เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 121.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 121.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ข้ามาแล้วค่ะ”

เธอปลดฮู้ดที่คลุมศีรษะออกพลางพูดขึ้น

“มาแล้วหรือครับ ท่านฟีเรนเทีย”

เครย์ลีบันถอดแว่นตาออก กล่าวต้อนรับเธอด้วยความยินดี

ในปีนี้เครย์ลีบันได้ต้อนรับปีสุดท้ายของช่วงวัย 30 เขาทำให้เธอถึงกับคิดว่า ‘ผู้ชายที่ยิ่งอายุมากก็ยิ่งหล่อ คือแบบนี้นี่เอง’ เลยละ

ผมยาวที่เคยมัดรวบเป็นกระจุก พอเข้าปีนี้มันก็ถูกตัดจนสั้น และมักจะถูกหวีเสยไปด้านหลังอย่างเป็นระเบียบดูเรียบร้อย แววตาคู่นั้นยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งดูลึกล้ำอ่านออกได้ยากมากขึ้นทุกที

และเหนือสิ่งอื่นใด จุดที่มีเสน่ห์มากที่สุดของเครย์ลีบันก็คือร้านค้าเพลเลสแห่งนี้นี่แหละ

เขาไม่มีคนรัก ไม่เคยคบใครจนถูกเรียกว่าเป็น ‘ผู้ถือศีล’ อีกทั้งเครย์ลีบันผู้หล่อเหลาคนนี้อายุก็ถือว่ายังไม่มากนัก และยังเป็นถึงผู้ก่อตั้งร้านค้าเพลเลสอีกด้วย

“วันนี้ก็เสียงดังหนวกหูนิดหน่อยนะคะเนี่ย การก่อสร้างจะเสร็จเมื่อไหร่เหรอคะ”

“การก่อสร้างทางตะวันตกคาดว่าจะเสร็จในวันนี้ครับ แต่ทางใต้งานใหญ่ทีเดียว ท่าทางคงจะต้องปูถนนกันใหม่ คงจะกินเวลาไปอีกหลายสัปดาห์ครับ”

“ช่วยไม่ได้สินะคะ แต่ก็นะ ทุกคนเองก็ทำงานกันหนักเลยทีเดียว”

ถึงแม้ฝุ่นจะคลุ้งตลบ การก่อสร้างจะส่งเสียงดังหนวกหู แต่ยังไงก็ต้องคอยตามดูความคืบหน้างานของร้านค้าอยู่ดี

แต่เครย์ลีบันกลับส่ายหน้ายิ้มๆ

“อาคารในละแวกนี้กับที่ดินทั้งหมด พวกเราได้กว้านซื้อสร้างเป็นตึกของพวกเรา เรื่องแค่นี้ย่อมอดทนไหวอยู่แล้วละครับ”

เครย์ลีบันมีสีหน้าปลื้มปริ่มเหมือนคนที่ต่อให้ไม่กินข้าวก็ยังอิ่มทิพย์ได้

นับตั้งแต่วันที่ท่านปู่ล้มไปวันนั้น เวลาก็ผ่านมาได้ห้าปีครึ่งแล้ว

ตลอดระยะเวลาอันแสนยาวนาน ร้านค้าเพลเลสได้พัฒนาเติบโตขึ้นอย่างยิ่งใหญ่

อาคารของร้านค้าเพลเลสที่เธอซื้อให้เครย์ลีบันในตอนแรก เพียงไม่นานก็กลายเป็นเล็กเกินไป จนต้องกว้านซื้ออาคารในละแวกใกล้เคียงเพิ่มทีละหนึ่งคูหา สองคูหา

และก็สามารถรวมมันเป็นอาคารเดียวได้ในที่สุด

อีกอย่างนอกจากสถานที่แห่งนี้ที่ตั้งอยู่ในลอมบาร์เดียซึ่งอยู่ตอนกลางของอาณาจักรเป็นสำนักงานใหญ่แล้ว ก็ยังมีสาขาทางตะวันออกกับสาขาทางใต้สร้างเพิ่มขึ้นด้วย

