เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 217.1

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 217.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เล่ม 6 บทที่ 217.1

ตอนที่ 217

ในวันเดียวกัน ช่วงเวลาเช้ากว่าเล็กน้อย จักรพรรดินีราวีนีกำลังยืนอยู่หน้าห้องบรรทมขององค์จักรพรรดิ

ประตูห้องบรรทมปิดแน่น แต่ใบหน้าของราวีนีกลับแจ่มใสยิ่ง

ผ่านไปไม่นาน หัวหน้านางกำนัลก็เดินออกมาโค้งศีรษะให้นางอย่างสุภาพ

“เชิญเสด็จเข้าไปได้เลยเพคะ องค์จักรพรรดินี ฝ่าบาททรงอนุญาตแล้ว”

ริมฝีปากสีแดงสดของราวีนีวาดโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม จนถึงเมื่อไม่กี่วันมานี้นางยังถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าพบอยู่เลย แต่วันนี้กลับอนุญาตให้นางเข้าพบได้แล้ว

“งั้นหรือ ขอบใจนะ หัวหน้านางกำนัลโอทัวร์”

หัวหน้านางกำนัลรับคำขอบคุณจากจักรพรรดินี นางก้มหน้านิ่งไม่ยอมสบตา และท่าทีที่ได้เห็นก็ยิ่งทำให้อารมณ์ของจักรพรรดินีดียิ่งกว่าเดิม

“ฝ่าบาท”

จักรพรรดินีเดินเข้าไปข้างในห้องบรรทม นางเอ่ยเรียกโยบาเนสเสียงอ่อนหวาน

“มาแล้วหรือ”

คล้ายกับเพิ่งตื่นบรรทมได้ไม่นาน โยบาเนสยังคงสวมชุดนอนอยู่ พระองค์กำลังรับการปรนนิบัติจากเหล่านางกำนัล ในขณะที่เอ่ยตอบกลับไปเสียงเฉยชา

ใบหน้าหยาบกร้านดูไม่ได้ ใต้ตาหมองคล้ำจากการอดหลับอดนอน และเอาแต่ดื่มเหล้า

“ได้ยินว่าฝ่าบาทประชวร หม่อมฉันกำลังเป็นห่วงอยู่ทีเดียว โล่งอกไปทีนะเพคะที่ดูเหมือนจะทรงพระพลานามัยแข็งแรงดี”

โยบาเนสก็แค่อ้างออกไปมั่วๆ ว่า ‘ไม่ค่อยสบาย’ เพราะไม่อยากพบหน้าจักรพรรดินีเท่านั้น และราวีนีเองก็ไม่มีทางไม่รู้เรื่องพวกนั้น

แต่จักรพรรดินีกลับเดินเข้าไปหาโยบาเนส ทั้งยังพูดอย่างสนิทสนมราวกับเป็นห่วงโยบาเนสจากใจจริง

“มีธุระอะไร จักรพรรดินี”

โยบาเนสเบื่อท่าทีเสแสร้งของราวีนีเต็มทน เขาเอ่ยถามกลับไปด้วยเสียงติดจะหงุดหงิดอยู่บ้าง

“ถ้ามาขอร้องเรื่องอาสทาน่าแล้วละก็…”

“หม่อมฉันมาด้วยเรื่องของเจ้าชายลำดับที่สองเพคะ ฝ่าบาท”

โยบาเนสเหลือบมองราวีนี ก่อนจะเอนกายไปทางอ่างสำหรับล้างหน้าที่นางกำนัลยกเข้ามาให้พอดีโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า

ท่าทีที่ได้เห็นทำให้ราวีนีแน่ใจว่า จักรพรรดิทราบเรื่องระหว่างเฟเรสกับนังเด็กฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดีย นั่นอยู่ก่อนแล้ว

แต่อย่างไรนางก็ต้องแสร้งทำเป็นเหมือนไม่รู้ว่าพระองค์ทรงทราบ

“ยังไม่ทราบข่าวหรือเพคะ เช้าวันนี้เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียแต่งตั้งเด็กฟีเรนเทียที่เป็นคู่หมั้นกับเจ้าชายลำดับที่สอง ให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูลอย่างเป็นทางการเพคะ ฝ่าบาท”

“…มีเรื่องแบบนั้นด้วยนี่เอง”

โยบาเนสเอ่ยเสียงเรียบ แล้ววักน้ำใส่หน้าตนเอง

ราวีนีคาดการณ์ได้ถูกต้องแล้ว

ทันทีที่จักรพรรดิตื่นจากบรรทม ก็ได้ทราบข่าวเรื่องการตัดสินใจของรูลลักเป็นอันดับแรก

