เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 32.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 32.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

“ถ้างั้นข้าไปบอกข่าวดีให้เอสทีร่าฟังนะคะ! ทั้งสองท่าน ขอลาค่ะ!”

 

ฟีเรนเทียกล่าวลาอย่างสุภาพ ก่อนจะเปิดประตูห้องทำงานออกไปด้วยความเบิกบานใจ

 

คนในห้องต่างได้ยินเสียงฝีเท้าเบาดังตุบ ตุบ ตุบ วิ่งห่างออกไปไกลด้วยความรวดเร็ว ดูเหมือนว่าเด็กหญิงตัวน้อยจะรีบวิ่งไปหาเอสทีร่า

 

“มันช่างเป็นยาที่น่าทึ่งจริงๆ นะครับ”

 

โบรชูลเปิดกระปุกยาที่ฟีเรนเทียวางทิ้งเอาไว้ออก มองยาขี้ผึ้งสีเหลืองข้างในนั้นด้วยความรู้สึกมหัศจรรย์ใจ

 

วินาทีที่ยานี่สัมผัสลงบนผิวความรู้สึกปวดตามข้อที่รบกวนตนมาตลอดกลับถูกสัมผัสเย็นสบายเข้าครอบคลุม

 

และก็เป็นไปตามคำอธิบายของฟีเรนเทีย มันไม่ได้มีประสิทธิภาพแค่ช่วยรักษาอาการปวดธรรมดาเท่านั้น

 

วัตถุดิบดั้งเดิมของยาตัวนี้มีประสิทธิภาพในการรักษาบาดแผลกับอาการปวดบวมยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวทีเดียว

 

แต่แล้วโบรชูลก็ตระหนักได้ว่ามีอะไรอย่างหนึ่งแปลกไป

 

หลังจากที่ฟีเรนเทียออกจากห้องไปแล้ว รูลลักก็เงียบลงไปอย่างเห็นได้ชัด

 

“ท่านเจ้าตระกูล?”

 

โบรชูลเอ่ยเรียกรูลลักอย่างระมัดระวัง

 

ในตอนนั้นเอง

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า! เด็กคนนั้น ฮ่าฮ่า!”

 

รูลลักระเบิดหัวเราะเสียงดังสนั่นจนแม้แต่โบรชูลยังต้องสะดุ้งด้วยความตกใจ

 

รูลลักหัวเราะไม่หยุดจนไหล่กระเพื่อม

 

“ข้านึกว่าอายุปูนนี้แล้ว จะไม่มีเรื่องใดทำให้ตกใจแบบนี้ได้อีกแล้วเสียอีก!”

 

พอนึกถึงภาพของฟีเรนเทียที่พูดจาหนักแน่นชัดถ้อยชัดคำขึ้นมา รูลลักก็หัวเราะออกมาอีกรอบ

 

“แค่ใบแนะนำสองใบกับทุนการศึกษายังไม่พอ แต่ให้แบ่งกำไรส่วนหนึ่งจากการขายยานี่ด้วย?”

 

นั่นคือเงื่อนไขของฟีเรนเทีย

 

เป็นข้อเรียกร้องที่เหมาะสม

 

ยาที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ เป็นสิ่งที่เอสทีร่าคิดค้นขึ้น

 

อัตราส่วนกำไรที่เรียกร้องเองก็ถือว่าสมเหตุสมผลเป็นอย่างยิ่ง

 

ยื่นเงื่อนไขมาเช่นนั้น ถ้าหากเป็นคนทำการค้าที่มีจรรยาบรรณอยู่บ้างละก็ ย่อมต้องยอมตกลงโดยไม่เจรจาต่อรองอะไรเพิ่มเติมอยู่แล้ว

 

ดังนั้นรูลลักจึงได้แต่ยอมรับข้อต่อรองนั่นโดยดี

 

อย่างไรเขาไม่สามารถแสดงภาพลักษณ์ดั่งคนใจแคบต่อหลานสาวตัวน้อยได้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ

 

แน่นอนถ้าหากเป็นคนอื่นแล้วละก็มันคงกลายเป็นคำพูดที่ไร้สาระสำหรับเขา

 

‘หรือว่า?’

