เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 148.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 148.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เธอเดินทางมายังไอบันได้สิบวันแล้ว

ที่ผ่านมาเธอยุ่งอยู่กับการพาตัววิศวกรของลอมบาร์เดียไปยังสถานที่ที่พวกเขาต้องการความช่วยเหลือ และแบ่งสันปันส่วนช่วยแจกจ่ายไม้ที่ซื้อมาจากร้านค้าเพลเลสไปทั่วเขตแดนเหนือ

และวันนี้ก็ยังคงยุ่งจนแทบไม่มีสติ ไวโอเล็ตถือดอกไม้มาหาเธอถึงคฤหาสน์ตระกูลไอบัน แสร้งทำเหมือนมาเยี่ยมเยียนเป็นการส่วนตัว และกำลังรายงานเรื่องของร้านค้าเพลเลสให้เธอฟัง

“ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปพวกเราจะเปิดประตูโกดังแห่งที่สองค่ะ ในจำนวนนั้นจะแบ่ง 50 ต้นให้ไอบัน ส่วนที่เหลือจะแจกจ่ายไปให้เขตแดนรอบๆ จำนวน 130 ต้นค่ะ”

“ดูเหมือนจะเปิดโกดังช้ากว่าที่วางแผนไว้นะคะ”

“ขาดแรงงานคนที่จะขนย้ายต้นไม้น่ะค่ะ”

“ถ้าจ้างแรงงานมาจากที่อื่น คงจะดำเนินการได้เร็วกว่านี้มากแท้ๆ ถึงแม้จะแพงหน่อย เพราะอยู่ในช่วงฤดูเพาะปลูกก็เถอะ”

“ได้ยินว่าเขตแดนโจนิกที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของไอบัน จะจ้างแรงงานมาเพิ่มจากทางตอนกลางตั้งแต่วันนี้ไปค่ะ”

“เหรอคะ หรือจะมีเงินเหลืออยู่บ้าง”

ในสถานการณ์ที่เจ้าตระกูลไอบันเอาแต่ยืนกรานที่จะไม่รับเงินช่วยเหลือจากราชวงศ์ การมีเขตแดนที่สามารถจัดการฟื้นฟูบ้านเมืองได้เร็วขึ้นหน่อย ถึงจะแค่เขตแดนเดียวก็ยังถือเป็นเรื่องที่ดี

ในตอนนั้นเอง สายลมเย็นก็พัดผ่านหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้เข้ามาในห้อง จนร่างกายรู้สึกหนาวเย็นเล็กน้อย

“อากาศทางเหนือเริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้วสินะคะ ไวโอเล็ต”

“หมดหน้าร้อนแล้ว ไม่นานอากาศก็จะหนาวขึ้นแบบนี้ทันทีเลยละค่ะ จะไปไหนก็สวมเสื้อผ้าให้หนาเข้าไว้นะคะ ท่านฟีเรนเทีย”

“แค่นี้ท่านพ่อก็ส่งเสื้อผ้าหนาๆ จากร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮันสาขาไอบันมาให้มากขนาดนั้นแล้วค่ะ”

เธอชี้ไปยังเสื้อผ้ากองหนึ่งเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบทางฝั่งหนึ่งของห้องนอน

“แต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมดนะคะ เห็นว่าพรุ่งนี้เช้าจะมีส่งมาให้อีกรอบ”

พอเธอพูดแบบนั้น ไวโอเล็ตก็หัวเราะเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นว่า

“ท่านแคลอฮันเองก็คงจะเป็นห่วงมากเลยสินะคะเนี่ย นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านฟีเรนเทียออกมาค้างนอกลอมบาร์เดียไม่ใช่หรือคะ”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ อีกไม่กี่วันก็จะเดินทางกลับลอมบาร์เดียแล้วแท้ๆ นี่ต่อให้ใส่วันละตัวยังเหลือเฟือเลยไม่ใช่เหรอ”

เธอพูดเช่นนั้นก่อนจะเดินไปหยิบเดรสที่เลือกเอาไว้แล้วจากบรรดาเดรสที่ท่านพ่อส่งมาให้ขึ้นมาถือไว้

มันเป็นเดรสผ้าไหมสีกุหลาบเข้มประดับไปด้วยผ้าลูกไม้บางๆ สีดำ ช่วยทำให้นัยน์ตาสีเขียวของเธอดูโดดเด่นยิ่งขึ้น

