เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 70.1

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 70.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 70

คำพูดของเฟเรสที่บอกว่ารวบรวมหนังสือ ‘มากที่สุดเท่าที่จะหาได้’ เป็นความจริง

“หนังสือพวกนี้ไปหามาจากที่ไหนกันเนี่ย”

“เอามาจากห้องสมุดของราชวงศ์จากวังส่วนกลาง ส่วนหนังสือสมุนไพรพวกนี้เป็นของที่เดิมทีข้ามีอยู่แล้ว”

ท่าทางยามเปิดหน้ากระดาษหนังสือต่อไปไม่หยุดในขณะที่กำลังตอบนั่นดูเหมือนจะคุ้นเคยกับการทำเช่นนี้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว

จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ เธอจึงเอ่ยถามเฟเรส

“เฟเรสหรือว่าเจ้า ที่ผ่านมาศึกษาเรื่องยารักษาโรคเทรนด์บลูคนเดียวมาตลอดเลยเหรอ”

เธอเห็นหมดแล้วว่าไหล่ของเฟเรสสะดุ้งเฮือกใหญ่

และการที่เขาไม่ตอบอะไรก็ถือว่าเป็นหลักฐานมัดตัวจนดิ้นไม่หลุด

เพราะเฟเรสเป็นคนที่เลือกที่จะไม่พูดอะไร แทนที่จะพูดโกหกกับเธอยังไงล่ะ

“ขอบใจนะ”

“…”

ใบหูของเฟเรสที่นั่งเปิดหนังสืออ่านโดยไม่พูดอะไรขึ้นสีแดงก่ำ

ฟีเรนเทียหัวเราะโดยไม่มีเสียง หยิบเอาหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาถือไว้

ใช่แล้ว การมอบหมายทุกอย่างไว้ที่เอสทีร่าคนเดียว โดยที่ตัวเองเอาแต่ดีดดิ้นทั้งๆ ที่ไม่ลงมือทำอะไรเลยนั่น มันไม่เข้ากับนิสัยของเธอเลยสักนิด

เพื่อที่จะตามหาส่วนผสมอย่างสุดท้ายของยารักษาโรคเทรนด์บลู การทำอะไรสักอย่างมันช่วยให้รู้สึกสบายใจมากยิ่งขึ้น

ในระหว่างที่พวกเราใช้เวลาอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุด แคทเธอรีนกับคาอิลรัสเองก็สลับกันนำเครื่องดื่มกับของว่างมาให้

“โอ๊ย เอวข้า”

ผ่านไปกี่ชั่วโมงแล้วเนี่ย

เธอปวดเอวจนรู้สึกราวกับเอวจะหัก จึงเงยหน้าขึ้นมามอง

เข้าสู่ช่วงบ่ายแล้ว

หันหน้าไปมองเฟเรสที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เด็กนี่ยังคงไม่ละสายตาไปจากหน้ากระดาษ

ด้านข้างมีหนังสือที่อ่านจบแล้ววางกองเป็นภูเขาขนาดย่อม

เธอไม่อยากรบกวนสมาธิของเฟเรส จึงหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง แต่แล้วในตอนนั้นเอง

“ออกไปกันสักครู่มั้ย”

จู่ๆ เฟเรสก็กำลังมองหน้าเธอ

“สวนนี่เหมาะกับการเดินเล่นมากทีเดียว”

แตกต่างจากคำชื่นชมอันแสนจืดชืดของเฟเรส สวนของวังโฟอิรัคนั้นงดงามเป็นอย่างยิ่ง

ราวกับรู้ว่าเจ้าของวังแห่งนี้แวะเข้าไปยังสวนอยู่บ่อยๆ รอบทางเดินมีทั้งดอกไม้นานาชนิด ทั้งต้นไม้ถูกปลูกเอาไว้อย่างเป็นธรรมชาติ

“อ๊ะ ดอกไม้นี่…ดอกไม้ที่คราวก่อนเจ้าส่งมาให้ข้าไม่ใช่เหรอ”

