พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1777 วิธีทำลายผนึก

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1777 วิธีทำลายผนึก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ถ้าจำไม่ผิด ตอนที่พระปีศาจหนานโปตื่นขึ้นมาก็เหมือนจะไม่มีใครเคยพูดต่อหน้าเขาเลยว่าตัวเองคือหนิวโหย่วเต๋อ

พระปีศาจหนานโปคลายความสงสัย “วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของข้าถูกผนึกให้แข็งตัวไว้เหมือนเดิมเท่านั้น ข้ายังได้ยินบทสนทนาข้างนอกชัดเจน”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เหมียวอี้มองสำรวจเขาศีรษะจดเท้า “ไม่ทราบว่าท่านพูดสิ่งเหล่านี้กับข้าเพราะมีจุดประสงค์อะไร?”

พระปีศาจหนานโปตอบว่า “แม้ข้าจะถูกควบคุมอยู่ที่นี่ ไม่มีสมบัติติดตัวแม้แต่น้อย แต่ข้าสามารถให้ผลประโยชน์กับเจ้าได้ และเป็นสิ่งที่เจ้าจินตนาการไม่ถึงด้วย”

“งั้นข้าก็ต้องล้างหูรอฟังแล้ว ไม่ทราบว่าเจ้าจะให้ผลประโยชน์อะไรกับข้า?” เหมียวอี้ถาม

“ใต้หล้านี้ไม่มีผลประโยชน์ที่ได้มาเปล่าๆ ต้องนำของมาแลก” พระปีศาจหนานโปกล่าว

“เจ้าจะให้ข้าคิดหาทางปล่อยเจ้าออกไปเหรอ?” เหมียวอี้ถาม

พระปีศาจหนานโป “ถ้าเจ้าช่วยให้ข้าออกจากที่นี่ได้ ข้ารับรองเลย สิ่งที่เรียกว่าใต้หล้าของประมุขชิงและประมุขพุทธะล้วนเป็นของเจ้า”

“มีเรื่องดีๆ อย่างนี้ด้วยเหรอ?” เหมียวอี้ถาม

“เจ้าไม่เชื่อเหรอ?” พระปีศาจหนานโปถาม

เหมียวอี้ตอบว่า “ไม่เชื่อ! ประการแรก ข้าไม่มีความสามารถที่จะปกครองใต้หล้า ประการต่อมา ข้าได้ปกครองใต้หล้านี้แล้วเจ้าจะทำยังไงล่ะ? จะควบคุมข้าเหมือนหุ่นเชิดเหรอ?”

พระปีศาจหนานโปคลายความสงสัยทีละข้อ “ประการแรก หากมีข้าหนุนหลัง ในใต้หล้านี้ไม่มีใครกล้าต่อต้านเจ้า ประการต่อมา จักรวาลกว้างใหญ่ สิ่งที่เรียกว่าใต้หล้าตรงหน้านี้ไม่ได้อยู่ในสายตาข้าเลย ส่วนเรื่องที่จะเอาเจ้าเป็นหุ่นเชิด เจ้าคิดมากไปเองทั้งนั้น เจ้าไปสืบดูก็ได้ ไม่ว่าคนในโลกนี้จะวิจารณ์ข้ายังไง แต่มีเพียงเรื่องเดียวที่ต้องรู้เอาไว้ ข้าหนานโปไม่เคยกลับคำเรื่องที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว?”

เหมียวอี้จึงบอกว่า “ประการแรก ตอนที่เจ้ารุ่งเรืองเหมือนดวงตะวันบนฟ้า ก็ยังมีคนต่อต้านเจ้า ทั้งยังล้มเจ้าได้ด้วย เหตุใดต้องพูดโอ้อวดเกินจริงว่ามีเจ้าหนุนหลังแล้วจะไม่มีใครกล้าต่อต้านข้า? ประการต่อมา จักรวาลกว้างใหญ่มีคนหลงทางนับไม่ถ้วน เจ้าอย่าบอกข้าเชียวนะ ว่าพอเจ้ามอบใต้หล้าให้ข้าแล้ว จากนั้นข้าก็ต้องไปเป็นคนหลงทางเอง”

พระปีศาจหนานโปบอกว่า “ประการแรก ตอนที่มีคนกล้าต่อต้านข้าก็เป็นเพราะข้าประมาท ขอเพียงข้าได้ออกไปอีกครั้ง ข้าก็จะไม่ให้โอกาสใครอีก ประการต่อมา ในปีนั้นตอนที่ข้าควบคุมสิ่งที่เรียกว่าใต้หล้า สายตาข้าก็ไม่ได้อยู่กับสิ่งที่เรียกว่าใต้หล้าแล้ว ข้าลงมือแก้ไขปัญหาการหลงทางจักรวาลแล้ว ข้าเคยสร้างของวิเศษที่ใช้เปิดทุกเส้นทางได้ ถ้าหลอมสร้างสำเร็จเมื่อไร ก็สามารถหาทุกประตูที่ทำให้หลงทางในจักรวาล มันจะตอบสนองทุกประตูดวงดาวที่ไปถึง เพียงแต่น่าเสียดายที่อุปกรณ์ตอบสนองกำลังอยู่ในช่วงตั้งครรภ์ ยังไม่ทันได้คลอดออกมาข้าก็ประสบเคราะห์แล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าสุดท้ายแล้วศิษย์อกตัญญูพวกนั้นหลอมสร้างของวิเศษชิ้นนั้นสำเร็จหรือไม่ จากข่าวที่ส่งมาจากด้านนอก จนกระทั่งพวกเขาตายไปก็ยังไม่เคยปรากฏของวิเศษชิ้นนั้นอีกเลย คาดว่าคงทำไม่สำเร็จ ที่ข้าบอกเหตุผลพวกนี้ก็เพราะอยากให้เจ้ารู้ ว่าข้ามีความสามารถหลอมสร้างไปครั้งหนึ่งแล้ว ก็สามารถหลอมสร้างครั้งที่สองได้ ระหว่างที่หลอมสร้างของวิเศษ ข้าสามารถช่วยเจ้าคุมใต้หล้าให้มั่นคงได้ หลังจากหลอมสร้างของวิเศษเรียบร้อยแล้ว ข้าก็ย่อมจากไปได้ ให้เจ้าปกครองใต้หล้าของเจ้าอย่างสงบใจ การแลกเปลี่ยนนี้เป็นอย่างไรล่ะ?”