ทางตะวันตกมีตระกูลอังเกนัสปกครองอยู่แต่อันที่จริงไม่ใช่เพราะสาเหตุนั้นเสียทีเดียว แต่เป็นเพราะมันเป็นเขตแดนที่ไม่ได้มีประโยชน์อะไรนัก ในปัจจุบันพวกเราจึงเล็งเป้าไปที่ทางเหนือเสียมากกว่า

“ไวโอเล็ตติดต่อมาหรือยังคะ”

“ครับ ตั้งใจว่าจะรายงานให้ทราบอยู่พอดีเลยครับ”

เครย์ลีบันหยิบเอารายงานที่พับครึ่งไว้เหมือนเพิ่งดึงออกมาจากซองสดๆ ร้อนๆ ส่งให้เธอ

เธอรับมันมาถือไว้ แล้วกวาดสายตาอ่านอย่างรวดเร็ว

“…กลุ่มการค้าโมนัคอีกแล้วเหรอคะ”

“ละอายใจจริงๆ ครับ”

เครย์ลีบันตอบด้วยใบหน้าเศร้าหมอง

“ตงิดใจตั้งแต่ครั้งก่อนแล้วนะ จริงๆ เลย”

ทางตอนเหนือนอกจากเหมืองแร่แล้ว ยังมีสินค้าพิเศษอยู่อีกชนิดหนึ่ง

มันคือต้นไม้ที่เติบโตขึ้นโดยอดทนกับสภาพภูมิอากาศอันแสนเลวร้ายของทางเหนือได้นั่นเอง

ในบรรดาต้นไม้เหล่านั้น มีต้นไม้ชนิดหนึ่งชื่อว่า ‘ทรีบ้า’ มันเป็นต้นไม้ที่เติบโตได้เร็วมาก อีกทั้งยังแข็งแรงทนทาน สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลายตั้งแต่การก่อสร้างไปจนถึงทำเฟอร์นิเจอร์เลยทีเดียว

ร้านค้าเพลเลสเองก็วางแผนที่จะกว้านซื้อต้นทรีบ้าเอาไว้ เพื่อเพิ่มอำนาจในแถบทางเหนือให้สูงยิ่งขึ้น

แต่ ‘กลุ่มการค้าโมนัค’ ที่ปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อน เอาแต่แทรกตัวเข้ามาขัดขาร้านค้าเพลเลสของพวกเรา และประมูลต้นทรีบ้าไปได้สำเร็จอยู่เรื่อย

สุดท้ายไวโอเล็ตก็อดทนต่อไปไม่ไหว นางจึงมุ่งหน้าเดินทางไปยังภาคเหนือด้วยตัวเอง

แต่สถานการณ์ก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นเลย

เป็นครั้งแรกที่ร้านค้าเพลเลสซึ่งดำเนินกิจการมาได้อย่างราบรื่นไม่เคยแพ้ใคร ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเช่นนี้

“ไวโอเล็ตแพ้การประมูลอย่างนั้นเหรอ นี่อีกฝ่ายเป็นใครกันแน่คะเนี่ย”

“รบกวนให้คุณเบ๊ตช่วยสืบให้แล้วครับ แต่ดูเหมือนจะไม่ง่ายเลย เพราะนี่เป็นกลุ่มการค้าใหม่และเห็นว่าเป็นการเคลื่อนไหวกันเป็นกลุ่มเล็กๆ เหมือนกับเก็บเป็นความลับน่ะครับ”

“ขนาดเบ๊ตยังพูดแบบนั้นเลยเหรอคะ”

ตอนนี้เธอเลิกสนใจเรื่องประมูลต้นไม้แล้ว แต่รู้สึกสงสัยอยากรู้ในตัวตนที่แท้จริงของกลุ่มการค้าโมนัคมากกว่า

“ต้นทรีบ้าเองก็ไม่ใช่ถูกๆ อีกอย่างทางนั้นยังซื้อไปในปริมาณมหาศาลเลยไม่ใช่เหรอคะ”

“ครับ เป็นเช่นนั้นเทียบกับปริมาณที่พวกเราได้ซื้อไว้ ตอนนี้พวกเขาไล่ตามมาได้ถึงครึ่งหนึ่งของพวกเราแล้วครับ”