 

ความคิดที่ว่าบางทีในศีรษะเล็กๆ นั่นอาจจะมีกระทั่งความคิดแบบนั้นอยู่ด้วยหรือเปล่า มันแวบผ่านเข้ามาในหัวสมองของรูลลัก

 

“โบรชูล”

 

“ครับ ท่านเจ้าตระกูล”

 

“ฟีเรนเทียของข้าฉลาดมากเลยนะว่ามั้ย”

 

โบรชูลพยักหน้าตอบคำถามของรูลลักด้วยรอยยิ้ม

 

“อนาคตของลอมบาร์เดียจะต้องสดใสอย่างแน่นอนครับ”

 

“ใช่แล้วละ อนาคตของลอมบาร์เดีย”

 

สงสัยว่าเขาคงจะเผลอนำมุมมองความคิดของผู้ใหญ่มาใช้กับเด็กที่เพิ่งจะอายุได้เพียงแค่แปดขวบเสียแล้วถึงจะคิดเช่นนั้น รูลลักกลับไม่อาจละสายตาห่างไปจากกระปุกใบเล็กที่วางอยู่ตรงหน้าตนได้เลย

 

 

วันที่เอสทีร่าต้องออกเดินทางมาถึงจนได้

 

มันเป็นเพียงแค่ไม่มีวันหลังจากต่อรองกับท่านปู่

 

ไหนๆ ก็ต้องให้การสนับสนุนแล้ว ท่านปู่จึงใจป้ำไม่คิดตระหนี่

 

ท่านกล่าวว่าไม่อาจปล่อยให้เอสทีร่าซึ่งถือใบแนะนำของเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียไปอาศัยอยู่ในหอพักได้ จึงจัดการซื้อบ้านขนาดเหมาะกำลังดีใกล้ๆ กับอะคาเดมีให้หนึ่งหลัง

 

เอสทีร่าก็ได้รับคำอนุญาตเป็นพิเศษจากคณบดีของอะคาเดมีโดยตรง มอบโอกาสให้ได้ทำการปรับตัวให้คุ้นชินให้เข้ามาศึกษาล่วงหน้าเร็วกว่าคนอื่น

 

ตอนนี้สำหรับเอสทีร่าแล้ว ที่เหลือก็แค่ศึกษาวิจัยอย่างขยันขันแข็งที่สถาบันศึกษาไปพลาง รอรายได้จากยอดขายยาขี้ผึ้งที่จะออมไว้ที่ธนาคารลอมบาร์เดียภายใต้ชื่อขอตัวเองก็พอ

 

สัมภาระทั้งหมดถูกขนขึ้นรถม้าหมดแล้ว สารถีเองก็กุมสายบังเหียนม้าไว้ในมือรอออกเดินทาง เอสทีร่ายืนอยู่ข้างรถม้ามองฟีเรนเทียด้วยนัยน์ตาที่มีน้ำตาเอ่อคลอ

 

“คุณหนูฟีเรนเทีย…บุญคุญครั้งนี้ข้าจะตอบแทนเช่นไรดีคะ”

 

“เห ทั้งหมดก็แค่โอกาสที่เอสทีร่าสมควรได้เพราะเจ้าเก่งกาจเองนะ”

 

ฟีเรนเทียพูดยิ้มๆ แต่เอสทีร่าก็ยังส่ายหน้าซับน้ำตา

 

“หากมีวิธีใดให้ข้าตอบแทนบุญคุณครั้งนี้ละก็…”

 

ได้ยินดังนี้แล้ว เธอจึงเงยหน้าขึ้นมองเอสทีร่าแล้วถาม

 

“คิดแบบนั้นจริงๆ เหรอ เอสทีร่า”

 

“แน่นอนค่ะ! หากเป็นเรื่องที่ข้าสามารถทำได้ละก็ ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ได้โปรดบอกข้ามาเถอะค่ะ คุณหนู!”

