เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 111.1

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 111.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 111

หลังจากนั้นพวกเราก็แวะไปที่ภัตตาคารซึ่งได้ชื่อว่า ‘มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมที่สุดในเมืองหลวง’ จนกระทั่งถึงยามที่พระอาทิตย์เริ่มคล้อยลงดิน ถึงค่อยเดินทางมุ่งหน้ากลับไปยังคฤหาสน์ลอมบาร์เดีย

ภายในรถม้าเงียบสงัด เธอเปิดหน้าต่างรถม้า ดื่มด่ำกับสายลมเย็นที่พัดผ่านเหมือนกับเมื่อตอนขามา

แต่เพราะกิ๊บติดผมที่เฟเรสมอบให้เป็นของขวัญ รอบนี้เธอจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าผมจะยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงอีก

“เทีย”

เธอหันหน้าไปมองเมื่อได้ยินเสียงเรียกของเฟเรส

“พร้อมที่จะพูดแล้วเหรอ”

“…อื้อ”

เฟเรสสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะพูดต่อ

“ข้าจะไปอะคาเดมี”

และความเงียบสงัดก็ไหลเวียนไปทั่วภายในรถม้า

ไม่รู้ทำไมใบหน้าของเฟเรสถึงได้มีแต่ความเครียดแฝงอยู่

“เหรอ ตัดสินใจแบบนั้นสินะ”

เธอเองก็พอจะคาดการณ์เอาไว้แล้วเหมือนกัน

เพราะปีการศึกษาใหม่ของอะคาเดมีใกล้จะเริ่มต้นขึ้นแล้วนี่นะ

“เฟเรส เจ้าไปเพราะตัวเจ้าเป็นคนต้องการเองใช่มั้ย”

“อื้อ”

คำถามของเธอทำให้เฟเรสตอบเสียงแผ่ว ทั้งๆ ที่ยังปิดปากแน่น

เมื่อชีวิตก่อนก็เหมือนกัน เฟเรสเดินทางไปยังอะคาเดมีในตอนที่เขาอายุได้ 15 ปี

หากจะมีความแตกต่างระหว่างตอนนั้นกับตอนนี้แล้วละก็ คงมีเพียงแค่เรื่องเดียวเท่านั้น

ในชีวิตก่อนฝ่าบาทโดนจักรพรรดินีล่อลวง ทำให้พระองค์มีรับสั่งบีบบังคับผลักไสเฟเรสไปยังอะคาเดมี

“ดีแล้วละไปแล้วก็ศึกษาเล่าเรียนให้มาก แล้วกลับมานะเฟเรส”

“…ข้ามีเรื่องอยากถามเทีย”

“อะไรเหรอ”

“ในความคิดของเทีย การไปอะคาเดมีมันเป็นเรื่องดีต่อข้าเหรอ”

“ใช่แล้วละ”

“ทำไม”

เพราะที่นั่นเจ้าจะได้เจอกับคนฝ่ายตัวเองยังไงล่ะ

ผู้คนที่จะช่วยให้เจ้ากลายเป็นองค์รัชทายาท คนที่จะช่วยผลักดันเจ้าให้เป็นจักรพรรดิ

“เพราะจะได้เรียนรู้อะไรมากมายไง”

“แล้วทำไมไม่เกลี้ยกล่อมข้าล่ะก็สามารถบอกข้าได้ไม่ใช่เหรอว่าต้องไปอะคาเดมีเพราะมันเป็นเรื่องที่ดีสำหรับข้า”

“เรื่องนั้น…”

เธอหยุดคิดเลือกคำพูดที่จะใช้อยู่ครู่หนึ่ง

และพูดขึ้น

“ก็เรื่องนั้นมันเป็นเรื่องที่เจ้าต้องตัดสินใจด้วยตัวเองนี่นา”

