เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 140.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 140.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ดินถล่มอย่างนั้นหรือ หนักขนาดไหนถึงได้ส่งสารด่วนมาแบบนี้กัน”

โยบาเนสขยับบั้นท้ายกึ่งลุกขึ้นจากที่นั่งพลางเอ่ยถาม

“ระ เรื่องนั้น…จากสารที่เจ้าตระกูลไอบันส่งมา เห็นว่าเส้นทางการค้าสายหลักถูกตัดขาด พืชสมุนไพรรอบๆ แคมป์ตัดไม้เองก็ถูกฝังกลบหมดเลยพ่ะย่ะค่ะซ้ำร้ายไปกว่านั้น กระทั่งกำแพงเมืองไอบันเองก็พังทลาย…”

“เฮือก!”

“เรื่องใหญ่แล้ว!”

บรรดาขุนนางที่แอบฟังอยู่พร้อมกันต่างส่งเสียงอุทานออกมา

โยบาเนสเองก็ไม่ต่างกัน

แก้วเหล้าถูกยกขึ้นแตะริมฝีปากค้างเอาไว้ ในลำคอลอบเดาะลิ้นเสียงดังจิ๊จ๊ะอยู่หลายครั้ง

ในตอนนั้นเอง รูลลักที่นั่งฟังรายงานอยู่ด้านหน้าที่นั่งฝ่ายซ้ายก็เอ่ยถามจักรพรรดิขึ้นมา

“ฝ่าบาท มีคนเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บมากแค่ไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“คนเสียชีวิต? อา…นั่นสิ เจ้าตระกูลไอบันว่ายังไงบ้าง”

โยบาเนสเพิ่งจะตระหนักได้ถึงหน้าที่ในฐานะจักรพรรดิ จึงเอ่ยถามมหาดเล็กที่เข้ามารายงานทันที

“ในสารที่ทางตระกูลไอบันส่งมา ไม่มีรายงานเรื่องผู้เสียชีวิต…”

มหาดเล็กตื่นตระหนกเล็กน้อย ก่อนจะยื่นกระดาษสีแดงที่ถือไว้ในมือส่งให้แก่โยบาเนส

จักรพรรดิรับกระดาษแผ่นนั้นมาถือไว้ แล้วกวาดสายตาอ่านเนื้อหาในสารคร่าวๆ แต่ไม่มีรายงานแจ้งเกี่ยวกับคนบาดเจ็บหรือเสียชีวิตเลยแม้แต่ประโยคเดียว

“มีการติดต่อจากตระกูลอื่นๆ มาด้วยเช่นกัน กระหม่อมจะรวบรวมแล้วมารายงานให้ทราบโดยเร็วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

“อืม รีบหน่อยก็แล้วกัน”

มหาดเล็กรีบร้อนออกไปจากห้องประชุม เสียงพูดคุยจอแจของพวกขุนนางที่เหลืออยู่ในห้องจึงยิ่งดังขึ้นกว่าเดิม

“ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบัน มาทางนี้หน่อย”

ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันที่นั่งอยู่กับที่ด้วยใบหน้าซีดเผือด รีบเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าโยบาเนส

“เจ้าลองอ่านดูเถอะ”

มันเป็นเพียงแค่กระดาษเล็กๆ แผ่นหนึ่งเท่านั้น แต่สารด่วนฉบับนี้เป็นเอกสารทางการที่เจ้าตระกูลไอบันเป็นผู้ส่งถึงจักรพรรดิด้วยตัวเอง

การอนุญาตให้คนอื่นได้อ่านเอกสารฉบับนี้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเห็นใจของฝ่าบาทที่มีต่อตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันอย่างแท้จริง

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

มือของตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันที่รับกระดาษแผ่นนั้นมาถือไว้สั่นเทาไม่หยุด

“เท่าที่ได้ยินมา ดูเหมือนว่าความเสียหายของตระกูลไอบันจะไม่ได้มากอะไรขนาดนั้นแท้ๆ แล้วทำไมเจ้าถึงได้มีสีหน้าหม่นหมองขนาดนั้นกันล่ะ”

โยบาเนสเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“พ่ะย่ะค่ะ อา เรื่องนั้น…”

ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันลังเลไปครู่หนึ่ง แต่เพียงไม่นานก็ส่ายหน้าปฏิเสธ

“ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงแค่ตกใจที่ถึงแม้ฝนจะตกลงมา แต่ตอนนี้ปริมาณน้ำฝนก็ไม่ได้สูงอะไรนัก แต่กลับเกิดเหตุดินถล่มเสียได้เท่านั้นเองพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

“หืม? ก็คงจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ สินะ ต่อให้ทางเหนือจะเป็นเขตหุบเขาก็เถอะ แต่ปกติก็ไม่ค่อยเกิดเหตุดินถล่มเท่าไหร่”

“…”

ถึงแม้จักรพรรดิจะเอ่ยถาม แต่ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันก็เพียงแค่หลบสายตาของพระองค์เท่านั้น ไม่ได้อธิบายอะไรออกไปเพิ่มเติม

“คงจะต้องหาวิธีรับมือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทางเหนือกันเสียก่อน ท่านลอร์ดทั้งหลายคิดเห็นเช่นไรกันบ้าง”

โยบาเนสเอ่ยถามเหล่าขุนนางที่ยังเหลือประปรายในห้องประชุมใหญ่

“อะแฮ่ม”

แต่ครั้งนี้กลับไม่มีคำตอบใดๆ ตอบกลับมา

เป็นเพราะพวกเขากังวลว่า ถ้าหากเผลอพูดอะไรผิดไป อาจจะตกกระไดพลอยโจนกลายเป็นฝ่ายเสียเงินก้อนใหญ่เพื่อช่วยเหลือในการกู้ภัยก็เป็นได้

“เอาไว้เปิดการประชุมอีกครั้งจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”

รูลลัก ลอมบาร์เดีย ลุกขึ้นจากที่นั่งพลางเอ่ยขึ้นว่า

“ให้เวลาสักหน่อย ทุกคนถึงจะไปคิดหาวิธีการให้ความช่วยเหลือมาได้ไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”

สายตาเย็นชาของรูลลักกวาดมองรอบห้องประชุมหนึ่งรอบ

โยบาเนสเองก็เห็นด้วยกับคำพูดของรูลลัก จึงเปิดปากพูดขึ้น

“เช่นนั้นก็เปิดประชุมใหญ่อีกครั้งในอีกสองวันให้หลังแล้วกัน ไปเตรียมวิธีรับมือกับสถานการณ์ดินถล่มทางเหนือกันมาด้วย”

หลังจากกล่าวเช่นนั้น จักรพรรดิก็หันไปพูดกับเฟเรสและอาสทาน่า

“พวกเจ้าชายก็ด้วย ถ้าอย่างนั้นเอาไว้พบกันในอีกสองวันให้หลัง”

โยบาเนสและรูลลัก ลอมบาร์เดีย เดินออกไปจากห้องประชุมพร้อมกัน

ขุนนางที่เหลือต่างเอาแต่พร่ำบ่นด้วยความไม่พอใจ รวมกลุ่มกันสามสี่คนทยอยปลีกตัวออกไปจากห้องประชุมทีละกลุ่ม

“ท่านชายอังเกนัส ทำไมสีหน้าเป็นเช่นนั้นล่ะครับ”

ใครคนหนึ่งที่ขยับกายออกเดินไปพร้อมกับดิวอิจ อังเกนัสเอ่ยถามอีกฝ่าย

“นึกถึงท่านพ่อที่เดินทางไปจัดการงานทางเหนือขึ้นมาได้พอดีน่ะ”

“คงไม่มีเรื่องใหญ่หรอกครับ ท่านก็คงจะอยู่อย่างปลอดภัยในป้อมปราการของเจ้าตระกูลไอบันแหละครับ”

“ตระกูลอังเกนัสกับตระกูลไอบันเองก็เป็นพันธมิตรที่ดีต่อกัน ยังไงก็คงจะดูแลท่านเฟรดริกเป็นคนแรกอยู่แล้วละครับ”

“ใช่ครับ ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น คงแจ้งมาในสารด่วนไปแล้ว ยังไงก็เป็นบิดาขององค์จักรพรรดินีเชียวนะครับ”

“นั่นสิ…ครับ”

ดิวอิจ อังเกนัส ได้แต่ฝืนพยักหน้ายอมเชื่อในคำพูดของผู้คนรอบข้าง ในขณะที่เดินออกไปจากห้องประชุม

* * *

วันนี้เป็นวันที่สามของสัปดาห์

หมายความว่าเป็นวันที่ที่มีการประชุมเล็กของท่านปู่กับทายาทรุ่นสอง

ท่านปู่ตื่นมาทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ แต่การประชุมจะเริ่มขึ้นเมื่อถึงเวลาเกือบเที่ยง

