เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 144.1

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 144.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 144

ตุบ

ห้องประชุมใหญ่ตกอยู่ในความเงียบไร้ซึ่งเสียงสนทนาใดๆ ทว่าจู่ๆ กลับเกิดเสียงของอะไรบางอย่างร่วงตกลงพื้นดังขึ้น

บรรดาขุนนางต่างก็หันไปมองฝั่งที่เกิดเสียงขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะพบว่าเจ้าชายลำดับที่สองที่นั่งอยู่ในตำแหน่งหัวโต๊ะกำลังเก็บเอาระเบียบการประชุมที่ร่วงหล่นขึ้นจากพื้น

“ฟีเรนเทีย?”

ชื่อของบุคคลภายนอกที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการประชุมในครั้งนี้ ทำให้จักรพรรดิโยบาเนสเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น

“ใช่แล้ว บุตรสาวของแคลอฮัน… สหายเพื่อนเล่นในวัยเยาว์ของเจ้าชายลำดับที่สอง”

สายตาหลายคู่ย้ายไปยังจักรพรรดิจากนั้นก็หันกลับมาหาเฟเรสอีกครั้ง

เจ้าชายลำดับที่สองรับสายตาเหล่านั้นอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรราวกับสวมหน้ากาก สมแล้วที่ไม่เคยมีใครอ่านความรู้สึกของเขาออก

“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ เด็กคนนั้น”

“แต่นี่ไม่ใช่แคลอฮันนะ จะให้เด็กผู้หญิงเป็นผู้รับผิดชอบอย่างนั้นหรือ”

จักรพรรดิเอ่ยถามด้วยความสงสัยพวกขุนนางเองก็เช่นกัน

แต่รูลลักกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไร ไม่ตื่นตระหนกใดๆ ทั้งสิ้น เพราะนี่เป็นเรื่องที่ตัวเขาเองคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้ว ก่อนจะเอ่ยตอบ

“เครย์ลีบัน เพลเลส ซึ่งครอบครองไม้ทรีบ้าปริมาณมากในปัจจุบันคนนั้น เป็นอาจารย์ที่ช่วยอบรบสั่งสอนฟีเรนเทียมาเป็นระยะเวลานานพ่ะย่ะค่ะ หลานสาวของกระหม่อมเป็นผู้รับหน้าที่สะพานเชื่อมต่อระหว่างลอมบาร์เดียกับร้านค้าเพลเลสพ่ะย่ะค่ะ”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ…อืมมม”

ถึงแม้จะได้ยินคำอธิบายแล้ว แต่โยบาเนสก็ยังคงขมวดคิ้วแน่น รูลลักจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก ถึงจะไม่แสดงออกมาให้เห็นก็เถอะ เขาใช้เงินของตัวเองเพื่อช่วยเหลือเรื่องเขตแดนเหนือ กับอีแค่จะให้หลานสาวของเขาเป็นคนไปดูแลจัดการงาน จะยังมาโต้เถียงอะไรเขากันอีกล่ะ

อีกอย่างเรื่องคราวนี้ ถ้าให้พูดกันตรงๆ มันเป็นเรื่องที่จักรพรรดิต้องเป็นคนเปิดท้องพระคลังช่วยเหลือถึงจะถูกต้องแต่เพราะเขาเองก็ทราบดีว่า โยบาเนสผู้ตระหนี่จะต้องสั่งให้ขุนนางในที่ประชุมควักเงินของตัวเองออกมาเป็นแน่ ถึงได้ยอมออกหน้าเสนอตัวขึ้นเอง

อารมณ์เสียจนอยากจะยกเลิกข้อเสนอทั้งหมดมันเสียเดี๋ยวนี้ โมโหมากจนรู้สึกเสียดายเงินขึ้นมา แต่เพราะนึกถึงหน้าเทีย จึงได้ยอมอดกลั้นเอาไว้

รูลลักเก็บซ่อนสีหน้าไม่พอใจเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยกับทุกคนในที่ประชุม

“หลานสาวกระหม่อมอาจจะยังเด็ก แต่ก็เป็นเด็กที่ฉลาดมากพอที่รูลลัก ลอมบาร์เดียคนนี้ให้ความเชื่อใจและมอบกิจการสำคัญให้ดูแล กิจการไปรษณีย์ที่เพิ่งเปิดใหม่เองก็เป็นผลงานของเด็กคนนั้นพ่ะย่ะค่ะ”

“โอ้ว ไปรษณีย์!”