 

เอสทีร่าดูจะดีใจเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ

 

ฟีเรนเทียลังเลไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยพูด

 

“ถ้าอย่างนั้น มีเรื่องอยากจะรบกวนอยู่เรื่องหนึ่งน่ะเอสทีร่า ไม่ใช่คำขอเล็กๆ ด้วย”

 

เอสทีร่าประสานมือไว้ข้างหน้า เอ่ยตอบด้วยสีหน้าตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว

 

“พูดมาเถอะค่ะ คุณหนู”

 

“ถ้างั้น…”

 

เธอมองสบนัยน์ตาของเอสทีร่าในขณะที่เอ่ยพูด

 

“มีโรคที่เรียกว่าเทรนบลูอยู่ เป็นโรคที่เอสทีร่าเองก็รู้จักใช่มั้ย”

 

โรคร้ายซึ่งเริ่มจากสูญเสียประสาทสัมผัสที่มือและเท้า กล้ามเนื้อทั่วร่างแข็งเกร็ง ในที่สุดก็จะค่อยๆ เริ่มหายใจไม่ออก แล้วตายลงไปอย่างช้าๆ

 

และมันยังเป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อของเธอ แคลอฮัน ลอมบาร์เดีย เสียชีวิตลงด้วยวัยเพียงแค่สามสิบกลางๆ เท่านั้น

 

“และมันมีสมุนไพรที่ชื่อ ‘โรเจง’ เติบโตอยู่ในเขตพื้นที่ที่อะคาเดมีตั้งอยู่ ช่วยใช้สิ่งนั้นหลอมยารักษาเทรนบลูขึ้นมาให้ที”

 

“ยารักษาเทรนบลู”

 

เสียงของเอสทีร่าสั่นระริก

 

“เรื่องที่สมุนไพรโรเจงใช้เป็นยารักษาได้ ทำไมคุณหนูถึง…”

 

เธอไม่ได้ตอบอะไรออกไป

 

“คุณหนู…”

 

นัยน์ตาสั่นเทาของเอสทีร่าเหม่อมองเธอ

 

ฟีเรนเทียเองก็มองเอสทีร่าที่เป็นเช่นนั้นกลับไปเช่นกัน

 

และในที่สุด นัยน์ตาสั่นระริกที่มองเธอคู่นั้นก็หยุดสั่นไหว

 

ผู้หญิงคนนี้ ดูเหมือนนางจะค้นหาคำตอบเจอได้เองแล้วสินะ เอสทีร่าเอ่ยถามเธอ

 

“ยารักษาโรคหายากเช่นนั้น ข้าจะทำมันได้เหรอคะ”

 

ความรู้สึกสงสัยว่าตัวเองจะสามารถทำเรื่องยิ่งใหญ่ขนาดนั้นได้หรือไม่

 

สำหรับคนที่กำลังจะออกเดินทางไปบนเส้นทางเพื่อเป็นนักวิจัย มันเป็นภาระที่หนักเกินกว่าจะแบกรับเอาไว้ได้

 

แต่ฟีเรนเทียก็ยังคงมองสบนัยน์ตาของเอสทีร่าตรงๆ ในขณะที่เอ่ยตอบ

 

“อื้อ เอสทีร่าทำได้แน่นอน ต้องหลอมยารักษาออกมาได้แน่”

 

เพราะเจ้าคือคนที่หลอมยาตัวนั้นขึ้นมายังไงล่ะ

 

หลังจากที่ท่านพ่อจากไปได้สามปีพอดี

 

เธอได้ยินข่าวว่า เอสทีร่าที่เคยศึกษาเล่าเรียนอยู่ในสถาบันการแพทย์ลอมบาร์เดียอยู่ระยะหนึ่ง ได้ทำการหลอมยารักษาโรคเทรนบลูขึ้นมา โดยใช้สมุนไพรที่เรียกว่าโรเจงเป็นส่วนผสมหลัก

 

เพียงแต่ในชีวิตใหม่นี้ เอสทีร่าจะต้องหลอมยารักษาให้เร็วขึ้นกว่าเดิมเสียหน่อยก็เท่านั้นเอง

 

เพราะฉะนั้นเธอถึงได้บอกใบ้ให้ว่าต้องใช้ ‘โรเจง’ เป็นส่วนผสม

 

“เอสทีร่าจะต้องทำได้แน่ๆ”

 

นี่ก็คือเหตุผลที่ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหน เธอก็จะต้องส่งตัวเอสทีร่าไปยังอะคาเดมีโดยเร็วที่สุดให้ได้ยังไงล่ะ

 

Related

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 32.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 32.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

“ถ้างั้นข้าไปบอกข่าวดีให้เอสทีร่าฟังนะคะ! ทั้งสองท่าน ขอลาค่ะ!”