เธอจัดเตรียมผลไม้กับแซนด์วิชมาให้ท่านปู่ที่งานยุ่งสุดๆ และกำลังยืนรออยู่ที่หน้าประตูห้องทำงาน

แกรก

การประชุมจบลงพอดี ประตูถูกเปิดออก ก่อนที่เบเจอร์จะเป็นฝ่ายเดินออกมาคนแรก

และหลังจากนั้นก็เป็นลอเรนซ์ที่เดินหน้าง่วงตามหลังออกมา

มีแค่สองคนเท่านั้น

“สวัสดีค่ะ ท่านลุงทั้งหลาย!”

เธอยิ้มสดใสมากพอกันกับองุ่นสดใหม่ที่ถือไว้ในมือ แล้วกล่าวทักทายเบเจอร์กับลอเรนซ์

“อะ อืม”

ต่างจากลอเรนซ์ที่ถึงจะกระอักกระอ่วน แต่ก็ยังตอบรับคำทักทาย เบเจอร์จ้องเธอด้วยนัยน์ตาขุ่นเคือง ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้แล้วเริ่มพูดจาหาเรื่องกันทันที

“ใช่แล้ว เจ้าน่ะเหมาะกับงานเช่นนี้มากกว่า นำอาหารมาเสิร์ฟตามที่สั่ง หรือไม่ก็ช่วยชงชาให้ เจ้าควรจะทำงานที่เหมาะกับฐานะของเจ้า”

ไอ้เวรนี่ จริงๆ เลย

ถ้าหาเรื่องชวนทะเลาะกันด้วยเรื่องอื่น เธอก็ยังพอจะยอมหัวเราะปล่อยผ่านมันไปได้อยู่หรอก แต่ไอ้คำพูดขุดคุ้ยอดีตของเธอพวกนี้นี่ มันทำให้เธอรู้สึกโมโหเดือดขึ้นมาหน่อยๆ

เธอยิ้มกว้างเป็นรูปโค้งพลางเอ่ยขึ้นว่า

“พอดีว่าข้าน่ะ นอกจากจะบริหารกิจการได้ดีแล้ว งานแบบนี้ก็ทำได้ดีเหมือนกันน่ะค่ะ เฮ้อ แต่ยังไงกิจการก่อสร้างของท่านลุงก็เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นนี่นะ ก็สมควรอยู่หรอกค่ะที่จะอารมณ์เสีย ในเมื่อเละเทะขนาดนั้น…”

“อะไร เกิดเรื่องเละเทะอะไร”

ว่าแล้วเชียว ยังไม่รู้สินะ

ก็อย่างว่านั่นแหละ เห็นว่ายังมาร่วมประชุมกับท่านปู่ได้อย่างสงบแบบนั้น เธอก็พอจะสังเกตได้แล้ว

ชานาเนสที่ทำงานใกล้ชิดกับเหมืองแร่ทางเหนือยังทราบข่าวเรื่องนี้แล้ว และออกไปทำงานแต่เช้าตรู่แท้ๆ

เธอยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดปาก จงใจเบิกตากว้าง ก่อนจะเอ่ยด้วยความตกใจ

“ตายแล้ว ยังไม่ทราบหรือคะเนี่ย”

“รู้เรื่องอะไร”

“ตายจริง ไม่มีใครแจ้งเลยเหรอ…”

“เลิกพูดอ้อมค้อมสักที พูดมาให้มันชัดๆ !”

ทำไมเธอต้องบอกด้วย คิดจะสั่งใครไม่ทราบ

เธอหลีกทางหลบเบเจอร์ แทรกตัวเข้าไปในห้องทำงาน ก่อนจะปิดประตูลงพลางเอ่ยใส่หน้าอีกฝ่าย

“ลำบากหน่อยนะคะ ท่านลุง!”

แกรก

ได้ยินเสียงเบเจอร์ส่งเสียงด่าท่อผ่านประตูที่ถูกปิดลงตามหลังเธอมา และเสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะรีบร้อนวิ่งจากไปด้วยความร้อนรน

หึ วิ่งเต้นไปเถอะ

ถึงแม้ทันทีที่ไปถึงกิจการก่อสร้าง ฝันร้ายของจริงจะมาเยือนทันทีก็เถอะ

เธอฮัมเพลงเสียงแผ่วอารมณ์ดีในขณะที่เดินเข้าไปหาท่านปู่

“ท่านปู่!”

