั้งแต่นี้ไปก็จะกลายเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้ทันที ส่วนธรรมเนียมยิบย่อยในการรับตัวเจ้าสาว ถ้าไม่มีอะไรผิดคาดก็ไม่จัดการแล้ว เมื่อกำหนดสถานะ แค่ส่งตัวคนเข้าประตูมาก็พอแล้ว บรรดาอนุภรรยานับร้อยนับพันของอ๋องสวรรค์ส่วนใหญ่ก็ทำอย่างนี้ ต้องจัดงานให้เอิกเกริกทุกครั้ง ก็ยังไม่รู้เลยว่าต้องจัดสักกี่ครั้ง นอกเสียจากว่าจะมีชาติกำเนิดข้างๆ สูงและมีอำนาจหนุนหลังพอสมควร

วังสวรรค์ก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน ในปีนั้นเป็นเพราะจ้านหรูอี้เป็นหลานสาวของอิ๋งจิ่วกวง เดิมทีส่งเข้าประตูวังโดยตรงเลยก็สิ้นเรื่องแล้ว จ้านหรูอี้ยังนับว่าโชคดี สนมบางคนทั้งชีวิตนี้ก็แค่ถูกส่งเข้าวังเพื่อรับสถานะเท่านั้น แม้แต่มือของประมุขชิงก็ยังไม่เคยได้สัมผัสด้วยซ้ำ ถ้าหวังจะให้ประมุขชิงกราบไหว้เทวดาฟ้าดินกับทีละคนก็อย่าแม้แต่จะคิดเลย

ส่วนตระกูลอวี่เหวินกลับตระกูลกงในเวลานี้ ก็แทบไม่ทันได้กังวลด้วยซ้ำว่าจะทำให้อวิ๋นจือชิวไม่พอใจหรือเปล่า มีหรือที่จะเอ่ยเรื่องจัดงานใหญ่โตเอิกเกริก ทำตัวเด่นเกินหน้้าเกินตาอวิ๋นจือชิวเป็นเรื่องดีเหรอ? กอปรกับเป็นในเวลานี้ พวกเขารู้เช่นกันว่าเหมียวอี้ไม่มีเวลาและสมาธิจะมาเอ่ยถึงเรื่องนี้ แค่ส่งคนเข้าประตูบ้านมากำหนดสถานะก็พอแล้ว คุณหนูผู้ล้ำค่าดุจทองพันชั่งทั้งสองได้รับความไม่ยุติธรรมแล้ว แต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเลือกเช่นกัน

ส่วนมารดาของสองคนนั้น ตอนนี้ก็ยังกลับไปไม่ได้เช่นกัน อยู่ที่นี่เป็นเพื่อนลูกสาวต่อไป รอให้เรื่องของกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนเป็นรูปธรรมก่อนถึงจะกลับไป

ผ่านไปครู่เดียว อวี้ซวีเจินเหรินก็เดินออกมาจากคฤหาสน์ที่มีกำลังพลเฝ้าอยู่

หยางเจาชิงรออยู่ข้างนอก พอเห็นคนออกมา ก็กุมหมัดขออภัย “ตอนนี้เพิ่งจะให้เจินเหรินออกมา ลำบากเจินเหรินแล้ว นายท่านสั่งไว้ว่าให้ดูแลให้ดี”

เห็นได้ชัดว่าท่าทีที่มีต่ออวี้ซวีเจินเหรินแตกต่างกันไป ต่อให้เป่าเหลียนจะแย่สักแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็ได้รับอนุญาตจากนายท่านและฮูหยินตอนแต่งงานเข้ามา มิหนำซ้ำฮูหยินยังเป็นคนส่งเสริมให้ลุล่วงด้วยดีด้วย

“ไม่เป็นอะไร เฮ้อ เรื่องของคนใหญ่คนโตอย่างพวกเจ้า ข้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน” อวี้ซวีเจินเหรินยิ้มเจื่อน แล้วถามว่า “ข้ากลับไปได้หรือยัง?”

หยางเจาชิงตอบอย่างไม่แน่ใจ “ไม่ต้องรีบกลับขอรับ ข้าเตรียมเรือนพักแห่งอื่นไว้ให้เจินเหรินพักแล้ว เจินเหรินวางใจได้ ไม่ได้มีเจตนาอื่น ด้านนอกอยู่ในภาวะสงคราม เกิดเรื่องได้ง่าย อีกไม่นานก็คงจะกลับมาสงบเหมือนเดิมแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยกลับนายท่านจะวางใจกว่า”

อวี้ซวีเจินเหรินถอนหายใจพลางพยักหน้าเบาๆ ไม่ได้ถือสาที่เหมียวอี้เพิ่งแต่งงานกับเป่าเหลียนแล้วแต่งงานรับเพิ่มอีกสองคน เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่า เหมียวอี้จะใช้อุบายปลุกปั่นสถานการณ์จนกลายเป็นอย่างนี้ ความเคลื่อนไหวนี้ใหญ่เกินไปแล้ว ก่อนหน้านี้ได้ยินคนที่อยู่ข้างๆ วิพากษ์วิจารณ์กัน ถ้าไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย เหมียวอี้ก็กำลังจะกลายเป็นอ๋องสวรรค์ที่คุมทัพใต้แล้ว!

เด็กดี! อ๋องสวรรค์ที่คุมทัพใต้หมายความว่าอะไรล่ะ? พูดได้อีกอย่างว่า มีความเป็นไปได้สูงที่เป่าเหลียนจะได้กลายเป็นอนุภรรยาของอ๋องสวรรค์หนิว

เรื่องนี้ขนาดคิดเฉยๆ ก็ยังรู้สึกอึ้ง ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีของเป่าเหลียนหรือไม่ที่แต่งงานเร็วไปก้าวหนึ่ง เพราะถ้าแต่งช้ากว่านี้ รอให้ฝั่งนี้กลายเป็นอ๋องสวรรค์หนิว เกรงว่าต่อให้ศิษย์พี่เจ้าสำนักจะหน้าด้านขนาดไหน แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากเสนอแน่ เพราะฐานะแตกต่างกันเกินไป ต่อให้ตีให้ตายก็ไม่เอ่ยปาก เกรงว่าทั้งชีวิตนี้เป่าเหลียนคงไร้วาสนาต่อหนิวโหย่วเต๋อตลอดไป

เพียงแต่เขายังไม่เข้าใจสถานการณ์ในใต้หล้า อย่างไรเสียแค่ฟังอย่างเดียวก็อกสั่นขวัญแขวนแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าเป่าเหลียนแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อแล้วเป็นโชคดีหรือโชคร้าย เขาได้แต่ถอนหายใจ…

ตอนนี้ในจวนจอมพลควบคุมตัวทุกคนของตระกูลผังเอาไว้ อนุภรรยาที่แต่งเข้าบ้านมาใหม่เสพสุขไม่ได้

ในเรือนหลังหนึ่ง มีการตกแต่งไว้เมื่อเรื่องจวนตัว ประดับผ้าสีแดงและโคมไฟหลากสีสัน แม้แต่ห้องหอก็จัดไว้แล้ว เขตลานบ้านเดียวมีสองห้องหอ แค่รอให้คนใหม่เข้ามาอยู่เท่านั้น

บ่าวรับใช้ของตระกูลอวี่เหวินกับตระกูลกงคอยอาบน้ำเปลี่ยนชุดให้เจ้าสาว เมื่อสวมผ้าคลุมหน้าสีแดงแล้วก็มานั่งที่ขอบเตียงในห้องหอ

มารดาของเจ้าสาวทั้งสองอดไม่ได้ที่จะหลบมาร้องไห้อย่างปวดใจ ไม่เคยนึกมาก่อนว่าลูกสาวตัวเองจะได้แต่งงานอย่างฉาบฉวยขนาดนี้ บุตรสาวของจอมพลผู้สง่าภูมิฐานไม่มีแม้แต่โต๊ะสุรามงคล รู้สึกผิดและรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจแทนลูกสาวตัวเองเกินไปแล้ว

ที่น่าน้อยเนื้อต่ำใจกว่านั้นยังอยู่ข้างหลัง เจ้าบ่าวเหมือนไม่มีท่าทีว่าจะเข้าห้องหอ หนึ่งคืนผ่านไปก็ไม่แม้แต่จะโผล่หน้ามาด้วยซ้ำ เจ้าสาวทั้งสองนั่งรออยู่อย่างนั้นโดยเสียเปล่าทั้งคืน