เหมียวอี้ตกใจ ไม่รู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายพูดจริงหรือโกหก ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะสามารถบรรลุการหลอมสร้างของวิเศษประเภทนี้ได้? เขาหันกลับไปมองไต้ซือศีลเจ็ดกับปีศาจโลหิตที่นั่งสมาธิอยู่ข้างหลังแวบหนึ่ง พระปีศาจหนานโปพูดสิ่งเหล่านี้โดยไม่หลบเลี่ยงสองคนนั้นเลย นี่คิดจะทำอะไรกันแน่? อย่าบอกนะว่าจงใจจะโยนเหยื่อล่อ ดูว่าจะสามารถล่อให้คนอื่นปล่อยตัวเองไปได้หรือเปล่า?

พอตระหนักได้ถึงเจตนาไม่ซื่อของอีกฝ่ายแล้ว เหมียวอี้ก็หันกลับมา แล้วแสยะยิ้มบอกว่า “เจ้าไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังพูดจาเพ้อฝันอยู่บ้างเหรอ? ถ้าเจ้าอยากบรรลุจุดประสงค์ที่เจ้าบอก ก็คงต้องกลับไปมีพลังเหมือนในปีนั้น เจ้ามีเคล็ดวิชาฝึกตนที่ไม่ธรรมดา ถ้าหากายหยาบไม่เหมาะสมไม่ได้…”

พระปีศาจหนานโปพูดตัดบทว่า “นี่ก็คือสาเหตุที่ข้าจำชื่อเจ้าได้ทันทีที่นางเอ่ยถึงเจ้า”

เหมียวอี้หันกลับไปมองปีศาจโลหิตอีกครั้ง เห็นเพียงปีศาจโลหิตยังคงสวดมนต์อย่างไม่สะทกสะท้าน ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เลย เขาจึงหันกลับไปที่พระปีศาจหนานโปอีก “หมายความว่ายังไง?”

พระปีศาจหนานโปบอกอีกว่า “นางบอกว่าเดิมทีในมือนางมีสมุนไพรเทพที่กลั่นจากเลือดเนื้อนับไม่ถ้วนในทะเลเลือด ขอเพียงจิตวิญญาณไม่แตกสลาย สามารถฟื้นชีพคนตายกลับมาได้ ถ้าใช้สิ่งนี้ประกอบกับเคล็ดวิชาลับของข้าก็น่าจะทำให้ข้าสร้างกายหยาบใหม่ได้ราบรื่น นางบอกว่าสมุนไพรเทพนี้ตกอยู่ในมือเจ้า ขอเพียงเจ้ามอบสมุนไพรเทพต้นนั้นให้ข้า ข้าก็เอาใต้หล้ามาแลกกับเจ้าได้! การแลกเปลี่ยนนี้ไม่ทำให้เจ้าขาดทุน คนทั่วไปได้สมุนไพรเทพนั่นไปก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้!”

บัวโลหิต? เหมียวอี้ตกใจทันที เขารู้ว่าสิ่งนั้นไม่ธรรมดา แต่ไม่เคยรู้เลยว่ามีสรรพคุณอะไร วันนี้เพิ่งจะรู้จักจุดที่ยอดเยี่ยมของมัน

ทว่าจะเป็นไปได้หรือที่เหมียวอี้จะนำมาแลกเปลี่ยนอย่างนี้? เป็นไปไม่ได้!

อาศัยแค่อาจารย์ท่านนั้นตายด้วยน้ำมือของอีกฝ่าย เขาก็ยิ่งไม่มีทางปล่อยให้ออกไปได้ มิหนำซ้ำเขาก็ไม่กล้าเชื่อคำพูดของพระปีศาจหนานโปด้วย ต่อให้อีกฝ่ายพูดความจริง แต่ใครจะกล้ารับประกันผลที่ตามมาอย่างอื่น? ไม่มีใครควบคุมปีศาจเฒ่าตนนี้ได้เลย อันตรายเกินไป อันตรายจนถึงขั้นต่อให้มีผลประโยชน์มากแค่ไหนก็ไม่มีใครกล้าแลก

“ทำยังไงถึงจะทำลายสถานที่ผนึกในเจ้าออกมาได้?” เหมียวอี้ถาม

เมื่อถามแบบนี้ ไต้ซือศีลเจ็ดที่กำลังนั่งสมาธิก็ตกใจจนขนลุก พลันลืมตามองมา แม้แต่ปีศาจโลหิตก็หยุดสวดมนต์แล้วเช่นกัน นางมองมาด้วยสีหน้าตกใจ

“เฮ่อๆ…เฮ่อๆ…” พระปีศาจหนานโปส่งเสียงหัวเราะราวกับมารปีศาจร้ายในนรก แสงสีทองบนตัวหายไปแล้ว วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งร่างกลายเป็นสีเทา เพียงแต่ดวงตาเพลิงทั้งคู่ยังน่าหวาดกลัว “ค่ายกลนี้อาศัยพลังของดวงดาวที่แข็งแกร่ง ยิ่งใช้พลังอิทธิฤทธิ์โจมตีรุนแรงเท่าไร พลังที่โจมตีกลับก็จะรุนแรงมากเท่านั้น อีกทั้งยังอาศัยพลังดวงดาวฟื้นฟูตัวเองได้ด้วย นอกเสียจากว่าวรยุทธ์ของใครจะเหนือกว่าทั้งค่ายกลดวงดาว ถึงจะทำลายมันได้ เรื่องที่แม้แต่พลังของข้าตอนรุ่งเรืองยังทำไม่ได้ อาศัยพลังของเจ้าก็ยิ่งทำไม่ได้”