“โอ้ เทียมาแล้วหรือ!”

“ข้าเอาของกินมาให้ท่านปู่น่ะค่ะ!”

“โธ่ คนที่คิดถึงปู่คนนี้ นอกจากเทียก็ไม่มีใครแล้ว!”

ท่านปู่ดูจะยินดีและดีใจกับการมาเยี่ยมของเธอเป็นอย่างมาก

พวกเรานั่งตรงข้ามกัน กินอาหารเช้าอย่างอบอุ่น ก่อนที่เธอจะแอบลอบถาม

“ได้ยินว่าทางเหนือเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นหรือคะ ท่านปู่”

“หืม? เรื่องนั้นเจ้ารู้ได้ยังไง”

“ตอนเช้าข้าแวะไปที่ร้านค้าเพลเลสเลยได้ยินมาน่ะค่ะ เพราะกิจการไปรษณีย์ช่วงนี้ข้าเลยต้องแวะไปที่ร้านค้าบ่อยๆ ไม่ใช่เหรอคะ”

“นั่นสินะ อืม ดูเหมือนกิจการต่างๆ ที่มีรากฐานอยู่ในเขตเหนือ จะได้รับผลกระทบเสียหายไปด้วย”

“พวกเราลอมบาร์เดียเองก็ได้รับผลกระทบด้วยสินะคะเนี่ย โดยเฉพาะเหมืองแร่ กลุ่มการค้า และก็กลุ่มก่อสร้างด้วย…”

พอเธอเริ่มเปิดปากพูด ท่านปู่ก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจเล็กน้อย

“เทีย เจ้าคาดการณ์ได้ถึงเรื่องนั้นเลยหรือเนี่ย เด็กคนนี้ เติบโตขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

มือสากของท่านปู่ลูบหัวเธอด้วยความเอ็นดู

มือคู่นั้นอาจจะเป็นเพียงแค่มืออ่อนโยนที่ปฏิบัติต่อหลานสาวซึ่งเพิ่งจะอายุได้สิบแปดปีเท่านั้น แต่เธอก็ยังหัวเราะเสียงดังแหะๆ ออดอ้อนท่านตามใจอยากเช่นกัน

“ข้าฉลาดที่สุดในลอมบาร์เดียแล้วนี่คะ มีแต่ท่านปู่นั่นแหละที่ไม่ทราบ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า!ใช่แล้ว เจ้าพูดถูก ถึงกับทำให้กิจการไปรษณีย์ประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมเลยนี่นา”

“งั้นตอนนี้ท่านปู่เองก็ยอมรับความสามารถของข้าแล้วใช่มั้ยคะ ทุกคนต่างก็บอกว่าข้าทำได้ดีกันทั้งนั้น แต่ข้ายังไม่ได้ยินจากท่านปู่อยู่คนเดียวเองค่ะ คำชมน่ะ”

ท่าทางแง่งอนพอสมควรไม่ดูน่าเกลียดเกินไปของเธอ ทำให้รอยยิ้มของท่านปู่แปรเปลี่ยนกลายเป็นเสียงหัวเราะลั่น

“คำชมจากปู่คนนี้สำคัญขนาดนั้นเชียวหรือ”

“แน่นอนสิคะ! ท่านปู่เป็นใครกันล่ะคะ!”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ที่จริงแล้วปู่ก็แอบพาเจ้าตระกูลท่านอื่นๆ ไปร่วมงานเปิดตัวกิจการมาเหมือนกัน! หลานปู่น่าภูมิใจมาก!”

ท่านปู่หัวเราะเสียงดังคิกคัก

อืมม ประมาณนี้บรรยากาศน่าจะดีพอแล้วละมั้ง

“ถ้างั้นตอนนี้ท่านปู่ก็ยอมรับข้าแล้วใช่มั้ยคะ”

“จะไม่ยอมรับได้ยังไงกันล่ะ!”

