เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 144.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 144.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

พวกขุนนางต่างก็เงียบเสียงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่อาจทราบได้

ทุกคนกำลังรอคำตัดสินของจักรพรรดิกันอยู่

และในตอนนั้นเอง เฟเรสก็เอ่ยขึ้นมาเสียงทุ้มต่ำ

“ลงโทษให้เสียค่าปรับเป็นเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”

“…ค่าปรับ?”

“พ่ะย่ะค่ะ ด้วยจำนวนที่เหมาะสม”

การเสียเงินค่าปรับเป็นโทษที่เบาที่สุดในบรรดาโทษที่สามารถลงทัณฑ์เหล่าขุนนางได้ และเป็นวิธีการที่พวกเขาจะไม่ต้องสูญเสียเกียรติไปด้วย

รูลลัก ลอมบาร์เดียเอ่ยค้านเสียงทุ้ม

“กำแพงป้อมปราการพังทลาย ทั้งยังมีคนบาดเจ็บล้มตายพ่ะย่ะค่ะ มันไม่ใช่เรื่องที่จะแก้ไขได้ด้วยเงินค่าปรับนะพ่ะย่ะค่ะ”

“การลงโทษด้วยเงินค่าปรับอย่างไรก็เป็นการลงโทษรูปแบบหนึ่งไม่ใช่หรือครับ”

เฟเรสโต้เถียงคำของรูลลัก

และหันไปมองจักรพรรดิโยบาเนส ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า

“ลงโทษให้จ่ายเงินค่าปรับราคาสูง และแบ่งเงินส่วนหนึ่งไปช่วยส่งเสริมการฟื้นฟูเขตเหนือ กระหม่อมคิดว่าน่าจะสมเหตุสมผลอยู่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

“นั่นช่างเป็นความคิดที่ดีจริงๆ !”

จักรพรรดิโยบาเนสตบเข่าเสียงดังฉาดในขณะที่พูดขึ้น

หากเป็นการเสียเงินค่าปรับรูปแบบนั้นละก็ นอกจากจะไม่เสียชื่อแล้ว ยังช่วยรักษาหน้าตาของราชวงศ์เอาไว้ได้ด้วย

โยบาเนสรีบประกาศคำตัดสิน ก่อนที่จะมีเสียงคัดค้านอะไรดังขึ้นมาอีก

“ข้าขอสั่งลงโทษให้ตระกูลอังเกนัสจ่ายเงินค่าปรับจำนวน 10,000เหรียญทอง และเงินจำนวนครึ่งหนึ่ง หรือ5,000 เหรียญทองจะถูกนำไปใช้ในการบูรณะและช่วยเหลือเขตแดนเหนือ”

ในเมื่อองค์จักรพรรดิมีรับสั่งตัดสินออกมาแล้ว ย่อมไม่มีใครสามารถโต้แย้งอะไรได้อีก รูลลักจึงได้แต่จ้องเจ้าชายลำดับที่สองเขม็ง

‘เด็กนี่ ไม่ถูกใจเขาเอาเสียเลย’

ตั้งแต่เรื่องที่เสนอตัวขอไปเขตแดนเหนือพร้อมกับฟีเรนเทีย จนถึงที่เมื่อครู่นี้เสนอความเห็นให้ลงโทษในรูปแบบค่าปรับ เขาไม่ถูกใจสักเรื่อง

ไม่สิ ตั้งแต่วันที่พบหน้าในวังเล็กผุพังนั่นเป็นครั้งแรก ก็ไม่มีส่วนไหนถูกใจเขาเลยสักจุด

ไม่มีทางที่จะไม่รู้สึกถึงสายตาไม่เป็นมิตรของรูลลัก แต่เฟเรสก็ยังกระตุกยิ้มอย่างหาได้ยากยามมองสบตารูลลักกลับไป

เขาอาจจะไม่ค่อยแสดงความรู้สึกอะไรออกมาให้เห็นภายนอกก็จริง แต่ตอนนี้เฟเรสอารมณ์ดีมากจริงๆ

ทั้งเรื่องที่ได้ไปเขตแดนเหนือด้วยกันกับเทียก็ด้วย แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือเรื่องที่จักรพรรดินีและอังเกนัสต้องเสียเงินจำนวนมากอย่างหนึ่งหมื่นเหรียญทอง