ต้องเปลี่ยนชุดแล้ว

“ข้าช่วยนะคะ ท่านฟีเรนเทีย”

“ได้เหรอคะ ขอบคุณค่ะ ไวโอเล็ต แค่ช่วยข้าใส่ชุดเดรสก็พอค่ะ”

หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความช่วยเหลือของไวโอเล็ต เธอก็เดินไปนั่งลงที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งเพื่อเลือกเครื่องประดับที่ดูเข้าชุด

“อืมม ไม่รู้ทำไมถึงเป็นอันนี้ที่เหมาะเสียได้นะเนี่ย”

เครื่องประดับที่เธอเลือกคือ กิ๊บติดผมทับทิมที่เฟเรสเคยให้เป็นของขวัญเมื่อนานมาแล้ว

“ทำไมหรือคะ ท่านฟีเรนเทีย”

“กิ๊บติดผมชิ้นนี้น่ะค่ะ มันเข้ากับเดรสตัวที่สวมอยู่ตอนนี้มากเลยใช่มั้ยล่ะคะ”

“จริงด้วยค่ะ เหมือนกับเครื่องประดับที่สร้างขึ้นมาเป็นคู่กันเลยค่ะ”

แต่งานเลี้ยงมื้อเย็นวันนี้เฟเรสก็จะมาด้วยนี่นา

นั่นคือความคิดแรกที่เกิดขึ้น เธอใช้ปลายนิ้วลูบกิ๊บติดผม และในที่สุดก็เสียบมันลงบนผมของตัวเอง

มันออกจะดูเข้ากันดีขนาดนี้ ถ้าจงใจไม่ใช้ก็ออกจะแปลกไปหน่อยไม่ใช่หรือไง

“ถ้าอย่างนั้นไว้พรุ่งนี้ค่อยพบกันที่ร้านค้าเพลเลสนะคะ ไวโอเล็ต”

หลังจากเช็กดูว่าใกล้ถึงเวลาเริ่มงานเลี้ยงมื้อเย็นแล้ว เธอก็กล่าวลาไวโอเล็ต จากนั้นก็หมุนประตูลูกบิดเปิดประตูห้องนอนออกไป

ทันใดนั้น

“อ๊ะ?”

สบตาเข้ากับเฟเรสที่อยู่ตรงหน้าห่างกันแค่ปลายจมูกกั้น เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นคล้ายกับกำลังจะเคาะประตูห้องพอดี

“สวัสดี เฟเรส”

เธอเอ่ยทักทายเสียงเรียบเหมือนไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

แต่เฟเรสกลับมีสีหน้าเหมือนตกใจอะไรบางอย่าง

นัยน์ตาสีแดงคู่นั้นเอาแต่มองหน้าเธอ ก่อนที่จะคลายตัวคลี่ยิ้มแปลกพิกล

“…สวัสดี เทีย”

เฟเรสเงียบไม่พูดไม่จาอยู่หลายวินาที ก่อนจะเปิดปากพูดทักทายช้าไปหนึ่งจังหวะ

“ข้ามาเชิญเจ้า”

“อืม เหรอ ขอบใจนะที่ดูแลกัน”

“คนคนนั้นคือ…”

เฟเรสมองไวโอเล็ตผ่านประตูห้องของเธอที่เปิดค้างไว้แล้วเอ่ยขึ้นว่า

“คนของร้านค้าเพลเลสใช่มั้ย”

ท่าทางจะรู้อยู่แล้วว่าไวโอเล็ตเป็นใคร

“นางรู้มาว่าข้ามาที่เขตแดนไอบัน ก็เลยแวะมาทักทายน่ะ พอดีเห็นกันมาตั้งแต่ยังเด็กเลยค่อนข้างสนิทสนมกัน”

“อย่างนั้นนี่เอง”

เฟเรสพยักหน้าลง ขณะเดียวกันก็ยื่นมือออกมาหาเธอแทนความหมายของการเชื้อเชิญ

เธอก้มหน้ามองมือข้างนั้นอยู่ครู่หนึ่งด้วยความลังเล

มันก็แค่การเชื้อเชิญกันเท่านั้นเองแท้ๆ

แต่หัวใจที่เต้นแรงตั้งแต่ตอนที่ได้สบตากับเฟเรสเมื่อครู่นี้ มันกลับยิ่งเต้นกระหน่ำอย่างรุนแรงมากกว่าเดิมเสียอีก

หัวสมองพลันนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นริมทะเลสาบขึ้นมาอย่างไร้เหตุผลเสียได้

อุณหภูมิของเฟเรสที่รู้สึกได้ผ่านผิวหนังที่สัมผัสกัน เสียงทุ้มต่ำของเขา นัยน์ตาสีแดงเข้มที่มองหน้าเธอในคืนนั้น มันเด่นชัดอยู่ตรงหน้าเหมือนเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้

และเรือนร่างอันแสนงดงามของเฟเรสภายใต้แสงจันทร์…

ลามก! คิดลามกอันใด!

เธออดกลั้นความคิดที่อยากจะสะบัดศีรษะไล่ความคิดพวกนั้นออกจากหัว ในขณะที่แสร้งฉีกยิ้มผ่อนคลายราวกับไม่รู้สึกอะไร พร้อมกับยื่นมือออกไปจับมือของเฟเรสเอาไว้

พวกเราเดินไปบนโถงทางเดินโดยไม่ได้สนทนาอะไรกันสักคำ

บรรยากาศน่ากระอักกระอ่วนจึงเกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

บางครั้งก็รับคำทักทายจากลูกจ้างตระกูลไอบันที่บังเอิญเจอกันตามทาง

ไม่สิ บางทีอาจจะมีแค่เธอคนเดียวก็ได้ที่รู้สึกกระอักกระอ่วน

เพราะเฟเรสเอาแต่เหม่อมองใบหน้าด้านข้างของเธอที่มองตรงไปข้างหน้าไม่ยอมละสายตาอยู่นี่นา

“อ๊ะ ถึงแล้วละ”

โล่งอกที่ระยะทางจากห้องของเธอมาจนถึงห้องอาหารมันไม่ได้ไกลอะไรมากนักถึงมันจะคนละปัญหากับเรื่องของความรู้สึกก็เถอะ

“ไม่ไกลเท่าไหร่เนอะ”

เธอพูดสั้นๆ ตั้งใจจะปล่อยมือจากเฟเรส

“…เฟเรส?”

แต่มือของเขากลับไม่ยอมปล่อยมือของเธอแถมยังกุมเอาไว้แน่นกว่าเดิมอีกด้วย

“ตะ ต้องเปิดประตูห้องอาหารก่อน…”

“เทีย”

พอเห็นว่าเธอยืนกรานพยายามจะดึงมือออกอีกรอบ เฟเรสก็รีบเรียกเธอไว้ พลางขยับกายเข้ามาใกล้เธออีกก้าว

คราวนี้ใบหน้าของเด็กหนุ่มอยู่ตรงหน้าปลายจมูกของเธอแล้ว

“ใช้กิ๊บติดผมที่ข้าให้ด้วยเหรอ” เสียงดังข้างใบหูทำเอาเธอตกใจจนไหล่สะดุ้งเฮือกโดยไม่รู้ตัว

“กะ ก็มันสวยไม่ใช่เหรอ! ปกติข้าก็ใช้อยู่ประจำนั่นแหละ!”

“งั้นหรือ ดีใจจัง”

เฟเรสยิ้มมันเป็นรอยยิ้มเหมือนที่เคยเห็น รอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเด็กหนุ่มที่มีแต่มุมปากข้างหนึ่งกระตุกขึ้นแต่วันนี้รอยยิ้มนั่นทำไมถึงได้ดูมีเสน่ห์กว่าที่เคยล่ะเนี่ย!

เธอหลุบสายตาลงล่าง ไม่อาจทนมองใบหน้าของเฟเรสได้อีกต่อไปแล้ว

“…เอ๋?”

