เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 202.1

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 202.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เล่ม 5 บทที่ 202.1

ตอนที่ 202

ขนลุกชันทั่วร่าง

ตึก ตึก ตึก

อาสทาน่าก้าวถอยร่นไปด้านหลังอย่างทุลักทุเล

ถึงแม้เขาจะเดินร่อนไปทั่วป่าเพราะกลัวจะต้องปะทะกับมอนสเตอร์ก็เถอะ แต่สิ่งที่เขาหวาดกลัวมากที่สุด แท้จริงแล้วไม่ใช่อสูรร้ายที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เป็นเฟเรสต่างหาก

ชุดเกราะป้องกันสีแดงที่ถูกย้อมไปด้วยเลือดสีเขียวนั่น มันส่องประกายเงางามจนน่าสยอง

ครืนนนน

เฟเรสจ้องหน้าอาสทาน่า ขณะเดียวกันก็พลันเกิดเสียงสายลมพัดขึ้นมายามเด็กหนุ่มยกดาบขึ้นกวัดแกว่งเบาๆ

หยาดเลือดที่เลอะอยู่บนคมดาบถูกสะบัดหยดลงบนพื้นดิน

“ข้าเตือนแล้วแท้ๆ”

เฟเรสเอ่ยพูดเสียงทุ้ม

“ว่าอย่าให้ข้าเห็นเจ้า”

“ดะ…เดี๋ยวก่อน!”

อาสทาน่าตะโกนห้าม แต่มันก็สายเกินไปแล้ว

เฟเรสถือดาบสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้อาสทาน่ามากขึ้นเรื่อยๆ

“ขะ…ขวางไว้สิ!”

อาสทาน่าตะโกนอีกครั้ง

“เจ้าชายลำดับที่สอง!”

“โปรดหยุดมือเถอะพ่ะย่ะค่ะ!”

บรรดาลูกสมุนที่ยืนลังเลอยู่รอบๆ รีบวิ่งเข้ามาขวางเอาไว้

“เฮ้ๆ เจ้าชาย!”

“ทนไว้ ทนไว้ก่อน!”

“ถ้าฆ่ามันตายง่ายๆ ตรงนี้ เดี๋ยวเจ้าจะเสียใจทีหลังนะ!”

สามสหายจากอะคาเดมีที่เฝ้ารออยู่ด้านหลังเฟเรสเองก็รีบวิ่งเข้ามาห้ามเอาไว้เช่นเดียวกัน

“อึกกกก…”

อาสทาน่าตัวสั่นเทาไม่หยุด

เพราะรู้สึกราวกับนัยน์ตาสีแดงของเฟเรสกำลังบีบคอเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น

นัยน์ตาคู่นั้นปกติเวลามองสบตาทีไรก็รู้สึกขนลุกอยู่ทุกครั้ง แต่วันนี้มันมีอะไรบางอย่างแตกต่างไปจากเดิม

ข้างในนัยน์ตาที่จ้องมาที่อาสทาน่าไม่กะพริบนั่น ให้ความรู้สึกไม่ต่างอะไรจากพลังกดดันอย่างรุนแรงในป่ามืดมิดนี่เลยแม้แต่น้อย

“เจ้าชาย!”

ริกนีเต้คว้าไหล่ของเฟเรสเอาไว้ขณะตะโกนเสียงดัง

“…”

ตอนนั้นเองเฟเรสถึงค่อยหยุดชะงักฝีเท้า

แต่นัยน์ตาก็ยังคงก้มมองอาสทาน่าเหมือนเคย

“นี่ ดื่มนี่ก่อน!”

เทดโร่วรีบไปหยิบของสิ่งหนึ่งที่ห้อยอยู่บนหลังม้าขนสัมภาระมาให้

ของสิ่งนั้นเป็นกระบอกน้ำที่ทำจากหนังสัตว์สีดำ

บนม้าที่ผูกสัมภาระกลุ่มของเฟเรสเอาไว้ ยังมีกระบอกหนังรูปทรงเดียวกันนี่อีกหลายขวด

“เป็นเพราะพลังเวทแน่ๆ ! เพราะพลังเวทสมองถึงได้คิดอะไรแปลกๆ!”

