เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 188.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 188.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เล่ม 5 บทที่ 188.2

หลังจากนั้นดูเหมือนว่าราโมนาเองก็จะเริ่มคลายความรู้สึกอึดอัดใจลงไปได้บ้างแล้ว นางส่งยิ้มตอบกลับมาสดใสยิ่งกว่าเก่า

กระทั่งมุกตลกซุกซนของสองแฝดนางก็ยังรับมุกได้อย่างคล่องแคล่ว บทสนทนาดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องไม่มีหยุดนิ่ง

“แต่เพิ่งเคยเห็นเจ้าชายดื่มชาเป็นครั้งแรกเลยนะเพคะ นึกว่าไม่ชอบดื่มชาเสียอีก”

“ไม่ค่อยชอบพวกน้ำชงชาสมุนไพรเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นชาที่เทียชงให้ข้าดื่มอยู่บ่อยครั้ง”

เฟเรสตอบกลับไปโดยไม่ได้สนใจความรู้สึกในใจที่ราโมนาเก็บซ่อนเอาไว้เลยแม้แต่น้อย

“อา…”

ราโมนายิ้มหม่นหมอง

แต่เฟเรสกลับไม่ทันได้สังเกตเห็น

เพราะนัยน์ตาสีแดงคู่นั้นกำลังมองมาที่เธอ ไม่ใช่ทางด้านนั้น

นัยน์ตากลมสีแดงเข้มดั่งหยาดโลหิต

“มาคุยกันหน่อยสิ เฟเรส”

พอเธอพูดแบบนั้นแล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง เฟเรสก็เดินตามหลังเธอมาเงียบๆ

สถานที่ที่พวกเราเดินมาถึงคือ ห้องหนังสือของเธอ

“ปิดประตู”

เธอสั่งเฟเรส

เด็กหนุ่มจึงปิดประตูตามหลังลงอย่างว่าง่าย

“นั่งลงสิ”

เธอชี้ไปยังเก้าอี้ที่วางอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ

คราวนี้เฟเรสก็ยังคงนั่งลงบนเก้าอี้ตามที่เธอสั่งอย่างว่าง่ายเหมือนเดิม

“ถอดเสื้อผ้าออก”

แต่มือของเด็กหนุ่มที่เอื้อมไปปลดกระดุมเสื้อตามคำสั่งของเธอโดยไม่ได้คิดอะไรกลับหยุดชะงัก

และเบิกตากว้างเงยหน้าขึ้นมองเธอที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา

“ข้าสั่งให้ถอดเสื้อออกไง”

“…เทีย”

นัยน์ตาของเฟเรสสั่นระริก

แพขนตายาวเองก็สั่นไปตามกัน

เธอเร่งเด็กหนุ่มที่มัวแต่อ้อยอิ่งไม่ยอมทำตามสักที

“คนอื่นๆ รออยู่ข้างนอกไม่ใช่หรือไง ไม่มีเวลาแล้ว รีบๆ ถอดเร็ว”

“ข้างนอก…มีคนนะ…”

เฟเรสขมวดคิ้วแน่นจนหน้าผากย่น เขาพึมพำเสียงแผ่วฟังไม่ได้ศัพท์

แต่เพียงไม่นานปลายนิ้วที่หยุดนิ่งไปก็เริ่มปลดกระดุมออกทีละเม็ด

ปลายนิ้วของเขาสั่นเทาอยู่บ้างเล็กน้อย

ฟึบ

ได้ยินเสียงเสื้อเชิ้ตเสียดสีกับผิวกายดังเด่นชัดในโสตประสาทหู

“ฮู่ว”

แผ่นอกเปลือยเปล่าตึงแน่นขยับขึ้นลงตามเสียงลมหายใจสั้นๆ ที่เฟเรสทอดถอนออกมา

สายตาของเฟเรสสบเข้ากับนัยน์ตาของเธอ

เธอมองจ้องเข้าไปในนัยน์ตาสีแดงคู่นั้น แล้วเปิดลิ้นชักโต๊ะหนังสือออกเงียบๆ

ข้างในนั้นมีพวกผ้าพันแผลขาวสะอาดกับขวดยาอยู่

โล่งอกที่เธอเตรียมของพวกนี้ติดโต๊ะเอาไว้ล่วงหน้าเผื่อกรณีฉุกเฉินอยู่บ้าง

“ยาพวกนี้เอสทีร่าเป็นคนทำให้น่ะ”

เธอพูดพลางส่งกล่องยากระปุกเล็กให้เฟเรส

“ทาซะ”