“กิจการนั่นเป็นความคิดของบุตรสาวของแคลอฮันหรือเนี่ย!”

โล่งอกที่เกิดกระแสตอบรับร้อนแรงขึ้นท่ามกลางบรรดาขุนนางทั้งหลาย

พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่เคยแวะไปยังงานเปิดตัวกิจการไปรษณีย์กันมาแล้วครั้งหนึ่ง

มุมปากของรูลลักกระตุกยิ้มโดยไม่มีใครเห็น

ไหล่ยืดขึ้นโดยอัตโนมัติ ปลายจมูกเองก็เชิดรั้นขึ้น

“สมแล้วที่เป็นลอมบาร์เดีย! ไม่ใช่แค่รุ่นลูกเท่านั้น แม้กระทั่งหลานๆ เองก็มีความสามารถอันยอดเยี่ยมเลยนะครับ!”

“แบบนี้คงไม่ต้องกังวลแล้วละครับ เจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย!”

บรรยากาศตึงเครียดในห้องประชุมจึงคลี่คลายในพริบตา

รูลลักเองก็ไม่ได้ไม่ชอบปฏิกิริยาของผู้คนที่กำลังชื่นชมหลานสาวของเขา จึงยกยิ้มเล็กน้อย พยักหน้ารับคำชมเหล่านั้นอย่างยินดี

“อะแฮ่ม”

ท่ามกลางบรรยากาศครื้นเครง มีเพียงจักรพรรดิโยบาเนสที่ยังไม่อาจวางใจยิ้มออกมาได้อย่างสบายใจ

ศูนย์กลางการประชุมคือพระองค์ผู้เป็นถึงจักรพรรดิแท้ๆ แต่จู่ๆ ผู้นำบรรยากาศในที่ประชุมกลับเอนเอียงไปทางลอมบาร์เดียเสียได้

อีกอย่างท่าทีของรูลลัก ลอมบาร์เดียที่เอาแต่เชิดหน้าจองหองด้วยความภาคภูมิใจที่ให้กำเนิดสายเลือดที่ดีนั่น มันช่างน่ารำคาญสายตาของพระองค์เสียจริง

“ลอมบาร์เดียออกหน้าให้แบบนี้ ข้าเองก็ไม่อาจอยู่เฉยได้สินะ”

จักรพรรดิโยบาเนสครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในขณะเดียวกันก็พยายามเก็บซ่อนความไม่พอใจเอาไว้ แล้วฉีกยิ้มเรียกความชอบจากผู้คน

“ทางราชวงศ์เองก็จะส่งเงินจำนวน 5,000 เหรียญทอง รวมถึงเสบียงช่วยเหลือไปยังเขตแดนเหนือด้วย และจะส่งตัวแทนผู้รับผิดชอบของทางราชวงศ์เดินทางไปพร้อมกัน หากมีสิ่งใดต้องการเพิ่มเติม จะได้คอยช่วยส่งเสริมทุกเมื่อ”

ทางราชวงศ์เองก็จะตั้งผู้รับผิดชอบขึ้นมาเหมือนกันอย่างนั้นหรือ

จะมีรับสั่งแต่งตั้งใครกัน ทุกคนต่างก็ขนลุกชันไปหมด

สายตาของโยบาเนสเองก็กวาดมองไปทั่วห้อง

พระองค์กำลังเลือกคนที่เหมาะสมจะนั่งตำแหน่งผู้รับผิดชอบ

ในตอนนั้นเอง เสียงหนักแน่น ทว่ายังอ่อนเยาว์นักก็ดังขึ้นมา

“กระหม่อมจะเดินทางไปยังเขตเหนือเองพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

เฟเรสนั่นเอง

“กระหม่อมเคยเดินทางท่องเที่ยวในเขตแดนเหนืออยู่นาน เช่นเดียวกับทางตะวันออกพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมรู้จักสภาพภูมิศาสตร์ของเขตแดนดี จะพยายามเต็มที่เพื่อเป็นตัวแทนของฝ่าบาทไปมอบความช่วยเหลือให้พวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”

“โอ้…”

สีหน้าของโยบาเนสพลันสดใสขึ้นมาทันที

ใช่แล้ว ยังมีเจ้าชายลำดับที่สองอยู่นี่นะ

รูลลัก ลอมบาร์เดีย เอาแต่อวดหลานสาวของตัวเองก็จริง แต่เจ้าชายลำดับที่สองเป็นโอรสของพระองค์