คำพูดของเทดโร่วทุกคนที่นั่นต่างก็ได้ยินกันทั้งหมด

“บอกแล้วไงว่าต้องดื่มยานี่สักหน่อย ถึงจะปลอดภัยน่ะ!”

เทดโร่วเร่งเร้าในขณะที่ยัดกระบอกหนังใส่มือเฟเรส

อึก อึก

เฟเรสกรอกของเหลวในกระบอกหนังลงคอจิบหนึ่ง ก่อนจะใช้แขนเสื้อเช็ดปากลวกๆ

นัยน์ตาสีแดงยังคงส่องประกายเหมือนเคย แต่แววตาอำมหิตในนั้นจางหายไปแล้ว

“สงสัยพลังเวทจะทำให้คนเป็นบ้าได้จริงๆ …”

“ก็นี่มันป่าวิกลจริตไม่ใช่หรือไง”

พวกสหายของอาสทาน่าเองก็เริ่มพึมพำด้วยความหวาดกลัว

แล้วเสียงดังสนั่นก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ปัง! ปัง! ปัง!

สุดท้ายก็มีสามคนในกลุ่มยิงพลุสัญญาณในมือขึ้นฟ้าจนได้

พอเฟเรสยอมถอยห่างออกไป อาสทาน่าก็เริ่มรู้สึกหายใจหายคอได้คล่องขึ้นมาบ้างแล้วแท้ๆ แล้วนี่มันอะไรกันอีก

อาสทาน่าจ้องพวกนั้นด้วยนัยน์ตาเกรี้ยวกราด

“ขะ…ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ เจ้าชาย แต่ป่านี่มันอันตรายเกินไป…”

“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ เจ้าชายเองก็รีบกลับไปยังที่ปลอดภัยพร้อมพวกกระหม่อม…”

พวกนั้นรีบหาข้อแก้ตัวกันอย่างร้อนรน

แต่ผิดคาดที่อาสทาน่ากลับไม่ลงไม้ลงมือกับพวกเขา ทั้งยังดูเหมือนจะโอนอ่อนคล้อยตามไปเสี้ยววินาทีด้วย

‘ข้าเองก็ถือโอกาสนี้หลบออกไปพร้อมเจ้าพวกนั้นเลยดีมั้ยนะ’

ใจมันร้อนรนอยากทำแบบนั้นเหลือเกิน

“สุนัขนี่มันนิสัยเหมือนเจ้าของจริงๆ”

เฟเรสพูดเย้ยหยัน

“ว่าไงนะ”

“มอนสเตอร์แค่ระดับนั้น ถ้าพวกเจ้าร่วมมือกันโจมตี ก็สามารถจัดการมันได้อยู่แล้วแท้ๆ”

เฟเรสพยักพเยิดหน้าไปทางศพของมอนสเตอร์ที่ล้มอยู่บนพื้น

สายตาของทุกคนมองตามไปทางด้านนั้นกันอย่างพร้อมเพรียง

“เป็นไปไม่ได้น่ะ”

“มันตัวเล็กขนาดนั้นเลยเหรอ”

มันเป็นมอนสเตอร์ตัวใหญ่ยักษ์ชัดๆ

ใหญ่มากจนพื้นสะเทือนเสียงดังตึง ตึง ทุกก้าวเดินเลยด้วย

แต่ขนาดของมอนสเตอร์ที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นนั่น มันมีขนาดแค่ประมาณผู้ชายเต็มวัยคนหนึ่งเท่านั้นเอง

กล้ามเนื้อทั่วร่างอาจจะดูน่าหวั่นเกรงอยู่บ้าง แต่เป็นอย่างที่เฟเรสพูดจริงๆ

ถ้าทุกคนร่วมมือกันโจมตีละก็ ย่อมสามารถจัดการได้แน่

“เหอะ หวาดกลัวกับอะไรแค่นี้เองเนี่ยนะ!”