เฟเรสต้องเจอกับเรื่องต่างๆ มากมายตั้งแต่ยังเล็ก

แต่ก็ยังไม่หนักหนาเท่าเฟเรสในชีวิตก่อน

เขาในตอนนั้นเป็นคนที่มีแต่ความอาฆาตพยาบาทอยู่ในตัว

และเพราะจิตอาฆาตนั่น มันจึงช่วยทำให้เฟเรสเอาชนะทุกสิ่งได้ และได้กลายเป็นองค์รัชทายาทในที่สุด

แต่เฟเรสตรงหน้าเธอในตอนนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้น

ในสถานการณ์แบบนี้ ต่อให้เธอผลักดันเขาให้ไปอะคาเดมีบางทีผลลัพธ์ที่ได้อาจจะไม่เหมือนกับในชีวิตก่อนก็ได้

เพราะคนของเฟเรสแต่ละคน พวกเขาต่างก็เป็นคนที่ได้รับบาดแผลมามากมายเหมือนกับเฟเรส เป็นคนที่ต้องการจะแก้แค้นโลกใบนี้กันทั้งนั้นยังไงล่ะ

พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ถูกชักจูงให้เข้าร่วมด้วยเพราะความอาฆาตของเฟเรส

ถ้าต้องเสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ในอะคาเดมีแล้วละก็ เผลอๆ สู้ไม่ไปยังจะดีกว่า

เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่เกลี้ยกล่อมให้เฟเรสยอมไปอะคาเดมี

“เรื่องที่ข้าต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง…”

เฟเรสทบทวนคำพูดของเธอ

“เทีย ที่เจ้าพูดถูกต้องแล้ว”

รอยยิ้มจางค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเฟเรส

“เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ข้าสมควรตัดสินใจเอง มันเป็นหนทางที่ข้าต้องเป็นคนเลือกด้วยตัวเอง”

ใบหน้าของเฟเรสยามกล่าวเช่นนั้น ดูผ่อนคลายกว่าเมื่อครู่นี้มาก

“หลังจากลองครุ่นคิดไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ข้าถึงได้เข้าใจเหตุผลที่ข้าต้องไปยังอะคาเดมี”

นัยน์ตาสีแดงของเฟเรสมองใบหน้าของเธอ

แต่นัยน์ตากระจ่างใสดูลึกซึ้งคู่นั้นดูจริงจังมากเสียจนไร้ซึ่งรอยยิ้มใดๆ

ไม่นานหลังจากนั้น รถม้าก็เดินทางมาถึงคฤหาสน์ลอมบาร์เดียในที่สุด

ถึงจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นก็ได้ แต่เฟเรสก็ยังดึงดันที่จะเป็นฝ่ายลงจากรถม้าก่อนเพื่อช่วยประคองเธอลงจากรถม้า

ก่อนจะกล่าวอำลากันเป็นครั้งสุดท้าย เธอถามเฟเรส

“แล้วจะเดินทางไปอะคาเดมีเมื่อไหร่ล่ะ”

เฟเรสหยุดคิดไปครู่หนึ่งแล้วตอบ

“…ยังไม่แน่ใจ”

“ถ้าตัดสินใจแล้วก็ติดต่อมาด้วยนะ ข้าจะไปส่ง”

“เข้าใจแล้ว”

หลังจากเดินเข้ามายังปีกคฤหาสน์ เธอก็หันหลังกลับไปมองนอกหน้าต่าง มองออกไปเห็นภาพรถม้าของเฟเรสค่อยๆ เคลื่อนตัวห่างออกไปเรื่อยๆ อย่างช้าๆ

* * *

ยามรุ่งสาง พระอาทิตย์ยังคงไม่ลอยขึ้นเหนือท้องฟ้า

ภายในห้องอันแสนมืดมิด เฟเรสกำลังผูกเชือกผ้าคลุมอยู่ตามลำพัง ก่อนที่แคทเธอรีนจะเดินเข้ามาหลังจากจัดการเตรียมพร้อมสำหรับออกเดินทางไกลเป็นที่เรียบร้อย นางเอ่ยแจ้งกับเฟเรส

“เจ้าชาย ทุกอย่างเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วเพคะ”

“อืม เดี๋ยวข้าออกไป”

“แล้วก็หัวหน้านางกำนัลอิมพีกร้าแจ้งมาว่า อยากจะขอเข้าพบเจ้าชายสักครู่…”

“หัวหน้านางกำนัลอิมพีกร้า?”