ตอนแรกพระองค์ก็ตกใจอยู่บ้าง ทั้งยังโมโหด้วยรู้สึกเหมือนถูกคนพวกนั้นรวมหัวกันหลอกเขา แต่พอมาลองครุ่นคิดดูอย่างถี่ถ้วน โยบาเนสก็คิดได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายต่อพระองค์อะไรขนาดนั้นเสียหน่อย

อย่างไรความสัมพันธ์ระหว่างลอมบาร์เดียกับราชวงศ์ก็เป็นความสัมพันธ์เกื้อกูลซึ่งกันและกัน ไม่มีวันแยกจากกันได้อยู่ดี

พูดอีกแง่ก็คือ ลอมบาร์เดียเป็นตัวคานอำนาจไม่ให้จักรพรรดิดื่มด่ำกับอำนาจมากเกินควร

โยบาเนสเองก็เกลียดเรื่องนั้นจนแทบทนไม่ไหว

แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยมีจักรพรรดิองค์ใดสามารถหลุดพ้นจากโซ่ตรวนที่ล่ามขาพวกเขาเอาไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็นอดีตจักรพรรดิที่เขาเคยหวาดกลัวนักหนา หรือตัวโยบาเนสเองก็ตาม

แม้จะพยายามดึงตัวเองให้หลุดพ้นจากเงื้อมมือของลอมบาร์เดีย สุดท้ายก็มีแต่จะโดนแก้แค้นกลับมาหนักกว่าเก่า

“เป็นอะไรหรือเปล่าเพคะ ฝ่าบาท”

ราวีนีเอ่ยถามด้วยเสียงเป็นห่วงเป็นใย เพื่อที่จะลอบสังเกตปฏิกิริยาของโยบาเนส

“…”

จักรพรรดิแสร้งใช้ผ้าขนหนูเช็ดน้ำออกจากใบหน้า เพื่อเก็บซ่อนสีหน้าและแววตาของตนเอง

เพราะใบหน้าข้างหลังผ้าขนหนูผืนนั้นกำลังยิ้ม

‘รูลลัก เจ้าเฒ่านั่นได้มอบของขวัญชั้นยอดให้ข้าในรอบหลายปีทีเดียว’

เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียคนใหม่เป็นหญิงที่ยังเยาว์วัยและไร้ซึ่งประสบการณ์ในโลกการเมืองอย่างนั้นหรือ

รับมือง่ายกว่ารูลลัก ลอมบาร์เดีย เยอะ

“ไม่เป็นไร”

โยบาเนสตอบกลับไปแบบนั้น แต่จักรพรรดินีราวีนีกลับส่ายหน้า

“สีหน้าดูไม่ดีเลยนะเพคะ ฝ่าบาท”

จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงกันเล่า ตอนนี้โยบาเนสดีใจมากจนต้องกลั้นไม่ให้เผลอหลุดหัวเราะ และตบมือเสียงดังอยู่เนี่ย

นี่เป็นโอกาสดีที่เขาจะได้บั่นทอนอำนาจของพวกลอมบาร์เดียเสียที แต่เพื่อการนั้นเขายังจำเป็นต้องเก็บอังเกนัสเอาไว้ใช้รองมือรองเท้าเช่นกัน

หากอังเกนัสหายไปในตอนนี้ ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกว่าจะสร้างตัวแทนที่มีอำนาจมากพอจะขึ้นมาคานอำนาจพวกขุนนางกับลอมบาร์เดียได้

“คงโกรธเรื่องเจ้าชายลำดับที่สองมากเลยใช่มั้ยเพคะ”

โยบาเนสลอบมองจักรพรรดินีที่ยังคงพูดพล่ามไปเรื่อยผ่านทางกระจก

เพราะภาพของอาสทาน่าที่กำมีดพุ่งกระโจนเข้าใส่พระองค์ยังคงตามหลอกหลอนไม่หยุด ทำให้พระองค์ฝันร้ายอยู่แทบทุกคืน

แต่ถ้าหากสามารถช่วยกดจมูกที่เชิดรั้นของลอมบาร์เดียลงมาได้แล้วละก็ ต่อให้เป็นอาสทาน่าที่เหิมเกริมก่อเรื่องพวกนั้น เขาก็พอจะช่วยหลับตาลงข้างหนึ่งได้เหมือนกัน