“พวกชนชั้นสูงในเมืองหลวงนี่คงจะน่าสมเพชแบบนี้เหมือนกันหมดสินะ”

“หากเป็นคนที่ได้ชื่อว่าถือดาบแล้วละก็ อย่างน้อยก็น่าจะลองตวัดดาบเสียก่อนสิ! จิ๊จิ๊”

สามสหายจากอะคาเดมีหัวเราะเสียงดังคิกคัก จงใจปรามาสเสียงดังให้อีกฝ่ายได้ยิน

“ไปกันเถอะ”

เฟเรสหมุนตัวหันหลังกลับ

“ต่อให้ข้าไม่ลงมือ เดี๋ยวมันก็ตายในป่าเองนั่นแหละ”

หลังจากพูดแบบนั้น เฟเรสที่หมุนตัวเดินจากไปก็ตรวจเช็กบริเวณสะโพกม้าที่ขนสัมภาระติดมาด้วย

รอยยิ้มจางด้วยความพอใจแต่งแต้มขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาโดยไม่มีผู้ใดทันสังเกตเห็น

* * *

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 202.1

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 202.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เล่ม 5 บทที่ 202.1

ตอนที่ 202

ขนลุกชันทั่วร่าง

ตึก ตึก ตึก

อาสทาน่าก้าวถอยร่นไปด้านหลังอย่างทุลักทุเล

ถึงแม้เขาจะเดินร่อนไปทั่วป่าเพราะกลัวจะต้องปะทะกับมอนสเตอร์ก็เถอะ แต่สิ่งที่เขาหวาดกลัวมากที่สุด แท้จริงแล้วไม่ใช่อสูรร้ายที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เป็นเฟเรสต่างหาก

ชุดเกราะป้องกันสีแดงที่ถูกย้อมไปด้วยเลือดสีเขียวนั่น มันส่องประกายเงางามจนน่าสยอง

ครืนนนน

เฟเรสจ้องหน้าอาสทาน่า ขณะเดียวกันก็พลันเกิดเสียงสายลมพัดขึ้นมายามเด็กหนุ่มยกดาบขึ้นกวัดแกว่งเบาๆ

หยาดเลือดที่เลอะอยู่บนคมดาบถูกสะบัดหยดลงบนพื้นดิน

“ข้าเตือนแล้วแท้ๆ”

เฟเรสเอ่ยพูดเสียงทุ้ม

“ว่าอย่าให้ข้าเห็นเจ้า”

“ดะ…เดี๋ยวก่อน!”

อาสทาน่าตะโกนห้าม แต่มันก็สายเกินไปแล้ว

เฟเรสถือดาบสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้อาสทาน่ามากขึ้นเรื่อยๆ

“ขะ…ขวางไว้สิ!”

อาสทาน่าตะโกนอีกครั้ง

“เจ้าชายลำดับที่สอง!”

“โปรดหยุดมือเถอะพ่ะย่ะค่ะ!”

บรรดาลูกสมุนที่ยืนลังเลอยู่รอบๆ รีบวิ่งเข้ามาขวางเอาไว้

“เฮ้ๆ เจ้าชาย!”

“ทนไว้ ทนไว้ก่อน!”

“ถ้าฆ่ามันตายง่ายๆ ตรงนี้ เดี๋ยวเจ้าจะเสียใจทีหลังนะ!”