ท่านปู่พยักหน้าลงอย่างหนักแน่น

“ท่านปู่ ข้ามีเรื่องอยากจะบอกค่ะ”

ถ้างั้นก็ เตรียมตัวนะคะ

“เรื่องเหตุดินถล่มทางเหนือน่ะค่ะ ข้ามีความคิดดีๆ อยู่ ลองฟังดูหน่อยมั้ยคะ”

ลุยละนะ!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 140.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 140.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ดินถล่มอย่างนั้นหรือ หนักขนาดไหนถึงได้ส่งสารด่วนมาแบบนี้กัน”

โยบาเนสขยับบั้นท้ายกึ่งลุกขึ้นจากที่นั่งพลางเอ่ยถาม

“ระ เรื่องนั้น…จากสารที่เจ้าตระกูลไอบันส่งมา เห็นว่าเส้นทางการค้าสายหลักถูกตัดขาด พืชสมุนไพรรอบๆ แคมป์ตัดไม้เองก็ถูกฝังกลบหมดเลยพ่ะย่ะค่ะซ้ำร้ายไปกว่านั้น กระทั่งกำแพงเมืองไอบันเองก็พังทลาย…”

“เฮือก!”

“เรื่องใหญ่แล้ว!”

บรรดาขุนนางที่แอบฟังอยู่พร้อมกันต่างส่งเสียงอุทานออกมา

โยบาเนสเองก็ไม่ต่างกัน

แก้วเหล้าถูกยกขึ้นแตะริมฝีปากค้างเอาไว้ ในลำคอลอบเดาะลิ้นเสียงดังจิ๊จ๊ะอยู่หลายครั้ง

ในตอนนั้นเอง รูลลักที่นั่งฟังรายงานอยู่ด้านหน้าที่นั่งฝ่ายซ้ายก็เอ่ยถามจักรพรรดิขึ้นมา

“ฝ่าบาท มีคนเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บมากแค่ไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“คนเสียชีวิต? อา…นั่นสิ เจ้าตระกูลไอบันว่ายังไงบ้าง”

โยบาเนสเพิ่งจะตระหนักได้ถึงหน้าที่ในฐานะจักรพรรดิ จึงเอ่ยถามมหาดเล็กที่เข้ามารายงานทันที

“ในสารที่ทางตระกูลไอบันส่งมา ไม่มีรายงานเรื่องผู้เสียชีวิต…”

มหาดเล็กตื่นตระหนกเล็กน้อย ก่อนจะยื่นกระดาษสีแดงที่ถือไว้ในมือส่งให้แก่โยบาเนส

จักรพรรดิรับกระดาษแผ่นนั้นมาถือไว้ แล้วกวาดสายตาอ่านเนื้อหาในสารคร่าวๆ แต่ไม่มีรายงานแจ้งเกี่ยวกับคนบาดเจ็บหรือเสียชีวิตเลยแม้แต่ประโยคเดียว

“มีการติดต่อจากตระกูลอื่นๆ มาด้วยเช่นกัน กระหม่อมจะรวบรวมแล้วมารายงานให้ทราบโดยเร็วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

“อืม รีบหน่อยก็แล้วกัน”

มหาดเล็กรีบร้อนออกไปจากห้องประชุม เสียงพูดคุยจอแจของพวกขุนนางที่เหลืออยู่ในห้องจึงยิ่งดังขึ้นกว่าเดิม

“ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบัน มาทางนี้หน่อย”

ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันที่นั่งอยู่กับที่ด้วยใบหน้าซีดเผือด รีบเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าโยบาเนส

“เจ้าลองอ่านดูเถอะ”

มันเป็นเพียงแค่กระดาษเล็กๆ แผ่นหนึ่งเท่านั้น แต่สารด่วนฉบับนี้เป็นเอกสารทางการที่เจ้าตระกูลไอบันเป็นผู้ส่งถึงจักรพรรดิด้วยตัวเอง

การอนุญาตให้คนอื่นได้อ่านเอกสารฉบับนี้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเห็นใจของฝ่าบาทที่มีต่อตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันอย่างแท้จริง

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

มือของตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันที่รับกระดาษแผ่นนั้นมาถือไว้สั่นเทาไม่หยุด

“เท่าที่ได้ยินมา ดูเหมือนว่าความเสียหายของตระกูลไอบันจะไม่ได้มากอะไรขนาดนั้นแท้ๆ แล้วทำไมเจ้าถึงได้มีสีหน้าหม่นหมองขนาดนั้นกันล่ะ”

โยบาเนสเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“พ่ะย่ะค่ะ อา เรื่องนั้น…”

ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันลังเลไปครู่หนึ่ง แต่เพียงไม่นานก็ส่ายหน้าปฏิเสธ

“ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงแค่ตกใจที่ถึงแม้ฝนจะตกลงมา แต่ตอนนี้ปริมาณน้ำฝนก็ไม่ได้สูงอะไรนัก แต่กลับเกิดเหตุดินถล่มเสียได้เท่านั้นเองพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

“หืม? ก็คงจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ สินะ ต่อให้ทางเหนือจะเป็นเขตหุบเขาก็เถอะ แต่ปกติก็ไม่ค่อยเกิดเหตุดินถล่มเท่าไหร่”

“…”

ถึงแม้จักรพรรดิจะเอ่ยถาม แต่ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันก็เพียงแค่หลบสายตาของพระองค์เท่านั้น ไม่ได้อธิบายอะไรออกไปเพิ่มเติม

“คงจะต้องหาวิธีรับมือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทางเหนือกันเสียก่อน ท่านลอร์ดทั้งหลายคิดเห็นเช่นไรกันบ้าง”

โยบาเนสเอ่ยถามเหล่าขุนนางที่ยังเหลือประปรายในห้องประชุมใหญ่

“อะแฮ่ม”

แต่ครั้งนี้กลับไม่มีคำตอบใดๆ ตอบกลับมา

เป็นเพราะพวกเขากังวลว่า ถ้าหากเผลอพูดอะไรผิดไป อาจจะตกกระไดพลอยโจนกลายเป็นฝ่ายเสียเงินก้อนใหญ่เพื่อช่วยเหลือในการกู้ภัยก็เป็นได้

“เอาไว้เปิดการประชุมอีกครั้งจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”

รูลลัก ลอมบาร์เดีย ลุกขึ้นจากที่นั่งพลางเอ่ยขึ้นว่า

“ให้เวลาสักหน่อย ทุกคนถึงจะไปคิดหาวิธีการให้ความช่วยเหลือมาได้ไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”

สายตาเย็นชาของรูลลักกวาดมองรอบห้องประชุมหนึ่งรอบ

โยบาเนสเองก็เห็นด้วยกับคำพูดของรูลลัก จึงเปิดปากพูดขึ้น

“เช่นนั้นก็เปิดประชุมใหญ่อีกครั้งในอีกสองวันให้หลังแล้วกัน ไปเตรียมวิธีรับมือกับสถานการณ์ดินถล่มทางเหนือกันมาด้วย”

หลังจากกล่าวเช่นนั้น จักรพรรดิก็หันไปพูดกับเฟเรสและอาสทาน่า

“พวกเจ้าชายก็ด้วย ถ้าอย่างนั้นเอาไว้พบกันในอีกสองวันให้หลัง”

โยบาเนสและรูลลัก ลอมบาร์เดีย เดินออกไปจากห้องประชุมพร้อมกัน

ขุนนางที่เหลือต่างเอาแต่พร่ำบ่นด้วยความไม่พอใจ รวมกลุ่มกันสามสี่คนทยอยปลีกตัวออกไปจากห้องประชุมทีละกลุ่ม

“ท่านชายอังเกนัส ทำไมสีหน้าเป็นเช่นนั้นล่ะครับ”

ใครคนหนึ่งที่ขยับกายออกเดินไปพร้อมกับดิวอิจ อังเกนัสเอ่ยถามอีกฝ่าย

“นึกถึงท่านพ่อที่เดินทางไปจัดการงานทางเหนือขึ้นมาได้พอดีน่ะ”

“คงไม่มีเรื่องใหญ่หรอกครับ ท่านก็คงจะอยู่อย่างปลอดภัยในป้อมปราการของเจ้าตระกูลไอบันแหละครับ”

“ตระกูลอังเกนัสกับตระกูลไอบันเองก็เป็นพันธมิตรที่ดีต่อกัน ยังไงก็คงจะดูแลท่านเฟรดริกเป็นคนแรกอยู่แล้วละครับ”

“ใช่ครับ ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น คงแจ้งมาในสารด่วนไปแล้ว ยังไงก็เป็นบิดาขององค์จักรพรรดินีเชียวนะครับ”

“นั่นสิ…ครับ”

ดิวอิจ อังเกนัส ได้แต่ฝืนพยักหน้ายอมเชื่อในคำพูดของผู้คนรอบข้าง ในขณะที่เดินออกไปจากห้องประชุม

* * *

วันนี้เป็นวันที่สามของสัปดาห์

หมายความว่าเป็นวันที่ที่มีการประชุมเล็กของท่านปู่กับทายาทรุ่นสอง

ท่านปู่ตื่นมาทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ แต่การประชุมจะเริ่มขึ้นเมื่อถึงเวลาเกือบเที่ยง