“แต่กลุ่มการค้าที่มีเงินมากขนาดนั้น ก็ไม่ใช่ว่าจู่ๆ จะตกลงมาจากฟ้าเสียหน่อย…”

“คาดว่าน่าจะเป็นพ่อค้ามากประสบการณ์ที่ได้รับเงินลงทุน เลยแยกตัวออกมาจัดตั้งกลุ่มการค้าอิสระหรือเปล่าครับ”

เครย์ลีบันพูดอย่างระมัดระวัง

“ไม่ว่าจะวิธีการแย่งชิงสิทธิการเพาะปลูกต้นทรีบ้าล่วงหน้า หรือวิธีที่พวกเขาเอาชนะผู้เข้าประมูลทุกคนได้ ก็คงจะเป็นคนที่มีความสามารถเชี่ยวชาญทางด้านนี้เป็นอย่างมากไม่ใช่หรือครับ”

“ใช่มั้ยล่ะคะ”

ประสบการณ์ของพ่อค้าเป็นสิ่งที่ล้ำค้ามาก

พวกเขาใช้ร่างกายของตัวเองพุ่งเข้าปะทะเพื่อสั่งสมข้อมูลทีละน้อยๆ หลังจากนั้นก็ดื่มด่ำกับผลประโยชน์เกินคุ้มที่ได้รับจากการค้าขายนั่น

ไม่ว่ากลุ่มการค้าโมนัคจะเป็นใคร แต่เห็นได้ชัดเลยว่าทางนั้นจะต้องเป็นคนที่มีประสบการณ์เป็นอย่างมาก

อา แน่นอนว่ามีกลุ่มการค้าที่ไร้ประสบการณ์เมินเฉยกฎพวกนั้น แต่ก็ยังประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามตั้งแต่แรกเริ่มอยู่เหมือนกัน

เหมือนอย่างร้านค้าเพลเลส

แต่ยังไงนั่นก็เป็นเพราะเธอรู้อนาคต และเครย์ลีบันเป็นคนมีความสามารถ มันถึงเป็นไปได้ต่างหากล่ะ

“แล้วเรื่องอื่นๆ เป็นยังไงบ้างคะ”

“มีข้อเรียกร้องจากตระกูลรูมันทางตะวันออกครับ เรื่องค่าธรรมเนียมในการเดินทางสายตะวันออก…”

เธอนั่งฟังรายงานของร้านค้าอยู่หลายชั่วโมง หลังจากนั้นจึงค่อยลุกขึ้นยืน

“ถ้ามีความคืบหน้าอะไรจากไวโอเล็ต แจ้งข้าทันทีเลยนะคะ”

“ครับ ทราบแล้วครับ”

“แล้วตอนส่งจดหมายกลับไปหาไวโอเล็ต ช่วยถ่ายทอดคำพูดนี้ไปด้วยนะคะ บอกนางว่าอย่าใส่ใจเรื่องที่แพ้การประมูลต้นทรีบ้ามากเกินไปค่ะ”

เครย์ลีบันเหม่อมองเธอ

“พวกเราอยากจะเพิ่มอิทธิพลในเขตเหนือ ไม่ได้อยากจะเอาชนะแย่งชิงต้นไม้มาให้ได้จริงๆ เสียหน่อย ไม่ไหวจริงๆ ก็กลับมามุ่งมั่นเรื่องเหมืองแร่ก็ได้อยู่แล้ว ให้ไวโอเล็ตมองภาพรวมกว้างๆ จะดีกว่าค่ะ”

“ท่านฟีเรนเทีย…”

เครย์ลีบันร้องครางด้วยความซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก

“ข้าก็บอกอยู่เสมอไม่ใช่หรือคะ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเครย์ลีบันกับไวโอเล็ตทั้งสองคนเลยนะคะ”

ของสิ่งอื่นต่อให้สูญเสียไป ก็ยังสร้างกลับขึ้นมาใหม่ได้เสมอ

เธอพูดเช่นนั้นแล้วหมุนตัวหันหลังกลับ แต่กลับเหลือบเห็นเครย์ลีบันหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตารอบนัยน์ตาเงียบๆ