สามสหายจากอะคาเดมีที่เฝ้ารออยู่ด้านหลังเฟเรสเองก็รีบวิ่งเข้ามาห้ามเอาไว้เช่นเดียวกัน

“อึกกกก…”

อาสทาน่าตัวสั่นเทาไม่หยุด

เพราะรู้สึกราวกับนัยน์ตาสีแดงของเฟเรสกำลังบีบคอเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น

นัยน์ตาคู่นั้นปกติเวลามองสบตาทีไรก็รู้สึกขนลุกอยู่ทุกครั้ง แต่วันนี้มันมีอะไรบางอย่างแตกต่างไปจากเดิม

ข้างในนัยน์ตาที่จ้องมาที่อาสทาน่าไม่กะพริบนั่น ให้ความรู้สึกไม่ต่างอะไรจากพลังกดดันอย่างรุนแรงในป่ามืดมิดนี่เลยแม้แต่น้อย

“เจ้าชาย!”

ริกนีเต้คว้าไหล่ของเฟเรสเอาไว้ขณะตะโกนเสียงดัง

“…”

ตอนนั้นเองเฟเรสถึงค่อยหยุดชะงักฝีเท้า

แต่นัยน์ตาก็ยังคงก้มมองอาสทาน่าเหมือนเคย

“นี่ ดื่มนี่ก่อน!”

เทดโร่วรีบไปหยิบของสิ่งหนึ่งที่ห้อยอยู่บนหลังม้าขนสัมภาระมาให้

ของสิ่งนั้นเป็นกระบอกน้ำที่ทำจากหนังสัตว์สีดำ

บนม้าที่ผูกสัมภาระกลุ่มของเฟเรสเอาไว้ ยังมีกระบอกหนังรูปทรงเดียวกันนี่อีกหลายขวด

“เป็นเพราะพลังเวทแน่ๆ ! เพราะพลังเวทสมองถึงได้คิดอะไรแปลกๆ!”

คำพูดของเทดโร่วทุกคนที่นั่นต่างก็ได้ยินกันทั้งหมด

“บอกแล้วไงว่าต้องดื่มยานี่สักหน่อย ถึงจะปลอดภัยน่ะ!”

เทดโร่วเร่งเร้าในขณะที่ยัดกระบอกหนังใส่มือเฟเรส

อึก อึก

เฟเรสกรอกของเหลวในกระบอกหนังลงคอจิบหนึ่ง ก่อนจะใช้แขนเสื้อเช็ดปากลวกๆ

นัยน์ตาสีแดงยังคงส่องประกายเหมือนเคย แต่แววตาอำมหิตในนั้นจางหายไปแล้ว

“สงสัยพลังเวทจะทำให้คนเป็นบ้าได้จริงๆ …”

“ก็นี่มันป่าวิกลจริตไม่ใช่หรือไง”

พวกสหายของอาสทาน่าเองก็เริ่มพึมพำด้วยความหวาดกลัว

แล้วเสียงดังสนั่นก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ปัง! ปัง! ปัง!

สุดท้ายก็มีสามคนในกลุ่มยิงพลุสัญญาณในมือขึ้นฟ้าจนได้

พอเฟเรสยอมถอยห่างออกไป อาสทาน่าก็เริ่มรู้สึกหายใจหายคอได้คล่องขึ้นมาบ้างแล้วแท้ๆ แล้วนี่มันอะไรกันอีก

อาสทาน่าจ้องพวกนั้นด้วยนัยน์ตาเกรี้ยวกราด

“ขะ…ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ เจ้าชาย แต่ป่านี่มันอันตรายเกินไป…”

“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ เจ้าชายเองก็รีบกลับไปยังที่ปลอดภัยพร้อมพวกกระหม่อม…”

พวกนั้นรีบหาข้อแก้ตัวกันอย่างร้อนรน

แต่ผิดคาดที่อาสทาน่ากลับไม่ลงไม้ลงมือกับพวกเขา ทั้งยังดูเหมือนจะโอนอ่อนคล้อยตามไปเสี้ยววินาทีด้วย

‘ข้าเองก็ถือโอกาสนี้หลบออกไปพร้อมเจ้าพวกนั้นเลยดีมั้ยนะ’

ใจมันร้อนรนอยากทำแบบนั้นเหลือเกิน

“สุนัขนี่มันนิสัยเหมือนเจ้าของจริงๆ”