ฟีเรนเทียชี้ไปยังดอกสีแดงที่หน้าตาดูคุ้นเหมือนเคยเห็นที่ไหนพลางเอ่ยถาม

“อื้อ ใช่แล้วละ ดอกบอมเนีย”

“มันคนละฤดูกับตอนที่เจ้าส่งดอกไม้นี่มาให้แล้วนี่นา”

“มันบานเมื่อตอนฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา แต่ไม่รู้ทำไมดูเหมือนปีนี้จะบานอีกครั้ง”

“เหรอ น่าทึ่งจัง บานสองครั้งในปีเดียว”

เธอเดินเข้าไปสูดกลิ่นหอมของดอกไม้ดอกนั้น

ตุบ

เฟเรสเด็ดดอกบอมเนียส่งให้เธอหนึ่งดอก

เธอเด็ดกลีบดอกไม้รสหวานใส่ปากหนึ่งกลีบ พลางถามเขาไปด้วย

“ถ้าเดินไปตามทางเส้นนี้จะเจออะไรเหรอ”

“สวนวังส่วนกลาง”

“อย่างนั้นนี่เอง…”

ได้ขยับกายสักหน่อยแบบนี้แล้ว ค่อยรู้สึกหัวสมองปลอดโปร่งขึ้นมาบ้าง

เดินเล่นได้สักพักก็เริ่มมองเห็นสวนที่เฟเรสพูดถึงอยู่ลิบๆ ที่ปลายทางเดินรวมถึงคนที่ไม่อยากเจอหน้าซึ่งดันออกมาเดินเล่นในสวนพอดีด้วย

“กลับกันเถอะ”

“อื้อ”

เฟเรสเองก็ขมวดคิ้วแน่นจนหน้าผากย่นด้วยความรำคาญใจในขณะที่ตอบ

พวกเราหันหลังหมุนตัวกลับ ตั้งใจจะเดินกลับไปยังเส้นทางที่เดินมาในทันที

“เฮ้ พวกเจ้าสองคนตรงนั้น”

แต่ดันมีเสียงทุเรศดังไล่ตามหลังของพวกเธอมาเสียได้

“เฮ้อ”

สังหรณ์ใจไม่ดีเอาเสียเลย

ฟีเรนเทียหันหลังกลับไปกล่าวทักทายโดยที่สลักตัวอักษรคำว่าอดทนเอาไว้ในใจ

“ถวายบังคมเพคะ เจ้าชายลำดับที่หนึ่ง”

“อืม ว่าแล้วเชียวเป็นเจ้าจริงๆ”

อาสทาน่าแสยะยิ้มเดินเข้ามาใกล้

เฟเรสกำลังจ้องอาสทาน่าด้วยนัยน์ตาเย็นชา

ท่าทางราวกับว่าหากจำเป็นเขาก็พร้อมที่จะชักดาบออกมาเหมือนเมื่อครั้งก่อน

คราวนี้ปล่อยผ่านไปเงียบๆ เถอะ

เธอสัญญากับตัวเองเช่นนั้น

ทว่าสัญญานั่นมันสั่นคลอนทันทีที่อาสทาน่าเปิดปากพูดออกมา

“ได้ยินว่าแคลอฮัน ลอมบาร์เดียป่วยเป็นโรคใกล้ตายรึ”

“ไอ้บ้านี่”

เธอหลุดสบถออกมาโดยไม่รู้ตัว

อาสทาน่าเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

“นะ…นี่เจ้าสบถใส่ข้า…”

ฟีเรนเทียมองอาสทาน่าที่เอาแต่อ้าปากพะงาบๆ ไม่มีเสียงเหมือนปลาทอง พยายามทำใจให้กลับมาสงบลงอีกครั้ง

เพราะมันเป็นเรื่องของท่านพ่อ เธอถึงได้เผลอวู่วามแต่โชคร้ายที่ดันเห็นอะไรบางอย่างพาดผ่านขึ้นมาบนใบหน้าของอาสทาน่า

มันคือรอยยิ้มชั่วร้ายดั่งคนที่ค้นพบจุดอ่อนที่สามารถใช้เล่นงานเธอได้

“พ่อกำลังจะตาย แต่เจ้ากลับมากะหนุงกะหนิงอยู่กับไอ้ชั้นต่ำนี่ในวัง ไม่ใช่ว่าที่จริงแล้วเจ้าไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ หรอกเหรอเนี่ย”