“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ แล้วข้าจะช่วยให้เจ้าหลุดออกไปได้ยังไง?” เหมียวอี้ถาม

พระปีศาจหนานโปกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบพิศวง “ค่ายกลนี้เดิมทีข่าก็เป็นคนสร้างเองอยู่แล้ว ข้าเตรียมเอาไว้สู้กับคนอื่น หลังจากถ่ายทอดให้ลูกศิษย์ข้าแล้ว กลับนึกไม่ถึงว่าศิษย์อกตัญญูจะใช้มันมาสู้กับข้า ค่ายกลที่ข้าสร้างขึ้น ข้าก็ย่อมมีวิธีทำลายมันอยู่แล้ว เจ้าคอยดูให้ดีนะ” บนนิ้วของเขามีเปลวเพลิงสีทองโผล่ขึ้นมา แล้ววาดไขว้สลับกันไปมาจนเป็นรูปดาวหกแฉกดวงหนึ่ง เงาเพลิงดาวหกแฉกลอยโดยไม่ดับ เขาใช้นิ้วแตะต้องใจกลางดาว” นี่ก็คือตำแหน่งของดาวเคราะห์ดวงนี้ ถ้าฝืนทำลายดาวเคราะห์ดวงนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ ต่อให้เจ้าทำลายมันพังแล้ว แต่พลังดวงดาวก็จะฟื้นฟูตัวอย่างรวดเร็วอยู่ดี ดวงดาวที่อยู่ใกล้เคียงล้วนเป็นแกนค่ายกล สิบสองจุดสมมาตรที่ก่อตัวเป็นดาวหกแฉกต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญ นั่นคือตัวแทนของสิบสองกิ่งดิน และเป็นกุญแจสำคัญที่ประคองค่ายกลนี้ไว้ด้วย ถ้าทำลายจุดใดจุดหนึ่งก็ไม่มีประโยชน์ เพราะค่ายกลจะม้วนดาวเคราะห์ดวงอื่นในดาราจักรมาเติมใหม่อย่างรวดเร็ว ดังนั้นถ้าอยากทำลายก็ต้องมุมใดมุมหนึ่งจากหกมุม หรือพูดได้อีกอย่างว่า ต้องทำลายดาวเคราะห์สามดวงที่ประกอบเป็นหนึ่งแฉก เมื่อเค้าโครงที่ค้ำยันค่ายกลใหญ่ขนาดนั้นพังแล้ว ก็ไม่มีทางฟื้นฟูตัวเองได้อีก อาศัยดาวเคราะห์ดวงนี้เป็นจุดศูนย์กลาง หาดาวเคราะห์สามดวงจากมุมใดมุมหนึ่งแล้วทำลายพร้อมกัน ค่ายกลใหญ่ก็จะพัง ข้าย่อมหลุดออกไปได้ มองเข้าใจใช่มั้ย?”

เหมียวอี้พยักหน้า แล้วหันตัวเดินลงบันไดไป

พระปีศาจหนานโปรีบตะโกน “ทำไมล่ะ? เจ้าไม่พอใจเงื่อนไขที่ข้าเสนอเหรอ? เจ้าต้องการอะไรก็บอกมาได้เลย ข้าเติมเต็มสิ่งที่เจ้าต้องการได้”

เหมียวอี้ที่กำลังเดินลงบันไดกลับเลิกคิ้ว “เจ้าพูดจาโอ้อวดเกินไปแล้วมั้ง เจ้าจะเติมเต็มความต้องการอะไรข้าได้?”

“ข้าเป็นเทพของโลกนี้ เจ้าเสนอเงื่อนไขอะไรมาข้าก็ทำได้หมด ต่อให้เป็นความเสียใจในชาติที่แล้วของเจ้า ข้าก็เติมเต็มให้เจ้าได้” พระปีศาจหนานโปกล่าว

คำขอประเภทว่าให้เขาไปตาย เหมียวอี้ย่อมไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกมา เพียงตอบเสียงเรียบว่า “น่าเสียดายที่ข้าไม่อาจเติมเต็มความต้องการให้เจ้าได้ สมุนไพรเทพต้นนั้นทีแรกข้าก็ไม่รู้ว่าใช้ประโยชน์อะไรได้ ข้านำมาทดลองหลายรูปแบบ ถูกข้าทำพังไปทีละนิดแล้ว”

พระปีศาจหนานโปบอกทันทีว่า “ไม่เป็นไร เจ้าคิดหาทางกำจัดค่ายกลนี้ ข้าก็จะรักษาสัญญาที่ให้ไว้เหมือนกัน”

เขาจ้องเหมียวอี้ไม่ละสายตา เพราะเขามองออกว่าเหมียวอี้คือคนที่มีอำนาจตัดสินใจเมื่ออยู่ที่นี่ เจ้าพระเวรนั่นไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น ไว้หน้าเหมียวอี้คนเดียว

เหมียวอี้ก้มตัวเก็บหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ “เจ้าคิดมากไปแล้ว ที่ข้าถามเจ้าเรื่องค่ายกล ก็เพราะอยากจะแน่ใจว่าค่ายกลนี้จะขังเจ้าได้นานแค่ไหน ตอนนี้พอรู้ว่าเจ้าไม่มทางออกไปได้ง่ายๆ ข้าเองก็วางใจเหมือนกัน” พูดจบก็โบนหินก้อนใหญ่ใส่ผนังวัดอย่างแรง

ตุ้บ!