เฟเรสเอียงคอด้วยความสงสัย เขาเอ่ยปากอนุญาตให้หัวหน้านางกำนัลเข้ามาได้

ไม่นานหลังจากนั้น หัวหน้านางกำนัลอิมพีกร้าก็ใช้ไม้เท้าช่วยพยุงตัวเอง เดินเข้ามาในห้องนอนของเจ้าชาย

ราวกับถูกความหนาวเหน็บของยามรุ่งสางเล่นงานเข้า สีหน้าของหัวหน้านางกำนัลดูไม่ดีเอาเสียเลย

“ทราบจากฝ่าบาทเมื่อคืนนี้ว่าเจ้าชายจะออกเดินทางไกลไปยังอะคาเดมีก็เลยมาเข้าเฝ้าอย่างเสียมารยาทเพคะ เจ้าชายลำดับที่สอง”

“มีเรื่องอะไรหรือครับ”

“มีของสิ่งหนึ่งอยากมอบให้เจ้าชายเพคะ”

หัวหน้านางกำนัลอิมพีกร้ากล่าวเช่นนั้น ก่อนจะส่งกล่องใบยาวกล่องหนึ่งให้

เฟเรสลองเปิดกล่องที่ค่อนข้างเบาเป็นอย่างมากนั่นออก เขาพึมพำด้วยความงุนงง

“…ถุงมือ?”

ถุงมือหนังสีดำมองจากภายนอกก็รู้ได้ว่ามันเป็นของชั้นดี

“ลองสอบถามจากพวกอัศวินประจำพระราชวังดูน่ะเพคะ เห็นว่าพระองค์ยังไม่มีถุงมือที่ดีพอสำหรับใช้ในการฝึกซ้อม”

“อา…”

“อะคาเดมีตั้งอยู่แถบชนบทท่ามกลางภูเขา ฤดูหนาวก็หนาวมากต่างจากเมืองหลวง มันเป็นเขตพื้นที่ที่มักจะมีหิมะตกลงมาหนักทีเดียวเพคะ”

เฟเรสละสายตาออกจากถุงมือ เขาเงยหน้าขึ้นมองหัวหน้านางกำนัล

ใบหน้าของหญิงชรายังคงดูเข้มงวดเหมือนทุกครา แต่บนใบหน้ากลับแฝงไปด้วยความเป็นห่วงในตัวเฟเรส ผู้ซึ่งต้องเดินทางจากไปยังอะคาเดมีด้วยวัยที่ยังเยาว์เป็นอย่างมาก

“ขอบคุณ…ครับ”

เฟเรสกระแอมไอหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ

“เพิ่งทราบความจริงที่ข้าจะเดินทางไปอะคาเดมีเมื่อวานนี้ แล้วทำไมถึง…”

หัวหน้านางกำนัลตอบด้วยความขมขื่น

“คาดการณ์เอาไว้อยู่แล้วเพคะ ว่าอย่างไรสักวันหนึ่งพระองค์ก็คงจะจากไปยังอะคาเดมีและก็…”

หัวหน้านางกำนัลลังเล

ไม่สมกับเป็นอิมพีกร้าเลยแม้แต่น้อย

“ท่านเคลล่าผู้เป็นมารดาของเจ้าชาย…นางเข้าวังมาในฐานะข้ารับใช้ก็จริง แต่พื้นฐานนิสัยของนางเป็นคนฉลาดเฉลียว ซื่อสัตย์ เป็นคนที่หม่อมฉันเลื่อนขั้นให้เป็นนางกำนัล ทั้งยังคอยอบรมสั่งสอนด้วยตัวเองอีกด้วยเพคะ”