และเธอก็ต้องตกใจอีกรอบ

ไม่สิ คราวนี้เธอตกใจมากจริงๆ จนเทียบกับเมื่อครู่นี้ไม่ได้เลย

เพราะตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่มือของเธอเองก็จับมือของเฟเรสเอาไว้แน่นเหมือนกัน

ราวกับไม่อยากปล่อยให้มือใหญ่อันแสนอบอุ่นนี่หลุดไปจากมือเลย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 148.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 148.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เธอเดินทางมายังไอบันได้สิบวันแล้ว

ที่ผ่านมาเธอยุ่งอยู่กับการพาตัววิศวกรของลอมบาร์เดียไปยังสถานที่ที่พวกเขาต้องการความช่วยเหลือ และแบ่งสันปันส่วนช่วยแจกจ่ายไม้ที่ซื้อมาจากร้านค้าเพลเลสไปทั่วเขตแดนเหนือ

และวันนี้ก็ยังคงยุ่งจนแทบไม่มีสติ ไวโอเล็ตถือดอกไม้มาหาเธอถึงคฤหาสน์ตระกูลไอบัน แสร้งทำเหมือนมาเยี่ยมเยียนเป็นการส่วนตัว และกำลังรายงานเรื่องของร้านค้าเพลเลสให้เธอฟัง

“ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปพวกเราจะเปิดประตูโกดังแห่งที่สองค่ะ ในจำนวนนั้นจะแบ่ง 50 ต้นให้ไอบัน ส่วนที่เหลือจะแจกจ่ายไปให้เขตแดนรอบๆ จำนวน 130 ต้นค่ะ”

“ดูเหมือนจะเปิดโกดังช้ากว่าที่วางแผนไว้นะคะ”

“ขาดแรงงานคนที่จะขนย้ายต้นไม้น่ะค่ะ”

“ถ้าจ้างแรงงานมาจากที่อื่น คงจะดำเนินการได้เร็วกว่านี้มากแท้ๆ ถึงแม้จะแพงหน่อย เพราะอยู่ในช่วงฤดูเพาะปลูกก็เถอะ”

“ได้ยินว่าเขตแดนโจนิกที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของไอบัน จะจ้างแรงงานมาเพิ่มจากทางตอนกลางตั้งแต่วันนี้ไปค่ะ”

“เหรอคะ หรือจะมีเงินเหลืออยู่บ้าง”

ในสถานการณ์ที่เจ้าตระกูลไอบันเอาแต่ยืนกรานที่จะไม่รับเงินช่วยเหลือจากราชวงศ์ การมีเขตแดนที่สามารถจัดการฟื้นฟูบ้านเมืองได้เร็วขึ้นหน่อย ถึงจะแค่เขตแดนเดียวก็ยังถือเป็นเรื่องที่ดี

ในตอนนั้นเอง สายลมเย็นก็พัดผ่านหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้เข้ามาในห้อง จนร่างกายรู้สึกหนาวเย็นเล็กน้อย

“อากาศทางเหนือเริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้วสินะคะ ไวโอเล็ต”

“หมดหน้าร้อนแล้ว ไม่นานอากาศก็จะหนาวขึ้นแบบนี้ทันทีเลยละค่ะ จะไปไหนก็สวมเสื้อผ้าให้หนาเข้าไว้นะคะ ท่านฟีเรนเทีย”

“แค่นี้ท่านพ่อก็ส่งเสื้อผ้าหนาๆ จากร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮันสาขาไอบันมาให้มากขนาดนั้นแล้วค่ะ”

เธอชี้ไปยังเสื้อผ้ากองหนึ่งเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบทางฝั่งหนึ่งของห้องนอน

“แต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมดนะคะ เห็นว่าพรุ่งนี้เช้าจะมีส่งมาให้อีกรอบ”

พอเธอพูดแบบนั้น ไวโอเล็ตก็หัวเราะเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นว่า

“ท่านแคลอฮันเองก็คงจะเป็นห่วงมากเลยสินะคะเนี่ย นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านฟีเรนเทียออกมาค้างนอกลอมบาร์เดียไม่ใช่หรือคะ”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ อีกไม่กี่วันก็จะเดินทางกลับลอมบาร์เดียแล้วแท้ๆ นี่ต่อให้ใส่วันละตัวยังเหลือเฟือเลยไม่ใช่เหรอ”

เธอพูดเช่นนั้นก่อนจะเดินไปหยิบเดรสที่เลือกเอาไว้แล้วจากบรรดาเดรสที่ท่านพ่อส่งมาให้ขึ้นมาถือไว้

มันเป็นเดรสผ้าไหมสีกุหลาบเข้มประดับไปด้วยผ้าลูกไม้บางๆ สีดำ ช่วยทำให้นัยน์ตาสีเขียวของเธอดูโดดเด่นยิ่งขึ้น