องค์จักรพรรดิหัวเราะชอบใจพลางเอ่ยขึ้นว่า

“ได้ ค่อยวางใจได้หน่อย! ข้าขอสั่งให้เจ้าชายลำดับที่สองเป็นผู้รับผิดชอบในการให้ความช่วยเหลือเขตแดนทางเหนือ เป็นตัวแทนข้าเข้าไปดูแลแล้วค่อยเดินทางกลับมา”

กวาดสายตามองปฏิกิริยาของบรรดาขุนนาง จงใจประกาศก้องให้ทุกคนได้ยินกันให้ถ้วนหน้า

“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท โปรดมอบหน้าที่นี้ให้กระหม่อม”

สายตาของขุนนางทั้งหลายยามมองเจ้าชายลำดับที่สองโค้งศีรษะให้พระองค์อย่างนอบน้อม ช่างถูกใจโยบาเนสจริงๆ

เจ้าชายลำดับที่สองนั้นแตกต่างจากเจ้าชายลำดับที่หนึ่งอย่างเห็นได้ชัด

ไม่ว่าจะทำอะไรก็ทำได้ดีไปหมด หัวก็ดี น่าเชื่อถือ

ถ้าไม่ได้ถือกำเนิดจากนางกำนัลซึ่งเป็นเพียงแค่สามัญชนชั้นต่ำ แต่เกิดจากท้องของจักรพรรดินีก็คงจะดี

อุปสรรคที่เรียกว่าชาติกำเนิดซึ่งไม่ว่ายังไงก็ไม่อาจเอาชนะได้นั่น ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน

“ถ้าอย่างนั้นก็ข้ามไปยังฎีกาถัดไปกันเถอะ วาระถัดไปคือ…”

จักรพรรดิโยบาเนสอ่านระเบียบวาระการประชุมที่ประธานสภาขุนนางถวายขึ้นมาพระองค์ได้แต่ลากเสียงท้ายประโยคให้ยืดยาว

เพราะมันเป็นฎีกาที่เขาต้องการหลบเลี่ยงมากที่สุด

“ได้เวลาตรวจสอบสาเหตุการเกิดดินถล่ม และกำหนดโทษพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

โยบาเนสกำลังลังเลว่าจะแอบข้ามฎีกานี้ไปดีหรือไม่ แต่รูลลักกลับรีบเอ่ยแจ้งขึ้นด้วยเสียงสุภาพ

“เหตุดินถล่มมันเป็นภัยธรรมชาติ จะไปตามหาสาเหตุเพื่ออะไรกัน สิ่งสำคัญคือรีบๆ ฟื้นฟูเขตแดนเหนือให้เร็วขึ้นแม้จะแค่วันเดียว…”

“ทอดพระเนตรสิ่งนี้ก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ”

รูลลักส่งเอกสารบางๆ ไม่กี่แผ่นให้โยบาเนส

“นี่คืออะไรหรือ”

“เหตุผลที่ความเสียหายถึงชีวิตที่เกิดขึ้นจากเหตุดินถล่มในครั้งนี้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น มันเป็นเพราะในระหว่างที่นักธรณีวิทยาที่ทางร้านค้าเพลเลสว่าจ้างมา กำลังตรวจสอบใกล้ๆ เหมืองในเขตเหนือ พวกเขาได้แจ้งถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นจากภัยดินถล่มให้ทางเจ้าตระกูลไอบันได้ทราบล่วงหน้าพ่ะย่ะค่ะ และนั่นคือรายงานฉบับคัดลอก”

“นั่นเป็น…เรื่องจริง?”