ไหนๆ ก็มีข่าวลือแพร่ไปทั่วว่า ตอนนั้นอาสทาน่าครองสติไว้ไม่อยู่ แถมยังถูกคนจงใจใส่ร้ายป้ายสีอีกด้วยอยู่แล้ว

‘แต่จะปล่อยตัวไปเฉยๆ ก็ไม่ได้’

อย่างน้อยนั่นก็โทษกบฏเชียวนะ ต้องมีใครสักคนเป็นแพะรับบาปนั่นแทน

“เฮ้อ ช่วงนี้หม่อมฉันเองก็ไม่ค่อยสบายใจเลยเพคะ ฝ่าบาท”

ในตอนนั้นเอง ราวีนีก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะเอ่ยพูดต่อ

“เจ้าชายลำดับที่หนึ่งได้รับบาดเจ็บหนักมิใช่หรือเพคะ แต่เจ้าชายลำดับที่สองกลับสั่งห้ามไม่ให้มารดาอย่างหม่อมฉันได้พบหน้าเขาบ้างเลย…”

ราวกับอ่านใจของโยบาเนสออก จักรพรรดินีสะอึกสะอื้นเล่าเรื่องอาสทาน่า

“เจ้าชายลำดับที่หนึ่งผู้น่าสงสารของหม่อมฉันต้องถูกใส่ความแน่เพคะ ฝ่าบาท”

“นั่นเป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐานเท่านั้น”

“แต่ถ้าหากนั่นเป็นเรื่องจริงล่ะเพคะ ฝ่าบาท”

จักรพรรดินีราวีนีใช้ผ้าเช็ดหน้าซับหยาดน้ำตา

“เจ้าชายลำดับที่หนึ่งถูกคุมขังไว้หลายวันแล้วนะเพคะ แถมยังสูญเสียมือข้างขวาไปอีกด้วย”

เสียงของราวีนีสั่นเทาราวกับเป็นห่วงอาสทาน่าจากใจจริง

“แน่นอนว่าเขาเองก็ทำความผิดที่ไม่อาจให้อภัยได้ต่อฝ่าบาท แต่แค่นี้ก็ถือว่าได้รับโทษที่เหมาะสมแล้วมิใช่หรือเพคะ”

“จักรพรรดินี”

ในที่สุดโยบาเนสก็หันไปเรียกราวีนี

“นั่นเป็นเรื่องที่จะพูดคุยกันได้ หากมีคนร้ายตัวจริงอีกคนมิใช่หรือไง”

ทว่านั่นไม่ใช่คำตำหนิจักรพรรดินี แต่เป็นคำบอกใบ้ที่ทำให้คนต้องเอียงหูตั้งใจรับฟังต่างหากล่ะ

“ในฐานะบิดาแล้ว ข้าเองก็เสียใจเช่นกันที่อาสทาน่าต้องลำบากเช่นนี้ แต่อย่างไรก็ต้องหาตัวคนร้ายให้เจอ”

“คนร้าย…”

จักรพรรดินีมองจ้องลึกเข้าไปในนัยน์ตาของโยบาเนส นางเอ่ยถามย้ำให้แน่ใจ

“หากมีการเปิดเผยว่าใครคือคนร้ายตัวจริง อาสทาน่าก็จะถูกปล่อยตัวออกจากคุกหรือเพคะ”

“ไม่มีเหตุผลใดให้ต้องคุมขังอีกต่อไป”

“เป็นเช่นนั้นเพคะ”

จักรพรรดินีพยักหน้า นางก้าวถอยหลังห่างไปหลายก้าว

“ด้านนอกคงกำลังรอฝ่าบาทเตรียมตัวอยู่ อย่างไรก็ร่วมเสวยมื้อเช้ากับหม่อมฉันเสียหน่อยดีมั้ยเพคะ”

“…ทำตามเจ้าว่าเถอะ”

จักรพรรดินีหันหลังเดินออกไปจากห้องนอนก่อนที่โยบาเนสจะทันได้เอ่ยจบประโยคด้วยซ้ำ

ถึงแม้จะรู้สึกสงสัยก็เถอะว่าจะรีบร้อนไปไหนกันแน่ แต่องค์จักรพรรดิก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกไป เขาเพียงแค่ยืนยิ้มอยู่เงียบๆ เท่านั้น

“จักรพรรดิคนแรกที่สามารถต่อกรกับลอมบาร์เดียได้งั้นหรือ”

ช่างเป็นความสำเร็จที่ถูกใจเขาเสียจริง

* * *

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 217.1

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 217.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เล่ม 6 บทที่ 217.1