เธอจัดเตรียมผลไม้กับแซนด์วิชมาให้ท่านปู่ที่งานยุ่งสุดๆ และกำลังยืนรออยู่ที่หน้าประตูห้องทำงาน

แกรก

การประชุมจบลงพอดี ประตูถูกเปิดออก ก่อนที่เบเจอร์จะเป็นฝ่ายเดินออกมาคนแรก

และหลังจากนั้นก็เป็นลอเรนซ์ที่เดินหน้าง่วงตามหลังออกมา

มีแค่สองคนเท่านั้น

“สวัสดีค่ะ ท่านลุงทั้งหลาย!”

เธอยิ้มสดใสมากพอกันกับองุ่นสดใหม่ที่ถือไว้ในมือ แล้วกล่าวทักทายเบเจอร์กับลอเรนซ์

“อะ อืม”

ต่างจากลอเรนซ์ที่ถึงจะกระอักกระอ่วน แต่ก็ยังตอบรับคำทักทาย เบเจอร์จ้องเธอด้วยนัยน์ตาขุ่นเคือง ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้แล้วเริ่มพูดจาหาเรื่องกันทันที

“ใช่แล้ว เจ้าน่ะเหมาะกับงานเช่นนี้มากกว่า นำอาหารมาเสิร์ฟตามที่สั่ง หรือไม่ก็ช่วยชงชาให้ เจ้าควรจะทำงานที่เหมาะกับฐานะของเจ้า”

ไอ้เวรนี่ จริงๆ เลย

ถ้าหาเรื่องชวนทะเลาะกันด้วยเรื่องอื่น เธอก็ยังพอจะยอมหัวเราะปล่อยผ่านมันไปได้อยู่หรอก แต่ไอ้คำพูดขุดคุ้ยอดีตของเธอพวกนี้นี่ มันทำให้เธอรู้สึกโมโหเดือดขึ้นมาหน่อยๆ

เธอยิ้มกว้างเป็นรูปโค้งพลางเอ่ยขึ้นว่า

“พอดีว่าข้าน่ะ นอกจากจะบริหารกิจการได้ดีแล้ว งานแบบนี้ก็ทำได้ดีเหมือนกันน่ะค่ะ เฮ้อ แต่ยังไงกิจการก่อสร้างของท่านลุงก็เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นนี่นะ ก็สมควรอยู่หรอกค่ะที่จะอารมณ์เสีย ในเมื่อเละเทะขนาดนั้น…”

“อะไร เกิดเรื่องเละเทะอะไร”

ว่าแล้วเชียว ยังไม่รู้สินะ

ก็อย่างว่านั่นแหละ เห็นว่ายังมาร่วมประชุมกับท่านปู่ได้อย่างสงบแบบนั้น เธอก็พอจะสังเกตได้แล้ว

ชานาเนสที่ทำงานใกล้ชิดกับเหมืองแร่ทางเหนือยังทราบข่าวเรื่องนี้แล้ว และออกไปทำงานแต่เช้าตรู่แท้ๆ

เธอยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดปาก จงใจเบิกตากว้าง ก่อนจะเอ่ยด้วยความตกใจ

“ตายแล้ว ยังไม่ทราบหรือคะเนี่ย”

“รู้เรื่องอะไร”

“ตายจริง ไม่มีใครแจ้งเลยเหรอ…”

“เลิกพูดอ้อมค้อมสักที พูดมาให้มันชัดๆ !”

ทำไมเธอต้องบอกด้วย คิดจะสั่งใครไม่ทราบ

เธอหลีกทางหลบเบเจอร์ แทรกตัวเข้าไปในห้องทำงาน ก่อนจะปิดประตูลงพลางเอ่ยใส่หน้าอีกฝ่าย

“ลำบากหน่อยนะคะ ท่านลุง!”

แกรก

ได้ยินเสียงเบเจอร์ส่งเสียงด่าท่อผ่านประตูที่ถูกปิดลงตามหลังเธอมา และเสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะรีบร้อนวิ่งจากไปด้วยความร้อนรน

หึ วิ่งเต้นไปเถอะ

ถึงแม้ทันทีที่ไปถึงกิจการก่อสร้าง ฝันร้ายของจริงจะมาเยือนทันทีก็เถอะ

เธอฮัมเพลงเสียงแผ่วอารมณ์ดีในขณะที่เดินเข้าไปหาท่านปู่

“ท่านปู่!”