“หยุดได้แล้ว”

เฟเรสที่ยืนอยู่ข้างเธอกล่าวเตือนด้วยเสียงทุ้มต่ำ

แต่อาสทาน่ากลับทำเพียงแค่ยักไหล่ไม่แยแส และพูดจากระแนะกระแหนเธอต่อ

“หากเป็นบิดาข้า ข้าคงจะไม่ยอมอยู่ห่างจากเตียงคนไข้แม้แต่วินาทีเดียว แต่ก็นะ คนเขาก็คงไม่ได้เรียกพวกชั้นต่ำว่าต่ำช้าโดยไม่มีความหมายอยู่แล้ว”

“อาสทาน่า”

“มารดาก็เป็นแค่คนเร่ร่อนไม่มีที่มาที่ไป งั้นก็ไม่แน่สินะเนี่ย”

“หุบปาก”

เฟเรสเอ่ยพูดในขณะที่เลื่อนมือไปแตะด้ามดาบ

“รู้เรื่องนั้นหรือเปล่า พวกคนเร่ร่อนมักจะขายเรือนร่างให้ใครก็ได้โดยไม่เลือกหน้า แค่เพื่อที่จะหาที่หลับนอนสักคืน…”

เพียะ!

เสียงสนั่นดังขึ้นพร้อมกับใบหน้าของอาสทาน่าที่หันไปด้านข้าง

รอยมือสีแดงเริ่มปรากฏขึ้นเป็นริ้วบนใบหน้าอย่างช้าๆ

คนที่ตบลงบนแก้มนั่นด้วยแรงทั้งหมดที่มีคือฟีเรนเทีย

“เจ้าตบข้า…”

อาสทาน่ากุมแก้มเอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ก่อนจะพูดพึมพำ

เธอจ้องเขาเขม็ง ขณะเดียวกันน้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวเพราะความโกรธที่ข้ามพ้นขีดจำกัดความอดทน

“สะ…เสด็จแม่ ไม่สิ ข้าจะฟ้องฝ่าบาท! เจ้า เจ้าตบหน้าข้า!?”

ก็รู้อยู่หรอกว่าเป็นนิสัยเสียแต่นี่มัน

ขยะชัดๆ

“ต้องฟ้องให้ได้ล่ะ เพราะข้าเองก็จะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ท่านปู่ฟังเหมือนกัน”

เธอพูดย้ำทีละคำอย่างชัดถ้อยชัดคำให้อาสทาน่าฟัง

“อย่าให้ตกหล่นไปแม้แต่คำเดียว”

ในตอนนั้นเอง ใบหน้าโง่งมของอาสทาน่าก็พลันบิดเบี้ยวไม่น่ามอง สงสัยคงจะนึกถึงประโยคที่ตัวเองพูดขึ้นมาได้

ต่อให้เขาเป็นถึงเจ้าชาย แต่การที่กล้าเอ่ยพูดเรื่องเกี่ยวกับตระกูลลอมบาร์เดีย สาดโคลนใส่ภริยาผู้ล่วงลับของบุตรชายของเจ้าตระกูลที่ตอนนี้นอนป่วยอยู่บนเตียงคนไข้ ย่อมไม่มีทางผ่านเรื่องนี้ไปได้โดยรอดปลอดภัยแน่

ถึงแม้จะอยากเตะหว่างขาไม่ใช่แค่ตบแก้มอย่างที่ใจคิดก็เถอะ

เพราะเธอยังไม่ใช่เจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย จึงต้องอดกลั้นเอาไว้

ฟีเรนเทียจ้องเขาไม่ยอมถอยจนถึงที่สุด ก่อนจะหมุนตัวหันหลังกลับ และใช้แขนเสื้อเช็ดหยาดน้ำตา

รสหอมหวานจากดอกบอมเนียเมื่อครู่ มันกลับเปลี่ยนเป็นรสชาติขมเฝื่อนไปเสียแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 70.1