ภรรยาทั้งสองของจอมพลย่อมรายงานสถานการณ์ขึ้นไป จอมพลทั้งสองนอกจากจะรู้สึกขมขื่นเต็มอกแล้วยังจะพูดอะไรได้อีก ทำได้เพียงปลอบใจ บอกว่าตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อยุ่งอยู่กับงานกองทัพ ไม่มีอารมณ์มาเข้าห้องหอ แค่ได้สถานะมาก็พอแล้ว

ในความเป็นจริง หลังจากเจ้าสาวทั้งสองแต่งเข้ามาแล้ว แม้เวลาจะผ่านไปนานมาก เหมียวอี้ก็ไม่ได้เข้าห้องของพวกนางอยู่ดี

หลังจากนั้นหนึ่งวัน ด้วยแรงกดดันจากทั้งภายนอกและภายใน กงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนก็นำกำลังพลของตัวเองมาถึงแล้ว พามาเพียงแม่ทัพหลักเช่นพวกเทพประจำดาวและท่านโหว ไม่ได้พากำลังพลมามากกว่านี้ เมื่อเข้ามาในอาณาเขตดาวผืนนี้แล้ว ภายใต้การควบคุมจากทัพใหญ่แดนรัตติกาล ทั้งหมดก็แทบจะถอดเกราะรบออกหมด พอเข้ามาในประตูดวงดาวถูกตรวจสอบ และถูกควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์แล้ว

นอกตำหนักประชุมใหญ่ของจวนจอมพล เหมียวอี้ยืนอยู่บนบันไดสูง

สองฝั่งของลานกว้างด้านล่างมีกำลังพลรวมตัวกันหนาแน่น ตรงกลางของกำลังพลเป็นทางผ่านประตูใหญ่ ที่ด้านนอกประตูใหญ่กงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนกำลังนำคนนับร้อยเดินก้าวยาวเข้ามา ทั้งหมดถอดเกราะรบแล้ว ส่วนกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนก็ถึงขั้นเปลือยท่อนบน แบกไม้เอาไว้บนหลัง เห็นได้ชัดเจนว่ามาขอยอมรับผิด!

เมื่อมาถึงปีนบันไดของตำหนักใหญ่ กงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนก็คุกเข่าพร้อมกัน แล้วกุมหมัดคารวะต่อเบื้องบน “กงเชียนชิว อวี่เหวินชวน มาสวามิภักดิ์ช้าไป ขอรับผิดต่อผู้ตรวจการใหญ่!”

กำลังพลสองกว่าคนข้างหลังพวกเขาก็ทยอยกันคุกเข่าเช่นกัน แต่กลับไม่เหมือนสองคนนั้น พวกเขาคุกเข่าข้างเดียวเท่านั้น

ภาพนี้ฉากนี้ ทำให้กำลังพลของทัพใหญ่แดนรัตติกาลที่อยู่ในเหตุการณ์รู้สึกเลือดเดือดพล่าน เมื่อก่อนตอนที่ติดตามลิ่งหูโต้วจ้ง ก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีวันนี้ แม้แต่จอมพลตำหนักสวรรค์ก็ยอมแพ้ให้พวกเขาแล้ว คุกเข่าให้พวกเขาแล้ว!

ซูอวิ้นกับเฉินหวยจิ่วที่ยืนอยู่ริมสุดใต้ชายคาของตำหนักใหญ่เงียบงัน แต่ซูอวิ้นมองกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนด้วยสายตาโกรธแค้น!

จู่ๆ สวีถังหรานที่ยืนอยู่ใต้คานก็ตะโกนว่า “ผู้ตรวจการใหญ่!”

กำลังพลทั้งหมดที่อยู่บนลานกว้างชูอาวุธในมือขึ้นฟ้า พร้อมเปล่งเสียงตะโกนดังก้อง “ผู้ตรวจการใหญ่!ผู้ตรวจการใหญ่!ผู้ตรวจการใหญ่…”

ทุกคนตื่นเต้นดีใจจนหน้าแดง แน่นอนว่าพวกเขารู้ว่าหลังจากคนพวกนี้ยอมแพ้แล้วหมายความว่าอะไร ก็หมายความว่าผู้ตรวจการใหญ่กวาดล้างในอาณาเขตทัพใต้เรียบร้อยแล้ว กำลังพลที่มาจากแดนรัตติกาลอย่างพวกเขาได้เงยหน้าอ้าปากแล้ว!

ทำกลางเสียงตะโกนที่ดังไม่ขาดสาย พวกกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนก้มศีรษะอันสูงส่งแล้ว ความเจ็บปวดรวดร้าวในใจไม่มีทางลืมได้ไปทั้งชีวิต!

เหมียวอี้ที่ยืนอยู่บนบันไดหน้าตำหนักตรงกลางยังคงไม่เคลื่อนไหว ท่าทางไม่สะทกสะท้าน กำลังมองไปเบื้องล่างอย่างเย็นเยียบ ไม่มีใครรู้ถึงความรู้สึกของเขาในตอนนี้!

พวกผังก้วนที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนด้านในทยอยกันเดินออกมาจากห้อง ต่างก็ตกใจเสียงตะโกนด้านนอกจึงออกมา พากันมองไปตามแหล่งกำเนิดเสียงด้วยความตื่นตะลึง

ผังก้วนที่ดูเหมือนแก่ชราโรงแรมไม่น้อยมองไปทางตำหนักใหญ่อย่างเหม่อลอย เกิดความรู้สึกมากมายปนกันอย่างบอกไม่ถูก

เขาไม่รู้เลยสักนิดว่าด้านนอกเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หลังจากแยกกับเฉินหวยจิ่วแล้ว ก็ไม่ได้เจอกันอีกเช่นกัน ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว ถูกปิดข่าวเอาไว้อย่างนี้ตลอด เรียกได้ว่าเขาไม่รู้ข่าวอะไรที่อยู่นอกเรือนเลย

หน้าตำหนัก เหมียวอี้พลันยกมือขึ้น ทำให้เสียงตะโกนที่เหมือนคลื่นยักษ์สูงเสียดฟ้าเงียบลงอย่างฉับพลัน มีเสียงก้องค้างอยู่ ก่อนจะค่อยๆ เงียบสงบลง

เหมียวอี้เดินลงบันไดด้วยก้าวที่หนักแน่นมั่นคง เดินไปถึงข้างกายกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนเพียงลำพังท่ามกลางสายตาฝูงชน แล้วโน้มตัวประคองทั้งสองขึ้นมาด้วยตัวเอง ทั้งยังช่วยเเก้มัดกิ่งไม้ที่มัดอยู่บนหลังของทั้งสองออกด้วยตัวเอง ก่อนจะยื่นมือไปรับชุดคลุมสองตัวที่หยางเจาชิงยื่นให้ แล้วคลุมให้ทั้งสองกับมือตัวเอง พร้อมกล่าวปลอบใจว่า “หันกลับมาก็จะเห็นฝั่ง ยังไม่ถือว่าสายไป!” จากนั้นก็ผายมือให้คนอื่นอีก “ทั้งหมดยืนขึ้นเถอะ!”

ท่าทีของเหมียวอี้ทำให้บรรดาทหารที่ยอมแพ้โล่งใจแล้ว พวกเขาทยอยกันลุกขึ้น แล้วก็กุมหมัดคารวะอีกโดยมีกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนเป็นคนนำ “ขอบคุณผู้ตรวจการใหญ่ที่ใจกว้าง!”

ไม่ยอมแพ้เสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็เรียกได้ว่าทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับกองทัพที่ยอมแพ้ในตอนแรกแล้ว แต่ก็เรียกได้ว่าไม่ได้ทำตามสัญญาเช่นกัน

เรื่องที่ไม่ได้ทำตามสัญญาก็เริ่มตั้งแต่สองจอมพลอย่างกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวน ไปจนถึงเทพประจำดาว ท่านโหว หัวหน้าภาคที่อยู่ระดับต่ำลงไป ถ้าคิดจะริบอำนาจทางทหารของเจ้าอาณาเขตเหล่านี้ทั้งหมด เขาก็ไม่มีอำนาจที่จะทำอย่างนั้น ยังต้องรายงานขึ้นไปที่ตำหนักสวรรค์เพื่อขอคำสั่งจากตำหนักสวรรค์อีก แต่นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขากังวลในตอนนี้

สถานการณ์แบบนี้ทำให้บรรดาแม่ทัพคนสำคัญที่ยอมแพ้ยอมรับได้ยาก พวกเขาไม่มีหลักประกันเรื่องราวต่อจากนี้เลยสักนิด แล้วจะสั่งให้พวกลูกน้องให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ได้อย่างไร ก่อนมาเตรียมแผนสำรองสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดคิดเอาไว้ แต่หัวหน้าพวกนี้ก็ถูกหลอกให้มาแล้ว ตกอยู่ในมือเหมียวอี้แล้ว จะไม่ตอบตกลงก็ไม่ได้ ไม่ว่าใครก็ไม่กล้ารับประกันว่าคนบ้าอย่างเหมียวอี้จะไม่ใช้วิธีสังหารหมู่!