เขากำลังกลุ้มใจอยู่พอดี เพราะดูเหมือนว่าไม้ทรีบ้าที่เขาเพียรกว้านซื้อเอาไว้ มันไม่มากพอที่จะสูบเงินของอังเกนัสให้หมดสิ้นได้แท้ๆ

หากเป็นเงินจำนวนหนึ่งหมื่นเหรียญทองที่ต้องควักจ่ายออกไปทันทีนั่นละก็ ย่อมเป็นยอดเงินที่เหมาะสมยิ่ง

เฟเรสเดินตามหลังจักรพรรดิออกจากห้องประชุม เขากระตุกยิ้มอย่างมีเลศนัย

* * *

“หนึ่งหมื่นเหรียญทองอย่างนั้นหรือ…!”

จักรพรรดินีราวีนี่กัดริมฝีปากแน่น หลังจากได้ยินผลการตัดสินในที่ประชุมใหญ่

ปกติการลงโทษในรูปแบบเงินสินไหมค่าปรับ มักจะถูกนำไปใช้กับเรื่องทางการทหารเสียมากกว่า แต่คราวนี้มันไม่ใช่

ตอนนี้เงินทองของพวกเขากำลังร่อยหรอขาดแคลนอยู่มาก

“ขายเขตแดนออกไปบางเขต…เป็นเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”

ดิวอิจลอบสังเกตสีหน้าของจักรพรรดินี พลางเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

“…คงมีแต่วิธีนั้นเท่านั้น”

จักรพรรดินีตอบเสียงเย็นชา

ตระกูลที่ครอบครองเขตแดนจำนวนมากที่สุดในภาคตะวันตก จึงจะมีสิทธิ์ได้เป็นตัวแทนของเขตแดน

เพราะฉะนั้นการขายเขตแดนทิ้งจึงเป็นวิธีการสุดท้ายที่พวกเขาจะตัดสินใจทำ

แต่ในตอนนี้ นางมองไม่เห็นวิธีอื่นใดที่ดีกว่านี้แล้ว

“ถ้าอย่างนั้นลองส่งสารไปหาตระกูลอื่นๆ ในภาคตะวันตก…”

“เดี๋ยวก่อน”

จักรพรรดินีเอ่ยขัดคำพูดของดิวอิจ ก่อนจะเดินตรงไปหยุดตรงหน้าโต๊ะหนังสือ

และหยิบเอาสารที่ส่งมาถึงนางเมื่อหลายวันก่อนขึ้นมาถือไว้

จักรพรรดินีลูบสัมผัสเนียนลื่นของกระดาษชั้นยอดด้วยปลายนิ้วก่อนจะเอ่ยกับดิวอิจ

“ถ้าขายเขตแดนให้ตระกูลอื่นในภาคตะวันตกเพิ่มไปมากกว่านี้ จะเป็นอันตรายต่อตำแหน่งตัวแทนเขตตะวันตกได้ ดิวอิจ”

“เช่นนั้น…จะต้องทำเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”

“ต้องขายเขตแดนให้กับคนที่ต่อให้ครอบครองโฉนดที่ดินภาคตะวันตก ก็จะไม่ทำให้ตำแหน่งตัวแทนของพวกเราเป็นอันตรายได้ยังไงล่ะ”

จักรพรรดินีพึมพำอะไรบางอย่างที่ไม่อาจเข้าใจความหมายได้ แล้วนั่งลงหยิบปากกาขนนกขึ้นมาเขียนทันที

และไม่นานหลังจากนั้น นางก็ส่งซองสีม่วงที่ปิดผนึกด้วยขี้ผึ้งให้แก่ดิวอิจ

“ส่งสารฉบับนี้ไปยังเซอเชาว์”

* * *

“ไม่พบจุดไหนแปลกเลย หากสืบเรื่องร้านค้าเพลเลสต่อไปก็มีแต่จะเสียเวลาไปเปล่าๆ”

ริกนีเต้เบาเสียงลงจนแทบกลายเป็นเสียงกระซิบในขณะที่เอ่ยกับเฟเรส

“เจ้าตั้งใจจะหาอะไรกันแน่ ถ้าบอกมาตรงๆ น่าจะช่วยให้การสืบมันง่ายกว่านะ”