โยบาเนสหันไปถามตัวแทนเจ้าตระกูลไอบัน

“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท กระหม่อมได้ตรวจสอบกับทางบิดาแล้ว ทางนั้นยืนยันว่าเป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ”

“หากดูจากรายงานที่นักธรณีวิทยาเขียนบันทึกขึ้นมา จะมีเขียนถึงสาเหตุหลักสองสาเหตุด้วยกัน อย่างแรกคือปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างที่สองคือการตัดไม้ที่มากเกินควรพ่ะย่ะค่ะ และเหตุดินถล่มขนาดใหญ่ก็เกิดขึ้นตามที่นักวิชาการท่านนั้นคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด”

“อืมม…”

“จะเรียกว่าเหตุดินถล่มทางเหนือในครั้งนี้ เป็นฝีมือมนุษย์ก็ไม่ผิดพ่ะย่ะค่ะ”

โยบาเนสเม้มปากแน่นด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ

เรื่องที่ตระกูลอังเกนัสจับมือกับตระกูลไอบัน ฝืนตัดไม้เป็นจำนวนมากนั่น พระองค์จะไม่ทราบได้ยังไงกันล่ะ

แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตัดสินลงโทษอังเกนัส

ไม่ใช่ว่ารู้สึกสงสารจักรพรรดินีที่ได้แต่นอนซมรับประทานอะไรไม่ลงแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะปัญหาเรื่องนี้มันเกี่ยวพันถึงศักดิ์ศรีต่างหาก

อย่างไรตระกูลอังเกนัสก็ได้ชื่อว่าเป็นตระกูลบิดาของจักรพรรดินี การปล่อยให้ต้องรับโทษด้วยเรื่องเช่นนี้ มันดูไม่ค่อยสมควรเท่าไหร่

“ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบัน”

“…พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

“เจ้าคิดเห็นเช่นไร”

แน่นอนว่าคงจะตอบออกมาว่า มันเป็นแค่ภัยธรรมชาติสินะ

จักรพรรดิโยบาเนสลอบหัวเราะในใจ

จะมีใครที่ไหนเสนอตัวบอกอยากจะรับโทษกันล่ะ

“กระหม่อม…พวกเราไอบันขอน้อมรับโทษ เพื่อชดเชยให้แก่พลเมืองและฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

“…ว่ายังไงนะ”

จักรพรรดิตื่นตระหนกจนรีบร้อนถามกลับไป

“จะรับโทษ?”

“ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ถึงแม้จะเป็นเพราะทางอังเกนัสกดดันเร่งรัดมา แต่พวกเราไอบันก็สมควรที่จะคิดถึงพลเมืองและผลประโยชน์ส่วนรวมของพลเมืองเป็นอันดับแรก แต่กลับไม่อาจทำหน้าที่ได้อย่างเหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ”

ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันแลบลิ้นเลียริมฝีปากด้วยความกังวล เขาเหลือบมองรูลลัก ลอมบาร์เดีย ก่อนจะเอ่ยต่อ

“พวกเราไอบันพร้อมสำนึกผิด นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจะไม่ตัดไม้ตลอดระยะเวลา 5 ปี ยกเว้นแต่เฉพาะเพื่อการดำรงชีพของพลเมือง และจะไม่มีการขายไม้ส่งออกนอกเขตแดนแม้แต่ต้นเดียวพ่ะย่ะค่ะ”

“ต่อไปเป็นระยะเวลา 5 ปี จะไม่ตัดไม้?”

“…พ่ะย่ะค่ะ”

ตระกูลไอบันเลือกที่จะยอมรับโทษอันแสนโหดร้ายด้วยตัวเอง

กิจการตัดไม้เป็นหนึ่งในกิจการสำคัญของทางเหนือที่ทำผลประโยชน์มากมหาศาล แต่กลับบอกว่าจะยอมตัดกำลังของตัวเองเนี่ยนะ

“ถ้าฝ่าบาททรงต้องการจะตัดสินโทษอื่นอีก กระหม่อมก็ขอน้อมรับโทษแต่โดยดีพ่ะย่ะค่ะ”

การทำเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากโค้งกายหมอบราบต่อหน้าจักรพรรดิ บอกว่าตัวเองผิดไปแล้วเลยแม้แต่น้อย

จักรพรรดิโยบาเนสลอบเดาะลิ้นเสียงดังจิ๊จ๊ะในใจ

ในเมื่อไอบันออกตัวแบบนี้แล้ว หากปล่อยผ่านไม่ลงโทษอะไรอังเกนัสเลย คงได้มีเสียงนินทาหลุดออกไปเกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมกันเป็นแน่

แถมเมื่อครู่นี้ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันยังถึงขนาดกล่าวอ้างถึง ‘การกดดันเร่งรัดของอังเกนัส’ ออกมาแล้วด้วย

ไม่ว่าจะด้วยรูปแบบใด สุดท้ายโยบาเนสก็จะต้องตัดสินลงโทษอังเกนัสอยู่ดี

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 144.1

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 144.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 144