บาดแผลที่แขนซึ่งโดนบาดตอนประลองกับสองแฝดเมื่อก่อนหน้านี้ถูกทิ้งเอาไว้เฉยๆ โดยไม่ได้รับการรักษา

ก็นึกไว้อยู่แล้วเชียวว่าต้องเป็นแบบนี้

เฟเรสรับเอาขวดยาที่เธอส่งให้ไปถือไว้ แต่ก็ยังเอาแต่นั่งนิ่งเงยหน้าขึ้นมองเธออยู่อย่างนั้น

“ไม่ทาหรือไง”

“จะให้…ทายาหรอกเหรอ”

“ก็ใช่น่ะสิ คิดว่าข้าจะให้ช็อกโกแลตหรือไงกัน”

“เฮ้อ…”

จู่ๆ เฟเรสก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

อะไรกัน ทำไมเจ้าต้องถอนหายใจขนาดนั้นล่ะเนี่ย

เฟเรสเอาแต่มองเธอสลับกับขวดยาด้วยนัยน์ตาละเหี่ยใจยังไงชอบกล เขาแสยะยิ้มเหมือนจะเย้ยหยันตัวเอง ก่อนจะหลุดหัวเราะเสียงแผ่วด้วยความหดหู่ใจ

เธอดึงขวดยากลับคืนมาจากมือของเฟเรส แล้วเปิดฝาออกพลางพูดกับเขาไปด้วย

“ต่อให้ไม่ใช่บาดแผลใหญ่อะไรก็เถอะ แต่ยังไงมันก็เป็นแผลจากคมดาบนะ ต้องทายาให้ดีสิ”

แล้วควักยาทาลงบนบาดแผลให้เขาอย่างระมัดระวัง

“ถึงยังไง…”

“อย่าได้คิดเชียวว่า ถึงยังไงก็มีแผลเยอะอยู่แล้ว จะเพิ่มขึ้นอีกสักแผลสองแผลก็ไม่สนใจ”

เฟเรสที่เพิ่งจะอ้าปากพูดได้แค่ครึ่งคำปิดปากแน่น

“แล้วที่ถอนหายใจเมื่อครู่นี้มันอะไรกันฮะ”

คำถามของเธอทำให้เฟเรสนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงแผ่ว

“…เปล่า แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”

เอาแต่พูดอะไรที่เธอไม่เข้าใจความหมายเหมือนเดิมอยู่ได้ แต่เธอก็ไม่ได้คิดที่จะรีดเค้นเอาคำตอบจากเขาอยู่แล้ว

ก็แค่ตงิดใจเรื่องที่ถอนหายใจหนักอึ้งออกมาเฉยๆ

เธอพูดพลางปิดแผลพันทับด้วยผ้าหลังจากที่ทายาเสร็จเรียบร้อย

“รักษาเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาให้ช็อกโกแลตแล้วเนอะ”

เฟเรสยิ้มหวานตอบเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ

“…อื้อ”

* * *

ช่วงเวลาอันแสนมืดมิดหลังจากผ่านเที่ยงคืนไปได้ไม่กี่ชั่วโมง

เบ๊ตกำลังหยิบเอกสารที่วางกระจัดกระจายไปทั่วขึ้นมาอ่านทีละแผ่น

มองผิวเผินมันอาจจะเป็นแค่กองเอกสารทั่วไป แต่แท้จริงแล้วมันได้ถูกวิเคราะห์แยกประเภทผ่านสายตาอันเฉียบแหลมของเบ๊ตมาแล้ว

งานน่าเบื่อแบบนี้กินเวลาหลายชั่วโมงซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น

แต่ใบหน้าของเบ๊ตกลับไม่มีสีหน้าเหนื่อยล้าเลยแม้แต่น้อย

มีเพียงแค่รอยย่นบนหน้าผากที่ลึกขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนชั่วโมงที่ผ่านไปเท่านั้น

“อืมมมม…”

เบ๊ตถือกระดาษแผ่นเดิมอ่านอยู่พักใหญ่ แล้วก็หยิบเอากระดาษอีกแผ่นขึ้นมาจากกองเอกสารที่กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะขึ้นมาถือไว้ในมืออีกข้าง

“แปลก”

เบ๊ตพึมพำเสียงแผ่ว มือกุมขมับด้วยความไม่เข้าใจ

มันมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง

ข้อมูลที่สายข่าวส่งมาให้มันทั้งสับสนและไม่ชัดเจนเอาเสียเลย

แต่ยังไงการแยกแยะว่าสิ่งใดเป็นจริงสิ่งใดเป็นเท็จ และการเชื่อมโยงสิ่งที่ดูผิวเผินแล้วไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันนั้น ก็ถือเป็นความสามารถเฉพาะตัวของเบ๊ตคนนี้อยู่แล้ว