“โอ้ เทียมาแล้วหรือ!”

“ข้าเอาของกินมาให้ท่านปู่น่ะค่ะ!”

“โธ่ คนที่คิดถึงปู่คนนี้ นอกจากเทียก็ไม่มีใครแล้ว!”

ท่านปู่ดูจะยินดีและดีใจกับการมาเยี่ยมของเธอเป็นอย่างมาก

พวกเรานั่งตรงข้ามกัน กินอาหารเช้าอย่างอบอุ่น ก่อนที่เธอจะแอบลอบถาม

“ได้ยินว่าทางเหนือเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นหรือคะ ท่านปู่”

“หืม? เรื่องนั้นเจ้ารู้ได้ยังไง”

“ตอนเช้าข้าแวะไปที่ร้านค้าเพลเลสเลยได้ยินมาน่ะค่ะ เพราะกิจการไปรษณีย์ช่วงนี้ข้าเลยต้องแวะไปที่ร้านค้าบ่อยๆ ไม่ใช่เหรอคะ”

“นั่นสินะ อืม ดูเหมือนกิจการต่างๆ ที่มีรากฐานอยู่ในเขตเหนือ จะได้รับผลกระทบเสียหายไปด้วย”

“พวกเราลอมบาร์เดียเองก็ได้รับผลกระทบด้วยสินะคะเนี่ย โดยเฉพาะเหมืองแร่ กลุ่มการค้า และก็กลุ่มก่อสร้างด้วย…”

พอเธอเริ่มเปิดปากพูด ท่านปู่ก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจเล็กน้อย

“เทีย เจ้าคาดการณ์ได้ถึงเรื่องนั้นเลยหรือเนี่ย เด็กคนนี้ เติบโตขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

มือสากของท่านปู่ลูบหัวเธอด้วยความเอ็นดู

มือคู่นั้นอาจจะเป็นเพียงแค่มืออ่อนโยนที่ปฏิบัติต่อหลานสาวซึ่งเพิ่งจะอายุได้สิบแปดปีเท่านั้น แต่เธอก็ยังหัวเราะเสียงดังแหะๆ ออดอ้อนท่านตามใจอยากเช่นกัน

“ข้าฉลาดที่สุดในลอมบาร์เดียแล้วนี่คะ มีแต่ท่านปู่นั่นแหละที่ไม่ทราบ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า!ใช่แล้ว เจ้าพูดถูก ถึงกับทำให้กิจการไปรษณีย์ประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมเลยนี่นา”

“งั้นตอนนี้ท่านปู่เองก็ยอมรับความสามารถของข้าแล้วใช่มั้ยคะ ทุกคนต่างก็บอกว่าข้าทำได้ดีกันทั้งนั้น แต่ข้ายังไม่ได้ยินจากท่านปู่อยู่คนเดียวเองค่ะ คำชมน่ะ”

ท่าทางแง่งอนพอสมควรไม่ดูน่าเกลียดเกินไปของเธอ ทำให้รอยยิ้มของท่านปู่แปรเปลี่ยนกลายเป็นเสียงหัวเราะลั่น

“คำชมจากปู่คนนี้สำคัญขนาดนั้นเชียวหรือ”

“แน่นอนสิคะ! ท่านปู่เป็นใครกันล่ะคะ!”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ที่จริงแล้วปู่ก็แอบพาเจ้าตระกูลท่านอื่นๆ ไปร่วมงานเปิดตัวกิจการมาเหมือนกัน! หลานปู่น่าภูมิใจมาก!”

ท่านปู่หัวเราะเสียงดังคิกคัก

อืมม ประมาณนี้บรรยากาศน่าจะดีพอแล้วละมั้ง

“ถ้างั้นตอนนี้ท่านปู่ก็ยอมรับข้าแล้วใช่มั้ยคะ”

“จะไม่ยอมรับได้ยังไงกันล่ะ!”

ท่านปู่พยักหน้าลงอย่างหนักแน่น

“ท่านปู่ ข้ามีเรื่องอยากจะบอกค่ะ”

ถ้างั้นก็ เตรียมตัวนะคะ

“เรื่องเหตุดินถล่มทางเหนือน่ะค่ะ ข้ามีความคิดดีๆ อยู่ ลองฟังดูหน่อยมั้ยคะ”

ลุยละนะ!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+