เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 63.1

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 63.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 63

ฟีเรนเทียไม่เดินเข้าไปอยู่ข้างกายแคลอฮัน

เพียงแค่ยืนนิ่งห่างออกไปจากหน้าประตู สนทนากับเครย์ลีบันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันหลังเดินกลับออกไปเท่านั้น

ภาพนั้นทำให้แคลอฮันได้แต่ยิ้มขมขื่น ก่อนจะเอ่ยพูดกับลอรีล

“ลอรีล ช่วยเตรียมตัวพาเทียเข้านอนทีได้มั้ย”

“…ค่ะ ท่านแคลอฮัน”

ลอรีลก้มหน้าลง วิ่งตามหลังฟีเรนเทียออกไป

ตอนนี้คนที่ยังอยู่ภายในห้องกับแคลอฮัน จึงเหลือเพียงแค่รูลลักที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เหมือนเคย กับเครย์ลีบันที่ยืนอยู่หน้าประตูเท่านั้น

“ต่อไปคงต้องยืมมือขอความช่วยเหลือจากหนูลอรีลมากกว่าเดิม เรื่องใหญ่เลยนะครับเนี่ย”

ต่อไปจะมีเรื่องที่เขาไม่อาจทำได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ตอนนี้อาจจะเป็นเพียงแค่ขาข้างเดียว แต่ไม่อาจรู้ได้เลยว่าอาการชาเป็นอัมพาตนี่มันจะลุกลามไปถึงส่วนอื่นเมื่อไหร่

“ครึ่งปี…”

นั่นคือเวลาที่เหลืออยู่ของเขาตามที่ดอกเตอร์โอมัลลี่บอก

หลังจากที่เกิดอาการของโรคเทรนด์บลู ปกติแล้วจะอยู่ได้อีกไม่เกินครึ่งปี แล้วเสียชีวิตลง

“พรุ่งนี้จะเรียกตัวหมออื่นมาเพิ่ม จะได้ลองตรวจร่างกายดูใหม่อีกรอบ”

“ท่านพ่อ…”

“โรคที่เกิดขึ้นได้ยากขนาดนั้น ตรวจแค่ครู่เดียวจะไปรู้อะไรได้ ลองให้หมอคนอื่นตรวจวินิจฉัยดูเถอะเจ้าเป็นโรคเทรนด์บลูอย่างนั้นหรือ มันเป็นไปไม่ได้หรอก…”

เสียงพึมพำของรูลลักทำให้ใบหน้าของเครย์ลีบันนิ่งงัน

“เทรนด์บลู…”

“บอกแล้วไงว่าไม่ใช่!”

สุดท้ายรูลลักก็ตะคอกเสียงดังด้วยความโมโหใบหน้าของชายชราบิดเบี้ยวจนไม่น่ามอง ท่าทางโมโหมากเสียจนบอกได้ยากว่านี่เป็นคนคนเดียวกันกับรูลลักที่ปกติมักจะเย็นชาและสงบนิ่งอยู่เสมอ

“แคลอฮันไม่มีทางเป็นโรคร้ายแบบนั้นแน่!”

“ท่านพ่อ…”

แคลอฮันมองรูลลักที่กำลังโมโห ก่อนจะพยักหน้าลงพลางเอ่ยพูด

“ข้าจะลองรับการตรวจจากหมอท่านอื่นดูครับ”

“ดี ดีมาก ฝีมือของดอกเตอร์โอมัลลี่คงจะขึ้นสนิมไปแล้วกระมัง”

รูลลักลุกพรวดขึ้นจากที่นั่ง

“เดี๋ยวพรุ่งนี้ขาก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้งแล้ว”

แต่ถึงจะพูดแบบนั้น สายตาของรูลลักกลับไม่อาจละออกไปจากขาของแคลอฮันที่เกร็งนิ่งไม่ขยับเขยื้อนได้เลย

มองจากภายนอกก็เป็นปกติดีแท้ๆ

“เจ้ายังหนุ่มยังแน่น แคลอฮัน”