“…ข้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอะไร แต่มันมีอะไรบางอย่างแปลกๆ”

ริกนีเต้ได้แต่ถอนหายใจเสียงแผ่วเมื่อได้ยินคำตอบของเฟเรส

แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้บ่นอะไร

ลางสังหรณ์ของเฟเรสมักจะถูกอยู่เสมอจนน่ากลัวทีเดียว

เพราะฉะนั้นเรื่องของร้านค้าเพลเลส ต่อให้เป็นเพียงแค่ความสงสัยไร้ซึ่งหลักฐานของเฟเรส เขาก็ยังยอมทำตามคำสั่งอย่างอดทน

“มันก็มีอะไรแปลกๆ แน่ละ คนเป็นพ่อค้ากลับยอมทิ้งขว้างเงินทอง ทั้งยังยอมรับความเสียหาย เพียงแค่เพื่อส่งไปเป็นกู้ภัยเนี่ยนะ นั่นมันวิธีการเคลื่อนไหวทางการเมืองชัดๆ”

ไม้ทรีบ้าที่พยายามเก็บรวบรวมมาอย่างแข็งขัน เหมือนกระรอกที่เก็บรวบรวมลูกวอลนัทเอาไว้มากมายด้วยความโลภ ตอนที่เขาได้ยินว่าสุดท้ายพวกนั้นเอามันไปใช้เพื่อช่วยเหลือในการก่อสร้างฟื้นฟูเขตแดนเหนือ ริกนีเต้เองก็แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองเหมือนกัน

ในสถานการณ์ที่อังเกนัสกระหายกว้านซื้อไม้ทรีบ้าจนนัยน์ตาลุกเป็นไฟ ต้นทรีบ้าพวกนั้นสามารถสร้างผลกำไรจำนวนมหาศาลให้ได้อย่างแน่นอน

“ยอมปล่อยของพวกนั้นไป แล้วทางร้านค้าเพลเลสจะได้ประโยชน์อะไรกันแน่”

“ลองสืบเกี่ยวกับร้านค้าเพลเลส โดยเฉพาะเกี่ยวกับเครย์ลีบัน เพลเลสให้มากขึ้นหน่อย ถ้าทำแบบนั้นจะต้องต่อจิ๊กซอว์ทั้งหมดขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างได้”

และในตอนที่เฟเรสออกคำสั่งเสร็จสิ้น

“พร้อมออกเดินทางแล้วพ่ะย่ะค่ะ เจ้าชายลำดับที่สอง”

มหาดเล็กประจำพระราชวังก็เดินเข้ามาแจ้งกำหนดการเดินทาง

“….เช่นนั้นก็ขอให้เดินทางปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะเจ้าชาย”

ริกนีเต้โค้งศีรษะลงด้วยความนอบน้อม กล่าวคำพูดออกมาราวกับไม่เคยพูดจาเป็นกันเองไร้หางเสียงกับเฟเรสเลยสักครั้ง

เฟเรสรับคำกล่าวลาจากสหาย แล้วหันไปถามมหาดเล็ก

“มีการติดต่อมาจากทีมที่ล่วงหน้าไปก่อนหรือยัง”

“พ่ะย่ะค่ะ แจ้งมาว่าไม่มีอะไรผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”

“กลุ่มสองที่ต้องเตรียมไปอารักขาเองก็เตรียมการพร้อมแล้ว”

“ตามรับสั่งของเจ้าชาย กลุ่มที่สองเตรียมพร้อมที่จะออกเดินทางในสามชั่วโมงให้หลังพ่ะย่ะค่ะ”

“เตรียมพร้อมสำหรับอำนวยความสะดวกให้คุณหนูลอมบาร์เดียด้วยแล้ว?”