 

ฟีเรนเทียกล่าวลาอย่างสุภาพ ก่อนจะเปิดประตูห้องทำงานออกไปด้วยความเบิกบานใจ

 

คนในห้องต่างได้ยินเสียงฝีเท้าเบาดังตุบ ตุบ ตุบ วิ่งห่างออกไปไกลด้วยความรวดเร็ว ดูเหมือนว่าเด็กหญิงตัวน้อยจะรีบวิ่งไปหาเอสทีร่า

 

“มันช่างเป็นยาที่น่าทึ่งจริงๆ นะครับ”

 

โบรชูลเปิดกระปุกยาที่ฟีเรนเทียวางทิ้งเอาไว้ออก มองยาขี้ผึ้งสีเหลืองข้างในนั้นด้วยความรู้สึกมหัศจรรย์ใจ

 

วินาทีที่ยานี่สัมผัสลงบนผิวความรู้สึกปวดตามข้อที่รบกวนตนมาตลอดกลับถูกสัมผัสเย็นสบายเข้าครอบคลุม

 

และก็เป็นไปตามคำอธิบายของฟีเรนเทีย มันไม่ได้มีประสิทธิภาพแค่ช่วยรักษาอาการปวดธรรมดาเท่านั้น

 

วัตถุดิบดั้งเดิมของยาตัวนี้มีประสิทธิภาพในการรักษาบาดแผลกับอาการปวดบวมยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวทีเดียว

 

แต่แล้วโบรชูลก็ตระหนักได้ว่ามีอะไรอย่างหนึ่งแปลกไป

 

หลังจากที่ฟีเรนเทียออกจากห้องไปแล้ว รูลลักก็เงียบลงไปอย่างเห็นได้ชัด

 

“ท่านเจ้าตระกูล?”

 

โบรชูลเอ่ยเรียกรูลลักอย่างระมัดระวัง

 

ในตอนนั้นเอง

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า! เด็กคนนั้น ฮ่าฮ่า!”

 

รูลลักระเบิดหัวเราะเสียงดังสนั่นจนแม้แต่โบรชูลยังต้องสะดุ้งด้วยความตกใจ

 

รูลลักหัวเราะไม่หยุดจนไหล่กระเพื่อม

 

“ข้านึกว่าอายุปูนนี้แล้ว จะไม่มีเรื่องใดทำให้ตกใจแบบนี้ได้อีกแล้วเสียอีก!”

 

พอนึกถึงภาพของฟีเรนเทียที่พูดจาหนักแน่นชัดถ้อยชัดคำขึ้นมา รูลลักก็หัวเราะออกมาอีกรอบ

 

“แค่ใบแนะนำสองใบกับทุนการศึกษายังไม่พอ แต่ให้แบ่งกำไรส่วนหนึ่งจากการขายยานี่ด้วย?”

 

นั่นคือเงื่อนไขของฟีเรนเทีย

 

เป็นข้อเรียกร้องที่เหมาะสม

 

ยาที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ เป็นสิ่งที่เอสทีร่าคิดค้นขึ้น

 

อัตราส่วนกำไรที่เรียกร้องเองก็ถือว่าสมเหตุสมผลเป็นอย่างยิ่ง

 

ยื่นเงื่อนไขมาเช่นนั้น ถ้าหากเป็นคนทำการค้าที่มีจรรยาบรรณอยู่บ้างละก็ ย่อมต้องยอมตกลงโดยไม่เจรจาต่อรองอะไรเพิ่มเติมอยู่แล้ว

 

ดังนั้นรูลลักจึงได้แต่ยอมรับข้อต่อรองนั่นโดยดี

 

อย่างไรเขาไม่สามารถแสดงภาพลักษณ์ดั่งคนใจแคบต่อหลานสาวตัวน้อยได้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ

 

แน่นอนถ้าหากเป็นคนอื่นแล้วละก็มันคงกลายเป็นคำพูดที่ไร้สาระสำหรับเขา

 

‘หรือว่า?’