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 70.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 70

คำพูดของเฟเรสที่บอกว่ารวบรวมหนังสือ ‘มากที่สุดเท่าที่จะหาได้’ เป็นความจริง

“หนังสือพวกนี้ไปหามาจากที่ไหนกันเนี่ย”

“เอามาจากห้องสมุดของราชวงศ์จากวังส่วนกลาง ส่วนหนังสือสมุนไพรพวกนี้เป็นของที่เดิมทีข้ามีอยู่แล้ว”

ท่าทางยามเปิดหน้ากระดาษหนังสือต่อไปไม่หยุดในขณะที่กำลังตอบนั่นดูเหมือนจะคุ้นเคยกับการทำเช่นนี้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว

จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ เธอจึงเอ่ยถามเฟเรส

“เฟเรสหรือว่าเจ้า ที่ผ่านมาศึกษาเรื่องยารักษาโรคเทรนด์บลูคนเดียวมาตลอดเลยเหรอ”

เธอเห็นหมดแล้วว่าไหล่ของเฟเรสสะดุ้งเฮือกใหญ่

และการที่เขาไม่ตอบอะไรก็ถือว่าเป็นหลักฐานมัดตัวจนดิ้นไม่หลุด

เพราะเฟเรสเป็นคนที่เลือกที่จะไม่พูดอะไร แทนที่จะพูดโกหกกับเธอยังไงล่ะ

“ขอบใจนะ”

“…”

ใบหูของเฟเรสที่นั่งเปิดหนังสืออ่านโดยไม่พูดอะไรขึ้นสีแดงก่ำ

ฟีเรนเทียหัวเราะโดยไม่มีเสียง หยิบเอาหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาถือไว้

ใช่แล้ว การมอบหมายทุกอย่างไว้ที่เอสทีร่าคนเดียว โดยที่ตัวเองเอาแต่ดีดดิ้นทั้งๆ ที่ไม่ลงมือทำอะไรเลยนั่น มันไม่เข้ากับนิสัยของเธอเลยสักนิด

เพื่อที่จะตามหาส่วนผสมอย่างสุดท้ายของยารักษาโรคเทรนด์บลู การทำอะไรสักอย่างมันช่วยให้รู้สึกสบายใจมากยิ่งขึ้น

ในระหว่างที่พวกเราใช้เวลาอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุด แคทเธอรีนกับคาอิลรัสเองก็สลับกันนำเครื่องดื่มกับของว่างมาให้

“โอ๊ย เอวข้า”

ผ่านไปกี่ชั่วโมงแล้วเนี่ย

เธอปวดเอวจนรู้สึกราวกับเอวจะหัก จึงเงยหน้าขึ้นมามอง

เข้าสู่ช่วงบ่ายแล้ว

หันหน้าไปมองเฟเรสที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เด็กนี่ยังคงไม่ละสายตาไปจากหน้ากระดาษ

ด้านข้างมีหนังสือที่อ่านจบแล้ววางกองเป็นภูเขาขนาดย่อม

เธอไม่อยากรบกวนสมาธิของเฟเรส จึงหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง แต่แล้วในตอนนั้นเอง

“ออกไปกันสักครู่มั้ย”

จู่ๆ เฟเรสก็กำลังมองหน้าเธอ

“สวนนี่เหมาะกับการเดินเล่นมากทีเดียว”

แตกต่างจากคำชื่นชมอันแสนจืดชืดของเฟเรส สวนของวังโฟอิรัคนั้นงดงามเป็นอย่างยิ่ง

ราวกับรู้ว่าเจ้าของวังแห่งนี้แวะเข้าไปยังสวนอยู่บ่อยๆ รอบทางเดินมีทั้งดอกไม้นานาชนิด ทั้งต้นไม้ถูกปลูกเอาไว้อย่างเป็นธรรมชาติ

“อ๊ะ ดอกไม้นี่…ดอกไม้ที่คราวก่อนเจ้าส่งมาให้ข้าไม่ใช่เหรอ”