ความจริงที่เพิ่งเคยได้รับรู้เป็นครั้งแรกทำให้เฟเรสต้องเบิกตากว้าง

แต่ใบหน้าของหัวหน้านางกำนัลอิมพีกร้ากลับเคร่งเครียดขึ้น

“หากนางเป็นเพียงแค่ข้ารับใช้แล้วละก็ คงไม่เป็นที่ต้องตาของฝ่าบาท ถ้าหากเป็นเช่นนั้นก็คงไม่ต้องจากไปแบบนั้น…”

พอนึกถึงใบหน้าใสซื่อของเคลลี่ที่มักจะหัวเราะอย่างร่าเริงด้วยความสดใสขึ้นมา หัวหน้านางกำนัลก็ยิ่งรู้สึกเหมือนมีหินหนักๆ ก้อนหนึ่งหล่นลงมากดทับบนหน้าอก

ตอนทราบข่าวว่าเคลล่าป่วย นางก็พยายามหาทุกวิถีทางส่งตัวแพทย์ไปยังวังเล็กแล้วก็จริง แต่วังจักรพรรดินีไม่ใช่พื้นที่ที่อำนาจของหัวหน้านางกำนัลอิมพีกร้าจะเอื้อมไปถึงได้

อีกทั้งสุดท้ายนางเองก็ยังถูกจักรพรรดินีสั่งคุมขังเอาไว้ในห้องถึงหนึ่งสัปดาห์

พอจักรพรรดิโยบาเนสได้ทราบข่าวเข้า นางถึงได้ถูกปล่อยตัวออกมา แต่มันก็สายเกินไปแล้ว

เคลล่าเสียชีวิตลง หัวหน้านางกำนัลทราบข่าวเพียงแค่ว่า เฟเรสได้จากพระราชวังไปพร้อมกับแม่นมในกลางดึกคืนหนึ่งเท่านั้น นางถึงได้แต่เฝ้ารอมาโดยตลอด

หนี้ที่ติดค้างในตอนนั้น และหนี้ที่สร้างขึ้นใหม่จากบาปที่นางไม่เคยรู้เลยว่าเฟเรสยังคงอาศัยอยู่ในวังจักรพรรดินีเช่นนั้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 111.1

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 111.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 111

หลังจากนั้นพวกเราก็แวะไปที่ภัตตาคารซึ่งได้ชื่อว่า ‘มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมที่สุดในเมืองหลวง’ จนกระทั่งถึงยามที่พระอาทิตย์เริ่มคล้อยลงดิน ถึงค่อยเดินทางมุ่งหน้ากลับไปยังคฤหาสน์ลอมบาร์เดีย

ภายในรถม้าเงียบสงัด เธอเปิดหน้าต่างรถม้า ดื่มด่ำกับสายลมเย็นที่พัดผ่านเหมือนกับเมื่อตอนขามา

แต่เพราะกิ๊บติดผมที่เฟเรสมอบให้เป็นของขวัญ รอบนี้เธอจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าผมจะยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงอีก

“เทีย”

เธอหันหน้าไปมองเมื่อได้ยินเสียงเรียกของเฟเรส

“พร้อมที่จะพูดแล้วเหรอ”

“…อื้อ”

เฟเรสสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะพูดต่อ

“ข้าจะไปอะคาเดมี”

และความเงียบสงัดก็ไหลเวียนไปทั่วภายในรถม้า

ไม่รู้ทำไมใบหน้าของเฟเรสถึงได้มีแต่ความเครียดแฝงอยู่

“เหรอ ตัดสินใจแบบนั้นสินะ”

เธอเองก็พอจะคาดการณ์เอาไว้แล้วเหมือนกัน

เพราะปีการศึกษาใหม่ของอะคาเดมีใกล้จะเริ่มต้นขึ้นแล้วนี่นะ

“เฟเรส เจ้าไปเพราะตัวเจ้าเป็นคนต้องการเองใช่มั้ย”

“อื้อ”

คำถามของเธอทำให้เฟเรสตอบเสียงแผ่ว ทั้งๆ ที่ยังปิดปากแน่น

เมื่อชีวิตก่อนก็เหมือนกัน เฟเรสเดินทางไปยังอะคาเดมีในตอนที่เขาอายุได้ 15 ปี

หากจะมีความแตกต่างระหว่างตอนนั้นกับตอนนี้แล้วละก็ คงมีเพียงแค่เรื่องเดียวเท่านั้น