แกร๊ง! เสียงระฆังในวัดดังขึ้น

“อา…” พระปีศาจหนานโปส่งเสียงร้องโหยหวน เอามือกุมศีรษะเดินถอยหลัง

“อามิตตาพุทธ!” ไต้ซือศีลเจ็ดกับปีศาจโลหิตโล่งอกพร้อมกัน ประนมมือให้เหมียวอี้ จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิทันที สวดมนต์เสียงดังพร้อมกันต่อไป

ตอนแรกทั้งสองตกใจไม่เบา ยังนึกว่าเหมียวอี้จะคิดหาทางปล่อยพระปีศาจหนานโปออกมาจริงๆ เสียอีก

เหมียวอี้ที่เอามือไขว้หลังเดินลงบันไดหน้าผาได้ยินเสียงคำรามเกรี้ยวดราดของพระปีศาจหนานโปที่อยู่ในวัด

หลังจากนั้นหลายวัน บนยอดหน้าผาด้านบนของวัด ศีลแปดสร้างเรือนไม้หลังหนึ่งให้เหมียวอี้แล้ว

ยังเหลือเวลาที่ค่ายกลจะใช้งานไม่ได้อีกสามปี ในช่วงเวลานี้ เหมียวอี้ก็ไม่ได้ใช้ชีวิตเสเพลเหมือนศีลแปด เขานั่งสมาธิฝึกตน

แม้จะไม่สามารถร่ายอิทธิฤทธิ์ฝึกตนได้ แต่ก็ยังใช้วิชาดูดซับพลังจิตวิญญาณฟ้าดินได้ ต่อให้ก้าวหน้าได้ขั้นเดียวก็ไม่เป็นไร ยังดีกว่าเสเพลไปวันๆ

เขาเองก็มักจะไปฝึกร่างกายตัวเองในภูเขาใกล้ๆ นี้ ฝึกในน้ำตกหรือไม่ก็ในกระแสน้ำไหลเชียว ใช้ทวนไม้ฝึกโหด

แต่ศีลแปดกลับใช้ชีวิตสำราญอิสระ มีข้ออ้างเรื่องเพิ่มวรยุทธ์ไว้ตบตาเหมียวอี้แล้ว เขาแทบจะตัวติดกับอวี้หลัวช่าทั้งวัน

ทั้งสองขี่สัตว์พาหนะตัวเดียวกันท่องเที่ยวไปทั่ว ใช้ดินเป็นเสื่อใช้ฟ้าเป็นม่าน กอดกันบนภูเขาสูงพลางมองท้องฟ้าด้วยกัน บางครั้งก็แอบอิงแนบชิดกันในคลื่นสีมรกต

อวี้หลัวช่าหลับอย่างมีความสุขอยู่ในอ้อมกอดของศีลแปดแทบทุกวัน เขาพูดจาหวานไพเราะ พานางใช้ชีวิตอิสระเสรีไปทั่วทุกที่ เขาทำให้นางรู้สึกว่าดอกไม้นับร้อยเบ่งบานเพื่อนางคนเดียว ความรักความโปรดปรานมารวมอยู่ที่ตัวนางคนเดียว

อวี้หลัวช่ารู้สึกว่าตัวเองมีชีวิตอยู่มาตั้งหลายปี แต่ก็ยังไม่เคยมีความสุขสำราญอย่างนี้มาก่อน เวลาสั้นๆ ผ่านไปหนึ่งปี ทั้งชีวิตนี้นางไม่มีวันลืมความงดงามของช่วงเวลานี้ได้ ความรู้สึกไร้กังวลยามลืมตาตื่นแล้วเห็นศีลแปดทำงานให้นาง เห็นเขาเตรียมอาหารการกินให้นาง ทำให้นางไม่อยากออกไปจากที่นี่เลยจริงๆ อยากจะใช้ชีวิตอันไร้กังวลอยู่กับเขาที่นี่ตลอดไป

ในที่สุดก็มีอยู่วันหนึ่ง อวี้หลัวช่าที่นอนเปลือยกอดศีลแปดเอามือลูบไล้ใบหน้าเขา พลางพูดสิ่งที่ใจคิดออกมาตรงๆ “ศีลแปด พวกเราไม่ต้องไป อยู่ที่นี่กันเลยดีมั้ย? พุทธะหน้าหยกอะไรนั่นข้าไม่เป็นแล้ว ข้าจะอยู่ปรนนิบัติเจ้าที่นี่ไปทั้งชีวิต อยู่เป็นสามีภรรยากันที่นี่ไปทั้งชีวิตเลยดีมั้ย?”

ศีลแปดกลอกตามองบน “พูดอะไรเหลวไหล สถานที่บ้าๆ แบบนี้เจ้าไม่รู้สึกเบื่อเหรอ? มิหนำซ้ำยังให้อาจารย์กับพี่ใหญ่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของเราไม่ได้ แล้วอีกอย่าง ฝันหวานไปก็ไร้ประโยชน์ เจ้าบอกว่าตำหนักสวรรค์ส่งกำลังพลกลุ่มใหญ่มาค้นหาที่นี่ไม่ใช่เหรอ? จากวิธีการค้นหาของพวกเขา ในสักวันหนึ่งก็จะหาที่นี่พบ ถึงตอนนั้นอยากจะอยู่ก็อยู่ไม่ได้หรอก ไม่สู้ฉวยโอกาสหนีไปก่อน”

อวี้หลัวช่าไม่พูดอะไรแล้ว แนบศีรษะที่ผมยุ่งสยายบนหน้าอกศีลแปด ฟังเสียงหัวใจของเขาเงียบๆ

……………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1777 วิธีทำลายผนึก

Now you are reading พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า Chapter 1777 วิธีทำลายผนึก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ถ้าจำไม่ผิด ตอนที่พระปีศาจหนานโปตื่นขึ้นมาก็เหมือนจะไม่มีใครเคยพูดต่อหน้าเขาเลยว่าตัวเองคือหนิวโหย่วเต๋อ

พระปีศาจหนานโปคลายความสงสัย “วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของข้าถูกผนึกให้แข็งตัวไว้เหมือนเดิมเท่านั้น ข้ายังได้ยินบทสนทนาข้างนอกชัดเจน”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เหมียวอี้มองสำรวจเขาศีรษะจดเท้า “ไม่ทราบว่าท่านพูดสิ่งเหล่านี้กับข้าเพราะมีจุดประสงค์อะไร?”