เฟเรสพูดเย้ยหยัน

“ว่าไงนะ”

“มอนสเตอร์แค่ระดับนั้น ถ้าพวกเจ้าร่วมมือกันโจมตี ก็สามารถจัดการมันได้อยู่แล้วแท้ๆ”

เฟเรสพยักพเยิดหน้าไปทางศพของมอนสเตอร์ที่ล้มอยู่บนพื้น

สายตาของทุกคนมองตามไปทางด้านนั้นกันอย่างพร้อมเพรียง

“เป็นไปไม่ได้น่ะ”

“มันตัวเล็กขนาดนั้นเลยเหรอ”

มันเป็นมอนสเตอร์ตัวใหญ่ยักษ์ชัดๆ

ใหญ่มากจนพื้นสะเทือนเสียงดังตึง ตึง ทุกก้าวเดินเลยด้วย

แต่ขนาดของมอนสเตอร์ที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นนั่น มันมีขนาดแค่ประมาณผู้ชายเต็มวัยคนหนึ่งเท่านั้นเอง

กล้ามเนื้อทั่วร่างอาจจะดูน่าหวั่นเกรงอยู่บ้าง แต่เป็นอย่างที่เฟเรสพูดจริงๆ

ถ้าทุกคนร่วมมือกันโจมตีละก็ ย่อมสามารถจัดการได้แน่

“เหอะ หวาดกลัวกับอะไรแค่นี้เองเนี่ยนะ!”

“พวกชนชั้นสูงในเมืองหลวงนี่คงจะน่าสมเพชแบบนี้เหมือนกันหมดสินะ”

“หากเป็นคนที่ได้ชื่อว่าถือดาบแล้วละก็ อย่างน้อยก็น่าจะลองตวัดดาบเสียก่อนสิ! จิ๊จิ๊”

สามสหายจากอะคาเดมีหัวเราะเสียงดังคิกคัก จงใจปรามาสเสียงดังให้อีกฝ่ายได้ยิน

“ไปกันเถอะ”

เฟเรสหมุนตัวหันหลังกลับ

“ต่อให้ข้าไม่ลงมือ เดี๋ยวมันก็ตายในป่าเองนั่นแหละ”

หลังจากพูดแบบนั้น เฟเรสที่หมุนตัวเดินจากไปก็ตรวจเช็กบริเวณสะโพกม้าที่ขนสัมภาระติดมาด้วย

รอยยิ้มจางด้วยความพอใจแต่งแต้มขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาโดยไม่มีผู้ใดทันสังเกตเห็น

* * *

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 202.1

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 202.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เล่ม 5 บทที่ 202.1

ตอนที่ 202

ขนลุกชันทั่วร่าง

ตึก ตึก ตึก

อาสทาน่าก้าวถอยร่นไปด้านหลังอย่างทุลักทุเล

ถึงแม้เขาจะเดินร่อนไปทั่วป่าเพราะกลัวจะต้องปะทะกับมอนสเตอร์ก็เถอะ แต่สิ่งที่เขาหวาดกลัวมากที่สุด แท้จริงแล้วไม่ใช่อสูรร้ายที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เป็นเฟเรสต่างหาก

ชุดเกราะป้องกันสีแดงที่ถูกย้อมไปด้วยเลือดสีเขียวนั่น มันส่องประกายเงางามจนน่าสยอง

ครืนนนน

เฟเรสจ้องหน้าอาสทาน่า ขณะเดียวกันก็พลันเกิดเสียงสายลมพัดขึ้นมายามเด็กหนุ่มยกดาบขึ้นกวัดแกว่งเบาๆ

หยาดเลือดที่เลอะอยู่บนคมดาบถูกสะบัดหยดลงบนพื้นดิน

“ข้าเตือนแล้วแท้ๆ”

เฟเรสเอ่ยพูดเสียงทุ้ม

“ว่าอย่าให้ข้าเห็นเจ้า”

“ดะ…เดี๋ยวก่อน!”