และเขาก็ทำงานที่ว่านี่ได้ยอดเยี่ยมมากเสียด้วย

แต่ก็ยังมีวันแบบนี้อยู่บ้างเหมือนกัน

วันที่มองหนทางข้างหน้าไม่ชัดเจน ราวกับถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยม่านหมอกสีขาวขุ่น

ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าหลังหมอกควันนั่นจะต้องมีอะไรบางอย่างอยู่แน่ๆ แต่กลับคาดเดาไม่ได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร

“เวลาแบบนี้คงต้องพักสักหน่อย”

เบ๊ตพึมพำอยู่คนเดียว ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่ง แล้วเดินตรงไปเปิดหน้าต่างออก

อากาศเย็นสบายยามรุ่งสางพัดผ่านเข้ามา ช่วยปลุกสมองที่เหนื่อยล้าให้ตื่นขึ้นได้บ้าง

“พระอาทิตย์ขึ้นแล้วหรือเนี่ย”

เบ๊ตเหม่อมองท้องฟ้าที่ค่อยๆ สว่างขึ้นทีละน้อย มือหยิบเอาบุหรี่คาบไว้ในปาก แล้วจุดไฟแช็ก

ทว่าเขากลับยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ปลายบุหรี่ลุกไหม้เกิดเป็นสีแดงลุกลามไปเรื่อย

สายตายังคงเหม่อมองท้องฟ้า เพียงแค่กะพริบตาบ้างเป็นบางครั้ง

ความคิดยืดยาวต่อไปไม่จบไม่สิ้น

เส้นใยที่เชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ ที่เขาเคยมองหาจุดเชื่อมโยงไม่ออกพลันปรากฏขึ้นในหัวสมอง

หมอกควันจางหายไป

และบุหรี่ในมือของเบ๊ตที่เริ่มมองเห็นทางเดินข้างหน้าก็ร่วงตกลงพื้น

“…ฉิบหายแล้ว!”

เบ๊ตรีบวิ่งกลับไปที่โต๊ะหนังสืออย่างรวดเร็ว ก่อนจะพลิกกองเอกสารบนโต๊ะอย่างบ้าคลั่ง

“ชานตั้น เซอเชาว์…!”

แท้จริงแล้วสิ่งที่เขาตงิดใจมาโดยตลอดว่ามันแปลกๆ จนทำให้ศีรษะปวดจี๊ดอยู่เรื่อยก็คือ เจ้าตระกูลเซอเชาว์นั่นเอง

หลังจากไปร่วมงานเลี้ยงน้ำชาที่วังจักรพรรดินี ร่องรอยของเจ้าตระกูลเซอเชาว์คนนั้นก็หายไปอย่างไร้ซึ่งข่าวคราว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 188.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 188.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เล่ม 5 บทที่ 188.2

หลังจากนั้นดูเหมือนว่าราโมนาเองก็จะเริ่มคลายความรู้สึกอึดอัดใจลงไปได้บ้างแล้ว นางส่งยิ้มตอบกลับมาสดใสยิ่งกว่าเก่า

กระทั่งมุกตลกซุกซนของสองแฝดนางก็ยังรับมุกได้อย่างคล่องแคล่ว บทสนทนาดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องไม่มีหยุดนิ่ง

“แต่เพิ่งเคยเห็นเจ้าชายดื่มชาเป็นครั้งแรกเลยนะเพคะ นึกว่าไม่ชอบดื่มชาเสียอีก”

“ไม่ค่อยชอบพวกน้ำชงชาสมุนไพรเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นชาที่เทียชงให้ข้าดื่มอยู่บ่อยครั้ง”

เฟเรสตอบกลับไปโดยไม่ได้สนใจความรู้สึกในใจที่ราโมนาเก็บซ่อนเอาไว้เลยแม้แต่น้อย

“อา…”

ราโมนายิ้มหม่นหมอง

แต่เฟเรสกลับไม่ทันได้สังเกตเห็น

เพราะนัยน์ตาสีแดงคู่นั้นกำลังมองมาที่เธอ ไม่ใช่ทางด้านนั้น

นัยน์ตากลมสีแดงเข้มดั่งหยาดโลหิต

“มาคุยกันหน่อยสิ เฟเรส”