พระปีศาจหนานโปตอบว่า “แม้ข้าจะถูกควบคุมอยู่ที่นี่ ไม่มีสมบัติติดตัวแม้แต่น้อย แต่ข้าสามารถให้ผลประโยชน์กับเจ้าได้ และเป็นสิ่งที่เจ้าจินตนาการไม่ถึงด้วย”

“งั้นข้าก็ต้องล้างหูรอฟังแล้ว ไม่ทราบว่าเจ้าจะให้ผลประโยชน์อะไรกับข้า?” เหมียวอี้ถาม

“ใต้หล้านี้ไม่มีผลประโยชน์ที่ได้มาเปล่าๆ ต้องนำของมาแลก” พระปีศาจหนานโปกล่าว

“เจ้าจะให้ข้าคิดหาทางปล่อยเจ้าออกไปเหรอ?” เหมียวอี้ถาม

พระปีศาจหนานโป “ถ้าเจ้าช่วยให้ข้าออกจากที่นี่ได้ ข้ารับรองเลย สิ่งที่เรียกว่าใต้หล้าของประมุขชิงและประมุขพุทธะล้วนเป็นของเจ้า”

“มีเรื่องดีๆ อย่างนี้ด้วยเหรอ?” เหมียวอี้ถาม

“เจ้าไม่เชื่อเหรอ?” พระปีศาจหนานโปถาม

เหมียวอี้ตอบว่า “ไม่เชื่อ! ประการแรก ข้าไม่มีความสามารถที่จะปกครองใต้หล้า ประการต่อมา ข้าได้ปกครองใต้หล้านี้แล้วเจ้าจะทำยังไงล่ะ? จะควบคุมข้าเหมือนหุ่นเชิดเหรอ?”

พระปีศาจหนานโปคลายความสงสัยทีละข้อ “ประการแรก หากมีข้าหนุนหลัง ในใต้หล้านี้ไม่มีใครกล้าต่อต้านเจ้า ประการต่อมา จักรวาลกว้างใหญ่ สิ่งที่เรียกว่าใต้หล้าตรงหน้านี้ไม่ได้อยู่ในสายตาข้าเลย ส่วนเรื่องที่จะเอาเจ้าเป็นหุ่นเชิด เจ้าคิดมากไปเองทั้งนั้น เจ้าไปสืบดูก็ได้ ไม่ว่าคนในโลกนี้จะวิจารณ์ข้ายังไง แต่มีเพียงเรื่องเดียวที่ต้องรู้เอาไว้ ข้าหนานโปไม่เคยกลับคำเรื่องที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว?”

เหมียวอี้จึงบอกว่า “ประการแรก ตอนที่เจ้ารุ่งเรืองเหมือนดวงตะวันบนฟ้า ก็ยังมีคนต่อต้านเจ้า ทั้งยังล้มเจ้าได้ด้วย เหตุใดต้องพูดโอ้อวดเกินจริงว่ามีเจ้าหนุนหลังแล้วจะไม่มีใครกล้าต่อต้านข้า? ประการต่อมา จักรวาลกว้างใหญ่มีคนหลงทางนับไม่ถ้วน เจ้าอย่าบอกข้าเชียวนะ ว่าพอเจ้ามอบใต้หล้าให้ข้าแล้ว จากนั้นข้าก็ต้องไปเป็นคนหลงทางเอง”

พระปีศาจหนานโปบอกว่า “ประการแรก ตอนที่มีคนกล้าต่อต้านข้าก็เป็นเพราะข้าประมาท ขอเพียงข้าได้ออกไปอีกครั้ง ข้าก็จะไม่ให้โอกาสใครอีก ประการต่อมา ในปีนั้นตอนที่ข้าควบคุมสิ่งที่เรียกว่าใต้หล้า สายตาข้าก็ไม่ได้อยู่กับสิ่งที่เรียกว่าใต้หล้าแล้ว ข้าลงมือแก้ไขปัญหาการหลงทางจักรวาลแล้ว ข้าเคยสร้างของวิเศษที่ใช้เปิดทุกเส้นทางได้ ถ้าหลอมสร้างสำเร็จเมื่อไร ก็สามารถหาทุกประตูที่ทำให้หลงทางในจักรวาล มันจะตอบสนองทุกประตูดวงดาวที่ไปถึง เพียงแต่น่าเสียดายที่อุปกรณ์ตอบสนองกำลังอยู่ในช่วงตั้งครรภ์ ยังไม่ทันได้คลอดออกมาข้าก็ประสบเคราะห์แล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าสุดท้ายแล้วศิษย์อกตัญญูพวกนั้นหลอมสร้างของวิเศษชิ้นนั้นสำเร็จหรือไม่ จากข่าวที่ส่งมาจากด้านนอก จนกระทั่งพวกเขาตายไปก็ยังไม่เคยปรากฏของวิเศษชิ้นนั้นอีกเลย คาดว่าคงทำไม่สำเร็จ ที่ข้าบอกเหตุผลพวกนี้ก็เพราะอยากให้เจ้ารู้ ว่าข้ามีความสามารถหลอมสร้างไปครั้งหนึ่งแล้ว ก็สามารถหลอมสร้างครั้งที่สองได้ ระหว่างที่หลอมสร้างของวิเศษ ข้าสามารถช่วยเจ้าคุมใต้หล้าให้มั่นคงได้ หลังจากหลอมสร้างของวิเศษเรียบร้อยแล้ว ข้าก็ย่อมจากไปได้ ให้เจ้าปกครองใต้หล้าของเจ้าอย่างสงบใจ การแลกเปลี่ยนนี้เป็นอย่างไรล่ะ?”