ทั้งๆ ที่คนอื่นข้างนอกกล่าวกันว่าเขาเป็น ‘หนุ่มหล่อสุดเย็นชา’ แท้ๆ

หลังจากบอกเครย์ลีบันว่าไว้เจอกันที่งานเลี้ยงวันเกิดของเธอพรุ่งนี้ เธอก็เดินออกมาจากร้านค้าเพลเลส

แต่แล้วในตอนที่เธอเดินออกมาบนถนนที่ทอดยาวเชื่อมต่อกับพื้นที่กว้างขวางที่เพิ่งลงมือก่อสร้างขึ้นมาใหม่ แล้วเดินออกมาพ้นประตูใหญ่

ก็พลันเห็นใครคนหนึ่งยืนพิงกำแพงข้างประตูรั้วขนาดใหญ่

ผู้ชายคนนั้นสวมฮู้ดคลุมศีรษะเอาไว้เหมือนกับเธอ

เพราะเขาสูงกว่าคนอื่นถึงหนึ่งช่วงศีรษะ ทำให้กระทั่งเงาดำใต้ฝ่าเท้ายังดูใหญ่และยาวเป็นพิเศษ

แต่แล้วในจังหวะที่เธอเหลือบมองผู้ชายที่มองไม่เห็นหน้าค่าตาคนนั้น แล้วตั้งใจจะเดินผ่านไปด้านข้าง

“เทีย”

น้ำเสียงไม่คุ้นเคย

มันทุ้มต่ำฟังดูมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก

แต่ในน้ำเสียงนั่นยามเรียกชื่อเธอกลับแฝงไปด้วยความอ่อนโยน

กึก

ฝีเท้าหยุดชะงัก เธอเงยหน้าขึ้นมองชายคนนั้น

เขาค่อยๆ ปลดฮู้ดลงอย่างเชื่องช้า

“…เจ้า”

ผมสีดำยุ่งเหยิงเล็กน้อย นัยน์ตาสีแดงส่องประกายยามต้องแสงอาทิตย์

ภาพลักษณ์ในวัยเยาว์เลือนหายไปจนหมดสิ้น เด็กหนุ่มเดินทางกลับมาและกลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวคนหนึ่งอย่างชัดเจน

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ เทีย”

เฟเรส

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 121.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 121.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ข้ามาแล้วค่ะ”

เธอปลดฮู้ดที่คลุมศีรษะออกพลางพูดขึ้น

“มาแล้วหรือครับ ท่านฟีเรนเทีย”

เครย์ลีบันถอดแว่นตาออก กล่าวต้อนรับเธอด้วยความยินดี

ในปีนี้เครย์ลีบันได้ต้อนรับปีสุดท้ายของช่วงวัย 30 เขาทำให้เธอถึงกับคิดว่า ‘ผู้ชายที่ยิ่งอายุมากก็ยิ่งหล่อ คือแบบนี้นี่เอง’ เลยละ

ผมยาวที่เคยมัดรวบเป็นกระจุก พอเข้าปีนี้มันก็ถูกตัดจนสั้น และมักจะถูกหวีเสยไปด้านหลังอย่างเป็นระเบียบดูเรียบร้อย แววตาคู่นั้นยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งดูลึกล้ำอ่านออกได้ยากมากขึ้นทุกที

และเหนือสิ่งอื่นใด จุดที่มีเสน่ห์มากที่สุดของเครย์ลีบันก็คือร้านค้าเพลเลสแห่งนี้นี่แหละ

เขาไม่มีคนรัก ไม่เคยคบใครจนถูกเรียกว่าเป็น ‘ผู้ถือศีล’ อีกทั้งเครย์ลีบันผู้หล่อเหลาคนนี้อายุก็ถือว่ายังไม่มากนัก และยังเป็นถึงผู้ก่อตั้งร้านค้าเพลเลสอีกด้วย

“วันนี้ก็เสียงดังหนวกหูนิดหน่อยนะคะเนี่ย การก่อสร้างจะเสร็จเมื่อไหร่เหรอคะ”

“การก่อสร้างทางตะวันตกคาดว่าจะเสร็จในวันนี้ครับ แต่ทางใต้งานใหญ่ทีเดียว ท่าทางคงจะต้องปูถนนกันใหม่ คงจะกินเวลาไปอีกหลายสัปดาห์ครับ”