“…พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

คราวนี้ถึงกับดูแลกระทั่งความสะดวกสบายของคุณหนูที่จะร่วมเดินทางไปด้วยนี่พระองค์ไม่เชื่อใจพวกเขาหรือยังไงกัน

ใบหน้าของมหาดเล็กแฝงไปด้วยความเศร้าหมองอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น

“ลำบากเจ้าแล้ว”

เพราะเฟเรสกล่าวเช่นนั้นพลางตบไหล่เป็นการขอบใจ ทำให้ความเศร้าของมหาดเล็กปลิวหลุดลอยหายไปทันที

“ทุกคนเตรียมตัวกันพร้อมหมดแล้ว ไม่ทราบว่ามัวทำอะไรอยู่ที่นี่เพคะ เจ้าชายลำดับที่สอง”

ฟีเรนเทียซึ่งขึ้นไปนั่งรอในรถม้าก่อนล่วงหน้าถึงกับทนไม่ไหว สุดท้ายต้องลงจากรถม้าเดินมาถามกันโต้งๆ

“เดี๋ยวก็ได้ออกเดินทางกันหลังพระอาทิตย์ตกดินพอดีนะเพคะ”

ถึงแม้จะฉีกยิ้มกว้างอยู่ แต่นัยน์ตาคู่นั้นกลับไม่มีรอยยิ้มให้เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว ดูเหมือนจะไม่พอใจเฟเรสเป็นอย่างมาก

แต่ท่าทางที่ได้เห็นก็ยังดูงดงามเหมือนเคยอยู่ดี ทำให้เฟเรสได้แต่กลืนเสียงหัวเราะลงคอ ก่อนจะเอ่ยออกมา

“….ขออภัยครับ คุณหนูลอมบาร์เดีย เช่นนั้นก็ออกเดินทางกันเลยเถอะครับ”

เฟเรสพาฟีเรนเทียเดินกลับไปยังรถม้าอีกครั้งด้วยความสุภาพอ่อนน้อมและเดินตามหลังนางขึ้นไปนั่งบนรถม้าคันเดียวกันหน้าตาเฉย

“ออกเดินทางได้”

ประตูรถม้าปิดลง ขบวนเดินทางซึ่งอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัยเพื่อเขตเหนือจึงเริ่มเคลื่อนตัวออกเดินทางอย่างช้าๆ

ข้างหลังรถม้าหรูหราคันใหญ่ที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ตามคำสั่งของเฟเรสมีเจ้าม้าหลังเปล่าไร้คนนั่งของเฟเรสเดินตามหลังส่งเสียงดังกุบกับ กุบกับ ไปตามทาง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 144.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 144.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

พวกขุนนางต่างก็เงียบเสียงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่อาจทราบได้

ทุกคนกำลังรอคำตัดสินของจักรพรรดิกันอยู่

และในตอนนั้นเอง เฟเรสก็เอ่ยขึ้นมาเสียงทุ้มต่ำ

“ลงโทษให้เสียค่าปรับเป็นเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”

“…ค่าปรับ?”

“พ่ะย่ะค่ะ ด้วยจำนวนที่เหมาะสม”

การเสียเงินค่าปรับเป็นโทษที่เบาที่สุดในบรรดาโทษที่สามารถลงทัณฑ์เหล่าขุนนางได้ และเป็นวิธีการที่พวกเขาจะไม่ต้องสูญเสียเกียรติไปด้วย

รูลลัก ลอมบาร์เดียเอ่ยค้านเสียงทุ้ม

“กำแพงป้อมปราการพังทลาย ทั้งยังมีคนบาดเจ็บล้มตายพ่ะย่ะค่ะ มันไม่ใช่เรื่องที่จะแก้ไขได้ด้วยเงินค่าปรับนะพ่ะย่ะค่ะ”

“การลงโทษด้วยเงินค่าปรับอย่างไรก็เป็นการลงโทษรูปแบบหนึ่งไม่ใช่หรือครับ”

เฟเรสโต้เถียงคำของรูลลัก

และหันไปมองจักรพรรดิโยบาเนส ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า

“ลงโทษให้จ่ายเงินค่าปรับราคาสูง และแบ่งเงินส่วนหนึ่งไปช่วยส่งเสริมการฟื้นฟูเขตเหนือ กระหม่อมคิดว่าน่าจะสมเหตุสมผลอยู่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

“นั่นช่างเป็นความคิดที่ดีจริงๆ !”