ส่วนเหมียวอี้แม้จะผิดสัญญา แต่กลับไม่กล้าสังหารพวกเขาง่ายๆ ถ้าตอนนี้ผิดสัญญาอย่างโจ่งแจ้ง กองทัพที่ยอมแพ้ของสายมะโรงกับสายมะเส็งจะไปรู้ได้อย่างไรว่าจบเรื่องนี้แล้วเขาจะผิดคำพูดหรือไม่ ถ้ามีคนปลุกปั่นแม้แต่นิดเดียว พอไม่ระวังก็จะเกิดความวุ่นวายใหญ่โตทันที ยากที่จะทำให้สถานการณ์ของอาณาเขตทัพใต้มีเสถียรภาพได้ภายในเวลาสั้นๆ ไม่เป็นประโยชน์ต่อสถานการณ์ปัจจุบันของเขา ดังนั้นเขายังต้อง ‘เกลี้ยกล่อม’ ขอความร่วมมือจากคนพวกนี้!

สุดท้ายหลังจากทั้งสองฝ่ายประนีประนอมกันแล้ว คนที่ทิ้งอำนาจทางทหาร บางคนก็สั่งให้คนส่งลูกสาวมาให้ คนที่ไม่มีลูกสาวก็ส่งพี่สาวน้องสาวมาให้ บางคนส่งหลานสาวมาก็มี บางคนถึงขั้นให้ญาติเมียตัวเองแสร้งเป็นลูกสาวแล้วส่งมา

ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ สาเหตุก็เหมือนกับกงเชียนชิวและอวี่เหวินชวน ต้องการหลักประกันสุดท้าย ต้องการเกี่ยวดองกับเหมียวอี้ ถ้าได้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับเหมียวอี้แล้ว ต่อให้เสียอำนาจไปแต่ก็ไม่มีใครกล้ามาแตะต้องพวกเขาสุ่มสี่สุ่มห้า ยังสามารถรับประกันได้ว่าทั้งครอบครัวจะสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้

ส่วนสิ่งที่เหมียวอี้ต้องจ่ายให้กับสิ่งนี้ก็คือ ต้องเขียนทะเบียนสมรสหนึ่งพันกว่าฉบับในรวดเดียว เป็นแบบที่ต้องให้เขาลงตราประจำตัว ต้องให้คนอื่นเป็นประจักษ์พยาน ว่าเขาเป็นญาติกับคนพวกนั้นแล้ว ครั้งนี้เหมียวอี้ทุ่มสุดตัวแล้วเช่นกัน รับอนุภรรยาพันกว่าคนในรวดเดียว เรียกได้ว่าใครมาก็ไม่ปฏิเสธ บางคนถึงขั้นบีบบังคับให้พี่สาวน้องสาวและลูกสาวเลิกกับสามีแล้วมาแต่งงานใหม่อีกครั้งด้วย เหมียวอี้เองก็กัดฟันจดทะเบียนสมรสเช่นกัน ส่วนเรื่องสูงเตี้ยอ้วนผอม จะสวยหรืออัปลักษณ์ก็ไม่มีเวลามาสนใจแล้ว

เมื่อให้การรับประกันสุดท้ายกับคนเหล่านี้แล้ว การปรับปรุงกำลังพลทัพใต้ครั้งใหญ่ก็เริ่มขึ้นแล้ว

เกรงว่าทัพใต้ในปีนั้นคงทำให้ฮ่าวเต๋อฟางรู้สึกเหมือนเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาได้ยาก แต่สำหรับเหมียวอี้ในครั้งนี้ กลับเป็นโอกาสดีที่หาพบได้ยาก ที่ว่ากันว่าปราศจากการทำลายล้าง ย่อมไร้การประกอบสร้างก็เป็นเช่นนี้เอง เหมียวอี้ย่อมต้องฉวยโอกาสนี้แก้ปัญหาในรวดเดียว

สำหรับที่สิ่งที่ปฏิบัติต่อทหารที่เหลือรอดของฮ่าวเต๋อฟาง เหมียวอี้ไม่ได้กลืนคำพูด กับกำลังพลของผังก้วนก็ไม่ได้ผิดคำพูดเช่นกัน กับระดับหัวหน้าภาคลงไปของทัพใต้ก็เบี้ยวสัญญา เพราะอาศัยแค่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลไม่อาจควบคุมอาณาเขตที่ใหญ่ขนาดนี้ได้ ยังต้องใช้งานคนบางคน แต่กลับปรับปรุงกำลังพลที่อยู่ระดับล่างของทัพใต้ครั้งใหญ่ ทำลายระบบเดิม จับกำลังพลทั้งหมดผสมกันมั่วๆ แล้วก่อตั้งโครงสร้างใหม่ของทัพใต้ขึ้นมา

…………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 2059 รับข้าศึกที่ยอมแพ้