“ช่วยไม่ได้สินะคะ แต่ก็นะ ทุกคนเองก็ทำงานกันหนักเลยทีเดียว”

ถึงแม้ฝุ่นจะคลุ้งตลบ การก่อสร้างจะส่งเสียงดังหนวกหู แต่ยังไงก็ต้องคอยตามดูความคืบหน้างานของร้านค้าอยู่ดี

แต่เครย์ลีบันกลับส่ายหน้ายิ้มๆ

“อาคารในละแวกนี้กับที่ดินทั้งหมด พวกเราได้กว้านซื้อสร้างเป็นตึกของพวกเรา เรื่องแค่นี้ย่อมอดทนไหวอยู่แล้วละครับ”

เครย์ลีบันมีสีหน้าปลื้มปริ่มเหมือนคนที่ต่อให้ไม่กินข้าวก็ยังอิ่มทิพย์ได้

นับตั้งแต่วันที่ท่านปู่ล้มไปวันนั้น เวลาก็ผ่านมาได้ห้าปีครึ่งแล้ว

ตลอดระยะเวลาอันแสนยาวนาน ร้านค้าเพลเลสได้พัฒนาเติบโตขึ้นอย่างยิ่งใหญ่

อาคารของร้านค้าเพลเลสที่เธอซื้อให้เครย์ลีบันในตอนแรก เพียงไม่นานก็กลายเป็นเล็กเกินไป จนต้องกว้านซื้ออาคารในละแวกใกล้เคียงเพิ่มทีละหนึ่งคูหา สองคูหา

และก็สามารถรวมมันเป็นอาคารเดียวได้ในที่สุด

อีกอย่างนอกจากสถานที่แห่งนี้ที่ตั้งอยู่ในลอมบาร์เดียซึ่งอยู่ตอนกลางของอาณาจักรเป็นสำนักงานใหญ่แล้ว ก็ยังมีสาขาทางตะวันออกกับสาขาทางใต้สร้างเพิ่มขึ้นด้วย

ทางตะวันตกมีตระกูลอังเกนัสปกครองอยู่แต่อันที่จริงไม่ใช่เพราะสาเหตุนั้นเสียทีเดียว แต่เป็นเพราะมันเป็นเขตแดนที่ไม่ได้มีประโยชน์อะไรนัก ในปัจจุบันพวกเราจึงเล็งเป้าไปที่ทางเหนือเสียมากกว่า

“ไวโอเล็ตติดต่อมาหรือยังคะ”

“ครับ ตั้งใจว่าจะรายงานให้ทราบอยู่พอดีเลยครับ”

เครย์ลีบันหยิบเอารายงานที่พับครึ่งไว้เหมือนเพิ่งดึงออกมาจากซองสดๆ ร้อนๆ ส่งให้เธอ

เธอรับมันมาถือไว้ แล้วกวาดสายตาอ่านอย่างรวดเร็ว

“…กลุ่มการค้าโมนัคอีกแล้วเหรอคะ”

“ละอายใจจริงๆ ครับ”

เครย์ลีบันตอบด้วยใบหน้าเศร้าหมอง

“ตงิดใจตั้งแต่ครั้งก่อนแล้วนะ จริงๆ เลย”

ทางตอนเหนือนอกจากเหมืองแร่แล้ว ยังมีสินค้าพิเศษอยู่อีกชนิดหนึ่ง

มันคือต้นไม้ที่เติบโตขึ้นโดยอดทนกับสภาพภูมิอากาศอันแสนเลวร้ายของทางเหนือได้นั่นเอง

ในบรรดาต้นไม้เหล่านั้น มีต้นไม้ชนิดหนึ่งชื่อว่า ‘ทรีบ้า’ มันเป็นต้นไม้ที่เติบโตได้เร็วมาก อีกทั้งยังแข็งแรงทนทาน สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลายตั้งแต่การก่อสร้างไปจนถึงทำเฟอร์นิเจอร์เลยทีเดียว

ร้านค้าเพลเลสเองก็วางแผนที่จะกว้านซื้อต้นทรีบ้าเอาไว้ เพื่อเพิ่มอำนาจในแถบทางเหนือให้สูงยิ่งขึ้น