พอเธอพูดแบบนั้นแล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง เฟเรสก็เดินตามหลังเธอมาเงียบๆ

สถานที่ที่พวกเราเดินมาถึงคือ ห้องหนังสือของเธอ

“ปิดประตู”

เธอสั่งเฟเรส

เด็กหนุ่มจึงปิดประตูตามหลังลงอย่างว่าง่าย

“นั่งลงสิ”

เธอชี้ไปยังเก้าอี้ที่วางอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ

คราวนี้เฟเรสก็ยังคงนั่งลงบนเก้าอี้ตามที่เธอสั่งอย่างว่าง่ายเหมือนเดิม

“ถอดเสื้อผ้าออก”

แต่มือของเด็กหนุ่มที่เอื้อมไปปลดกระดุมเสื้อตามคำสั่งของเธอโดยไม่ได้คิดอะไรกลับหยุดชะงัก

และเบิกตากว้างเงยหน้าขึ้นมองเธอที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา

“ข้าสั่งให้ถอดเสื้อออกไง”

“…เทีย”

นัยน์ตาของเฟเรสสั่นระริก

แพขนตายาวเองก็สั่นไปตามกัน

เธอเร่งเด็กหนุ่มที่มัวแต่อ้อยอิ่งไม่ยอมทำตามสักที

“คนอื่นๆ รออยู่ข้างนอกไม่ใช่หรือไง ไม่มีเวลาแล้ว รีบๆ ถอดเร็ว”

“ข้างนอก…มีคนนะ…”

เฟเรสขมวดคิ้วแน่นจนหน้าผากย่น เขาพึมพำเสียงแผ่วฟังไม่ได้ศัพท์

แต่เพียงไม่นานปลายนิ้วที่หยุดนิ่งไปก็เริ่มปลดกระดุมออกทีละเม็ด

ปลายนิ้วของเขาสั่นเทาอยู่บ้างเล็กน้อย

ฟึบ

ได้ยินเสียงเสื้อเชิ้ตเสียดสีกับผิวกายดังเด่นชัดในโสตประสาทหู

“ฮู่ว”

แผ่นอกเปลือยเปล่าตึงแน่นขยับขึ้นลงตามเสียงลมหายใจสั้นๆ ที่เฟเรสทอดถอนออกมา

สายตาของเฟเรสสบเข้ากับนัยน์ตาของเธอ

เธอมองจ้องเข้าไปในนัยน์ตาสีแดงคู่นั้น แล้วเปิดลิ้นชักโต๊ะหนังสือออกเงียบๆ

ข้างในนั้นมีพวกผ้าพันแผลขาวสะอาดกับขวดยาอยู่

โล่งอกที่เธอเตรียมของพวกนี้ติดโต๊ะเอาไว้ล่วงหน้าเผื่อกรณีฉุกเฉินอยู่บ้าง

“ยาพวกนี้เอสทีร่าเป็นคนทำให้น่ะ”

เธอพูดพลางส่งกล่องยากระปุกเล็กให้เฟเรส

“ทาซะ”

บาดแผลที่แขนซึ่งโดนบาดตอนประลองกับสองแฝดเมื่อก่อนหน้านี้ถูกทิ้งเอาไว้เฉยๆ โดยไม่ได้รับการรักษา

ก็นึกไว้อยู่แล้วเชียวว่าต้องเป็นแบบนี้

เฟเรสรับเอาขวดยาที่เธอส่งให้ไปถือไว้ แต่ก็ยังเอาแต่นั่งนิ่งเงยหน้าขึ้นมองเธออยู่อย่างนั้น

“ไม่ทาหรือไง”

“จะให้…ทายาหรอกเหรอ”

“ก็ใช่น่ะสิ คิดว่าข้าจะให้ช็อกโกแลตหรือไงกัน”

“เฮ้อ…”

จู่ๆ เฟเรสก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

อะไรกัน ทำไมเจ้าต้องถอนหายใจขนาดนั้นล่ะเนี่ย

เฟเรสเอาแต่มองเธอสลับกับขวดยาด้วยนัยน์ตาละเหี่ยใจยังไงชอบกล เขาแสยะยิ้มเหมือนจะเย้ยหยันตัวเอง ก่อนจะหลุดหัวเราะเสียงแผ่วด้วยความหดหู่ใจ

เธอดึงขวดยากลับคืนมาจากมือของเฟเรส แล้วเปิดฝาออกพลางพูดกับเขาไปด้วย

“ต่อให้ไม่ใช่บาดแผลใหญ่อะไรก็เถอะ แต่ยังไงมันก็เป็นแผลจากคมดาบนะ ต้องทายาให้ดีสิ”