 

ความคิดที่ว่าบางทีในศีรษะเล็กๆ นั่นอาจจะมีกระทั่งความคิดแบบนั้นอยู่ด้วยหรือเปล่า มันแวบผ่านเข้ามาในหัวสมองของรูลลัก

 

“โบรชูล”

 

“ครับ ท่านเจ้าตระกูล”

 

“ฟีเรนเทียของข้าฉลาดมากเลยนะว่ามั้ย”

 

โบรชูลพยักหน้าตอบคำถามของรูลลักด้วยรอยยิ้ม

 

“อนาคตของลอมบาร์เดียจะต้องสดใสอย่างแน่นอนครับ”

 

“ใช่แล้วละ อนาคตของลอมบาร์เดีย”

 

สงสัยว่าเขาคงจะเผลอนำมุมมองความคิดของผู้ใหญ่มาใช้กับเด็กที่เพิ่งจะอายุได้เพียงแค่แปดขวบเสียแล้วถึงจะคิดเช่นนั้น รูลลักกลับไม่อาจละสายตาห่างไปจากกระปุกใบเล็กที่วางอยู่ตรงหน้าตนได้เลย

 

 

วันที่เอสทีร่าต้องออกเดินทางมาถึงจนได้

 

มันเป็นเพียงแค่ไม่มีวันหลังจากต่อรองกับท่านปู่

 

ไหนๆ ก็ต้องให้การสนับสนุนแล้ว ท่านปู่จึงใจป้ำไม่คิดตระหนี่

 

ท่านกล่าวว่าไม่อาจปล่อยให้เอสทีร่าซึ่งถือใบแนะนำของเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียไปอาศัยอยู่ในหอพักได้ จึงจัดการซื้อบ้านขนาดเหมาะกำลังดีใกล้ๆ กับอะคาเดมีให้หนึ่งหลัง

 

เอสทีร่าก็ได้รับคำอนุญาตเป็นพิเศษจากคณบดีของอะคาเดมีโดยตรง มอบโอกาสให้ได้ทำการปรับตัวให้คุ้นชินให้เข้ามาศึกษาล่วงหน้าเร็วกว่าคนอื่น

 

ตอนนี้สำหรับเอสทีร่าแล้ว ที่เหลือก็แค่ศึกษาวิจัยอย่างขยันขันแข็งที่สถาบันศึกษาไปพลาง รอรายได้จากยอดขายยาขี้ผึ้งที่จะออมไว้ที่ธนาคารลอมบาร์เดียภายใต้ชื่อขอตัวเองก็พอ

 

สัมภาระทั้งหมดถูกขนขึ้นรถม้าหมดแล้ว สารถีเองก็กุมสายบังเหียนม้าไว้ในมือรอออกเดินทาง เอสทีร่ายืนอยู่ข้างรถม้ามองฟีเรนเทียด้วยนัยน์ตาที่มีน้ำตาเอ่อคลอ

 

“คุณหนูฟีเรนเทีย…บุญคุญครั้งนี้ข้าจะตอบแทนเช่นไรดีคะ”

 

“เห ทั้งหมดก็แค่โอกาสที่เอสทีร่าสมควรได้เพราะเจ้าเก่งกาจเองนะ”

 

ฟีเรนเทียพูดยิ้มๆ แต่เอสทีร่าก็ยังส่ายหน้าซับน้ำตา

 

“หากมีวิธีใดให้ข้าตอบแทนบุญคุณครั้งนี้ละก็…”

 

ได้ยินดังนี้แล้ว เธอจึงเงยหน้าขึ้นมองเอสทีร่าแล้วถาม

 

“คิดแบบนั้นจริงๆ เหรอ เอสทีร่า”

 

“แน่นอนค่ะ! หากเป็นเรื่องที่ข้าสามารถทำได้ละก็ ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ได้โปรดบอกข้ามาเถอะค่ะ คุณหนู!”