ฟีเรนเทียชี้ไปยังดอกสีแดงที่หน้าตาดูคุ้นเหมือนเคยเห็นที่ไหนพลางเอ่ยถาม

“อื้อ ใช่แล้วละ ดอกบอมเนีย”

“มันคนละฤดูกับตอนที่เจ้าส่งดอกไม้นี่มาให้แล้วนี่นา”

“มันบานเมื่อตอนฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา แต่ไม่รู้ทำไมดูเหมือนปีนี้จะบานอีกครั้ง”

“เหรอ น่าทึ่งจัง บานสองครั้งในปีเดียว”

เธอเดินเข้าไปสูดกลิ่นหอมของดอกไม้ดอกนั้น

ตุบ

เฟเรสเด็ดดอกบอมเนียส่งให้เธอหนึ่งดอก

เธอเด็ดกลีบดอกไม้รสหวานใส่ปากหนึ่งกลีบ พลางถามเขาไปด้วย

“ถ้าเดินไปตามทางเส้นนี้จะเจออะไรเหรอ”

“สวนวังส่วนกลาง”

“อย่างนั้นนี่เอง…”

ได้ขยับกายสักหน่อยแบบนี้แล้ว ค่อยรู้สึกหัวสมองปลอดโปร่งขึ้นมาบ้าง

เดินเล่นได้สักพักก็เริ่มมองเห็นสวนที่เฟเรสพูดถึงอยู่ลิบๆ ที่ปลายทางเดินรวมถึงคนที่ไม่อยากเจอหน้าซึ่งดันออกมาเดินเล่นในสวนพอดีด้วย

“กลับกันเถอะ”

“อื้อ”

เฟเรสเองก็ขมวดคิ้วแน่นจนหน้าผากย่นด้วยความรำคาญใจในขณะที่ตอบ

พวกเราหันหลังหมุนตัวกลับ ตั้งใจจะเดินกลับไปยังเส้นทางที่เดินมาในทันที

“เฮ้ พวกเจ้าสองคนตรงนั้น”

แต่ดันมีเสียงทุเรศดังไล่ตามหลังของพวกเธอมาเสียได้

“เฮ้อ”

สังหรณ์ใจไม่ดีเอาเสียเลย

ฟีเรนเทียหันหลังกลับไปกล่าวทักทายโดยที่สลักตัวอักษรคำว่าอดทนเอาไว้ในใจ

“ถวายบังคมเพคะ เจ้าชายลำดับที่หนึ่ง”

“อืม ว่าแล้วเชียวเป็นเจ้าจริงๆ”

อาสทาน่าแสยะยิ้มเดินเข้ามาใกล้

เฟเรสกำลังจ้องอาสทาน่าด้วยนัยน์ตาเย็นชา

ท่าทางราวกับว่าหากจำเป็นเขาก็พร้อมที่จะชักดาบออกมาเหมือนเมื่อครั้งก่อน

คราวนี้ปล่อยผ่านไปเงียบๆ เถอะ

เธอสัญญากับตัวเองเช่นนั้น

ทว่าสัญญานั่นมันสั่นคลอนทันทีที่อาสทาน่าเปิดปากพูดออกมา

“ได้ยินว่าแคลอฮัน ลอมบาร์เดียป่วยเป็นโรคใกล้ตายรึ”

“ไอ้บ้านี่”

เธอหลุดสบถออกมาโดยไม่รู้ตัว

อาสทาน่าเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

“นะ…นี่เจ้าสบถใส่ข้า…”

ฟีเรนเทียมองอาสทาน่าที่เอาแต่อ้าปากพะงาบๆ ไม่มีเสียงเหมือนปลาทอง พยายามทำใจให้กลับมาสงบลงอีกครั้ง

เพราะมันเป็นเรื่องของท่านพ่อ เธอถึงได้เผลอวู่วามแต่โชคร้ายที่ดันเห็นอะไรบางอย่างพาดผ่านขึ้นมาบนใบหน้าของอาสทาน่า

มันคือรอยยิ้มชั่วร้ายดั่งคนที่ค้นพบจุดอ่อนที่สามารถใช้เล่นงานเธอได้

“พ่อกำลังจะตาย แต่เจ้ากลับมากะหนุงกะหนิงอยู่กับไอ้ชั้นต่ำนี่ในวัง ไม่ใช่ว่าที่จริงแล้วเจ้าไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ หรอกเหรอเนี่ย”