แล้วควักยาทาลงบนบาดแผลให้เขาอย่างระมัดระวัง

“ถึงยังไง…”

“อย่าได้คิดเชียวว่า ถึงยังไงก็มีแผลเยอะอยู่แล้ว จะเพิ่มขึ้นอีกสักแผลสองแผลก็ไม่สนใจ”

เฟเรสที่เพิ่งจะอ้าปากพูดได้แค่ครึ่งคำปิดปากแน่น

“แล้วที่ถอนหายใจเมื่อครู่นี้มันอะไรกันฮะ”

คำถามของเธอทำให้เฟเรสนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงแผ่ว

“…เปล่า แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”

เอาแต่พูดอะไรที่เธอไม่เข้าใจความหมายเหมือนเดิมอยู่ได้ แต่เธอก็ไม่ได้คิดที่จะรีดเค้นเอาคำตอบจากเขาอยู่แล้ว

ก็แค่ตงิดใจเรื่องที่ถอนหายใจหนักอึ้งออกมาเฉยๆ

เธอพูดพลางปิดแผลพันทับด้วยผ้าหลังจากที่ทายาเสร็จเรียบร้อย

“รักษาเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาให้ช็อกโกแลตแล้วเนอะ”

เฟเรสยิ้มหวานตอบเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ

“…อื้อ”

* * *

ช่วงเวลาอันแสนมืดมิดหลังจากผ่านเที่ยงคืนไปได้ไม่กี่ชั่วโมง

เบ๊ตกำลังหยิบเอกสารที่วางกระจัดกระจายไปทั่วขึ้นมาอ่านทีละแผ่น

มองผิวเผินมันอาจจะเป็นแค่กองเอกสารทั่วไป แต่แท้จริงแล้วมันได้ถูกวิเคราะห์แยกประเภทผ่านสายตาอันเฉียบแหลมของเบ๊ตมาแล้ว

งานน่าเบื่อแบบนี้กินเวลาหลายชั่วโมงซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น

แต่ใบหน้าของเบ๊ตกลับไม่มีสีหน้าเหนื่อยล้าเลยแม้แต่น้อย

มีเพียงแค่รอยย่นบนหน้าผากที่ลึกขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนชั่วโมงที่ผ่านไปเท่านั้น

“อืมมมม…”

เบ๊ตถือกระดาษแผ่นเดิมอ่านอยู่พักใหญ่ แล้วก็หยิบเอากระดาษอีกแผ่นขึ้นมาจากกองเอกสารที่กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะขึ้นมาถือไว้ในมืออีกข้าง

“แปลก”

เบ๊ตพึมพำเสียงแผ่ว มือกุมขมับด้วยความไม่เข้าใจ

มันมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง

ข้อมูลที่สายข่าวส่งมาให้มันทั้งสับสนและไม่ชัดเจนเอาเสียเลย

แต่ยังไงการแยกแยะว่าสิ่งใดเป็นจริงสิ่งใดเป็นเท็จ และการเชื่อมโยงสิ่งที่ดูผิวเผินแล้วไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันนั้น ก็ถือเป็นความสามารถเฉพาะตัวของเบ๊ตคนนี้อยู่แล้ว

และเขาก็ทำงานที่ว่านี่ได้ยอดเยี่ยมมากเสียด้วย

แต่ก็ยังมีวันแบบนี้อยู่บ้างเหมือนกัน

วันที่มองหนทางข้างหน้าไม่ชัดเจน ราวกับถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยม่านหมอกสีขาวขุ่น

ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าหลังหมอกควันนั่นจะต้องมีอะไรบางอย่างอยู่แน่ๆ แต่กลับคาดเดาไม่ได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร

“เวลาแบบนี้คงต้องพักสักหน่อย”

เบ๊ตพึมพำอยู่คนเดียว ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่ง แล้วเดินตรงไปเปิดหน้าต่างออก

อากาศเย็นสบายยามรุ่งสางพัดผ่านเข้ามา ช่วยปลุกสมองที่เหนื่อยล้าให้ตื่นขึ้นได้บ้าง

“พระอาทิตย์ขึ้นแล้วหรือเนี่ย”

เบ๊ตเหม่อมองท้องฟ้าที่ค่อยๆ สว่างขึ้นทีละน้อย มือหยิบเอาบุหรี่คาบไว้ในปาก แล้วจุดไฟแช็ก