ตอนที่ 217

ในวันเดียวกัน ช่วงเวลาเช้ากว่าเล็กน้อย จักรพรรดินีราวีนีกำลังยืนอยู่หน้าห้องบรรทมขององค์จักรพรรดิ

ประตูห้องบรรทมปิดแน่น แต่ใบหน้าของราวีนีกลับแจ่มใสยิ่ง

ผ่านไปไม่นาน หัวหน้านางกำนัลก็เดินออกมาโค้งศีรษะให้นางอย่างสุภาพ

“เชิญเสด็จเข้าไปได้เลยเพคะ องค์จักรพรรดินี ฝ่าบาททรงอนุญาตแล้ว”

ริมฝีปากสีแดงสดของราวีนีวาดโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม จนถึงเมื่อไม่กี่วันมานี้นางยังถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าพบอยู่เลย แต่วันนี้กลับอนุญาตให้นางเข้าพบได้แล้ว

“งั้นหรือ ขอบใจนะ หัวหน้านางกำนัลโอทัวร์”

หัวหน้านางกำนัลรับคำขอบคุณจากจักรพรรดินี นางก้มหน้านิ่งไม่ยอมสบตา และท่าทีที่ได้เห็นก็ยิ่งทำให้อารมณ์ของจักรพรรดินีดียิ่งกว่าเดิม

“ฝ่าบาท”

จักรพรรดินีเดินเข้าไปข้างในห้องบรรทม นางเอ่ยเรียกโยบาเนสเสียงอ่อนหวาน

“มาแล้วหรือ”

คล้ายกับเพิ่งตื่นบรรทมได้ไม่นาน โยบาเนสยังคงสวมชุดนอนอยู่ พระองค์กำลังรับการปรนนิบัติจากเหล่านางกำนัล ในขณะที่เอ่ยตอบกลับไปเสียงเฉยชา

ใบหน้าหยาบกร้านดูไม่ได้ ใต้ตาหมองคล้ำจากการอดหลับอดนอน และเอาแต่ดื่มเหล้า

“ได้ยินว่าฝ่าบาทประชวร หม่อมฉันกำลังเป็นห่วงอยู่ทีเดียว โล่งอกไปทีนะเพคะที่ดูเหมือนจะทรงพระพลานามัยแข็งแรงดี”

โยบาเนสก็แค่อ้างออกไปมั่วๆ ว่า ‘ไม่ค่อยสบาย’ เพราะไม่อยากพบหน้าจักรพรรดินีเท่านั้น และราวีนีเองก็ไม่มีทางไม่รู้เรื่องพวกนั้น

แต่จักรพรรดินีกลับเดินเข้าไปหาโยบาเนส ทั้งยังพูดอย่างสนิทสนมราวกับเป็นห่วงโยบาเนสจากใจจริง

“มีธุระอะไร จักรพรรดินี”

โยบาเนสเบื่อท่าทีเสแสร้งของราวีนีเต็มทน เขาเอ่ยถามกลับไปด้วยเสียงติดจะหงุดหงิดอยู่บ้าง

“ถ้ามาขอร้องเรื่องอาสทาน่าแล้วละก็…”

“หม่อมฉันมาด้วยเรื่องของเจ้าชายลำดับที่สองเพคะ ฝ่าบาท”

โยบาเนสเหลือบมองราวีนี ก่อนจะเอนกายไปทางอ่างสำหรับล้างหน้าที่นางกำนัลยกเข้ามาให้พอดีโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า

ท่าทีที่ได้เห็นทำให้ราวีนีแน่ใจว่า จักรพรรดิทราบเรื่องระหว่างเฟเรสกับนังเด็กฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดีย นั่นอยู่ก่อนแล้ว

แต่อย่างไรนางก็ต้องแสร้งทำเป็นเหมือนไม่รู้ว่าพระองค์ทรงทราบ

“ยังไม่ทราบข่าวหรือเพคะ เช้าวันนี้เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียแต่งตั้งเด็กฟีเรนเทียที่เป็นคู่หมั้นกับเจ้าชายลำดับที่สอง ให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูลอย่างเป็นทางการเพคะ ฝ่าบาท”

“…มีเรื่องแบบนั้นด้วยนี่เอง”

โยบาเนสเอ่ยเสียงเรียบ แล้ววักน้ำใส่หน้าตนเอง

ราวีนีคาดการณ์ได้ถูกต้องแล้ว

ทันทีที่จักรพรรดิตื่นจากบรรทม ก็ได้ทราบข่าวเรื่องการตัดสินใจของรูลลักเป็นอันดับแรก