อาสทาน่าตะโกนห้าม แต่มันก็สายเกินไปแล้ว

เฟเรสถือดาบสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้อาสทาน่ามากขึ้นเรื่อยๆ

“ขะ…ขวางไว้สิ!”

อาสทาน่าตะโกนอีกครั้ง

“เจ้าชายลำดับที่สอง!”

“โปรดหยุดมือเถอะพ่ะย่ะค่ะ!”

บรรดาลูกสมุนที่ยืนลังเลอยู่รอบๆ รีบวิ่งเข้ามาขวางเอาไว้

“เฮ้ๆ เจ้าชาย!”

“ทนไว้ ทนไว้ก่อน!”

“ถ้าฆ่ามันตายง่ายๆ ตรงนี้ เดี๋ยวเจ้าจะเสียใจทีหลังนะ!”

สามสหายจากอะคาเดมีที่เฝ้ารออยู่ด้านหลังเฟเรสเองก็รีบวิ่งเข้ามาห้ามเอาไว้เช่นเดียวกัน

“อึกกกก…”

อาสทาน่าตัวสั่นเทาไม่หยุด

เพราะรู้สึกราวกับนัยน์ตาสีแดงของเฟเรสกำลังบีบคอเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น

นัยน์ตาคู่นั้นปกติเวลามองสบตาทีไรก็รู้สึกขนลุกอยู่ทุกครั้ง แต่วันนี้มันมีอะไรบางอย่างแตกต่างไปจากเดิม

ข้างในนัยน์ตาที่จ้องมาที่อาสทาน่าไม่กะพริบนั่น ให้ความรู้สึกไม่ต่างอะไรจากพลังกดดันอย่างรุนแรงในป่ามืดมิดนี่เลยแม้แต่น้อย

“เจ้าชาย!”

ริกนีเต้คว้าไหล่ของเฟเรสเอาไว้ขณะตะโกนเสียงดัง

“…”

ตอนนั้นเองเฟเรสถึงค่อยหยุดชะงักฝีเท้า

แต่นัยน์ตาก็ยังคงก้มมองอาสทาน่าเหมือนเคย

“นี่ ดื่มนี่ก่อน!”

เทดโร่วรีบไปหยิบของสิ่งหนึ่งที่ห้อยอยู่บนหลังม้าขนสัมภาระมาให้

ของสิ่งนั้นเป็นกระบอกน้ำที่ทำจากหนังสัตว์สีดำ

บนม้าที่ผูกสัมภาระกลุ่มของเฟเรสเอาไว้ ยังมีกระบอกหนังรูปทรงเดียวกันนี่อีกหลายขวด

“เป็นเพราะพลังเวทแน่ๆ ! เพราะพลังเวทสมองถึงได้คิดอะไรแปลกๆ!”

คำพูดของเทดโร่วทุกคนที่นั่นต่างก็ได้ยินกันทั้งหมด

“บอกแล้วไงว่าต้องดื่มยานี่สักหน่อย ถึงจะปลอดภัยน่ะ!”

เทดโร่วเร่งเร้าในขณะที่ยัดกระบอกหนังใส่มือเฟเรส

อึก อึก

เฟเรสกรอกของเหลวในกระบอกหนังลงคอจิบหนึ่ง ก่อนจะใช้แขนเสื้อเช็ดปากลวกๆ

นัยน์ตาสีแดงยังคงส่องประกายเหมือนเคย แต่แววตาอำมหิตในนั้นจางหายไปแล้ว

“สงสัยพลังเวทจะทำให้คนเป็นบ้าได้จริงๆ …”

“ก็นี่มันป่าวิกลจริตไม่ใช่หรือไง”

พวกสหายของอาสทาน่าเองก็เริ่มพึมพำด้วยความหวาดกลัว

แล้วเสียงดังสนั่นก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ปัง! ปัง! ปัง!