จักรพรรดิโยบาเนสตบเข่าเสียงดังฉาดในขณะที่พูดขึ้น

หากเป็นการเสียเงินค่าปรับรูปแบบนั้นละก็ นอกจากจะไม่เสียชื่อแล้ว ยังช่วยรักษาหน้าตาของราชวงศ์เอาไว้ได้ด้วย

โยบาเนสรีบประกาศคำตัดสิน ก่อนที่จะมีเสียงคัดค้านอะไรดังขึ้นมาอีก

“ข้าขอสั่งลงโทษให้ตระกูลอังเกนัสจ่ายเงินค่าปรับจำนวน 10,000เหรียญทอง และเงินจำนวนครึ่งหนึ่ง หรือ5,000 เหรียญทองจะถูกนำไปใช้ในการบูรณะและช่วยเหลือเขตแดนเหนือ”

ในเมื่อองค์จักรพรรดิมีรับสั่งตัดสินออกมาแล้ว ย่อมไม่มีใครสามารถโต้แย้งอะไรได้อีก รูลลักจึงได้แต่จ้องเจ้าชายลำดับที่สองเขม็ง

‘เด็กนี่ ไม่ถูกใจเขาเอาเสียเลย’

ตั้งแต่เรื่องที่เสนอตัวขอไปเขตแดนเหนือพร้อมกับฟีเรนเทีย จนถึงที่เมื่อครู่นี้เสนอความเห็นให้ลงโทษในรูปแบบค่าปรับ เขาไม่ถูกใจสักเรื่อง

ไม่สิ ตั้งแต่วันที่พบหน้าในวังเล็กผุพังนั่นเป็นครั้งแรก ก็ไม่มีส่วนไหนถูกใจเขาเลยสักจุด

ไม่มีทางที่จะไม่รู้สึกถึงสายตาไม่เป็นมิตรของรูลลัก แต่เฟเรสก็ยังกระตุกยิ้มอย่างหาได้ยากยามมองสบตารูลลักกลับไป

เขาอาจจะไม่ค่อยแสดงความรู้สึกอะไรออกมาให้เห็นภายนอกก็จริง แต่ตอนนี้เฟเรสอารมณ์ดีมากจริงๆ

ทั้งเรื่องที่ได้ไปเขตแดนเหนือด้วยกันกับเทียก็ด้วย แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือเรื่องที่จักรพรรดินีและอังเกนัสต้องเสียเงินจำนวนมากอย่างหนึ่งหมื่นเหรียญทอง

เขากำลังกลุ้มใจอยู่พอดี เพราะดูเหมือนว่าไม้ทรีบ้าที่เขาเพียรกว้านซื้อเอาไว้ มันไม่มากพอที่จะสูบเงินของอังเกนัสให้หมดสิ้นได้แท้ๆ

หากเป็นเงินจำนวนหนึ่งหมื่นเหรียญทองที่ต้องควักจ่ายออกไปทันทีนั่นละก็ ย่อมเป็นยอดเงินที่เหมาะสมยิ่ง

เฟเรสเดินตามหลังจักรพรรดิออกจากห้องประชุม เขากระตุกยิ้มอย่างมีเลศนัย

* * *

“หนึ่งหมื่นเหรียญทองอย่างนั้นหรือ…!”

จักรพรรดินีราวีนี่กัดริมฝีปากแน่น หลังจากได้ยินผลการตัดสินในที่ประชุมใหญ่

ปกติการลงโทษในรูปแบบเงินสินไหมค่าปรับ มักจะถูกนำไปใช้กับเรื่องทางการทหารเสียมากกว่า แต่คราวนี้มันไม่ใช่

ตอนนี้เงินทองของพวกเขากำลังร่อยหรอขาดแคลนอยู่มาก

“ขายเขตแดนออกไปบางเขต…เป็นเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”

ดิวอิจลอบสังเกตสีหน้าของจักรพรรดินี พลางเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

“…คงมีแต่วิธีนั้นเท่านั้น”

จักรพรรดินีตอบเสียงเย็นชา

ตระกูลที่ครอบครองเขตแดนจำนวนมากที่สุดในภาคตะวันตก จึงจะมีสิทธิ์ได้เป็นตัวแทนของเขตแดน

เพราะฉะนั้นการขายเขตแดนทิ้งจึงเป็นวิธีการสุดท้ายที่พวกเขาจะตัดสินใจทำ

แต่ในตอนนี้ นางมองไม่เห็นวิธีอื่นใดที่ดีกว่านี้แล้ว

“ถ้าอย่างนั้นลองส่งสารไปหาตระกูลอื่นๆ ในภาคตะวันตก…”