เหมียวอี้ตกใจ ไม่รู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายพูดจริงหรือโกหก ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะสามารถบรรลุการหลอมสร้างของวิเศษประเภทนี้ได้? เขาหันกลับไปมองไต้ซือศีลเจ็ดกับปีศาจโลหิตที่นั่งสมาธิอยู่ข้างหลังแวบหนึ่ง พระปีศาจหนานโปพูดสิ่งเหล่านี้โดยไม่หลบเลี่ยงสองคนนั้นเลย นี่คิดจะทำอะไรกันแน่? อย่าบอกนะว่าจงใจจะโยนเหยื่อล่อ ดูว่าจะสามารถล่อให้คนอื่นปล่อยตัวเองไปได้หรือเปล่า?

พอตระหนักได้ถึงเจตนาไม่ซื่อของอีกฝ่ายแล้ว เหมียวอี้ก็หันกลับมา แล้วแสยะยิ้มบอกว่า “เจ้าไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังพูดจาเพ้อฝันอยู่บ้างเหรอ? ถ้าเจ้าอยากบรรลุจุดประสงค์ที่เจ้าบอก ก็คงต้องกลับไปมีพลังเหมือนในปีนั้น เจ้ามีเคล็ดวิชาฝึกตนที่ไม่ธรรมดา ถ้าหากายหยาบไม่เหมาะสมไม่ได้…”

พระปีศาจหนานโปพูดตัดบทว่า “นี่ก็คือสาเหตุที่ข้าจำชื่อเจ้าได้ทันทีที่นางเอ่ยถึงเจ้า”

เหมียวอี้หันกลับไปมองปีศาจโลหิตอีกครั้ง เห็นเพียงปีศาจโลหิตยังคงสวดมนต์อย่างไม่สะทกสะท้าน ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เลย เขาจึงหันกลับไปที่พระปีศาจหนานโปอีก “หมายความว่ายังไง?”

พระปีศาจหนานโปบอกอีกว่า “นางบอกว่าเดิมทีในมือนางมีสมุนไพรเทพที่กลั่นจากเลือดเนื้อนับไม่ถ้วนในทะเลเลือด ขอเพียงจิตวิญญาณไม่แตกสลาย สามารถฟื้นชีพคนตายกลับมาได้ ถ้าใช้สิ่งนี้ประกอบกับเคล็ดวิชาลับของข้าก็น่าจะทำให้ข้าสร้างกายหยาบใหม่ได้ราบรื่น นางบอกว่าสมุนไพรเทพนี้ตกอยู่ในมือเจ้า ขอเพียงเจ้ามอบสมุนไพรเทพต้นนั้นให้ข้า ข้าก็เอาใต้หล้ามาแลกกับเจ้าได้! การแลกเปลี่ยนนี้ไม่ทำให้เจ้าขาดทุน คนทั่วไปได้สมุนไพรเทพนั่นไปก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้!”

บัวโลหิต? เหมียวอี้ตกใจทันที เขารู้ว่าสิ่งนั้นไม่ธรรมดา แต่ไม่เคยรู้เลยว่ามีสรรพคุณอะไร วันนี้เพิ่งจะรู้จักจุดที่ยอดเยี่ยมของมัน

ทว่าจะเป็นไปได้หรือที่เหมียวอี้จะนำมาแลกเปลี่ยนอย่างนี้? เป็นไปไม่ได้!

อาศัยแค่อาจารย์ท่านนั้นตายด้วยน้ำมือของอีกฝ่าย เขาก็ยิ่งไม่มีทางปล่อยให้ออกไปได้ มิหนำซ้ำเขาก็ไม่กล้าเชื่อคำพูดของพระปีศาจหนานโปด้วย ต่อให้อีกฝ่ายพูดความจริง แต่ใครจะกล้ารับประกันผลที่ตามมาอย่างอื่น? ไม่มีใครควบคุมปีศาจเฒ่าตนนี้ได้เลย อันตรายเกินไป อันตรายจนถึงขั้นต่อให้มีผลประโยชน์มากแค่ไหนก็ไม่มีใครกล้าแลก

“ทำยังไงถึงจะทำลายสถานที่ผนึกในเจ้าออกมาได้?” เหมียวอี้ถาม

เมื่อถามแบบนี้ ไต้ซือศีลเจ็ดที่กำลังนั่งสมาธิก็ตกใจจนขนลุก พลันลืมตามองมา แม้แต่ปีศาจโลหิตก็หยุดสวดมนต์แล้วเช่นกัน นางมองมาด้วยสีหน้าตกใจ

“เฮ่อๆ…เฮ่อๆ…” พระปีศาจหนานโปส่งเสียงหัวเราะราวกับมารปีศาจร้ายในนรก แสงสีทองบนตัวหายไปแล้ว วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งร่างกลายเป็นสีเทา เพียงแต่ดวงตาเพลิงทั้งคู่ยังน่าหวาดกลัว “ค่ายกลนี้อาศัยพลังของดวงดาวที่แข็งแกร่ง ยิ่งใช้พลังอิทธิฤทธิ์โจมตีรุนแรงเท่าไร พลังที่โจมตีกลับก็จะรุนแรงมากเท่านั้น อีกทั้งยังอาศัยพลังดวงดาวฟื้นฟูตัวเองได้ด้วย นอกเสียจากว่าวรยุทธ์ของใครจะเหนือกว่าทั้งค่ายกลดวงดาว ถึงจะทำลายมันได้ เรื่องที่แม้แต่พลังของข้าตอนรุ่งเรืองยังทำไม่ได้ อาศัยพลังของเจ้าก็ยิ่งทำไม่ได้”