ในชีวิตก่อนฝ่าบาทโดนจักรพรรดินีล่อลวง ทำให้พระองค์มีรับสั่งบีบบังคับผลักไสเฟเรสไปยังอะคาเดมี

“ดีแล้วละไปแล้วก็ศึกษาเล่าเรียนให้มาก แล้วกลับมานะเฟเรส”

“…ข้ามีเรื่องอยากถามเทีย”

“อะไรเหรอ”

“ในความคิดของเทีย การไปอะคาเดมีมันเป็นเรื่องดีต่อข้าเหรอ”

“ใช่แล้วละ”

“ทำไม”

เพราะที่นั่นเจ้าจะได้เจอกับคนฝ่ายตัวเองยังไงล่ะ

ผู้คนที่จะช่วยให้เจ้ากลายเป็นองค์รัชทายาท คนที่จะช่วยผลักดันเจ้าให้เป็นจักรพรรดิ

“เพราะจะได้เรียนรู้อะไรมากมายไง”

“แล้วทำไมไม่เกลี้ยกล่อมข้าล่ะก็สามารถบอกข้าได้ไม่ใช่เหรอว่าต้องไปอะคาเดมีเพราะมันเป็นเรื่องที่ดีสำหรับข้า”

“เรื่องนั้น…”

เธอหยุดคิดเลือกคำพูดที่จะใช้อยู่ครู่หนึ่ง

และพูดขึ้น

“ก็เรื่องนั้นมันเป็นเรื่องที่เจ้าต้องตัดสินใจด้วยตัวเองนี่นา”

เฟเรสต้องเจอกับเรื่องต่างๆ มากมายตั้งแต่ยังเล็ก

แต่ก็ยังไม่หนักหนาเท่าเฟเรสในชีวิตก่อน

เขาในตอนนั้นเป็นคนที่มีแต่ความอาฆาตพยาบาทอยู่ในตัว

และเพราะจิตอาฆาตนั่น มันจึงช่วยทำให้เฟเรสเอาชนะทุกสิ่งได้ และได้กลายเป็นองค์รัชทายาทในที่สุด

แต่เฟเรสตรงหน้าเธอในตอนนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้น

ในสถานการณ์แบบนี้ ต่อให้เธอผลักดันเขาให้ไปอะคาเดมีบางทีผลลัพธ์ที่ได้อาจจะไม่เหมือนกับในชีวิตก่อนก็ได้

เพราะคนของเฟเรสแต่ละคน พวกเขาต่างก็เป็นคนที่ได้รับบาดแผลมามากมายเหมือนกับเฟเรส เป็นคนที่ต้องการจะแก้แค้นโลกใบนี้กันทั้งนั้นยังไงล่ะ

พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ถูกชักจูงให้เข้าร่วมด้วยเพราะความอาฆาตของเฟเรส

ถ้าต้องเสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ในอะคาเดมีแล้วละก็ เผลอๆ สู้ไม่ไปยังจะดีกว่า

เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่เกลี้ยกล่อมให้เฟเรสยอมไปอะคาเดมี

“เรื่องที่ข้าต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง…”

เฟเรสทบทวนคำพูดของเธอ

“เทีย ที่เจ้าพูดถูกต้องแล้ว”

รอยยิ้มจางค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเฟเรส

“เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ข้าสมควรตัดสินใจเอง มันเป็นหนทางที่ข้าต้องเป็นคนเลือกด้วยตัวเอง”

ใบหน้าของเฟเรสยามกล่าวเช่นนั้น ดูผ่อนคลายกว่าเมื่อครู่นี้มาก

“หลังจากลองครุ่นคิดไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ข้าถึงได้เข้าใจเหตุผลที่ข้าต้องไปยังอะคาเดมี”