ตุบ

ห้องประชุมใหญ่ตกอยู่ในความเงียบไร้ซึ่งเสียงสนทนาใดๆ ทว่าจู่ๆ กลับเกิดเสียงของอะไรบางอย่างร่วงตกลงพื้นดังขึ้น

บรรดาขุนนางต่างก็หันไปมองฝั่งที่เกิดเสียงขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะพบว่าเจ้าชายลำดับที่สองที่นั่งอยู่ในตำแหน่งหัวโต๊ะกำลังเก็บเอาระเบียบการประชุมที่ร่วงหล่นขึ้นจากพื้น

“ฟีเรนเทีย?”

ชื่อของบุคคลภายนอกที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการประชุมในครั้งนี้ ทำให้จักรพรรดิโยบาเนสเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น

“ใช่แล้ว บุตรสาวของแคลอฮัน… สหายเพื่อนเล่นในวัยเยาว์ของเจ้าชายลำดับที่สอง”

สายตาหลายคู่ย้ายไปยังจักรพรรดิจากนั้นก็หันกลับมาหาเฟเรสอีกครั้ง

เจ้าชายลำดับที่สองรับสายตาเหล่านั้นอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรราวกับสวมหน้ากาก สมแล้วที่ไม่เคยมีใครอ่านความรู้สึกของเขาออก

“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ เด็กคนนั้น”

“แต่นี่ไม่ใช่แคลอฮันนะ จะให้เด็กผู้หญิงเป็นผู้รับผิดชอบอย่างนั้นหรือ”

จักรพรรดิเอ่ยถามด้วยความสงสัยพวกขุนนางเองก็เช่นกัน

แต่รูลลักกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไร ไม่ตื่นตระหนกใดๆ ทั้งสิ้น เพราะนี่เป็นเรื่องที่ตัวเขาเองคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้ว ก่อนจะเอ่ยตอบ

“เครย์ลีบัน เพลเลส ซึ่งครอบครองไม้ทรีบ้าปริมาณมากในปัจจุบันคนนั้น เป็นอาจารย์ที่ช่วยอบรบสั่งสอนฟีเรนเทียมาเป็นระยะเวลานานพ่ะย่ะค่ะ หลานสาวของกระหม่อมเป็นผู้รับหน้าที่สะพานเชื่อมต่อระหว่างลอมบาร์เดียกับร้านค้าเพลเลสพ่ะย่ะค่ะ”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ…อืมมม”

ถึงแม้จะได้ยินคำอธิบายแล้ว แต่โยบาเนสก็ยังคงขมวดคิ้วแน่น รูลลักจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก ถึงจะไม่แสดงออกมาให้เห็นก็เถอะ เขาใช้เงินของตัวเองเพื่อช่วยเหลือเรื่องเขตแดนเหนือ กับอีแค่จะให้หลานสาวของเขาเป็นคนไปดูแลจัดการงาน จะยังมาโต้เถียงอะไรเขากันอีกล่ะ

อีกอย่างเรื่องคราวนี้ ถ้าให้พูดกันตรงๆ มันเป็นเรื่องที่จักรพรรดิต้องเป็นคนเปิดท้องพระคลังช่วยเหลือถึงจะถูกต้องแต่เพราะเขาเองก็ทราบดีว่า โยบาเนสผู้ตระหนี่จะต้องสั่งให้ขุนนางในที่ประชุมควักเงินของตัวเองออกมาเป็นแน่ ถึงได้ยอมออกหน้าเสนอตัวขึ้นเอง

อารมณ์เสียจนอยากจะยกเลิกข้อเสนอทั้งหมดมันเสียเดี๋ยวนี้ โมโหมากจนรู้สึกเสียดายเงินขึ้นมา แต่เพราะนึกถึงหน้าเทีย จึงได้ยอมอดกลั้นเอาไว้

รูลลักเก็บซ่อนสีหน้าไม่พอใจเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยกับทุกคนในที่ประชุม

“หลานสาวกระหม่อมอาจจะยังเด็ก แต่ก็เป็นเด็กที่ฉลาดมากพอที่รูลลัก ลอมบาร์เดียคนนี้ให้ความเชื่อใจและมอบกิจการสำคัญให้ดูแล กิจการไปรษณีย์ที่เพิ่งเปิดใหม่เองก็เป็นผลงานของเด็กคนนั้นพ่ะย่ะค่ะ”

“โอ้ว ไปรษณีย์!”