หนุ่มเกินกว่าจะปล่อยให้เป็นโรคร้ายไร้ซึ่งยารักษา

รูลลักเหลือทิ้งไว้เพียงแค่คำพูดประโยคนั้น แล้วหมุนตัวหันหลังกลับ

“และเรื่องนี้อย่าปล่อยให้หลุดออกไปได้ล่ะ เจ้า…เพียงแค่ไปร่วมงานเลี้ยงในวังแล้วเกิดสะดุดจนขาหักเท่านั้น เข้าใจมั้ย”

“…ขอบคุณครับ ท่านพ่อ”

หากข่าวลือแพร่ออกไปว่า สุขภาพของแคลอฮันซึ่งช่วงหลังมานี่กำลังโดดเด่นทั้งในสายตาของผู้คนนอกและในตระกูลมีอะไรผิดปกติ คลื่นกระทบที่ตามมาจะมากมหาศาลทีเดียว

สำหรับคู่แข่งที่กำลังเล็งหาโอกาสมันจะกลายเป็นข่าวดีที่พวกเขาเฝ้ารอ สำหรับผู้คนที่คาดหวังอยากจะทำงานร่วมกันกับร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮัน มันจะกลายเป็นอุปสรรคชิ้นโต

“อาจจะมีใครแวะมาเยี่ยมก็เป็นได้ ยังไงก็เข้าเฝือกขาข้างนั้นเผื่อไว้ก่อน”

“ฮ่าฮ่า ครับ ท่านพ่อ”

แคลอฮันหัวเราะ ส่วนรูลลักเพียงแค่กล่าวกับบุตรชายที่หัวเราะเช่นนั้นว่า ‘เจ้าเด็กโง่’ แล้วเดินออกไปจากห้อง

ประตูถูกปิดลงเสียงดังแกรก พร้อมกับรอยยิ้มที่จางหายไปจากใบหน้าของแคลอฮัน

แคลอฮันเอ่ยพูดกับเครย์ลีบันด้วยเสียงนิ่งสงบ

“คุณเครย์ลีบัน”

“ครับ ว่ามาได้เลยครับ”

“ท่าทางคงจะต้องเตรียมการอะไรหลายเรื่องหน่อยแล้วละครับ”

“พูดเรื่องอะไรกันครับ”

แคลอฮันถอนหายใจเสียงแผ่วให้กับคำถามของเครย์ลีบัน

“เตรียมการเอาไว้เผื่อว่าโรคที่ข้าเป็นมันจะใช่โรคเทรนด์บลูจริงๆ ยังไงล่ะครับ”

เสียงถอนหายใจนั่นมันใกล้เคียงกับความรู้สึกของคนที่พร้อมจะปลดเกษียณ มากกว่าที่จะรู้สึกอึดอัดใจที่จะต้องวางมือในทุกเรื่อง

“เทียจะต้องเหลือตัวคนเดียวไม่ใช่หรือครับ”

เครย์ลีบันไม่อาจพูดอะไรตอบแคลอฮันที่ยิ้มกว้างอย่างที่เคยชินได้เลย

เขาได้แต่กำหมัดแน่นจนกระดาษโน้ตที่ฟีเรนเทียเขียนส่งให้มันยับยู่ยี่เสียจนส่งเสียงดังกรอบแกรบ

ยามเช้าอันแสนสดใส

เฟเรสถือดาบเดินมุ่งหน้าไปยังลานฝึกประจำวังโฟอิรัคด้วยความเคยชินจนติดเป็นนิสัย

วันแรกที่พบฟีเรนเทีย

หลังจากวันนั้นที่ได้ยินนางบอกว่า ‘ต้องฝึกฟันดาบ’ เขาก็ฝึกยามเช้ามาโดยตลอด ไม่เคยพักแม้แต่วันเดียว

ถึงแม้เมื่อคืนกว่างานเลี้ยงจะเลิกก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว ทั้งยังได้หลับตานอนเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง

แต่วันนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

ร่างกายที่หนักอึ้ง พอถูกเขาดึงเอาออร่าออกมาใช้ ความรู้สึกพวกนั้นก็พลันจางหายไปในพริบตา

เฟเรสซ้อมจนเหงื่อไหลอาบท่วมกาย เขานั่งลงบนพื้นลานฝึก ครุ่นคิดนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน

ในตอนที่ได้พบกันครั้งแรกในป่าลึก ฟีเรนเทียก็ได้ช่วงชิงเอาทุกอย่างของเฟเรสไปจนหมดสิ้น แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหน นางก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

สำหรับเฟเรสแล้ว เขายังคงมองเห็นเพียงแค่ฟีเรนเทีย

ไม่ว่าจะในตอนที่เดินเข้าไปในโถงงานเลี้ยงเป็นครั้งแรก

ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาอันแสนหอมหวานริมระเบียงที่ผ่านไปไวมากเหลือเกิน

หรือแม้กระทั่งตอนที่อาสทาน่าชักดาบออกมา

สิ่งที่เฟเรสมองเห็น ก็ยังคงมีเพียงแค่ฟีเรนเทียคนเดียวเท่านั้น

แม้กระทั่งในตอนที่แคลอฮันล้มลง และทุกคนมัวแต่มองไปที่แคลอฮัน

เฟเรสก็ยังคงเอาแต่มองฟีเรนเทีย

“จะเป็นอะไรหรือเปล่านะ”

ฟีเรนเทียสนิทสนมกับบิดาของนางมากต่างจากเขา

เขาเอาแต่นึกภาพใบหน้ายามเม้มปากแน่นมองแคลอฮันล้มนอนอยู่บนพื้นโดยไม่อาจลุกขึ้นมาได้อยู่เรื่อย

หากแวะไปหาได้ก็คงดี

แต่ฟีเรนเทียบอกเอาไว้ว่า จะให้โดนจับได้ว่าพวกเรารู้จักกันไม่ได้เด็ดขาด

เฟเรสเก็บดาบเข้าฝัก พยายามอดกลั้นความรู้สึกในใจ แต่เขาก็ยังคงคิดถึงนางอยู่ดี

ไหล่ของเฟเรสยามเดินกลับเข้าไปในวังถึงได้หดลู่ลงด้วยความเหนื่อยล้า

“อะ…องค์จักรพรรดินี!”

ในตอนที่เดินกลับเข้ามาถึงวังโฟอิรัคเสียงตื่นตระหนกของแคทเธอรีนทำให้เฟเรสต้องเงยหน้าขึ้น

เขามองเห็นจักรพรรดินีเปิดประตูรถม้าออกอย่างแรง แล้วสาวเท้าก้าวเข้ามาทางเขาและเห็นมือข้างขวายกขึ้นสูงเพื่อตบลงมาบนแก้มของตน

สำหรับเฟเรสแล้ว มันเป็นการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้ามากเสียจนเขาแทบจะอ้าปากหาวรอ

‘จะปล่อยให้ตบดีมั้ยนะ’

ชั่วขณะ ความคิดเช่นนั้นผุดขึ้นมาในหัวสมองของเฟเรส

เพราะเริ่มคาดเดาได้ว่า เหตุใดจักรพรรดินีถึงได้คิดที่จะตบแก้มของเขา

เฟเรสที่ยืนนิ่งอยู่เฉยๆ จึงเบี่ยงกายเล็กน้อยในวินาทีสุดท้าย

มือของจักรพรรดินีจึงเฉียดใบหน้าของเฟเรสไปอย่างหมิ่นเหม่

“ฮึ่ม!”

โทสะของจักรพรรดินีจึงยิ่งพลุ่งพล่านมากกว่าเดิม

“คนชั้นต่ำอย่างเจ้า! กล้าดี! กล้าดียังไงถึงชี้ดาบใส่บุตรชายของข้า!”

ราวีนี่ด่าทอเช่นนั้น ในขณะเดียวกันก็พยายามที่จะลงมือตบหน้าเฟเรส แต่ทุกครั้งที่นางจะตบลงมา เฟเรสก็หลบมันได้อย่างเฉียดฉิวทุกครา

“จับไอ้เด็กชั้นต่ำนั่นไว้!”