“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ แล้วข้าจะช่วยให้เจ้าหลุดออกไปได้ยังไง?” เหมียวอี้ถาม

พระปีศาจหนานโปกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบพิศวง “ค่ายกลนี้เดิมทีข่าก็เป็นคนสร้างเองอยู่แล้ว ข้าเตรียมเอาไว้สู้กับคนอื่น หลังจากถ่ายทอดให้ลูกศิษย์ข้าแล้ว กลับนึกไม่ถึงว่าศิษย์อกตัญญูจะใช้มันมาสู้กับข้า ค่ายกลที่ข้าสร้างขึ้น ข้าก็ย่อมมีวิธีทำลายมันอยู่แล้ว เจ้าคอยดูให้ดีนะ” บนนิ้วของเขามีเปลวเพลิงสีทองโผล่ขึ้นมา แล้ววาดไขว้สลับกันไปมาจนเป็นรูปดาวหกแฉกดวงหนึ่ง เงาเพลิงดาวหกแฉกลอยโดยไม่ดับ เขาใช้นิ้วแตะต้องใจกลางดาว” นี่ก็คือตำแหน่งของดาวเคราะห์ดวงนี้ ถ้าฝืนทำลายดาวเคราะห์ดวงนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ ต่อให้เจ้าทำลายมันพังแล้ว แต่พลังดวงดาวก็จะฟื้นฟูตัวอย่างรวดเร็วอยู่ดี ดวงดาวที่อยู่ใกล้เคียงล้วนเป็นแกนค่ายกล สิบสองจุดสมมาตรที่ก่อตัวเป็นดาวหกแฉกต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญ นั่นคือตัวแทนของสิบสองกิ่งดิน และเป็นกุญแจสำคัญที่ประคองค่ายกลนี้ไว้ด้วย ถ้าทำลายจุดใดจุดหนึ่งก็ไม่มีประโยชน์ เพราะค่ายกลจะม้วนดาวเคราะห์ดวงอื่นในดาราจักรมาเติมใหม่อย่างรวดเร็ว ดังนั้นถ้าอยากทำลายก็ต้องมุมใดมุมหนึ่งจากหกมุม หรือพูดได้อีกอย่างว่า ต้องทำลายดาวเคราะห์สามดวงที่ประกอบเป็นหนึ่งแฉก เมื่อเค้าโครงที่ค้ำยันค่ายกลใหญ่ขนาดนั้นพังแล้ว ก็ไม่มีทางฟื้นฟูตัวเองได้อีก อาศัยดาวเคราะห์ดวงนี้เป็นจุดศูนย์กลาง หาดาวเคราะห์สามดวงจากมุมใดมุมหนึ่งแล้วทำลายพร้อมกัน ค่ายกลใหญ่ก็จะพัง ข้าย่อมหลุดออกไปได้ มองเข้าใจใช่มั้ย?”

เหมียวอี้พยักหน้า แล้วหันตัวเดินลงบันไดไป

พระปีศาจหนานโปรีบตะโกน “ทำไมล่ะ? เจ้าไม่พอใจเงื่อนไขที่ข้าเสนอเหรอ? เจ้าต้องการอะไรก็บอกมาได้เลย ข้าเติมเต็มสิ่งที่เจ้าต้องการได้”

เหมียวอี้ที่กำลังเดินลงบันไดกลับเลิกคิ้ว “เจ้าพูดจาโอ้อวดเกินไปแล้วมั้ง เจ้าจะเติมเต็มความต้องการอะไรข้าได้?”

“ข้าเป็นเทพของโลกนี้ เจ้าเสนอเงื่อนไขอะไรมาข้าก็ทำได้หมด ต่อให้เป็นความเสียใจในชาติที่แล้วของเจ้า ข้าก็เติมเต็มให้เจ้าได้” พระปีศาจหนานโปกล่าว

คำขอประเภทว่าให้เขาไปตาย เหมียวอี้ย่อมไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกมา เพียงตอบเสียงเรียบว่า “น่าเสียดายที่ข้าไม่อาจเติมเต็มความต้องการให้เจ้าได้ สมุนไพรเทพต้นนั้นทีแรกข้าก็ไม่รู้ว่าใช้ประโยชน์อะไรได้ ข้านำมาทดลองหลายรูปแบบ ถูกข้าทำพังไปทีละนิดแล้ว”

พระปีศาจหนานโปบอกทันทีว่า “ไม่เป็นไร เจ้าคิดหาทางกำจัดค่ายกลนี้ ข้าก็จะรักษาสัญญาที่ให้ไว้เหมือนกัน”

เขาจ้องเหมียวอี้ไม่ละสายตา เพราะเขามองออกว่าเหมียวอี้คือคนที่มีอำนาจตัดสินใจเมื่ออยู่ที่นี่ เจ้าพระเวรนั่นไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น ไว้หน้าเหมียวอี้คนเดียว

เหมียวอี้ก้มตัวเก็บหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ “เจ้าคิดมากไปแล้ว ที่ข้าถามเจ้าเรื่องค่ายกล ก็เพราะอยากจะแน่ใจว่าค่ายกลนี้จะขังเจ้าได้นานแค่ไหน ตอนนี้พอรู้ว่าเจ้าไม่มทางออกไปได้ง่ายๆ ข้าเองก็วางใจเหมือนกัน” พูดจบก็โบนหินก้อนใหญ่ใส่ผนังวัดอย่างแรง

ตุ้บ!