“กิจการนั่นเป็นความคิดของบุตรสาวของแคลอฮันหรือเนี่ย!”

โล่งอกที่เกิดกระแสตอบรับร้อนแรงขึ้นท่ามกลางบรรดาขุนนางทั้งหลาย

พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่เคยแวะไปยังงานเปิดตัวกิจการไปรษณีย์กันมาแล้วครั้งหนึ่ง

มุมปากของรูลลักกระตุกยิ้มโดยไม่มีใครเห็น

ไหล่ยืดขึ้นโดยอัตโนมัติ ปลายจมูกเองก็เชิดรั้นขึ้น

“สมแล้วที่เป็นลอมบาร์เดีย! ไม่ใช่แค่รุ่นลูกเท่านั้น แม้กระทั่งหลานๆ เองก็มีความสามารถอันยอดเยี่ยมเลยนะครับ!”

“แบบนี้คงไม่ต้องกังวลแล้วละครับ เจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย!”

บรรยากาศตึงเครียดในห้องประชุมจึงคลี่คลายในพริบตา

รูลลักเองก็ไม่ได้ไม่ชอบปฏิกิริยาของผู้คนที่กำลังชื่นชมหลานสาวของเขา จึงยกยิ้มเล็กน้อย พยักหน้ารับคำชมเหล่านั้นอย่างยินดี

“อะแฮ่ม”

ท่ามกลางบรรยากาศครื้นเครง มีเพียงจักรพรรดิโยบาเนสที่ยังไม่อาจวางใจยิ้มออกมาได้อย่างสบายใจ

ศูนย์กลางการประชุมคือพระองค์ผู้เป็นถึงจักรพรรดิแท้ๆ แต่จู่ๆ ผู้นำบรรยากาศในที่ประชุมกลับเอนเอียงไปทางลอมบาร์เดียเสียได้

อีกอย่างท่าทีของรูลลัก ลอมบาร์เดียที่เอาแต่เชิดหน้าจองหองด้วยความภาคภูมิใจที่ให้กำเนิดสายเลือดที่ดีนั่น มันช่างน่ารำคาญสายตาของพระองค์เสียจริง

“ลอมบาร์เดียออกหน้าให้แบบนี้ ข้าเองก็ไม่อาจอยู่เฉยได้สินะ”

จักรพรรดิโยบาเนสครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในขณะเดียวกันก็พยายามเก็บซ่อนความไม่พอใจเอาไว้ แล้วฉีกยิ้มเรียกความชอบจากผู้คน

“ทางราชวงศ์เองก็จะส่งเงินจำนวน 5,000 เหรียญทอง รวมถึงเสบียงช่วยเหลือไปยังเขตแดนเหนือด้วย และจะส่งตัวแทนผู้รับผิดชอบของทางราชวงศ์เดินทางไปพร้อมกัน หากมีสิ่งใดต้องการเพิ่มเติม จะได้คอยช่วยส่งเสริมทุกเมื่อ”

ทางราชวงศ์เองก็จะตั้งผู้รับผิดชอบขึ้นมาเหมือนกันอย่างนั้นหรือ

จะมีรับสั่งแต่งตั้งใครกัน ทุกคนต่างก็ขนลุกชันไปหมด

สายตาของโยบาเนสเองก็กวาดมองไปทั่วห้อง

พระองค์กำลังเลือกคนที่เหมาะสมจะนั่งตำแหน่งผู้รับผิดชอบ

ในตอนนั้นเอง เสียงหนักแน่น ทว่ายังอ่อนเยาว์นักก็ดังขึ้นมา

“กระหม่อมจะเดินทางไปยังเขตเหนือเองพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

เฟเรสนั่นเอง

“กระหม่อมเคยเดินทางท่องเที่ยวในเขตแดนเหนืออยู่นาน เช่นเดียวกับทางตะวันออกพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมรู้จักสภาพภูมิศาสตร์ของเขตแดนดี จะพยายามเต็มที่เพื่อเป็นตัวแทนของฝ่าบาทไปมอบความช่วยเหลือให้พวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”

“โอ้…”

สีหน้าของโยบาเนสพลันสดใสขึ้นมาทันที

ใช่แล้ว ยังมีเจ้าชายลำดับที่สองอยู่นี่นะ

รูลลัก ลอมบาร์เดีย เอาแต่อวดหลานสาวของตัวเองก็จริง แต่เจ้าชายลำดับที่สองเป็นโอรสของพระองค์