ทว่าเขากลับยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ปลายบุหรี่ลุกไหม้เกิดเป็นสีแดงลุกลามไปเรื่อย

สายตายังคงเหม่อมองท้องฟ้า เพียงแค่กะพริบตาบ้างเป็นบางครั้ง

ความคิดยืดยาวต่อไปไม่จบไม่สิ้น

เส้นใยที่เชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ ที่เขาเคยมองหาจุดเชื่อมโยงไม่ออกพลันปรากฏขึ้นในหัวสมอง

หมอกควันจางหายไป

และบุหรี่ในมือของเบ๊ตที่เริ่มมองเห็นทางเดินข้างหน้าก็ร่วงตกลงพื้น

“…ฉิบหายแล้ว!”

เบ๊ตรีบวิ่งกลับไปที่โต๊ะหนังสืออย่างรวดเร็ว ก่อนจะพลิกกองเอกสารบนโต๊ะอย่างบ้าคลั่ง

“ชานตั้น เซอเชาว์…!”

แท้จริงแล้วสิ่งที่เขาตงิดใจมาโดยตลอดว่ามันแปลกๆ จนทำให้ศีรษะปวดจี๊ดอยู่เรื่อยก็คือ เจ้าตระกูลเซอเชาว์นั่นเอง

หลังจากไปร่วมงานเลี้ยงน้ำชาที่วังจักรพรรดินี ร่องรอยของเจ้าตระกูลเซอเชาว์คนนั้นก็หายไปอย่างไร้ซึ่งข่าวคราว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 188.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 188.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เล่ม 5 บทที่ 188.2

หลังจากนั้นดูเหมือนว่าราโมนาเองก็จะเริ่มคลายความรู้สึกอึดอัดใจลงไปได้บ้างแล้ว นางส่งยิ้มตอบกลับมาสดใสยิ่งกว่าเก่า

กระทั่งมุกตลกซุกซนของสองแฝดนางก็ยังรับมุกได้อย่างคล่องแคล่ว บทสนทนาดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องไม่มีหยุดนิ่ง

“แต่เพิ่งเคยเห็นเจ้าชายดื่มชาเป็นครั้งแรกเลยนะเพคะ นึกว่าไม่ชอบดื่มชาเสียอีก”

“ไม่ค่อยชอบพวกน้ำชงชาสมุนไพรเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นชาที่เทียชงให้ข้าดื่มอยู่บ่อยครั้ง”

เฟเรสตอบกลับไปโดยไม่ได้สนใจความรู้สึกในใจที่ราโมนาเก็บซ่อนเอาไว้เลยแม้แต่น้อย

“อา…”

ราโมนายิ้มหม่นหมอง

แต่เฟเรสกลับไม่ทันได้สังเกตเห็น

เพราะนัยน์ตาสีแดงคู่นั้นกำลังมองมาที่เธอ ไม่ใช่ทางด้านนั้น

นัยน์ตากลมสีแดงเข้มดั่งหยาดโลหิต

“มาคุยกันหน่อยสิ เฟเรส”

พอเธอพูดแบบนั้นแล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง เฟเรสก็เดินตามหลังเธอมาเงียบๆ

สถานที่ที่พวกเราเดินมาถึงคือ ห้องหนังสือของเธอ

“ปิดประตู”

เธอสั่งเฟเรส

เด็กหนุ่มจึงปิดประตูตามหลังลงอย่างว่าง่าย

“นั่งลงสิ”

เธอชี้ไปยังเก้าอี้ที่วางอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ

คราวนี้เฟเรสก็ยังคงนั่งลงบนเก้าอี้ตามที่เธอสั่งอย่างว่าง่ายเหมือนเดิม

“ถอดเสื้อผ้าออก”

แต่มือของเด็กหนุ่มที่เอื้อมไปปลดกระดุมเสื้อตามคำสั่งของเธอโดยไม่ได้คิดอะไรกลับหยุดชะงัก

และเบิกตากว้างเงยหน้าขึ้นมองเธอที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา

“ข้าสั่งให้ถอดเสื้อออกไง”

“…เทีย”

นัยน์ตาของเฟเรสสั่นระริก

แพขนตายาวเองก็สั่นไปตามกัน

เธอเร่งเด็กหนุ่มที่มัวแต่อ้อยอิ่งไม่ยอมทำตามสักที

“คนอื่นๆ รออยู่ข้างนอกไม่ใช่หรือไง ไม่มีเวลาแล้ว รีบๆ ถอดเร็ว”

“ข้างนอก…มีคนนะ…”