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 2059 รับข้าศึกที่ยอมแพ้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หยางเจาชิงตะโกนเรียกทหารด้วยความสุภาพ ให้พาคนไปยังคฤหาสน์รับแขกอีกแห่ง และดึงกำลังพลกลุ่มเล็กให้ไปคุ้มครอง ในเมื่อกงหนีฉางกับอวี่เหวินหรูเมิ่งมาเพื่อเรื่องนี้ โดยทั่วไปถ้าแต่งงานเข้าบ้านมาแล้วก็จะไม่กลับไปอีก ผู้ปกครองก็ตอบตกลงต่อหน้ากลุ่มแขกผู้มีเกียรติแล้วว่าให้แต่งงานกับเหมียวอี้ ตั้งแต่นี้ไปก็จะกลายเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้ทันที ส่วนธรรมเนียมยิบย่อยในการรับตัวเจ้าสาว ถ้าไม่มีอะไรผิดคาดก็ไม่จัดการแล้ว เมื่อกำหนดสถานะ แค่ส่งตัวคนเข้าประตูมาก็พอแล้ว บรรดาอนุภรรยานับร้อยนับพันของอ๋องสวรรค์ส่วนใหญ่ก็ทำอย่างนี้ ต้องจัดงานให้เอิกเกริกทุกครั้ง ก็ยังไม่รู้เลยว่าต้องจัดสักกี่ครั้ง นอกเสียจากว่าจะมีชาติกำเนิดข้างๆ สูงและมีอำนาจหนุนหลังพอสมควร วังสวรรค์ก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน ในปีนั้นเป็นเพราะจ้านหรูอี้เป็นหลานสาวของอิ๋งจิ่วกวง เดิมทีส่งเข้าประตูวังโดยตรงเลยก็สิ้นเรื่องแล้ว จ้านหรูอี้ยังนับว่าโชคดี สนมบางคนทั้งชีวิตนี้ก็แค่ถูกส่งเข้าวังเพื่อรับสถานะเท่านั้น แม้แต่มือของประมุขชิงก็ยังไม่เคยได้สัมผัสด้วยซ้ำ ถ้าหวังจะให้ประมุขชิงกราบไหว้เทวดาฟ้าดินกับทีละคนก็อย่าแม้แต่จะคิดเลย ส่วนตระกูลอวี่เหวินกลับตระกูลกงในเวลานี้ ก็แทบไม่ทันได้กังวลด้วยซ้ำว่าจะทำให้อวิ๋นจือชิวไม่พอใจหรือเปล่า มีหรือที่จะเอ่ยเรื่องจัดงานใหญ่โตเอิกเกริก ทำตัวเด่นเกินหน้้าเกินตาอวิ๋นจือชิวเป็นเรื่องดีเหรอ? กอปรกับเป็นในเวลานี้ พวกเขารู้เช่นกันว่าเหมียวอี้ไม่มีเวลาและสมาธิจะมาเอ่ยถึงเรื่องนี้ แค่ส่งคนเข้าประตูบ้านมากำหนดสถานะก็พอแล้ว คุณหนูผู้ล้ำค่าดุจทองพันชั่งทั้งสองได้รับความไม่ยุติธรรมแล้ว แต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเลือกเช่นกัน ส่วนมารดาของสองคนนั้น ตอนนี้ก็ยังกลับไปไม่ได้เช่นกัน อยู่ที่นี่เป็นเพื่อนลูกสาวต่อไป รอให้เรื่องของกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนเป็นรูปธรรมก่อนถึงจะกลับไป ผ่านไปครู่เดียว อวี้ซวีเจินเหรินก็เดินออกมาจากคฤหาสน์ที่มีกำลังพลเฝ้าอยู่ หยางเจาชิงรออยู่ข้างนอก พอเห็นคนออกมา ก็กุมหมัดขออภัย “ตอนนี้เพิ่งจะให้เจินเหรินออกมา ลำบากเจินเหรินแล้ว นายท่านสั่งไว้ว่าให้ดูแลให้ดี” เห็นได้ชัดว่าท่าทีที่มีต่ออวี้ซวีเจินเหรินแตกต่างกันไป ต่อให้เป่าเหลียนจะแย่สักแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็ได้รับอนุญาตจากนายท่านและฮูหยินตอนแต่งงานเข้ามา มิหนำซ้ำฮูหยินยังเป็นคนส่งเสริมให้ลุล่วงด้วยดีด้วย “ไม่เป็นอะไร เฮ้อ เรื่องของคนใหญ่คนโตอย่างพวกเจ้า ข้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน” อวี้ซวีเจินเหรินยิ้มเจื่อน แล้วถามว่า “ข้ากลับไปได้หรือยัง?” หยางเจาชิงตอบอย่างไม่แน่ใจ “ไม่ต้องรีบกลับขอรับ ข้าเตรียมเรือนพักแห่งอื่นไว้ให้เจินเหรินพักแล้ว เจินเหรินวางใจได้ ไม่ได้มีเจตนาอื่น ด้านนอกอยู่ในภาวะสงคราม เกิดเรื่องได้ง่าย อีกไม่นานก็คงจะกลับมาสงบเหมือนเดิมแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยกลับนายท่านจะวางใจกว่า” อวี้ซวีเจินเหรินถอนหายใจพลางพยักหน้าเบาๆ ไม่ได้ถือสาที่เหมียวอี้เพิ่งแต่งงานกับเป่าเหลียนแล้วแต่งงานรับเพิ่มอีกสองคน เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่า เหมียวอี้จะใช้อุบายปลุกปั่นสถานการณ์จนกลายเป็นอย่างนี้ ความเคลื่อนไหวนี้ใหญ่เกินไปแล้ว ก่อนหน้านี้ได้ยินคนที่อยู่ข้างๆ วิพากษ์วิจารณ์กัน ถ้าไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย เหมียวอี้ก็กำลังจะกลายเป็นอ๋องสวรรค์ที่คุมทัพใต้แล้ว! เด็กดี! อ๋องสวรรค์ที่คุมทัพใต้หมายความว่าอะไรล่ะ? พูดได้อีกอย่างว่า มีความเป็นไปได้สูงที่เป่าเหลียนจะได้กลายเป็นอนุภรรยาของอ๋องสวรรค์หนิว เรื่องนี้ขนาดคิดเฉยๆ ก็ยังรู้สึกอึ้ง ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีของเป่าเหลียนหรือไม่ที่แต่งงานเร็วไปก้าวหนึ่ง เพราะถ้าแต่งช้ากว่านี้ รอให้ฝั่งนี้กลายเป็นอ๋องสวรรค์หนิว เกรงว่าต่อให้ศิษย์พี่เจ้าสำนักจะหน้าด้านขนาดไหน แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากเสนอแน่ เพราะฐานะแตกต่างกันเกินไป ต่อให้ตีให้ตายก็ไม่เอ่ยปาก เกรงว่าทั้งชีวิตนี้เป่าเหลียนคงไร้วาสนาต่อหนิวโหย่วเต๋อตลอดไป เพียงแต่เขายังไม่เข้าใจสถานการณ์ในใต้หล้า อย่างไรเสียแค่ฟังอย่างเดียวก็อกสั่นขวัญแขวนแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าเป่าเหลียนแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อแล้วเป็นโชคดีหรือโชคร้าย เขาได้แต่ถอนหายใจ… ตอนนี้ในจวนจอมพลควบคุมตัวทุกคนของตระกูลผังเอาไว้ อนุภรรยาที่แต่งเข้าบ้านมาใหม่เสพสุขไม่ได้ ในเรือนหลังหนึ่ง มีการตกแต่งไว้เมื่อเรื่องจวนตัว ประดับผ้าสีแดงและโคมไฟหลากสีสัน แม้แต่ห้องหอก็จัดไว้แล้ว เขตลานบ้านเดียวมีสองห้องหอ แค่รอให้คนใหม่เข้ามาอยู่เท่านั้น บ่าวรับใช้ของตระกูลอวี่เหวินกับตระกูลกงคอยอาบน้ำเปลี่ยนชุดให้เจ้าสาว เมื่อสวมผ้าคลุมหน้าสีแดงแล้วก็มานั่งที่ขอบเตียงในห้องหอ มารดาของเจ้าสาวทั้งสองอดไม่ได้ที่จะหลบมาร้องไห้อย่างปวดใจ ไม่เคยนึกมาก่อนว่าลูกสาวตัวเองจะได้แต่งงานอย่างฉาบฉวยขนาดนี้ บุตรสาวของจอมพลผู้สง่าภูมิฐานไม่มีแม้แต่โต๊ะสุรามงคล รู้สึกผิดและรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจแทนลูกสาวตัวเองเกินไปแล้ว ที่น่าน้อยเนื้อต่ำใจกว่านั้นยังอยู่ข้างหลัง เจ้าบ่าวเหมือนไม่มีท่าทีว่าจะเข้าห้องหอ หนึ่งคืนผ่านไปก็ไม่แม้แต่จะโผล่หน้ามาด้วยซ้ำ เจ้าสาวทั้งสองนั่งรออยู่อย่างนั้นโดยเสียเปล่าทั้งคืน ภรรยาทั้งสองของจอมพลย่อมรายงานสถานการณ์ขึ้นไป จอมพลทั้งสองนอกจากจะรู้สึกขมขื่นเต็มอกแล้วยังจะพูดอะไรได้อีก ทำได้เพียงปลอบใจ บอกว่าตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อยุ่งอยู่กับงานกองทัพ ไม่มีอารมณ์มาเข้าห้องหอ แค่ได้สถานะมาก็พอแล้ว ในความเป็นจริง หลังจากเจ้าสาวทั้งสองแต่งเข้ามาแล้ว แม้เวลาจะผ่านไปนานมาก เหมียวอี้ก็ไม่ได้เข้าห้องของพวกนางอยู่ดี หลังจากนั้นหนึ่งวัน ด้วยแรงกดดันจากทั้งภายนอกและภายใน กงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนก็นำกำลังพลของตัวเองมาถึงแล้ว พามาเพียงแม่ทัพหลักเช่นพวกเทพประจำดาวและท่านโหว ไม่ได้พากำลังพลมามากกว่านี้ เมื่อเข้ามาในอาณาเขตดาวผืนนี้แล้ว ภายใต้การควบคุมจากทัพใหญ่แดนรัตติกาล ทั้งหมดก็แทบจะถอดเกราะรบออกหมด พอเข้ามาในประตูดวงดาวถูกตรวจสอบ และถูกควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์แล้ว นอกตำหนักประชุมใหญ่ของจวนจอมพล เหมียวอี้ยืนอยู่บนบันไดสูง สองฝั่งของลานกว้างด้านล่างมีกำลังพลรวมตัวกันหนาแน่น ตรงกลางของกำลังพลเป็นทางผ่านประตูใหญ่ ที่ด้านนอกประตูใหญ่กงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนกำลังนำคนนับร้อยเดินก้าวยาวเข้ามา ทั้งหมดถอดเกราะรบแล้ว ส่วนกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนก็ถึงขั้นเปลือยท่อนบน แบกไม้เอาไว้บนหลัง เห็นได้ชัดเจนว่ามาขอยอมรับผิด! เมื่อมาถึงปีนบันไดของตำหนักใหญ่ กงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนก็คุกเข่าพร้อมกัน แล้วกุมหมัดคารวะต่อเบื้องบน “กงเชียนชิว อวี่เหวินชวน มาสวามิภักดิ์ช้าไป ขอรับผิดต่อผู้ตรวจการใหญ่!” กำลังพลสองกว่าคนข้างหลังพวกเขาก็ทยอยกันคุกเข่าเช่นกัน แต่กลับไม่เหมือนสองคนนั้น พวกเขาคุกเข่าข้างเดียวเท่านั้น ภาพนี้ฉากนี้ ทำให้กำลังพลของทัพใหญ่แดนรัตติกาลที่อยู่ในเหตุการณ์รู้สึกเลือดเดือดพล่าน เมื่อก่อนตอนที่ติดตามลิ่งหูโต้วจ้ง ก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีวันนี้ แม้แต่จอมพลตำหนักสวรรค์ก็ยอมแพ้ให้พวกเขาแล้ว คุกเข่าให้พวกเขาแล้ว! ซูอวิ้นกับเฉินหวยจิ่วที่ยืนอยู่ริมสุดใต้ชายคาของตำหนักใหญ่เงียบงัน แต่ซูอวิ้นมองกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนด้วยสายตาโกรธแค้น! จู่ๆ สวีถังหรานที่ยืนอยู่ใต้คานก็ตะโกนว่า “ผู้ตรวจการใหญ่!” กำลังพลทั้งหมดที่อยู่บนลานกว้างชูอาวุธในมือขึ้นฟ้า พร้อมเปล่งเสียงตะโกนดังก้อง “ผู้ตรวจการใหญ่!