แต่ ‘กลุ่มการค้าโมนัค’ ที่ปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อน เอาแต่แทรกตัวเข้ามาขัดขาร้านค้าเพลเลสของพวกเรา และประมูลต้นทรีบ้าไปได้สำเร็จอยู่เรื่อย

สุดท้ายไวโอเล็ตก็อดทนต่อไปไม่ไหว นางจึงมุ่งหน้าเดินทางไปยังภาคเหนือด้วยตัวเอง

แต่สถานการณ์ก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นเลย

เป็นครั้งแรกที่ร้านค้าเพลเลสซึ่งดำเนินกิจการมาได้อย่างราบรื่นไม่เคยแพ้ใคร ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเช่นนี้

“ไวโอเล็ตแพ้การประมูลอย่างนั้นเหรอ นี่อีกฝ่ายเป็นใครกันแน่คะเนี่ย”

“รบกวนให้คุณเบ๊ตช่วยสืบให้แล้วครับ แต่ดูเหมือนจะไม่ง่ายเลย เพราะนี่เป็นกลุ่มการค้าใหม่และเห็นว่าเป็นการเคลื่อนไหวกันเป็นกลุ่มเล็กๆ เหมือนกับเก็บเป็นความลับน่ะครับ”

“ขนาดเบ๊ตยังพูดแบบนั้นเลยเหรอคะ”

ตอนนี้เธอเลิกสนใจเรื่องประมูลต้นไม้แล้ว แต่รู้สึกสงสัยอยากรู้ในตัวตนที่แท้จริงของกลุ่มการค้าโมนัคมากกว่า

“ต้นทรีบ้าเองก็ไม่ใช่ถูกๆ อีกอย่างทางนั้นยังซื้อไปในปริมาณมหาศาลเลยไม่ใช่เหรอคะ”

“ครับ เป็นเช่นนั้นเทียบกับปริมาณที่พวกเราได้ซื้อไว้ ตอนนี้พวกเขาไล่ตามมาได้ถึงครึ่งหนึ่งของพวกเราแล้วครับ”

“แต่กลุ่มการค้าที่มีเงินมากขนาดนั้น ก็ไม่ใช่ว่าจู่ๆ จะตกลงมาจากฟ้าเสียหน่อย…”

“คาดว่าน่าจะเป็นพ่อค้ามากประสบการณ์ที่ได้รับเงินลงทุน เลยแยกตัวออกมาจัดตั้งกลุ่มการค้าอิสระหรือเปล่าครับ”

เครย์ลีบันพูดอย่างระมัดระวัง

“ไม่ว่าจะวิธีการแย่งชิงสิทธิการเพาะปลูกต้นทรีบ้าล่วงหน้า หรือวิธีที่พวกเขาเอาชนะผู้เข้าประมูลทุกคนได้ ก็คงจะเป็นคนที่มีความสามารถเชี่ยวชาญทางด้านนี้เป็นอย่างมากไม่ใช่หรือครับ”

“ใช่มั้ยล่ะคะ”

ประสบการณ์ของพ่อค้าเป็นสิ่งที่ล้ำค้ามาก

พวกเขาใช้ร่างกายของตัวเองพุ่งเข้าปะทะเพื่อสั่งสมข้อมูลทีละน้อยๆ หลังจากนั้นก็ดื่มด่ำกับผลประโยชน์เกินคุ้มที่ได้รับจากการค้าขายนั่น

ไม่ว่ากลุ่มการค้าโมนัคจะเป็นใคร แต่เห็นได้ชัดเลยว่าทางนั้นจะต้องเป็นคนที่มีประสบการณ์เป็นอย่างมาก

อา แน่นอนว่ามีกลุ่มการค้าที่ไร้ประสบการณ์เมินเฉยกฎพวกนั้น แต่ก็ยังประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามตั้งแต่แรกเริ่มอยู่เหมือนกัน

เหมือนอย่างร้านค้าเพลเลส

แต่ยังไงนั่นก็เป็นเพราะเธอรู้อนาคต และเครย์ลีบันเป็นคนมีความสามารถ มันถึงเป็นไปได้ต่างหากล่ะ

“แล้วเรื่องอื่นๆ เป็นยังไงบ้างคะ”