เฟเรสขมวดคิ้วแน่นจนหน้าผากย่น เขาพึมพำเสียงแผ่วฟังไม่ได้ศัพท์

แต่เพียงไม่นานปลายนิ้วที่หยุดนิ่งไปก็เริ่มปลดกระดุมออกทีละเม็ด

ปลายนิ้วของเขาสั่นเทาอยู่บ้างเล็กน้อย

ฟึบ

ได้ยินเสียงเสื้อเชิ้ตเสียดสีกับผิวกายดังเด่นชัดในโสตประสาทหู

“ฮู่ว”

แผ่นอกเปลือยเปล่าตึงแน่นขยับขึ้นลงตามเสียงลมหายใจสั้นๆ ที่เฟเรสทอดถอนออกมา

สายตาของเฟเรสสบเข้ากับนัยน์ตาของเธอ

เธอมองจ้องเข้าไปในนัยน์ตาสีแดงคู่นั้น แล้วเปิดลิ้นชักโต๊ะหนังสือออกเงียบๆ

ข้างในนั้นมีพวกผ้าพันแผลขาวสะอาดกับขวดยาอยู่

โล่งอกที่เธอเตรียมของพวกนี้ติดโต๊ะเอาไว้ล่วงหน้าเผื่อกรณีฉุกเฉินอยู่บ้าง

“ยาพวกนี้เอสทีร่าเป็นคนทำให้น่ะ”

เธอพูดพลางส่งกล่องยากระปุกเล็กให้เฟเรส

“ทาซะ”

บาดแผลที่แขนซึ่งโดนบาดตอนประลองกับสองแฝดเมื่อก่อนหน้านี้ถูกทิ้งเอาไว้เฉยๆ โดยไม่ได้รับการรักษา

ก็นึกไว้อยู่แล้วเชียวว่าต้องเป็นแบบนี้

เฟเรสรับเอาขวดยาที่เธอส่งให้ไปถือไว้ แต่ก็ยังเอาแต่นั่งนิ่งเงยหน้าขึ้นมองเธออยู่อย่างนั้น

“ไม่ทาหรือไง”

“จะให้…ทายาหรอกเหรอ”

“ก็ใช่น่ะสิ คิดว่าข้าจะให้ช็อกโกแลตหรือไงกัน”

“เฮ้อ…”

จู่ๆ เฟเรสก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

อะไรกัน ทำไมเจ้าต้องถอนหายใจขนาดนั้นล่ะเนี่ย

เฟเรสเอาแต่มองเธอสลับกับขวดยาด้วยนัยน์ตาละเหี่ยใจยังไงชอบกล เขาแสยะยิ้มเหมือนจะเย้ยหยันตัวเอง ก่อนจะหลุดหัวเราะเสียงแผ่วด้วยความหดหู่ใจ

เธอดึงขวดยากลับคืนมาจากมือของเฟเรส แล้วเปิดฝาออกพลางพูดกับเขาไปด้วย

“ต่อให้ไม่ใช่บาดแผลใหญ่อะไรก็เถอะ แต่ยังไงมันก็เป็นแผลจากคมดาบนะ ต้องทายาให้ดีสิ”

แล้วควักยาทาลงบนบาดแผลให้เขาอย่างระมัดระวัง

“ถึงยังไง…”

“อย่าได้คิดเชียวว่า ถึงยังไงก็มีแผลเยอะอยู่แล้ว จะเพิ่มขึ้นอีกสักแผลสองแผลก็ไม่สนใจ”

เฟเรสที่เพิ่งจะอ้าปากพูดได้แค่ครึ่งคำปิดปากแน่น

“แล้วที่ถอนหายใจเมื่อครู่นี้มันอะไรกันฮะ”

คำถามของเธอทำให้เฟเรสนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงแผ่ว

“…เปล่า แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”

เอาแต่พูดอะไรที่เธอไม่เข้าใจความหมายเหมือนเดิมอยู่ได้ แต่เธอก็ไม่ได้คิดที่จะรีดเค้นเอาคำตอบจากเขาอยู่แล้ว

ก็แค่ตงิดใจเรื่องที่ถอนหายใจหนักอึ้งออกมาเฉยๆ

เธอพูดพลางปิดแผลพันทับด้วยผ้าหลังจากที่ทายาเสร็จเรียบร้อย

“รักษาเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาให้ช็อกโกแลตแล้วเนอะ”

เฟเรสยิ้มหวานตอบเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ

“…อื้อ”