ผู้ตรวจการใหญ่!ผู้ตรวจการใหญ่…” ทุกคนตื่นเต้นดีใจจนหน้าแดง แน่นอนว่าพวกเขารู้ว่าหลังจากคนพวกนี้ยอมแพ้แล้วหมายความว่าอะไร ก็หมายความว่าผู้ตรวจการใหญ่กวาดล้างในอาณาเขตทัพใต้เรียบร้อยแล้ว กำลังพลที่มาจากแดนรัตติกาลอย่างพวกเขาได้เงยหน้าอ้าปากแล้ว! ทำกลางเสียงตะโกนที่ดังไม่ขาดสาย พวกกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนก้มศีรษะอันสูงส่งแล้ว ความเจ็บปวดรวดร้าวในใจไม่มีทางลืมได้ไปทั้งชีวิต! เหมียวอี้ที่ยืนอยู่บนบันไดหน้าตำหนักตรงกลางยังคงไม่เคลื่อนไหว ท่าทางไม่สะทกสะท้าน กำลังมองไปเบื้องล่างอย่างเย็นเยียบ ไม่มีใครรู้ถึงความรู้สึกของเขาในตอนนี้! พวกผังก้วนที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนด้านในทยอยกันเดินออกมาจากห้อง ต่างก็ตกใจเสียงตะโกนด้านนอกจึงออกมา พากันมองไปตามแหล่งกำเนิดเสียงด้วยความตื่นตะลึง ผังก้วนที่ดูเหมือนแก่ชราโรงแรมไม่น้อยมองไปทางตำหนักใหญ่อย่างเหม่อลอย เกิดความรู้สึกมากมายปนกันอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่รู้เลยสักนิดว่าด้านนอกเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หลังจากแยกกับเฉินหวยจิ่วแล้ว ก็ไม่ได้เจอกันอีกเช่นกัน ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว ถูกปิดข่าวเอาไว้อย่างนี้ตลอด เรียกได้ว่าเขาไม่รู้ข่าวอะไรที่อยู่นอกเรือนเลย หน้าตำหนัก เหมียวอี้พลันยกมือขึ้น ทำให้เสียงตะโกนที่เหมือนคลื่นยักษ์สูงเสียดฟ้าเงียบลงอย่างฉับพลัน มีเสียงก้องค้างอยู่ ก่อนจะค่อยๆ เงียบสงบลง เหมียวอี้เดินลงบันไดด้วยก้าวที่หนักแน่นมั่นคง เดินไปถึงข้างกายกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนเพียงลำพังท่ามกลางสายตาฝูงชน แล้วโน้มตัวประคองทั้งสองขึ้นมาด้วยตัวเอง ทั้งยังช่วยเเก้มัดกิ่งไม้ที่มัดอยู่บนหลังของทั้งสองออกด้วยตัวเอง ก่อนจะยื่นมือไปรับชุดคลุมสองตัวที่หยางเจาชิงยื่นให้ แล้วคลุมให้ทั้งสองกับมือตัวเอง พร้อมกล่าวปลอบใจว่า “หันกลับมาก็จะเห็นฝั่ง ยังไม่ถือว่าสายไป!” จากนั้นก็ผายมือให้คนอื่นอีก “ทั้งหมดยืนขึ้นเถอะ!” ท่าทีของเหมียวอี้ทำให้บรรดาทหารที่ยอมแพ้โล่งใจแล้ว พวกเขาทยอยกันลุกขึ้น แล้วก็กุมหมัดคารวะอีกโดยมีกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนเป็นคนนำ “ขอบคุณผู้ตรวจการใหญ่ที่ใจกว้าง!” ไม่ยอมแพ้เสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็เรียกได้ว่าทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับกองทัพที่ยอมแพ้ในตอนแรกแล้ว แต่ก็เรียกได้ว่าไม่ได้ทำตามสัญญาเช่นกัน เรื่องที่ไม่ได้ทำตามสัญญาก็เริ่มตั้งแต่สองจอมพลอย่างกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวน ไปจนถึงเทพประจำดาว ท่านโหว หัวหน้าภาคที่อยู่ระดับต่ำลงไป ถ้าคิดจะริบอำนาจทางทหารของเจ้าอาณาเขตเหล่านี้ทั้งหมด เขาก็ไม่มีอำนาจที่จะทำอย่างนั้น ยังต้องรายงานขึ้นไปที่ตำหนักสวรรค์เพื่อขอคำสั่งจากตำหนักสวรรค์อีก แต่นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขากังวลในตอนนี้ สถานการณ์แบบนี้ทำให้บรรดาแม่ทัพคนสำคัญที่ยอมแพ้ยอมรับได้ยาก พวกเขาไม่มีหลักประกันเรื่องราวต่อจากนี้เลยสักนิด แล้วจะสั่งให้พวกลูกน้องให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ได้อย่างไร ก่อนมาเตรียมแผนสำรองสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดคิดเอาไว้ แต่หัวหน้าพวกนี้ก็ถูกหลอกให้มาแล้ว ตกอยู่ในมือเหมียวอี้แล้ว จะไม่ตอบตกลงก็ไม่ได้ ไม่ว่าใครก็ไม่กล้ารับประกันว่าคนบ้าอย่างเหมียวอี้จะไม่ใช้วิธีสังหารหมู่! ส่วนเหมียวอี้แม้จะผิดสัญญา แต่กลับไม่กล้าสังหารพวกเขาง่ายๆ ถ้าตอนนี้ผิดสัญญาอย่างโจ่งแจ้ง กองทัพที่ยอมแพ้ของสายมะโรงกับสายมะเส็งจะไปรู้ได้อย่างไรว่าจบเรื่องนี้แล้วเขาจะผิดคำพูดหรือไม่ ถ้ามีคนปลุกปั่นแม้แต่นิดเดียว พอไม่ระวังก็จะเกิดความวุ่นวายใหญ่โตทันที ยากที่จะทำให้สถานการณ์ของอาณาเขตทัพใต้มีเสถียรภาพได้ภายในเวลาสั้นๆ ไม่เป็นประโยชน์ต่อสถานการณ์ปัจจุบันของเขา ดังนั้นเขายังต้อง ‘เกลี้ยกล่อม’ ขอความร่วมมือจากคนพวกนี้! สุดท้ายหลังจากทั้งสองฝ่ายประนีประนอมกันแล้ว คนที่ทิ้งอำนาจทางทหาร บางคนก็สั่งให้คนส่งลูกสาวมาให้ คนที่ไม่มีลูกสาวก็ส่งพี่สาวน้องสาวมาให้ บางคนส่งหลานสาวมาก็มี บางคนถึงขั้นให้ญาติเมียตัวเองแสร้งเป็นลูกสาวแล้วส่งมา ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ สาเหตุก็เหมือนกับกงเชียนชิวและอวี่เหวินชวน ต้องการหลักประกันสุดท้าย ต้องการเกี่ยวดองกับเหมียวอี้ ถ้าได้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับเหมียวอี้แล้ว ต่อให้เสียอำนาจไปแต่ก็ไม่มีใครกล้ามาแตะต้องพวกเขาสุ่มสี่สุ่มห้า ยังสามารถรับประกันได้ว่าทั้งครอบครัวจะสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้ ส่วนสิ่งที่เหมียวอี้ต้องจ่ายให้กับสิ่งนี้ก็คือ ต้องเขียนทะเบียนสมรสหนึ่งพันกว่าฉบับในรวดเดียว เป็นแบบที่ต้องให้เขาลงตราประจำตัว ต้องให้คนอื่นเป็นประจักษ์พยาน ว่าเขาเป็นญาติกับคนพวกนั้นแล้ว ครั้งนี้เหมียวอี้ทุ่มสุดตัวแล้วเช่นกัน รับอนุภรรยาพันกว่าคนในรวดเดียว เรียกได้ว่าใครมาก็ไม่ปฏิเสธ บางคนถึงขั้นบีบบังคับให้พี่สาวน้องสาวและลูกสาวเลิกกับสามีแล้วมาแต่งงานใหม่อีกครั้งด้วย เหมียวอี้เองก็กัดฟันจดทะเบียนสมรสเช่นกัน ส่วนเรื่องสูงเตี้ยอ้วนผอม จะสวยหรืออัปลักษณ์ก็ไม่มีเวลามาสนใจแล้ว เมื่อให้การรับประกันสุดท้ายกับคนเหล่านี้แล้ว การปรับปรุงกำลังพลทัพใต้ครั้งใหญ่ก็เริ่มขึ้นแล้ว เกรงว่าทัพใต้ในปีนั้นคงทำให้ฮ่าวเต๋อฟางรู้สึกเหมือนเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาได้ยาก แต่สำหรับเหมียวอี้ในครั้งนี้ กลับเป็นโอกาสดีที่หาพบได้ยาก ที่ว่ากันว่าปราศจากการทำลายล้าง ย่อมไร้การประกอบสร้างก็เป็นเช่นนี้เอง เหมียวอี้ย่อมต้องฉวยโอกาสนี้แก้ปัญหาในรวดเดียว สำหรับที่สิ่งที่ปฏิบัติต่อทหารที่เหลือรอดของฮ่าวเต๋อฟาง เหมียวอี้ไม่ได้กลืนคำพูด กับกำลังพลของผังก้วนก็ไม่ได้ผิดคำพูดเช่นกัน กับระดับหัวหน้าภาคลงไปของทัพใต้ก็เบี้ยวสัญญา เพราะอาศัยแค่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลไม่อาจควบคุมอาณาเขตที่ใหญ่ขนาดนี้ได้ ยังต้องใช้งานคนบางคน แต่กลับปรับปรุงกำลังพลที่อยู่ระดับล่างของทัพใต้ครั้งใหญ่ ทำลายระบบเดิม จับกำลังพลทั้งหมดผสมกันมั่วๆ แล้วก่อตั้งโครงสร้างใหม่ของทัพใต้ขึ้นมา …………………