 

เอสทีร่าดูจะดีใจเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ

 

ฟีเรนเทียลังเลไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยพูด

 

“ถ้าอย่างนั้น มีเรื่องอยากจะรบกวนอยู่เรื่องหนึ่งน่ะเอสทีร่า ไม่ใช่คำขอเล็กๆ ด้วย”

 

เอสทีร่าประสานมือไว้ข้างหน้า เอ่ยตอบด้วยสีหน้าตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว

 

“พูดมาเถอะค่ะ คุณหนู”

 

“ถ้างั้น…”

 

เธอมองสบนัยน์ตาของเอสทีร่าในขณะที่เอ่ยพูด

 

“มีโรคที่เรียกว่าเทรนบลูอยู่ เป็นโรคที่เอสทีร่าเองก็รู้จักใช่มั้ย”

 

โรคร้ายซึ่งเริ่มจากสูญเสียประสาทสัมผัสที่มือและเท้า กล้ามเนื้อทั่วร่างแข็งเกร็ง ในที่สุดก็จะค่อยๆ เริ่มหายใจไม่ออก แล้วตายลงไปอย่างช้าๆ

 

และมันยังเป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อของเธอ แคลอฮัน ลอมบาร์เดีย เสียชีวิตลงด้วยวัยเพียงแค่สามสิบกลางๆ เท่านั้น

 

“และมันมีสมุนไพรที่ชื่อ ‘โรเจง’ เติบโตอยู่ในเขตพื้นที่ที่อะคาเดมีตั้งอยู่ ช่วยใช้สิ่งนั้นหลอมยารักษาเทรนบลูขึ้นมาให้ที”

 

“ยารักษาเทรนบลู”

 

เสียงของเอสทีร่าสั่นระริก

 

“เรื่องที่สมุนไพรโรเจงใช้เป็นยารักษาได้ ทำไมคุณหนูถึง…”

 

เธอไม่ได้ตอบอะไรออกไป

 

“คุณหนู…”

 

นัยน์ตาสั่นเทาของเอสทีร่าเหม่อมองเธอ

 

ฟีเรนเทียเองก็มองเอสทีร่าที่เป็นเช่นนั้นกลับไปเช่นกัน

 

และในที่สุด นัยน์ตาสั่นระริกที่มองเธอคู่นั้นก็หยุดสั่นไหว

 

ผู้หญิงคนนี้ ดูเหมือนนางจะค้นหาคำตอบเจอได้เองแล้วสินะ เอสทีร่าเอ่ยถามเธอ

 

“ยารักษาโรคหายากเช่นนั้น ข้าจะทำมันได้เหรอคะ”

 

ความรู้สึกสงสัยว่าตัวเองจะสามารถทำเรื่องยิ่งใหญ่ขนาดนั้นได้หรือไม่

 

สำหรับคนที่กำลังจะออกเดินทางไปบนเส้นทางเพื่อเป็นนักวิจัย มันเป็นภาระที่หนักเกินกว่าจะแบกรับเอาไว้ได้

 

แต่ฟีเรนเทียก็ยังคงมองสบนัยน์ตาของเอสทีร่าตรงๆ ในขณะที่เอ่ยตอบ

 

“อื้อ เอสทีร่าทำได้แน่นอน ต้องหลอมยารักษาออกมาได้แน่”

 

เพราะเจ้าคือคนที่หลอมยาตัวนั้นขึ้นมายังไงล่ะ

 

หลังจากที่ท่านพ่อจากไปได้สามปีพอดี

 

เธอได้ยินข่าวว่า เอสทีร่าที่เคยศึกษาเล่าเรียนอยู่ในสถาบันการแพทย์ลอมบาร์เดียอยู่ระยะหนึ่ง ได้ทำการหลอมยารักษาโรคเทรนบลูขึ้นมา โดยใช้สมุนไพรที่เรียกว่าโรเจงเป็นส่วนผสมหลัก

 

เพียงแต่ในชีวิตใหม่นี้ เอสทีร่าจะต้องหลอมยารักษาให้เร็วขึ้นกว่าเดิมเสียหน่อยก็เท่านั้นเอง

 

เพราะฉะนั้นเธอถึงได้บอกใบ้ให้ว่าต้องใช้ ‘โรเจง’ เป็นส่วนผสม

 

“เอสทีร่าจะต้องทำได้แน่ๆ”

 

นี่ก็คือเหตุผลที่ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหน เธอก็จะต้องส่งตัวเอสทีร่าไปยังอะคาเดมีโดยเร็วที่สุดให้ได้ยังไงล่ะ

 

Related

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+