จักรพรรดินีออกคำสั่งแก่เหล่าอัศวินที่ติดตามมาคอยอารักขา

แต่บรรดาอัศวินที่พยายามจะเดินเข้าไปใกล้ต่างก็ได้แต่เหลือบมองดาบที่ห้อยอยู่ที่เอวของเฟเรส ก่อนจะผวาเฮือก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 63.1

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 63.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 63

ฟีเรนเทียไม่เดินเข้าไปอยู่ข้างกายแคลอฮัน

เพียงแค่ยืนนิ่งห่างออกไปจากหน้าประตู สนทนากับเครย์ลีบันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันหลังเดินกลับออกไปเท่านั้น

ภาพนั้นทำให้แคลอฮันได้แต่ยิ้มขมขื่น ก่อนจะเอ่ยพูดกับลอรีล

“ลอรีล ช่วยเตรียมตัวพาเทียเข้านอนทีได้มั้ย”

“…ค่ะ ท่านแคลอฮัน”

ลอรีลก้มหน้าลง วิ่งตามหลังฟีเรนเทียออกไป

ตอนนี้คนที่ยังอยู่ภายในห้องกับแคลอฮัน จึงเหลือเพียงแค่รูลลักที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เหมือนเคย กับเครย์ลีบันที่ยืนอยู่หน้าประตูเท่านั้น

“ต่อไปคงต้องยืมมือขอความช่วยเหลือจากหนูลอรีลมากกว่าเดิม เรื่องใหญ่เลยนะครับเนี่ย”

ต่อไปจะมีเรื่องที่เขาไม่อาจทำได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ตอนนี้อาจจะเป็นเพียงแค่ขาข้างเดียว แต่ไม่อาจรู้ได้เลยว่าอาการชาเป็นอัมพาตนี่มันจะลุกลามไปถึงส่วนอื่นเมื่อไหร่

“ครึ่งปี…”

นั่นคือเวลาที่เหลืออยู่ของเขาตามที่ดอกเตอร์โอมัลลี่บอก

หลังจากที่เกิดอาการของโรคเทรนด์บลู ปกติแล้วจะอยู่ได้อีกไม่เกินครึ่งปี แล้วเสียชีวิตลง

“พรุ่งนี้จะเรียกตัวหมออื่นมาเพิ่ม จะได้ลองตรวจร่างกายดูใหม่อีกรอบ”

“ท่านพ่อ…”

“โรคที่เกิดขึ้นได้ยากขนาดนั้น ตรวจแค่ครู่เดียวจะไปรู้อะไรได้ ลองให้หมอคนอื่นตรวจวินิจฉัยดูเถอะเจ้าเป็นโรคเทรนด์บลูอย่างนั้นหรือ มันเป็นไปไม่ได้หรอก…”

เสียงพึมพำของรูลลักทำให้ใบหน้าของเครย์ลีบันนิ่งงัน

“เทรนด์บลู…”

“บอกแล้วไงว่าไม่ใช่!”

สุดท้ายรูลลักก็ตะคอกเสียงดังด้วยความโมโหใบหน้าของชายชราบิดเบี้ยวจนไม่น่ามอง ท่าทางโมโหมากเสียจนบอกได้ยากว่านี่เป็นคนคนเดียวกันกับรูลลักที่ปกติมักจะเย็นชาและสงบนิ่งอยู่เสมอ

“แคลอฮันไม่มีทางเป็นโรคร้ายแบบนั้นแน่!”

“ท่านพ่อ…”

แคลอฮันมองรูลลักที่กำลังโมโห ก่อนจะพยักหน้าลงพลางเอ่ยพูด

“ข้าจะลองรับการตรวจจากหมอท่านอื่นดูครับ”

“ดี ดีมาก ฝีมือของดอกเตอร์โอมัลลี่คงจะขึ้นสนิมไปแล้วกระมัง”

รูลลักลุกพรวดขึ้นจากที่นั่ง

“เดี๋ยวพรุ่งนี้ขาก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้งแล้ว”

แต่ถึงจะพูดแบบนั้น สายตาของรูลลักกลับไม่อาจละออกไปจากขาของแคลอฮันที่เกร็งนิ่งไม่ขยับเขยื้อนได้เลย

มองจากภายนอกก็เป็นปกติดีแท้ๆ

“เจ้ายังหนุ่มยังแน่น แคลอฮัน”