นัยน์ตาสีแดงของเฟเรสมองใบหน้าของเธอ

แต่นัยน์ตากระจ่างใสดูลึกซึ้งคู่นั้นดูจริงจังมากเสียจนไร้ซึ่งรอยยิ้มใดๆ

ไม่นานหลังจากนั้น รถม้าก็เดินทางมาถึงคฤหาสน์ลอมบาร์เดียในที่สุด

ถึงจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นก็ได้ แต่เฟเรสก็ยังดึงดันที่จะเป็นฝ่ายลงจากรถม้าก่อนเพื่อช่วยประคองเธอลงจากรถม้า

ก่อนจะกล่าวอำลากันเป็นครั้งสุดท้าย เธอถามเฟเรส

“แล้วจะเดินทางไปอะคาเดมีเมื่อไหร่ล่ะ”

เฟเรสหยุดคิดไปครู่หนึ่งแล้วตอบ

“…ยังไม่แน่ใจ”

“ถ้าตัดสินใจแล้วก็ติดต่อมาด้วยนะ ข้าจะไปส่ง”

“เข้าใจแล้ว”

หลังจากเดินเข้ามายังปีกคฤหาสน์ เธอก็หันหลังกลับไปมองนอกหน้าต่าง มองออกไปเห็นภาพรถม้าของเฟเรสค่อยๆ เคลื่อนตัวห่างออกไปเรื่อยๆ อย่างช้าๆ

* * *

ยามรุ่งสาง พระอาทิตย์ยังคงไม่ลอยขึ้นเหนือท้องฟ้า

ภายในห้องอันแสนมืดมิด เฟเรสกำลังผูกเชือกผ้าคลุมอยู่ตามลำพัง ก่อนที่แคทเธอรีนจะเดินเข้ามาหลังจากจัดการเตรียมพร้อมสำหรับออกเดินทางไกลเป็นที่เรียบร้อย นางเอ่ยแจ้งกับเฟเรส

“เจ้าชาย ทุกอย่างเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วเพคะ”

“อืม เดี๋ยวข้าออกไป”

“แล้วก็หัวหน้านางกำนัลอิมพีกร้าแจ้งมาว่า อยากจะขอเข้าพบเจ้าชายสักครู่…”

“หัวหน้านางกำนัลอิมพีกร้า?”

เฟเรสเอียงคอด้วยความสงสัย เขาเอ่ยปากอนุญาตให้หัวหน้านางกำนัลเข้ามาได้

ไม่นานหลังจากนั้น หัวหน้านางกำนัลอิมพีกร้าก็ใช้ไม้เท้าช่วยพยุงตัวเอง เดินเข้ามาในห้องนอนของเจ้าชาย

ราวกับถูกความหนาวเหน็บของยามรุ่งสางเล่นงานเข้า สีหน้าของหัวหน้านางกำนัลดูไม่ดีเอาเสียเลย

“ทราบจากฝ่าบาทเมื่อคืนนี้ว่าเจ้าชายจะออกเดินทางไกลไปยังอะคาเดมีก็เลยมาเข้าเฝ้าอย่างเสียมารยาทเพคะ เจ้าชายลำดับที่สอง”

“มีเรื่องอะไรหรือครับ”

“มีของสิ่งหนึ่งอยากมอบให้เจ้าชายเพคะ”

หัวหน้านางกำนัลอิมพีกร้ากล่าวเช่นนั้น ก่อนจะส่งกล่องใบยาวกล่องหนึ่งให้

เฟเรสลองเปิดกล่องที่ค่อนข้างเบาเป็นอย่างมากนั่นออก เขาพึมพำด้วยความงุนงง

“…ถุงมือ?”