ตอนแรกพระองค์ก็ตกใจอยู่บ้าง ทั้งยังโมโหด้วยรู้สึกเหมือนถูกคนพวกนั้นรวมหัวกันหลอกเขา แต่พอมาลองครุ่นคิดดูอย่างถี่ถ้วน โยบาเนสก็คิดได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายต่อพระองค์อะไรขนาดนั้นเสียหน่อย

อย่างไรความสัมพันธ์ระหว่างลอมบาร์เดียกับราชวงศ์ก็เป็นความสัมพันธ์เกื้อกูลซึ่งกันและกัน ไม่มีวันแยกจากกันได้อยู่ดี

พูดอีกแง่ก็คือ ลอมบาร์เดียเป็นตัวคานอำนาจไม่ให้จักรพรรดิดื่มด่ำกับอำนาจมากเกินควร

โยบาเนสเองก็เกลียดเรื่องนั้นจนแทบทนไม่ไหว

แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยมีจักรพรรดิองค์ใดสามารถหลุดพ้นจากโซ่ตรวนที่ล่ามขาพวกเขาเอาไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็นอดีตจักรพรรดิที่เขาเคยหวาดกลัวนักหนา หรือตัวโยบาเนสเองก็ตาม

แม้จะพยายามดึงตัวเองให้หลุดพ้นจากเงื้อมมือของลอมบาร์เดีย สุดท้ายก็มีแต่จะโดนแก้แค้นกลับมาหนักกว่าเก่า

“เป็นอะไรหรือเปล่าเพคะ ฝ่าบาท”

ราวีนีเอ่ยถามด้วยเสียงเป็นห่วงเป็นใย เพื่อที่จะลอบสังเกตปฏิกิริยาของโยบาเนส

“…”

จักรพรรดิแสร้งใช้ผ้าขนหนูเช็ดน้ำออกจากใบหน้า เพื่อเก็บซ่อนสีหน้าและแววตาของตนเอง

เพราะใบหน้าข้างหลังผ้าขนหนูผืนนั้นกำลังยิ้ม

‘รูลลัก เจ้าเฒ่านั่นได้มอบของขวัญชั้นยอดให้ข้าในรอบหลายปีทีเดียว’

เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียคนใหม่เป็นหญิงที่ยังเยาว์วัยและไร้ซึ่งประสบการณ์ในโลกการเมืองอย่างนั้นหรือ

รับมือง่ายกว่ารูลลัก ลอมบาร์เดีย เยอะ

“ไม่เป็นไร”

โยบาเนสตอบกลับไปแบบนั้น แต่จักรพรรดินีราวีนีกลับส่ายหน้า

“สีหน้าดูไม่ดีเลยนะเพคะ ฝ่าบาท”

จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงกันเล่า ตอนนี้โยบาเนสดีใจมากจนต้องกลั้นไม่ให้เผลอหลุดหัวเราะ และตบมือเสียงดังอยู่เนี่ย

นี่เป็นโอกาสดีที่เขาจะได้บั่นทอนอำนาจของพวกลอมบาร์เดียเสียที แต่เพื่อการนั้นเขายังจำเป็นต้องเก็บอังเกนัสเอาไว้ใช้รองมือรองเท้าเช่นกัน

หากอังเกนัสหายไปในตอนนี้ ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกว่าจะสร้างตัวแทนที่มีอำนาจมากพอจะขึ้นมาคานอำนาจพวกขุนนางกับลอมบาร์เดียได้

“คงโกรธเรื่องเจ้าชายลำดับที่สองมากเลยใช่มั้ยเพคะ”

โยบาเนสลอบมองจักรพรรดินีที่ยังคงพูดพล่ามไปเรื่อยผ่านทางกระจก

เพราะภาพของอาสทาน่าที่กำมีดพุ่งกระโจนเข้าใส่พระองค์ยังคงตามหลอกหลอนไม่หยุด ทำให้พระองค์ฝันร้ายอยู่แทบทุกคืน

แต่ถ้าหากสามารถช่วยกดจมูกที่เชิดรั้นของลอมบาร์เดียลงมาได้แล้วละก็ ต่อให้เป็นอาสทาน่าที่เหิมเกริมก่อเรื่องพวกนั้น เขาก็พอจะช่วยหลับตาลงข้างหนึ่งได้เหมือนกัน