หนุ่มเกินกว่าจะปล่อยให้เป็นโรคร้ายไร้ซึ่งยารักษา

รูลลักเหลือทิ้งไว้เพียงแค่คำพูดประโยคนั้น แล้วหมุนตัวหันหลังกลับ

“และเรื่องนี้อย่าปล่อยให้หลุดออกไปได้ล่ะ เจ้า…เพียงแค่ไปร่วมงานเลี้ยงในวังแล้วเกิดสะดุดจนขาหักเท่านั้น เข้าใจมั้ย”

“…ขอบคุณครับ ท่านพ่อ”

หากข่าวลือแพร่ออกไปว่า สุขภาพของแคลอฮันซึ่งช่วงหลังมานี่กำลังโดดเด่นทั้งในสายตาของผู้คนนอกและในตระกูลมีอะไรผิดปกติ คลื่นกระทบที่ตามมาจะมากมหาศาลทีเดียว

สำหรับคู่แข่งที่กำลังเล็งหาโอกาสมันจะกลายเป็นข่าวดีที่พวกเขาเฝ้ารอ สำหรับผู้คนที่คาดหวังอยากจะทำงานร่วมกันกับร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮัน มันจะกลายเป็นอุปสรรคชิ้นโต

“อาจจะมีใครแวะมาเยี่ยมก็เป็นได้ ยังไงก็เข้าเฝือกขาข้างนั้นเผื่อไว้ก่อน”

“ฮ่าฮ่า ครับ ท่านพ่อ”

แคลอฮันหัวเราะ ส่วนรูลลักเพียงแค่กล่าวกับบุตรชายที่หัวเราะเช่นนั้นว่า ‘เจ้าเด็กโง่’ แล้วเดินออกไปจากห้อง

ประตูถูกปิดลงเสียงดังแกรก พร้อมกับรอยยิ้มที่จางหายไปจากใบหน้าของแคลอฮัน

แคลอฮันเอ่ยพูดกับเครย์ลีบันด้วยเสียงนิ่งสงบ

“คุณเครย์ลีบัน”

“ครับ ว่ามาได้เลยครับ”

“ท่าทางคงจะต้องเตรียมการอะไรหลายเรื่องหน่อยแล้วละครับ”

“พูดเรื่องอะไรกันครับ”

แคลอฮันถอนหายใจเสียงแผ่วให้กับคำถามของเครย์ลีบัน

“เตรียมการเอาไว้เผื่อว่าโรคที่ข้าเป็นมันจะใช่โรคเทรนด์บลูจริงๆ ยังไงล่ะครับ”

เสียงถอนหายใจนั่นมันใกล้เคียงกับความรู้สึกของคนที่พร้อมจะปลดเกษียณ มากกว่าที่จะรู้สึกอึดอัดใจที่จะต้องวางมือในทุกเรื่อง

“เทียจะต้องเหลือตัวคนเดียวไม่ใช่หรือครับ”

เครย์ลีบันไม่อาจพูดอะไรตอบแคลอฮันที่ยิ้มกว้างอย่างที่เคยชินได้เลย

เขาได้แต่กำหมัดแน่นจนกระดาษโน้ตที่ฟีเรนเทียเขียนส่งให้มันยับยู่ยี่เสียจนส่งเสียงดังกรอบแกรบ

ยามเช้าอันแสนสดใส

เฟเรสถือดาบเดินมุ่งหน้าไปยังลานฝึกประจำวังโฟอิรัคด้วยความเคยชินจนติดเป็นนิสัย

วันแรกที่พบฟีเรนเทีย

หลังจากวันนั้นที่ได้ยินนางบอกว่า ‘ต้องฝึกฟันดาบ’ เขาก็ฝึกยามเช้ามาโดยตลอด ไม่เคยพักแม้แต่วันเดียว

ถึงแม้เมื่อคืนกว่างานเลี้ยงจะเลิกก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว ทั้งยังได้หลับตานอนเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง

แต่วันนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

ร่างกายที่หนักอึ้ง พอถูกเขาดึงเอาออร่าออกมาใช้ ความรู้สึกพวกนั้นก็พลันจางหายไปในพริบตา

เฟเรสซ้อมจนเหงื่อไหลอาบท่วมกาย เขานั่งลงบนพื้นลานฝึก ครุ่นคิดนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน

ในตอนที่ได้พบกันครั้งแรกในป่าลึก ฟีเรนเทียก็ได้ช่วงชิงเอาทุกอย่างของเฟเรสไปจนหมดสิ้น แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหน นางก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

สำหรับเฟเรสแล้ว เขายังคงมองเห็นเพียงแค่ฟีเรนเทีย

ไม่ว่าจะในตอนที่เดินเข้าไปในโถงงานเลี้ยงเป็นครั้งแรก

ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาอันแสนหอมหวานริมระเบียงที่ผ่านไปไวมากเหลือเกิน

หรือแม้กระทั่งตอนที่อาสทาน่าชักดาบออกมา

สิ่งที่เฟเรสมองเห็น ก็ยังคงมีเพียงแค่ฟีเรนเทียคนเดียวเท่านั้น

แม้กระทั่งในตอนที่แคลอฮันล้มลง และทุกคนมัวแต่มองไปที่แคลอฮัน

เฟเรสก็ยังคงเอาแต่มองฟีเรนเทีย

“จะเป็นอะไรหรือเปล่านะ”

ฟีเรนเทียสนิทสนมกับบิดาของนางมากต่างจากเขา

เขาเอาแต่นึกภาพใบหน้ายามเม้มปากแน่นมองแคลอฮันล้มนอนอยู่บนพื้นโดยไม่อาจลุกขึ้นมาได้อยู่เรื่อย

หากแวะไปหาได้ก็คงดี

แต่ฟีเรนเทียบอกเอาไว้ว่า จะให้โดนจับได้ว่าพวกเรารู้จักกันไม่ได้เด็ดขาด

เฟเรสเก็บดาบเข้าฝัก พยายามอดกลั้นความรู้สึกในใจ แต่เขาก็ยังคงคิดถึงนางอยู่ดี

ไหล่ของเฟเรสยามเดินกลับเข้าไปในวังถึงได้หดลู่ลงด้วยความเหนื่อยล้า

“อะ…องค์จักรพรรดินี!”

ในตอนที่เดินกลับเข้ามาถึงวังโฟอิรัคเสียงตื่นตระหนกของแคทเธอรีนทำให้เฟเรสต้องเงยหน้าขึ้น

เขามองเห็นจักรพรรดินีเปิดประตูรถม้าออกอย่างแรง แล้วสาวเท้าก้าวเข้ามาทางเขาและเห็นมือข้างขวายกขึ้นสูงเพื่อตบลงมาบนแก้มของตน

สำหรับเฟเรสแล้ว มันเป็นการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้ามากเสียจนเขาแทบจะอ้าปากหาวรอ

‘จะปล่อยให้ตบดีมั้ยนะ’

ชั่วขณะ ความคิดเช่นนั้นผุดขึ้นมาในหัวสมองของเฟเรส

เพราะเริ่มคาดเดาได้ว่า เหตุใดจักรพรรดินีถึงได้คิดที่จะตบแก้มของเขา

เฟเรสที่ยืนนิ่งอยู่เฉยๆ จึงเบี่ยงกายเล็กน้อยในวินาทีสุดท้าย

มือของจักรพรรดินีจึงเฉียดใบหน้าของเฟเรสไปอย่างหมิ่นเหม่

“ฮึ่ม!”

โทสะของจักรพรรดินีจึงยิ่งพลุ่งพล่านมากกว่าเดิม

“คนชั้นต่ำอย่างเจ้า! กล้าดี! กล้าดียังไงถึงชี้ดาบใส่บุตรชายของข้า!”

ราวีนี่ด่าทอเช่นนั้น ในขณะเดียวกันก็พยายามที่จะลงมือตบหน้าเฟเรส แต่ทุกครั้งที่นางจะตบลงมา เฟเรสก็หลบมันได้อย่างเฉียดฉิวทุกครา

“จับไอ้เด็กชั้นต่ำนั่นไว้!”

จักรพรรดินีออกคำสั่งแก่เหล่าอัศวินที่ติดตามมาคอยอารักขา

แต่บรรดาอัศวินที่พยายามจะเดินเข้าไปใกล้ต่างก็ได้แต่เหลือบมองดาบที่ห้อยอยู่ที่เอวของเฟเรส ก่อนจะผวาเฮือก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+