ต้องเปลี่ยนชุดแล้ว

“ข้าช่วยนะคะ ท่านฟีเรนเทีย”

“ได้เหรอคะ ขอบคุณค่ะ ไวโอเล็ต แค่ช่วยข้าใส่ชุดเดรสก็พอค่ะ”

หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความช่วยเหลือของไวโอเล็ต เธอก็เดินไปนั่งลงที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งเพื่อเลือกเครื่องประดับที่ดูเข้าชุด

“อืมม ไม่รู้ทำไมถึงเป็นอันนี้ที่เหมาะเสียได้นะเนี่ย”

เครื่องประดับที่เธอเลือกคือ กิ๊บติดผมทับทิมที่เฟเรสเคยให้เป็นของขวัญเมื่อนานมาแล้ว

“ทำไมหรือคะ ท่านฟีเรนเทีย”

“กิ๊บติดผมชิ้นนี้น่ะค่ะ มันเข้ากับเดรสตัวที่สวมอยู่ตอนนี้มากเลยใช่มั้ยล่ะคะ”

“จริงด้วยค่ะ เหมือนกับเครื่องประดับที่สร้างขึ้นมาเป็นคู่กันเลยค่ะ”

แต่งานเลี้ยงมื้อเย็นวันนี้เฟเรสก็จะมาด้วยนี่นา

นั่นคือความคิดแรกที่เกิดขึ้น เธอใช้ปลายนิ้วลูบกิ๊บติดผม และในที่สุดก็เสียบมันลงบนผมของตัวเอง

มันออกจะดูเข้ากันดีขนาดนี้ ถ้าจงใจไม่ใช้ก็ออกจะแปลกไปหน่อยไม่ใช่หรือไง

“ถ้าอย่างนั้นไว้พรุ่งนี้ค่อยพบกันที่ร้านค้าเพลเลสนะคะ ไวโอเล็ต”

หลังจากเช็กดูว่าใกล้ถึงเวลาเริ่มงานเลี้ยงมื้อเย็นแล้ว เธอก็กล่าวลาไวโอเล็ต จากนั้นก็หมุนประตูลูกบิดเปิดประตูห้องนอนออกไป

ทันใดนั้น

“อ๊ะ?”

สบตาเข้ากับเฟเรสที่อยู่ตรงหน้าห่างกันแค่ปลายจมูกกั้น เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นคล้ายกับกำลังจะเคาะประตูห้องพอดี

“สวัสดี เฟเรส”

เธอเอ่ยทักทายเสียงเรียบเหมือนไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

แต่เฟเรสกลับมีสีหน้าเหมือนตกใจอะไรบางอย่าง

นัยน์ตาสีแดงคู่นั้นเอาแต่มองหน้าเธอ ก่อนที่จะคลายตัวคลี่ยิ้มแปลกพิกล

“…สวัสดี เทีย”

เฟเรสเงียบไม่พูดไม่จาอยู่หลายวินาที ก่อนจะเปิดปากพูดทักทายช้าไปหนึ่งจังหวะ

“ข้ามาเชิญเจ้า”

“อืม เหรอ ขอบใจนะที่ดูแลกัน”

“คนคนนั้นคือ…”

เฟเรสมองไวโอเล็ตผ่านประตูห้องของเธอที่เปิดค้างไว้แล้วเอ่ยขึ้นว่า

“คนของร้านค้าเพลเลสใช่มั้ย”

ท่าทางจะรู้อยู่แล้วว่าไวโอเล็ตเป็นใคร

“นางรู้มาว่าข้ามาที่เขตแดนไอบัน ก็เลยแวะมาทักทายน่ะ พอดีเห็นกันมาตั้งแต่ยังเด็กเลยค่อนข้างสนิทสนมกัน”

“อย่างนั้นนี่เอง”

เฟเรสพยักหน้าลง ขณะเดียวกันก็ยื่นมือออกมาหาเธอแทนความหมายของการเชื้อเชิญ

เธอก้มหน้ามองมือข้างนั้นอยู่ครู่หนึ่งด้วยความลังเล

มันก็แค่การเชื้อเชิญกันเท่านั้นเองแท้ๆ

แต่หัวใจที่เต้นแรงตั้งแต่ตอนที่ได้สบตากับเฟเรสเมื่อครู่นี้ มันกลับยิ่งเต้นกระหน่ำอย่างรุนแรงมากกว่าเดิมเสียอีก

หัวสมองพลันนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นริมทะเลสาบขึ้นมาอย่างไร้เหตุผลเสียได้

อุณหภูมิของเฟเรสที่รู้สึกได้ผ่านผิวหนังที่สัมผัสกัน เสียงทุ้มต่ำของเขา นัยน์ตาสีแดงเข้มที่มองหน้าเธอในคืนนั้น มันเด่นชัดอยู่ตรงหน้าเหมือนเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้

และเรือนร่างอันแสนงดงามของเฟเรสภายใต้แสงจันทร์…

ลามก! คิดลามกอันใด!

เธออดกลั้นความคิดที่อยากจะสะบัดศีรษะไล่ความคิดพวกนั้นออกจากหัว ในขณะที่แสร้งฉีกยิ้มผ่อนคลายราวกับไม่รู้สึกอะไร พร้อมกับยื่นมือออกไปจับมือของเฟเรสเอาไว้

พวกเราเดินไปบนโถงทางเดินโดยไม่ได้สนทนาอะไรกันสักคำ

บรรยากาศน่ากระอักกระอ่วนจึงเกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

บางครั้งก็รับคำทักทายจากลูกจ้างตระกูลไอบันที่บังเอิญเจอกันตามทาง

ไม่สิ บางทีอาจจะมีแค่เธอคนเดียวก็ได้ที่รู้สึกกระอักกระอ่วน

เพราะเฟเรสเอาแต่เหม่อมองใบหน้าด้านข้างของเธอที่มองตรงไปข้างหน้าไม่ยอมละสายตาอยู่นี่นา

“อ๊ะ ถึงแล้วละ”

โล่งอกที่ระยะทางจากห้องของเธอมาจนถึงห้องอาหารมันไม่ได้ไกลอะไรมากนักถึงมันจะคนละปัญหากับเรื่องของความรู้สึกก็เถอะ

“ไม่ไกลเท่าไหร่เนอะ”

เธอพูดสั้นๆ ตั้งใจจะปล่อยมือจากเฟเรส

“…เฟเรส?”

แต่มือของเขากลับไม่ยอมปล่อยมือของเธอแถมยังกุมเอาไว้แน่นกว่าเดิมอีกด้วย

“ตะ ต้องเปิดประตูห้องอาหารก่อน…”

“เทีย”

พอเห็นว่าเธอยืนกรานพยายามจะดึงมือออกอีกรอบ เฟเรสก็รีบเรียกเธอไว้ พลางขยับกายเข้ามาใกล้เธออีกก้าว

คราวนี้ใบหน้าของเด็กหนุ่มอยู่ตรงหน้าปลายจมูกของเธอแล้ว

“ใช้กิ๊บติดผมที่ข้าให้ด้วยเหรอ” เสียงดังข้างใบหูทำเอาเธอตกใจจนไหล่สะดุ้งเฮือกโดยไม่รู้ตัว

“กะ ก็มันสวยไม่ใช่เหรอ! ปกติข้าก็ใช้อยู่ประจำนั่นแหละ!”

“งั้นหรือ ดีใจจัง”

เฟเรสยิ้มมันเป็นรอยยิ้มเหมือนที่เคยเห็น รอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเด็กหนุ่มที่มีแต่มุมปากข้างหนึ่งกระตุกขึ้นแต่วันนี้รอยยิ้มนั่นทำไมถึงได้ดูมีเสน่ห์กว่าที่เคยล่ะเนี่ย!

เธอหลุบสายตาลงล่าง ไม่อาจทนมองใบหน้าของเฟเรสได้อีกต่อไปแล้ว

“…เอ๋?”

และเธอก็ต้องตกใจอีกรอบ

ไม่สิ คราวนี้เธอตกใจมากจริงๆ จนเทียบกับเมื่อครู่นี้ไม่ได้เลย

เพราะตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่มือของเธอเองก็จับมือของเฟเรสเอาไว้แน่นเหมือนกัน

ราวกับไม่อยากปล่อยให้มือใหญ่อันแสนอบอุ่นนี่หลุดไปจากมือเลย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+