“หยุดได้แล้ว”

เฟเรสที่ยืนอยู่ข้างเธอกล่าวเตือนด้วยเสียงทุ้มต่ำ

แต่อาสทาน่ากลับทำเพียงแค่ยักไหล่ไม่แยแส และพูดจากระแนะกระแหนเธอต่อ

“หากเป็นบิดาข้า ข้าคงจะไม่ยอมอยู่ห่างจากเตียงคนไข้แม้แต่วินาทีเดียว แต่ก็นะ คนเขาก็คงไม่ได้เรียกพวกชั้นต่ำว่าต่ำช้าโดยไม่มีความหมายอยู่แล้ว”

“อาสทาน่า”

“มารดาก็เป็นแค่คนเร่ร่อนไม่มีที่มาที่ไป งั้นก็ไม่แน่สินะเนี่ย”

“หุบปาก”

เฟเรสเอ่ยพูดในขณะที่เลื่อนมือไปแตะด้ามดาบ

“รู้เรื่องนั้นหรือเปล่า พวกคนเร่ร่อนมักจะขายเรือนร่างให้ใครก็ได้โดยไม่เลือกหน้า แค่เพื่อที่จะหาที่หลับนอนสักคืน…”

เพียะ!

เสียงสนั่นดังขึ้นพร้อมกับใบหน้าของอาสทาน่าที่หันไปด้านข้าง

รอยมือสีแดงเริ่มปรากฏขึ้นเป็นริ้วบนใบหน้าอย่างช้าๆ

คนที่ตบลงบนแก้มนั่นด้วยแรงทั้งหมดที่มีคือฟีเรนเทีย

“เจ้าตบข้า…”

อาสทาน่ากุมแก้มเอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ก่อนจะพูดพึมพำ

เธอจ้องเขาเขม็ง ขณะเดียวกันน้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวเพราะความโกรธที่ข้ามพ้นขีดจำกัดความอดทน

“สะ…เสด็จแม่ ไม่สิ ข้าจะฟ้องฝ่าบาท! เจ้า เจ้าตบหน้าข้า!?”

ก็รู้อยู่หรอกว่าเป็นนิสัยเสียแต่นี่มัน

ขยะชัดๆ

“ต้องฟ้องให้ได้ล่ะ เพราะข้าเองก็จะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ท่านปู่ฟังเหมือนกัน”

เธอพูดย้ำทีละคำอย่างชัดถ้อยชัดคำให้อาสทาน่าฟัง

“อย่าให้ตกหล่นไปแม้แต่คำเดียว”

ในตอนนั้นเอง ใบหน้าโง่งมของอาสทาน่าก็พลันบิดเบี้ยวไม่น่ามอง สงสัยคงจะนึกถึงประโยคที่ตัวเองพูดขึ้นมาได้

ต่อให้เขาเป็นถึงเจ้าชาย แต่การที่กล้าเอ่ยพูดเรื่องเกี่ยวกับตระกูลลอมบาร์เดีย สาดโคลนใส่ภริยาผู้ล่วงลับของบุตรชายของเจ้าตระกูลที่ตอนนี้นอนป่วยอยู่บนเตียงคนไข้ ย่อมไม่มีทางผ่านเรื่องนี้ไปได้โดยรอดปลอดภัยแน่

ถึงแม้จะอยากเตะหว่างขาไม่ใช่แค่ตบแก้มอย่างที่ใจคิดก็เถอะ

เพราะเธอยังไม่ใช่เจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย จึงต้องอดกลั้นเอาไว้

ฟีเรนเทียจ้องเขาไม่ยอมถอยจนถึงที่สุด ก่อนจะหมุนตัวหันหลังกลับ และใช้แขนเสื้อเช็ดหยาดน้ำตา

รสหอมหวานจากดอกบอมเนียเมื่อครู่ มันกลับเปลี่ยนเป็นรสชาติขมเฝื่อนไปเสียแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+