ถุงมือหนังสีดำมองจากภายนอกก็รู้ได้ว่ามันเป็นของชั้นดี

“ลองสอบถามจากพวกอัศวินประจำพระราชวังดูน่ะเพคะ เห็นว่าพระองค์ยังไม่มีถุงมือที่ดีพอสำหรับใช้ในการฝึกซ้อม”

“อา…”

“อะคาเดมีตั้งอยู่แถบชนบทท่ามกลางภูเขา ฤดูหนาวก็หนาวมากต่างจากเมืองหลวง มันเป็นเขตพื้นที่ที่มักจะมีหิมะตกลงมาหนักทีเดียวเพคะ”

เฟเรสละสายตาออกจากถุงมือ เขาเงยหน้าขึ้นมองหัวหน้านางกำนัล

ใบหน้าของหญิงชรายังคงดูเข้มงวดเหมือนทุกครา แต่บนใบหน้ากลับแฝงไปด้วยความเป็นห่วงในตัวเฟเรส ผู้ซึ่งต้องเดินทางจากไปยังอะคาเดมีด้วยวัยที่ยังเยาว์เป็นอย่างมาก

“ขอบคุณ…ครับ”

เฟเรสกระแอมไอหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ

“เพิ่งทราบความจริงที่ข้าจะเดินทางไปอะคาเดมีเมื่อวานนี้ แล้วทำไมถึง…”

หัวหน้านางกำนัลตอบด้วยความขมขื่น

“คาดการณ์เอาไว้อยู่แล้วเพคะ ว่าอย่างไรสักวันหนึ่งพระองค์ก็คงจะจากไปยังอะคาเดมีและก็…”

หัวหน้านางกำนัลลังเล

ไม่สมกับเป็นอิมพีกร้าเลยแม้แต่น้อย

“ท่านเคลล่าผู้เป็นมารดาของเจ้าชาย…นางเข้าวังมาในฐานะข้ารับใช้ก็จริง แต่พื้นฐานนิสัยของนางเป็นคนฉลาดเฉลียว ซื่อสัตย์ เป็นคนที่หม่อมฉันเลื่อนขั้นให้เป็นนางกำนัล ทั้งยังคอยอบรมสั่งสอนด้วยตัวเองอีกด้วยเพคะ”

ความจริงที่เพิ่งเคยได้รับรู้เป็นครั้งแรกทำให้เฟเรสต้องเบิกตากว้าง

แต่ใบหน้าของหัวหน้านางกำนัลอิมพีกร้ากลับเคร่งเครียดขึ้น

“หากนางเป็นเพียงแค่ข้ารับใช้แล้วละก็ คงไม่เป็นที่ต้องตาของฝ่าบาท ถ้าหากเป็นเช่นนั้นก็คงไม่ต้องจากไปแบบนั้น…”

พอนึกถึงใบหน้าใสซื่อของเคลลี่ที่มักจะหัวเราะอย่างร่าเริงด้วยความสดใสขึ้นมา หัวหน้านางกำนัลก็ยิ่งรู้สึกเหมือนมีหินหนักๆ ก้อนหนึ่งหล่นลงมากดทับบนหน้าอก

ตอนทราบข่าวว่าเคลล่าป่วย นางก็พยายามหาทุกวิถีทางส่งตัวแพทย์ไปยังวังเล็กแล้วก็จริง แต่วังจักรพรรดินีไม่ใช่พื้นที่ที่อำนาจของหัวหน้านางกำนัลอิมพีกร้าจะเอื้อมไปถึงได้

อีกทั้งสุดท้ายนางเองก็ยังถูกจักรพรรดินีสั่งคุมขังเอาไว้ในห้องถึงหนึ่งสัปดาห์

พอจักรพรรดิโยบาเนสได้ทราบข่าวเข้า นางถึงได้ถูกปล่อยตัวออกมา แต่มันก็สายเกินไปแล้ว

เคลล่าเสียชีวิตลง หัวหน้านางกำนัลทราบข่าวเพียงแค่ว่า เฟเรสได้จากพระราชวังไปพร้อมกับแม่นมในกลางดึกคืนหนึ่งเท่านั้น นางถึงได้แต่เฝ้ารอมาโดยตลอด

หนี้ที่ติดค้างในตอนนั้น และหนี้ที่สร้างขึ้นใหม่จากบาปที่นางไม่เคยรู้เลยว่าเฟเรสยังคงอาศัยอยู่ในวังจักรพรรดินีเช่นนั้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+