หยางเจาชิงตะโกนเรียกทหารด้วยความสุภาพ ให้พาคนไปยังคฤหาสน์รับแขกอีกแห่ง และดึงกำลังพลกลุ่มเล็กให้ไปคุ้มครอง

ในเมื่อกงหนีฉางกับอวี่เหวินหรูเมิ่งมาเพื่อเรื่องนี้ โดยทั่วไปถ้าแต่งงานเข้าบ้านมาแล้วก็จะไม่กลับไปอีก

ผู้ปกครองก็ตอบตกลงต่อหน้ากลุ่มแขกผู้มีเกียรติแล้วว่าให้แต่งงานกับเหมียวอี้ ตั้งแต่นี้ไปก็จะกลายเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้ทันที ส่วนธรรมเนียมยิบย่อยในการรับตัวเจ้าสาว ถ้าไม่มีอะไรผิดคาดก็ไม่จัดการแล้ว เมื่อกำหนดสถานะ แค่ส่งตัวคนเข้าประตูมาก็พอแล้ว บรรดาอนุภรรยานับร้อยนับพันของอ๋องสวรรค์ส่วนใหญ่ก็ทำอย่างนี้ ต้องจัดงานให้เอิกเกริกทุกครั้ง ก็ยังไม่รู้เลยว่าต้องจัดสักกี่ครั้ง นอกเสียจากว่าจะมีชาติกำเนิดข้างๆ สูงและมีอำนาจหนุนหลังพอสมควร

วังสวรรค์ก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน ในปีนั้นเป็นเพราะจ้านหรูอี้เป็นหลานสาวของอิ๋งจิ่วกวง เดิมทีส่งเข้าประตูวังโดยตรงเลยก็สิ้นเรื่องแล้ว จ้านหรูอี้ยังนับว่าโชคดี สนมบางคนทั้งชีวิตนี้ก็แค่ถูกส่งเข้าวังเพื่อรับสถานะเท่านั้น แม้แต่มือของประมุขชิงก็ยังไม่เคยได้สัมผัสด้วยซ้ำ ถ้าหวังจะให้ประมุขชิงกราบไหว้เทวดาฟ้าดินกับทีละคนก็อย่าแม้แต่จะคิดเลย

ส่วนตระกูลอวี่เหวินกลับตระกูลกงในเวลานี้ ก็แทบไม่ทันได้กังวลด้วยซ้ำว่าจะทำให้อวิ๋นจือชิวไม่พอใจหรือเปล่า มีหรือที่จะเอ่ยเรื่องจัดงานใหญ่โตเอิกเกริก ทำตัวเด่นเกินหน้้าเกินตาอวิ๋นจือชิวเป็นเรื่องดีเหรอ? กอปรกับเป็นในเวลานี้ พวกเขารู้เช่นกันว่าเหมียวอี้ไม่มีเวลาและสมาธิจะมาเอ่ยถึงเรื่องนี้ แค่ส่งคนเข้าประตูบ้านมากำหนดสถานะก็พอแล้ว คุณหนูผู้ล้ำค่าดุจทองพันชั่งทั้งสองได้รับความไม่ยุติธรรมแล้ว แต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเลือกเช่นกัน

ส่วนมารดาของสองคนนั้น ตอนนี้ก็ยังกลับไปไม่ได้เช่นกัน อยู่ที่นี่เป็นเพื่อนลูกสาวต่อไป รอให้เรื่องของกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนเป็นรูปธรรมก่อนถึงจะกลับไป

ผ่านไปครู่เดียว อวี้ซวีเจินเหรินก็เดินออกมาจากคฤหาสน์ที่มีกำลังพลเฝ้าอยู่

หยางเจาชิงรออยู่ข้างนอก พอเห็นคนออกมา ก็กุมหมัดขออภัย “ตอนนี้เพิ่งจะให้เจินเหรินออกมา ลำบากเจินเหรินแล้ว นายท่านสั่งไว้ว่าให้ดูแลให้ดี”

เห็นได้ชัดว่าท่าทีที่มีต่ออวี้ซวีเจินเหรินแตกต่างกันไป ต่อให้เป่าเหลียนจะแย่สักแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็ได้รับอนุญาตจากนายท่านและฮูหยินตอนแต่งงานเข้ามา มิหนำซ้ำฮูหยินยังเป็นคนส่งเสริมให้ลุล่วงด้วยดีด้วย

“ไม่เป็นอะไร เฮ้อ เรื่องของคนใหญ่คนโตอย่างพวกเจ้า ข้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน” อวี้ซวีเจินเหรินยิ้มเจื่อน แล้วถามว่า “ข้ากลับไปได้หรือยัง?”

หยางเจาชิงตอบอย่างไม่แน่ใจ “ไม่ต้องรีบกลับขอรับ ข้าเตรียมเรือนพักแห่งอื่นไว้ให้เจินเหรินพักแล้ว เจินเหรินวางใจได้ ไม่ได้มีเจตนาอื่น ด้านนอกอยู่ในภาวะสงคราม เกิดเรื่องได้ง่าย อีกไม่นานก็คงจะกลับมาสงบเหมือนเดิมแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยกลับนายท่านจะวางใจกว่า”

อวี้ซวีเจินเหรินถอนหายใจพลางพยักหน้าเบาๆ ไม่ได้ถือสาที่เหมียวอี้เพิ่งแต่งงานกับเป่าเหลียนแล้วแต่งงานรับเพิ่มอีกสองคน เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่า เหมียวอี้จะใช้อุบายปลุกปั่นสถานการณ์จนกลายเป็นอย่างนี้ ความเคลื่อนไหวนี้ใหญ่เกินไปแล้ว ก่อนหน้านี้ได้ยินคนที่อยู่ข้างๆ วิพากษ์วิจารณ์กัน ถ้าไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย เหมียวอี้ก็กำลังจะกลายเป็นอ๋องสวรรค์ที่คุมทัพใต้แล้ว!