ไหนๆ ก็มีข่าวลือแพร่ไปทั่วว่า ตอนนั้นอาสทาน่าครองสติไว้ไม่อยู่ แถมยังถูกคนจงใจใส่ร้ายป้ายสีอีกด้วยอยู่แล้ว

‘แต่จะปล่อยตัวไปเฉยๆ ก็ไม่ได้’

อย่างน้อยนั่นก็โทษกบฏเชียวนะ ต้องมีใครสักคนเป็นแพะรับบาปนั่นแทน

“เฮ้อ ช่วงนี้หม่อมฉันเองก็ไม่ค่อยสบายใจเลยเพคะ ฝ่าบาท”

ในตอนนั้นเอง ราวีนีก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะเอ่ยพูดต่อ

“เจ้าชายลำดับที่หนึ่งได้รับบาดเจ็บหนักมิใช่หรือเพคะ แต่เจ้าชายลำดับที่สองกลับสั่งห้ามไม่ให้มารดาอย่างหม่อมฉันได้พบหน้าเขาบ้างเลย…”

ราวกับอ่านใจของโยบาเนสออก จักรพรรดินีสะอึกสะอื้นเล่าเรื่องอาสทาน่า

“เจ้าชายลำดับที่หนึ่งผู้น่าสงสารของหม่อมฉันต้องถูกใส่ความแน่เพคะ ฝ่าบาท”

“นั่นเป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐานเท่านั้น”

“แต่ถ้าหากนั่นเป็นเรื่องจริงล่ะเพคะ ฝ่าบาท”

จักรพรรดินีราวีนีใช้ผ้าเช็ดหน้าซับหยาดน้ำตา

“เจ้าชายลำดับที่หนึ่งถูกคุมขังไว้หลายวันแล้วนะเพคะ แถมยังสูญเสียมือข้างขวาไปอีกด้วย”

เสียงของราวีนีสั่นเทาราวกับเป็นห่วงอาสทาน่าจากใจจริง

“แน่นอนว่าเขาเองก็ทำความผิดที่ไม่อาจให้อภัยได้ต่อฝ่าบาท แต่แค่นี้ก็ถือว่าได้รับโทษที่เหมาะสมแล้วมิใช่หรือเพคะ”

“จักรพรรดินี”

ในที่สุดโยบาเนสก็หันไปเรียกราวีนี

“นั่นเป็นเรื่องที่จะพูดคุยกันได้ หากมีคนร้ายตัวจริงอีกคนมิใช่หรือไง”

ทว่านั่นไม่ใช่คำตำหนิจักรพรรดินี แต่เป็นคำบอกใบ้ที่ทำให้คนต้องเอียงหูตั้งใจรับฟังต่างหากล่ะ

“ในฐานะบิดาแล้ว ข้าเองก็เสียใจเช่นกันที่อาสทาน่าต้องลำบากเช่นนี้ แต่อย่างไรก็ต้องหาตัวคนร้ายให้เจอ”

“คนร้าย…”

จักรพรรดินีมองจ้องลึกเข้าไปในนัยน์ตาของโยบาเนส นางเอ่ยถามย้ำให้แน่ใจ

“หากมีการเปิดเผยว่าใครคือคนร้ายตัวจริง อาสทาน่าก็จะถูกปล่อยตัวออกจากคุกหรือเพคะ”

“ไม่มีเหตุผลใดให้ต้องคุมขังอีกต่อไป”

“เป็นเช่นนั้นเพคะ”

จักรพรรดินีพยักหน้า นางก้าวถอยหลังห่างไปหลายก้าว

“ด้านนอกคงกำลังรอฝ่าบาทเตรียมตัวอยู่ อย่างไรก็ร่วมเสวยมื้อเช้ากับหม่อมฉันเสียหน่อยดีมั้ยเพคะ”

“…ทำตามเจ้าว่าเถอะ”

จักรพรรดินีหันหลังเดินออกไปจากห้องนอนก่อนที่โยบาเนสจะทันได้เอ่ยจบประโยคด้วยซ้ำ

ถึงแม้จะรู้สึกสงสัยก็เถอะว่าจะรีบร้อนไปไหนกันแน่ แต่องค์จักรพรรดิก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกไป เขาเพียงแค่ยืนยิ้มอยู่เงียบๆ เท่านั้น

“จักรพรรดิคนแรกที่สามารถต่อกรกับลอมบาร์เดียได้งั้นหรือ”

ช่างเป็นความสำเร็จที่ถูกใจเขาเสียจริง

* * *

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+