องค์จักรพรรดิหัวเราะชอบใจพลางเอ่ยขึ้นว่า

“ได้ ค่อยวางใจได้หน่อย! ข้าขอสั่งให้เจ้าชายลำดับที่สองเป็นผู้รับผิดชอบในการให้ความช่วยเหลือเขตแดนทางเหนือ เป็นตัวแทนข้าเข้าไปดูแลแล้วค่อยเดินทางกลับมา”

กวาดสายตามองปฏิกิริยาของบรรดาขุนนาง จงใจประกาศก้องให้ทุกคนได้ยินกันให้ถ้วนหน้า

“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท โปรดมอบหน้าที่นี้ให้กระหม่อม”

สายตาของขุนนางทั้งหลายยามมองเจ้าชายลำดับที่สองโค้งศีรษะให้พระองค์อย่างนอบน้อม ช่างถูกใจโยบาเนสจริงๆ

เจ้าชายลำดับที่สองนั้นแตกต่างจากเจ้าชายลำดับที่หนึ่งอย่างเห็นได้ชัด

ไม่ว่าจะทำอะไรก็ทำได้ดีไปหมด หัวก็ดี น่าเชื่อถือ

ถ้าไม่ได้ถือกำเนิดจากนางกำนัลซึ่งเป็นเพียงแค่สามัญชนชั้นต่ำ แต่เกิดจากท้องของจักรพรรดินีก็คงจะดี

อุปสรรคที่เรียกว่าชาติกำเนิดซึ่งไม่ว่ายังไงก็ไม่อาจเอาชนะได้นั่น ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน

“ถ้าอย่างนั้นก็ข้ามไปยังฎีกาถัดไปกันเถอะ วาระถัดไปคือ…”

จักรพรรดิโยบาเนสอ่านระเบียบวาระการประชุมที่ประธานสภาขุนนางถวายขึ้นมาพระองค์ได้แต่ลากเสียงท้ายประโยคให้ยืดยาว

เพราะมันเป็นฎีกาที่เขาต้องการหลบเลี่ยงมากที่สุด

“ได้เวลาตรวจสอบสาเหตุการเกิดดินถล่ม และกำหนดโทษพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

โยบาเนสกำลังลังเลว่าจะแอบข้ามฎีกานี้ไปดีหรือไม่ แต่รูลลักกลับรีบเอ่ยแจ้งขึ้นด้วยเสียงสุภาพ

“เหตุดินถล่มมันเป็นภัยธรรมชาติ จะไปตามหาสาเหตุเพื่ออะไรกัน สิ่งสำคัญคือรีบๆ ฟื้นฟูเขตแดนเหนือให้เร็วขึ้นแม้จะแค่วันเดียว…”

“ทอดพระเนตรสิ่งนี้ก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ”

รูลลักส่งเอกสารบางๆ ไม่กี่แผ่นให้โยบาเนส

“นี่คืออะไรหรือ”

“เหตุผลที่ความเสียหายถึงชีวิตที่เกิดขึ้นจากเหตุดินถล่มในครั้งนี้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น มันเป็นเพราะในระหว่างที่นักธรณีวิทยาที่ทางร้านค้าเพลเลสว่าจ้างมา กำลังตรวจสอบใกล้ๆ เหมืองในเขตเหนือ พวกเขาได้แจ้งถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นจากภัยดินถล่มให้ทางเจ้าตระกูลไอบันได้ทราบล่วงหน้าพ่ะย่ะค่ะ และนั่นคือรายงานฉบับคัดลอก”

“นั่นเป็น…เรื่องจริง?”