เด็กดี! อ๋องสวรรค์ที่คุมทัพใต้หมายความว่าอะไรล่ะ? พูดได้อีกอย่างว่า มีความเป็นไปได้สูงที่เป่าเหลียนจะได้กลายเป็นอนุภรรยาของอ๋องสวรรค์หนิว

เรื่องนี้ขนาดคิดเฉยๆ ก็ยังรู้สึกอึ้ง ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีของเป่าเหลียนหรือไม่ที่แต่งงานเร็วไปก้าวหนึ่ง เพราะถ้าแต่งช้ากว่านี้ รอให้ฝั่งนี้กลายเป็นอ๋องสวรรค์หนิว เกรงว่าต่อให้ศิษย์พี่เจ้าสำนักจะหน้าด้านขนาดไหน แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากเสนอแน่ เพราะฐานะแตกต่างกันเกินไป ต่อให้ตีให้ตายก็ไม่เอ่ยปาก เกรงว่าทั้งชีวิตนี้เป่าเหลียนคงไร้วาสนาต่อหนิวโหย่วเต๋อตลอดไป

เพียงแต่เขายังไม่เข้าใจสถานการณ์ในใต้หล้า อย่างไรเสียแค่ฟังอย่างเดียวก็อกสั่นขวัญแขวนแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าเป่าเหลียนแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อแล้วเป็นโชคดีหรือโชคร้าย เขาได้แต่ถอนหายใจ…

ตอนนี้ในจวนจอมพลควบคุมตัวทุกคนของตระกูลผังเอาไว้ อนุภรรยาที่แต่งเข้าบ้านมาใหม่เสพสุขไม่ได้

ในเรือนหลังหนึ่ง มีการตกแต่งไว้เมื่อเรื่องจวนตัว ประดับผ้าสีแดงและโคมไฟหลากสีสัน แม้แต่ห้องหอก็จัดไว้แล้ว เขตลานบ้านเดียวมีสองห้องหอ แค่รอให้คนใหม่เข้ามาอยู่เท่านั้น

บ่าวรับใช้ของตระกูลอวี่เหวินกับตระกูลกงคอยอาบน้ำเปลี่ยนชุดให้เจ้าสาว เมื่อสวมผ้าคลุมหน้าสีแดงแล้วก็มานั่งที่ขอบเตียงในห้องหอ

มารดาของเจ้าสาวทั้งสองอดไม่ได้ที่จะหลบมาร้องไห้อย่างปวดใจ ไม่เคยนึกมาก่อนว่าลูกสาวตัวเองจะได้แต่งงานอย่างฉาบฉวยขนาดนี้ บุตรสาวของจอมพลผู้สง่าภูมิฐานไม่มีแม้แต่โต๊ะสุรามงคล รู้สึกผิดและรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจแทนลูกสาวตัวเองเกินไปแล้ว

ที่น่าน้อยเนื้อต่ำใจกว่านั้นยังอยู่ข้างหลัง เจ้าบ่าวเหมือนไม่มีท่าทีว่าจะเข้าห้องหอ หนึ่งคืนผ่านไปก็ไม่แม้แต่จะโผล่หน้ามาด้วยซ้ำ เจ้าสาวทั้งสองนั่งรออยู่อย่างนั้นโดยเสียเปล่าทั้งคืน

ภรรยาทั้งสองของจอมพลย่อมรายงานสถานการณ์ขึ้นไป จอมพลทั้งสองนอกจากจะรู้สึกขมขื่นเต็มอกแล้วยังจะพูดอะไรได้อีก ทำได้เพียงปลอบใจ บอกว่าตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อยุ่งอยู่กับงานกองทัพ ไม่มีอารมณ์มาเข้าห้องหอ แค่ได้สถานะมาก็พอแล้ว

ในความเป็นจริง หลังจากเจ้าสาวทั้งสองแต่งเข้ามาแล้ว แม้เวลาจะผ่านไปนานมาก เหมียวอี้ก็ไม่ได้เข้าห้องของพวกนางอยู่ดี

หลังจากนั้นหนึ่งวัน ด้วยแรงกดดันจากทั้งภายนอกและภายใน กงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนก็นำกำลังพลของตัวเองมาถึงแล้ว พามาเพียงแม่ทัพหลักเช่นพวกเทพประจำดาวและท่านโหว ไม่ได้พากำลังพลมามากกว่านี้ เมื่อเข้ามาในอาณาเขตดาวผืนนี้แล้ว ภายใต้การควบคุมจากทัพใหญ่แดนรัตติกาล ทั้งหมดก็แทบจะถอดเกราะรบออกหมด พอเข้ามาในประตูดวงดาวถูกตรวจสอบ และถูกควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์แล้ว

นอกตำหนักประชุมใหญ่ของจวนจอมพล เหมียวอี้ยืนอยู่บนบันไดสูง

สองฝั่งของลานกว้างด้านล่างมีกำลังพลรวมตัวกันหนาแน่น ตรงกลางของกำลังพลเป็นทางผ่านประตูใหญ่ ที่ด้านนอกประตูใหญ่กงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนกำลังนำคนนับร้อยเดินก้าวยาวเข้ามา ทั้งหมดถอดเกราะรบแล้ว ส่วนกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนก็ถึงขั้นเปลือยท่อนบน แบกไม้เอาไว้บนหลัง เห็นได้ชัดเจนว่ามาขอยอมรับผิด!

เมื่อมาถึงปีนบันไดของตำหนักใหญ่ กงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนก็คุกเข่าพร้อมกัน แล้วกุมหมัดคารวะต่อเบื้องบน “กงเชียนชิว อวี่เหวินชวน มาสวามิภักดิ์ช้าไป ขอรับผิดต่อผู้ตรวจการใหญ่!”

กำลังพลสองกว่าคนข้างหลังพวกเขาก็ทยอยกันคุกเข่าเช่นกัน แต่กลับไม่เหมือนสองคนนั้น พวกเขาคุกเข่าข้างเดียวเท่านั้น

ภาพนี้ฉากนี้ ทำให้กำลังพลของทัพใหญ่แดนรัตติกาลที่อยู่ในเหตุการณ์รู้สึกเลือดเดือดพล่าน เมื่อก่อนตอนที่ติดตามลิ่งหูโต้วจ้ง ก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีวันนี้ แม้แต่จอมพลตำหนักสวรรค์ก็ยอมแพ้ให้พวกเขาแล้ว คุกเข่าให้พวกเขาแล้ว!

ซูอวิ้นกับเฉินหวยจิ่วที่ยืนอยู่ริมสุดใต้ชายคาของตำหนักใหญ่เงียบงัน แต่ซูอวิ้นมองกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนด้วยสายตาโกรธแค้น!

จู่ๆ สวีถังหรานที่ยืนอยู่ใต้คานก็ตะโกนว่า “ผู้ตรวจการใหญ่!”

กำลังพลทั้งหมดที่อยู่บนลานกว้างชูอาวุธในมือขึ้นฟ้า พร้อมเปล่งเสียงตะโกนดังก้อง “ผู้ตรวจการใหญ่!ผู้ตรวจการใหญ่!ผู้ตรวจการใหญ่…”

ทุกคนตื่นเต้นดีใจจนหน้าแดง แน่นอนว่าพวกเขารู้ว่าหลังจากคนพวกนี้ยอมแพ้แล้วหมายความว่าอะไร ก็หมายความว่าผู้ตรวจการใหญ่กวาดล้างในอาณาเขตทัพใต้เรียบร้อยแล้ว กำลังพลที่มาจากแดนรัตติกาลอย่างพวกเขาได้เงยหน้าอ้าปากแล้ว!

ทำกลางเสียงตะโกนที่ดังไม่ขาดสาย พวกกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนก้มศีรษะอันสูงส่งแล้ว ความเจ็บปวดรวดร้าวในใจไม่มีทางลืมได้ไปทั้งชีวิต!

เหมียวอี้ที่ยืนอยู่บนบันไดหน้าตำหนักตรงกลางยังคงไม่เคลื่อนไหว ท่าทางไม่สะทกสะท้าน กำลังมองไปเบื้องล่างอย่างเย็นเยียบ ไม่มีใครรู้ถึงความรู้สึกของเขาในตอนนี้!