สุดท้ายก็มีสามคนในกลุ่มยิงพลุสัญญาณในมือขึ้นฟ้าจนได้

พอเฟเรสยอมถอยห่างออกไป อาสทาน่าก็เริ่มรู้สึกหายใจหายคอได้คล่องขึ้นมาบ้างแล้วแท้ๆ แล้วนี่มันอะไรกันอีก

อาสทาน่าจ้องพวกนั้นด้วยนัยน์ตาเกรี้ยวกราด

“ขะ…ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ เจ้าชาย แต่ป่านี่มันอันตรายเกินไป…”

“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ เจ้าชายเองก็รีบกลับไปยังที่ปลอดภัยพร้อมพวกกระหม่อม…”

พวกนั้นรีบหาข้อแก้ตัวกันอย่างร้อนรน

แต่ผิดคาดที่อาสทาน่ากลับไม่ลงไม้ลงมือกับพวกเขา ทั้งยังดูเหมือนจะโอนอ่อนคล้อยตามไปเสี้ยววินาทีด้วย

‘ข้าเองก็ถือโอกาสนี้หลบออกไปพร้อมเจ้าพวกนั้นเลยดีมั้ยนะ’

ใจมันร้อนรนอยากทำแบบนั้นเหลือเกิน

“สุนัขนี่มันนิสัยเหมือนเจ้าของจริงๆ”

เฟเรสพูดเย้ยหยัน

“ว่าไงนะ”

“มอนสเตอร์แค่ระดับนั้น ถ้าพวกเจ้าร่วมมือกันโจมตี ก็สามารถจัดการมันได้อยู่แล้วแท้ๆ”

เฟเรสพยักพเยิดหน้าไปทางศพของมอนสเตอร์ที่ล้มอยู่บนพื้น

สายตาของทุกคนมองตามไปทางด้านนั้นกันอย่างพร้อมเพรียง

“เป็นไปไม่ได้น่ะ”

“มันตัวเล็กขนาดนั้นเลยเหรอ”

มันเป็นมอนสเตอร์ตัวใหญ่ยักษ์ชัดๆ

ใหญ่มากจนพื้นสะเทือนเสียงดังตึง ตึง ทุกก้าวเดินเลยด้วย

แต่ขนาดของมอนสเตอร์ที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นนั่น มันมีขนาดแค่ประมาณผู้ชายเต็มวัยคนหนึ่งเท่านั้นเอง

กล้ามเนื้อทั่วร่างอาจจะดูน่าหวั่นเกรงอยู่บ้าง แต่เป็นอย่างที่เฟเรสพูดจริงๆ

ถ้าทุกคนร่วมมือกันโจมตีละก็ ย่อมสามารถจัดการได้แน่

“เหอะ หวาดกลัวกับอะไรแค่นี้เองเนี่ยนะ!”

“พวกชนชั้นสูงในเมืองหลวงนี่คงจะน่าสมเพชแบบนี้เหมือนกันหมดสินะ”

“หากเป็นคนที่ได้ชื่อว่าถือดาบแล้วละก็ อย่างน้อยก็น่าจะลองตวัดดาบเสียก่อนสิ! จิ๊จิ๊”

สามสหายจากอะคาเดมีหัวเราะเสียงดังคิกคัก จงใจปรามาสเสียงดังให้อีกฝ่ายได้ยิน

“ไปกันเถอะ”

เฟเรสหมุนตัวหันหลังกลับ

“ต่อให้ข้าไม่ลงมือ เดี๋ยวมันก็ตายในป่าเองนั่นแหละ”

หลังจากพูดแบบนั้น เฟเรสที่หมุนตัวเดินจากไปก็ตรวจเช็กบริเวณสะโพกม้าที่ขนสัมภาระติดมาด้วย

รอยยิ้มจางด้วยความพอใจแต่งแต้มขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาโดยไม่มีผู้ใดทันสังเกตเห็น

* * *

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+