“มีข้อเรียกร้องจากตระกูลรูมันทางตะวันออกครับ เรื่องค่าธรรมเนียมในการเดินทางสายตะวันออก…”

เธอนั่งฟังรายงานของร้านค้าอยู่หลายชั่วโมง หลังจากนั้นจึงค่อยลุกขึ้นยืน

“ถ้ามีความคืบหน้าอะไรจากไวโอเล็ต แจ้งข้าทันทีเลยนะคะ”

“ครับ ทราบแล้วครับ”

“แล้วตอนส่งจดหมายกลับไปหาไวโอเล็ต ช่วยถ่ายทอดคำพูดนี้ไปด้วยนะคะ บอกนางว่าอย่าใส่ใจเรื่องที่แพ้การประมูลต้นทรีบ้ามากเกินไปค่ะ”

เครย์ลีบันเหม่อมองเธอ

“พวกเราอยากจะเพิ่มอิทธิพลในเขตเหนือ ไม่ได้อยากจะเอาชนะแย่งชิงต้นไม้มาให้ได้จริงๆ เสียหน่อย ไม่ไหวจริงๆ ก็กลับมามุ่งมั่นเรื่องเหมืองแร่ก็ได้อยู่แล้ว ให้ไวโอเล็ตมองภาพรวมกว้างๆ จะดีกว่าค่ะ”

“ท่านฟีเรนเทีย…”

เครย์ลีบันร้องครางด้วยความซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก

“ข้าก็บอกอยู่เสมอไม่ใช่หรือคะ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเครย์ลีบันกับไวโอเล็ตทั้งสองคนเลยนะคะ”

ของสิ่งอื่นต่อให้สูญเสียไป ก็ยังสร้างกลับขึ้นมาใหม่ได้เสมอ

เธอพูดเช่นนั้นแล้วหมุนตัวหันหลังกลับ แต่กลับเหลือบเห็นเครย์ลีบันหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตารอบนัยน์ตาเงียบๆ

ทั้งๆ ที่คนอื่นข้างนอกกล่าวกันว่าเขาเป็น ‘หนุ่มหล่อสุดเย็นชา’ แท้ๆ

หลังจากบอกเครย์ลีบันว่าไว้เจอกันที่งานเลี้ยงวันเกิดของเธอพรุ่งนี้ เธอก็เดินออกมาจากร้านค้าเพลเลส

แต่แล้วในตอนที่เธอเดินออกมาบนถนนที่ทอดยาวเชื่อมต่อกับพื้นที่กว้างขวางที่เพิ่งลงมือก่อสร้างขึ้นมาใหม่ แล้วเดินออกมาพ้นประตูใหญ่

ก็พลันเห็นใครคนหนึ่งยืนพิงกำแพงข้างประตูรั้วขนาดใหญ่

ผู้ชายคนนั้นสวมฮู้ดคลุมศีรษะเอาไว้เหมือนกับเธอ

เพราะเขาสูงกว่าคนอื่นถึงหนึ่งช่วงศีรษะ ทำให้กระทั่งเงาดำใต้ฝ่าเท้ายังดูใหญ่และยาวเป็นพิเศษ

แต่แล้วในจังหวะที่เธอเหลือบมองผู้ชายที่มองไม่เห็นหน้าค่าตาคนนั้น แล้วตั้งใจจะเดินผ่านไปด้านข้าง

“เทีย”

น้ำเสียงไม่คุ้นเคย

มันทุ้มต่ำฟังดูมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก

แต่ในน้ำเสียงนั่นยามเรียกชื่อเธอกลับแฝงไปด้วยความอ่อนโยน

กึก

ฝีเท้าหยุดชะงัก เธอเงยหน้าขึ้นมองชายคนนั้น

เขาค่อยๆ ปลดฮู้ดลงอย่างเชื่องช้า

“…เจ้า”

ผมสีดำยุ่งเหยิงเล็กน้อย นัยน์ตาสีแดงส่องประกายยามต้องแสงอาทิตย์

ภาพลักษณ์ในวัยเยาว์เลือนหายไปจนหมดสิ้น เด็กหนุ่มเดินทางกลับมาและกลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวคนหนึ่งอย่างชัดเจน

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ เทีย”

เฟเรส

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+