* * *

ช่วงเวลาอันแสนมืดมิดหลังจากผ่านเที่ยงคืนไปได้ไม่กี่ชั่วโมง

เบ๊ตกำลังหยิบเอกสารที่วางกระจัดกระจายไปทั่วขึ้นมาอ่านทีละแผ่น

มองผิวเผินมันอาจจะเป็นแค่กองเอกสารทั่วไป แต่แท้จริงแล้วมันได้ถูกวิเคราะห์แยกประเภทผ่านสายตาอันเฉียบแหลมของเบ๊ตมาแล้ว

งานน่าเบื่อแบบนี้กินเวลาหลายชั่วโมงซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น

แต่ใบหน้าของเบ๊ตกลับไม่มีสีหน้าเหนื่อยล้าเลยแม้แต่น้อย

มีเพียงแค่รอยย่นบนหน้าผากที่ลึกขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนชั่วโมงที่ผ่านไปเท่านั้น

“อืมมมม…”

เบ๊ตถือกระดาษแผ่นเดิมอ่านอยู่พักใหญ่ แล้วก็หยิบเอากระดาษอีกแผ่นขึ้นมาจากกองเอกสารที่กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะขึ้นมาถือไว้ในมืออีกข้าง

“แปลก”

เบ๊ตพึมพำเสียงแผ่ว มือกุมขมับด้วยความไม่เข้าใจ

มันมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง

ข้อมูลที่สายข่าวส่งมาให้มันทั้งสับสนและไม่ชัดเจนเอาเสียเลย

แต่ยังไงการแยกแยะว่าสิ่งใดเป็นจริงสิ่งใดเป็นเท็จ และการเชื่อมโยงสิ่งที่ดูผิวเผินแล้วไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันนั้น ก็ถือเป็นความสามารถเฉพาะตัวของเบ๊ตคนนี้อยู่แล้ว

และเขาก็ทำงานที่ว่านี่ได้ยอดเยี่ยมมากเสียด้วย

แต่ก็ยังมีวันแบบนี้อยู่บ้างเหมือนกัน

วันที่มองหนทางข้างหน้าไม่ชัดเจน ราวกับถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยม่านหมอกสีขาวขุ่น

ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าหลังหมอกควันนั่นจะต้องมีอะไรบางอย่างอยู่แน่ๆ แต่กลับคาดเดาไม่ได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร

“เวลาแบบนี้คงต้องพักสักหน่อย”

เบ๊ตพึมพำอยู่คนเดียว ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่ง แล้วเดินตรงไปเปิดหน้าต่างออก

อากาศเย็นสบายยามรุ่งสางพัดผ่านเข้ามา ช่วยปลุกสมองที่เหนื่อยล้าให้ตื่นขึ้นได้บ้าง

“พระอาทิตย์ขึ้นแล้วหรือเนี่ย”

เบ๊ตเหม่อมองท้องฟ้าที่ค่อยๆ สว่างขึ้นทีละน้อย มือหยิบเอาบุหรี่คาบไว้ในปาก แล้วจุดไฟแช็ก

ทว่าเขากลับยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ปลายบุหรี่ลุกไหม้เกิดเป็นสีแดงลุกลามไปเรื่อย

สายตายังคงเหม่อมองท้องฟ้า เพียงแค่กะพริบตาบ้างเป็นบางครั้ง

ความคิดยืดยาวต่อไปไม่จบไม่สิ้น

เส้นใยที่เชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ ที่เขาเคยมองหาจุดเชื่อมโยงไม่ออกพลันปรากฏขึ้นในหัวสมอง

หมอกควันจางหายไป

และบุหรี่ในมือของเบ๊ตที่เริ่มมองเห็นทางเดินข้างหน้าก็ร่วงตกลงพื้น

“…ฉิบหายแล้ว!”

เบ๊ตรีบวิ่งกลับไปที่โต๊ะหนังสืออย่างรวดเร็ว ก่อนจะพลิกกองเอกสารบนโต๊ะอย่างบ้าคลั่ง

“ชานตั้น เซอเชาว์…!”

แท้จริงแล้วสิ่งที่เขาตงิดใจมาโดยตลอดว่ามันแปลกๆ จนทำให้ศีรษะปวดจี๊ดอยู่เรื่อยก็คือ เจ้าตระกูลเซอเชาว์นั่นเอง

หลังจากไปร่วมงานเลี้ยงน้ำชาที่วังจักรพรรดินี ร่องรอยของเจ้าตระกูลเซอเชาว์คนนั้นก็หายไปอย่างไร้ซึ่งข่าวคราว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+