โยบาเนสหันไปถามตัวแทนเจ้าตระกูลไอบัน

“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท กระหม่อมได้ตรวจสอบกับทางบิดาแล้ว ทางนั้นยืนยันว่าเป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ”

“หากดูจากรายงานที่นักธรณีวิทยาเขียนบันทึกขึ้นมา จะมีเขียนถึงสาเหตุหลักสองสาเหตุด้วยกัน อย่างแรกคือปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างที่สองคือการตัดไม้ที่มากเกินควรพ่ะย่ะค่ะ และเหตุดินถล่มขนาดใหญ่ก็เกิดขึ้นตามที่นักวิชาการท่านนั้นคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด”

“อืมม…”

“จะเรียกว่าเหตุดินถล่มทางเหนือในครั้งนี้ เป็นฝีมือมนุษย์ก็ไม่ผิดพ่ะย่ะค่ะ”

โยบาเนสเม้มปากแน่นด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ

เรื่องที่ตระกูลอังเกนัสจับมือกับตระกูลไอบัน ฝืนตัดไม้เป็นจำนวนมากนั่น พระองค์จะไม่ทราบได้ยังไงกันล่ะ

แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตัดสินลงโทษอังเกนัส

ไม่ใช่ว่ารู้สึกสงสารจักรพรรดินีที่ได้แต่นอนซมรับประทานอะไรไม่ลงแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะปัญหาเรื่องนี้มันเกี่ยวพันถึงศักดิ์ศรีต่างหาก

อย่างไรตระกูลอังเกนัสก็ได้ชื่อว่าเป็นตระกูลบิดาของจักรพรรดินี การปล่อยให้ต้องรับโทษด้วยเรื่องเช่นนี้ มันดูไม่ค่อยสมควรเท่าไหร่

“ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบัน”

“…พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

“เจ้าคิดเห็นเช่นไร”

แน่นอนว่าคงจะตอบออกมาว่า มันเป็นแค่ภัยธรรมชาติสินะ

จักรพรรดิโยบาเนสลอบหัวเราะในใจ

จะมีใครที่ไหนเสนอตัวบอกอยากจะรับโทษกันล่ะ

“กระหม่อม…พวกเราไอบันขอน้อมรับโทษ เพื่อชดเชยให้แก่พลเมืองและฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

“…ว่ายังไงนะ”

จักรพรรดิตื่นตระหนกจนรีบร้อนถามกลับไป

“จะรับโทษ?”

“ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ถึงแม้จะเป็นเพราะทางอังเกนัสกดดันเร่งรัดมา แต่พวกเราไอบันก็สมควรที่จะคิดถึงพลเมืองและผลประโยชน์ส่วนรวมของพลเมืองเป็นอันดับแรก แต่กลับไม่อาจทำหน้าที่ได้อย่างเหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ”

ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันแลบลิ้นเลียริมฝีปากด้วยความกังวล เขาเหลือบมองรูลลัก ลอมบาร์เดีย ก่อนจะเอ่ยต่อ

“พวกเราไอบันพร้อมสำนึกผิด นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจะไม่ตัดไม้ตลอดระยะเวลา 5 ปี ยกเว้นแต่เฉพาะเพื่อการดำรงชีพของพลเมือง และจะไม่มีการขายไม้ส่งออกนอกเขตแดนแม้แต่ต้นเดียวพ่ะย่ะค่ะ”

“ต่อไปเป็นระยะเวลา 5 ปี จะไม่ตัดไม้?”

“…พ่ะย่ะค่ะ”

ตระกูลไอบันเลือกที่จะยอมรับโทษอันแสนโหดร้ายด้วยตัวเอง

กิจการตัดไม้เป็นหนึ่งในกิจการสำคัญของทางเหนือที่ทำผลประโยชน์มากมหาศาล แต่กลับบอกว่าจะยอมตัดกำลังของตัวเองเนี่ยนะ

“ถ้าฝ่าบาททรงต้องการจะตัดสินโทษอื่นอีก กระหม่อมก็ขอน้อมรับโทษแต่โดยดีพ่ะย่ะค่ะ”

การทำเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากโค้งกายหมอบราบต่อหน้าจักรพรรดิ บอกว่าตัวเองผิดไปแล้วเลยแม้แต่น้อย

จักรพรรดิโยบาเนสลอบเดาะลิ้นเสียงดังจิ๊จ๊ะในใจ

ในเมื่อไอบันออกตัวแบบนี้แล้ว หากปล่อยผ่านไม่ลงโทษอะไรอังเกนัสเลย คงได้มีเสียงนินทาหลุดออกไปเกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมกันเป็นแน่

แถมเมื่อครู่นี้ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันยังถึงขนาดกล่าวอ้างถึง ‘การกดดันเร่งรัดของอังเกนัส’ ออกมาแล้วด้วย

ไม่ว่าจะด้วยรูปแบบใด สุดท้ายโยบาเนสก็จะต้องตัดสินลงโทษอังเกนัสอยู่ดี

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+