พวกผังก้วนที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนด้านในทยอยกันเดินออกมาจากห้อง ต่างก็ตกใจเสียงตะโกนด้านนอกจึงออกมา พากันมองไปตามแหล่งกำเนิดเสียงด้วยความตื่นตะลึง

ผังก้วนที่ดูเหมือนแก่ชราโรงแรมไม่น้อยมองไปทางตำหนักใหญ่อย่างเหม่อลอย เกิดความรู้สึกมากมายปนกันอย่างบอกไม่ถูก

เขาไม่รู้เลยสักนิดว่าด้านนอกเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หลังจากแยกกับเฉินหวยจิ่วแล้ว ก็ไม่ได้เจอกันอีกเช่นกัน ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว ถูกปิดข่าวเอาไว้อย่างนี้ตลอด เรียกได้ว่าเขาไม่รู้ข่าวอะไรที่อยู่นอกเรือนเลย

หน้าตำหนัก เหมียวอี้พลันยกมือขึ้น ทำให้เสียงตะโกนที่เหมือนคลื่นยักษ์สูงเสียดฟ้าเงียบลงอย่างฉับพลัน มีเสียงก้องค้างอยู่ ก่อนจะค่อยๆ เงียบสงบลง

เหมียวอี้เดินลงบันไดด้วยก้าวที่หนักแน่นมั่นคง เดินไปถึงข้างกายกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนเพียงลำพังท่ามกลางสายตาฝูงชน แล้วโน้มตัวประคองทั้งสองขึ้นมาด้วยตัวเอง ทั้งยังช่วยเเก้มัดกิ่งไม้ที่มัดอยู่บนหลังของทั้งสองออกด้วยตัวเอง ก่อนจะยื่นมือไปรับชุดคลุมสองตัวที่หยางเจาชิงยื่นให้ แล้วคลุมให้ทั้งสองกับมือตัวเอง พร้อมกล่าวปลอบใจว่า “หันกลับมาก็จะเห็นฝั่ง ยังไม่ถือว่าสายไป!” จากนั้นก็ผายมือให้คนอื่นอีก “ทั้งหมดยืนขึ้นเถอะ!”

ท่าทีของเหมียวอี้ทำให้บรรดาทหารที่ยอมแพ้โล่งใจแล้ว พวกเขาทยอยกันลุกขึ้น แล้วก็กุมหมัดคารวะอีกโดยมีกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนเป็นคนนำ “ขอบคุณผู้ตรวจการใหญ่ที่ใจกว้าง!”

ไม่ยอมแพ้เสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็เรียกได้ว่าทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับกองทัพที่ยอมแพ้ในตอนแรกแล้ว แต่ก็เรียกได้ว่าไม่ได้ทำตามสัญญาเช่นกัน

เรื่องที่ไม่ได้ทำตามสัญญาก็เริ่มตั้งแต่สองจอมพลอย่างกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวน ไปจนถึงเทพประจำดาว ท่านโหว หัวหน้าภาคที่อยู่ระดับต่ำลงไป ถ้าคิดจะริบอำนาจทางทหารของเจ้าอาณาเขตเหล่านี้ทั้งหมด เขาก็ไม่มีอำนาจที่จะทำอย่างนั้น ยังต้องรายงานขึ้นไปที่ตำหนักสวรรค์เพื่อขอคำสั่งจากตำหนักสวรรค์อีก แต่นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขากังวลในตอนนี้

สถานการณ์แบบนี้ทำให้บรรดาแม่ทัพคนสำคัญที่ยอมแพ้ยอมรับได้ยาก พวกเขาไม่มีหลักประกันเรื่องราวต่อจากนี้เลยสักนิด แล้วจะสั่งให้พวกลูกน้องให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ได้อย่างไร ก่อนมาเตรียมแผนสำรองสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดคิดเอาไว้ แต่หัวหน้าพวกนี้ก็ถูกหลอกให้มาแล้ว ตกอยู่ในมือเหมียวอี้แล้ว จะไม่ตอบตกลงก็ไม่ได้ ไม่ว่าใครก็ไม่กล้ารับประกันว่าคนบ้าอย่างเหมียวอี้จะไม่ใช้วิธีสังหารหมู่!

ส่วนเหมียวอี้แม้จะผิดสัญญา แต่กลับไม่กล้าสังหารพวกเขาง่ายๆ ถ้าตอนนี้ผิดสัญญาอย่างโจ่งแจ้ง กองทัพที่ยอมแพ้ของสายมะโรงกับสายมะเส็งจะไปรู้ได้อย่างไรว่าจบเรื่องนี้แล้วเขาจะผิดคำพูดหรือไม่ ถ้ามีคนปลุกปั่นแม้แต่นิดเดียว พอไม่ระวังก็จะเกิดความวุ่นวายใหญ่โตทันที ยากที่จะทำให้สถานการณ์ของอาณาเขตทัพใต้มีเสถียรภาพได้ภายในเวลาสั้นๆ ไม่เป็นประโยชน์ต่อสถานการณ์ปัจจุบันของเขา ดังนั้นเขายังต้อง ‘เกลี้ยกล่อม’ ขอความร่วมมือจากคนพวกนี้!

สุดท้ายหลังจากทั้งสองฝ่ายประนีประนอมกันแล้ว คนที่ทิ้งอำนาจทางทหาร บางคนก็สั่งให้คนส่งลูกสาวมาให้ คนที่ไม่มีลูกสาวก็ส่งพี่สาวน้องสาวมาให้ บางคนส่งหลานสาวมาก็มี บางคนถึงขั้นให้ญาติเมียตัวเองแสร้งเป็นลูกสาวแล้วส่งมา

ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ สาเหตุก็เหมือนกับกงเชียนชิวและอวี่เหวินชวน ต้องการหลักประกันสุดท้าย ต้องการเกี่ยวดองกับเหมียวอี้ ถ้าได้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับเหมียวอี้แล้ว ต่อให้เสียอำนาจไปแต่ก็ไม่มีใครกล้ามาแตะต้องพวกเขาสุ่มสี่สุ่มห้า ยังสามารถรับประกันได้ว่าทั้งครอบครัวจะสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้

ส่วนสิ่งที่เหมียวอี้ต้องจ่ายให้กับสิ่งนี้ก็คือ ต้องเขียนทะเบียนสมรสหนึ่งพันกว่าฉบับในรวดเดียว เป็นแบบที่ต้องให้เขาลงตราประจำตัว ต้องให้คนอื่นเป็นประจักษ์พยาน ว่าเขาเป็นญาติกับคนพวกนั้นแล้ว ครั้งนี้เหมียวอี้ทุ่มสุดตัวแล้วเช่นกัน รับอนุภรรยาพันกว่าคนในรวดเดียว เรียกได้ว่าใครมาก็ไม่ปฏิเสธ บางคนถึงขั้นบีบบังคับให้พี่สาวน้องสาวและลูกสาวเลิกกับสามีแล้วมาแต่งงานใหม่อีกครั้งด้วย เหมียวอี้เองก็กัดฟันจดทะเบียนสมรสเช่นกัน ส่วนเรื่องสูงเตี้ยอ้วนผอม จะสวยหรืออัปลักษณ์ก็ไม่มีเวลามาสนใจแล้ว

เมื่อให้การรับประกันสุดท้ายกับคนเหล่านี้แล้ว การปรับปรุงกำลังพลทัพใต้ครั้งใหญ่ก็เริ่มขึ้นแล้ว

เกรงว่าทัพใต้ในปีนั้นคงทำให้ฮ่าวเต๋อฟางรู้สึกเหมือนเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาได้ยาก แต่สำหรับเหมียวอี้ในครั้งนี้ กลับเป็นโอกาสดีที่หาพบได้ยาก ที่ว่ากันว่าปราศจากการทำลายล้าง ย่อมไร้การประกอบสร้างก็เป็นเช่นนี้เอง เหมียวอี้ย่อมต้องฉวยโอกาสนี้แก้ปัญหาในรวดเดียว

สำหรับที่สิ่งที่ปฏิบัติต่อทหารที่เหลือรอดของฮ่าวเต๋อฟาง เหมียวอี้ไม่ได้กลืนคำพูด กับกำลังพลของผังก้วนก็ไม่ได้ผิดคำพูดเช่นกัน กับระดับหัวหน้าภาคลงไปของทัพใต้ก็เบี้ยวสัญญา เพราะอาศัยแค่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลไม่อาจควบคุมอาณาเขตที่ใหญ่ขนาดนี้ได้ ยังต้องใช้งานคนบางคน แต่กลับปรับปรุงกำลังพลที่อยู่ระดับล่างของทัพใต้ครั้งใหญ่ ทำลายระบบเดิม จับกำลังพลทั้งหมดผสมกันมั่วๆ แล้วก่อตั้งโครงสร้างใหม่ของทัพใต้ขึ้นมา

…………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+