แกร๊ง! เสียงระฆังในวัดดังขึ้น

“อา…” พระปีศาจหนานโปส่งเสียงร้องโหยหวน เอามือกุมศีรษะเดินถอยหลัง

“อามิตตาพุทธ!” ไต้ซือศีลเจ็ดกับปีศาจโลหิตโล่งอกพร้อมกัน ประนมมือให้เหมียวอี้ จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิทันที สวดมนต์เสียงดังพร้อมกันต่อไป

ตอนแรกทั้งสองตกใจไม่เบา ยังนึกว่าเหมียวอี้จะคิดหาทางปล่อยพระปีศาจหนานโปออกมาจริงๆ เสียอีก

เหมียวอี้ที่เอามือไขว้หลังเดินลงบันไดหน้าผาได้ยินเสียงคำรามเกรี้ยวดราดของพระปีศาจหนานโปที่อยู่ในวัด

หลังจากนั้นหลายวัน บนยอดหน้าผาด้านบนของวัด ศีลแปดสร้างเรือนไม้หลังหนึ่งให้เหมียวอี้แล้ว

ยังเหลือเวลาที่ค่ายกลจะใช้งานไม่ได้อีกสามปี ในช่วงเวลานี้ เหมียวอี้ก็ไม่ได้ใช้ชีวิตเสเพลเหมือนศีลแปด เขานั่งสมาธิฝึกตน

แม้จะไม่สามารถร่ายอิทธิฤทธิ์ฝึกตนได้ แต่ก็ยังใช้วิชาดูดซับพลังจิตวิญญาณฟ้าดินได้ ต่อให้ก้าวหน้าได้ขั้นเดียวก็ไม่เป็นไร ยังดีกว่าเสเพลไปวันๆ

เขาเองก็มักจะไปฝึกร่างกายตัวเองในภูเขาใกล้ๆ นี้ ฝึกในน้ำตกหรือไม่ก็ในกระแสน้ำไหลเชียว ใช้ทวนไม้ฝึกโหด

แต่ศีลแปดกลับใช้ชีวิตสำราญอิสระ มีข้ออ้างเรื่องเพิ่มวรยุทธ์ไว้ตบตาเหมียวอี้แล้ว เขาแทบจะตัวติดกับอวี้หลัวช่าทั้งวัน

ทั้งสองขี่สัตว์พาหนะตัวเดียวกันท่องเที่ยวไปทั่ว ใช้ดินเป็นเสื่อใช้ฟ้าเป็นม่าน กอดกันบนภูเขาสูงพลางมองท้องฟ้าด้วยกัน บางครั้งก็แอบอิงแนบชิดกันในคลื่นสีมรกต

อวี้หลัวช่าหลับอย่างมีความสุขอยู่ในอ้อมกอดของศีลแปดแทบทุกวัน เขาพูดจาหวานไพเราะ พานางใช้ชีวิตอิสระเสรีไปทั่วทุกที่ เขาทำให้นางรู้สึกว่าดอกไม้นับร้อยเบ่งบานเพื่อนางคนเดียว ความรักความโปรดปรานมารวมอยู่ที่ตัวนางคนเดียว

อวี้หลัวช่ารู้สึกว่าตัวเองมีชีวิตอยู่มาตั้งหลายปี แต่ก็ยังไม่เคยมีความสุขสำราญอย่างนี้มาก่อน เวลาสั้นๆ ผ่านไปหนึ่งปี ทั้งชีวิตนี้นางไม่มีวันลืมความงดงามของช่วงเวลานี้ได้ ความรู้สึกไร้กังวลยามลืมตาตื่นแล้วเห็นศีลแปดทำงานให้นาง เห็นเขาเตรียมอาหารการกินให้นาง ทำให้นางไม่อยากออกไปจากที่นี่เลยจริงๆ อยากจะใช้ชีวิตอันไร้กังวลอยู่กับเขาที่นี่ตลอดไป

ในที่สุดก็มีอยู่วันหนึ่ง อวี้หลัวช่าที่นอนเปลือยกอดศีลแปดเอามือลูบไล้ใบหน้าเขา พลางพูดสิ่งที่ใจคิดออกมาตรงๆ “ศีลแปด พวกเราไม่ต้องไป อยู่ที่นี่กันเลยดีมั้ย? พุทธะหน้าหยกอะไรนั่นข้าไม่เป็นแล้ว ข้าจะอยู่ปรนนิบัติเจ้าที่นี่ไปทั้งชีวิต อยู่เป็นสามีภรรยากันที่นี่ไปทั้งชีวิตเลยดีมั้ย?”

ศีลแปดกลอกตามองบน “พูดอะไรเหลวไหล สถานที่บ้าๆ แบบนี้เจ้าไม่รู้สึกเบื่อเหรอ? มิหนำซ้ำยังให้อาจารย์กับพี่ใหญ่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของเราไม่ได้ แล้วอีกอย่าง ฝันหวานไปก็ไร้ประโยชน์ เจ้าบอกว่าตำหนักสวรรค์ส่งกำลังพลกลุ่มใหญ่มาค้นหาที่นี่ไม่ใช่เหรอ? จากวิธีการค้นหาของพวกเขา ในสักวันหนึ่งก็จะหาที่นี่พบ ถึงตอนนั้นอยากจะอยู่ก็อยู่ไม่ได้หรอก ไม่สู้ฉวยโอกาสหนีไปก่อน”

อวี้หลัวช่าไม่พูดอะไรแล้ว แนบศีรษะที่ผมยุ่งสยายบนหน้าอกศีลแปด ฟังเสียงหัวใจของเขาเงียบๆ

……………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+