“เดี๋ยวก่อน”

จักรพรรดินีเอ่ยขัดคำพูดของดิวอิจ ก่อนจะเดินตรงไปหยุดตรงหน้าโต๊ะหนังสือ

และหยิบเอาสารที่ส่งมาถึงนางเมื่อหลายวันก่อนขึ้นมาถือไว้

จักรพรรดินีลูบสัมผัสเนียนลื่นของกระดาษชั้นยอดด้วยปลายนิ้วก่อนจะเอ่ยกับดิวอิจ

“ถ้าขายเขตแดนให้ตระกูลอื่นในภาคตะวันตกเพิ่มไปมากกว่านี้ จะเป็นอันตรายต่อตำแหน่งตัวแทนเขตตะวันตกได้ ดิวอิจ”

“เช่นนั้น…จะต้องทำเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”

“ต้องขายเขตแดนให้กับคนที่ต่อให้ครอบครองโฉนดที่ดินภาคตะวันตก ก็จะไม่ทำให้ตำแหน่งตัวแทนของพวกเราเป็นอันตรายได้ยังไงล่ะ”

จักรพรรดินีพึมพำอะไรบางอย่างที่ไม่อาจเข้าใจความหมายได้ แล้วนั่งลงหยิบปากกาขนนกขึ้นมาเขียนทันที

และไม่นานหลังจากนั้น นางก็ส่งซองสีม่วงที่ปิดผนึกด้วยขี้ผึ้งให้แก่ดิวอิจ

“ส่งสารฉบับนี้ไปยังเซอเชาว์”

* * *

“ไม่พบจุดไหนแปลกเลย หากสืบเรื่องร้านค้าเพลเลสต่อไปก็มีแต่จะเสียเวลาไปเปล่าๆ”

ริกนีเต้เบาเสียงลงจนแทบกลายเป็นเสียงกระซิบในขณะที่เอ่ยกับเฟเรส

“เจ้าตั้งใจจะหาอะไรกันแน่ ถ้าบอกมาตรงๆ น่าจะช่วยให้การสืบมันง่ายกว่านะ”

“…ข้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอะไร แต่มันมีอะไรบางอย่างแปลกๆ”

ริกนีเต้ได้แต่ถอนหายใจเสียงแผ่วเมื่อได้ยินคำตอบของเฟเรส

แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้บ่นอะไร

ลางสังหรณ์ของเฟเรสมักจะถูกอยู่เสมอจนน่ากลัวทีเดียว

เพราะฉะนั้นเรื่องของร้านค้าเพลเลส ต่อให้เป็นเพียงแค่ความสงสัยไร้ซึ่งหลักฐานของเฟเรส เขาก็ยังยอมทำตามคำสั่งอย่างอดทน

“มันก็มีอะไรแปลกๆ แน่ละ คนเป็นพ่อค้ากลับยอมทิ้งขว้างเงินทอง ทั้งยังยอมรับความเสียหาย เพียงแค่เพื่อส่งไปเป็นกู้ภัยเนี่ยนะ นั่นมันวิธีการเคลื่อนไหวทางการเมืองชัดๆ”

ไม้ทรีบ้าที่พยายามเก็บรวบรวมมาอย่างแข็งขัน เหมือนกระรอกที่เก็บรวบรวมลูกวอลนัทเอาไว้มากมายด้วยความโลภ ตอนที่เขาได้ยินว่าสุดท้ายพวกนั้นเอามันไปใช้เพื่อช่วยเหลือในการก่อสร้างฟื้นฟูเขตแดนเหนือ ริกนีเต้เองก็แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองเหมือนกัน

ในสถานการณ์ที่อังเกนัสกระหายกว้านซื้อไม้ทรีบ้าจนนัยน์ตาลุกเป็นไฟ ต้นทรีบ้าพวกนั้นสามารถสร้างผลกำไรจำนวนมหาศาลให้ได้อย่างแน่นอน

“ยอมปล่อยของพวกนั้นไป แล้วทางร้านค้าเพลเลสจะได้ประโยชน์อะไรกันแน่”

“ลองสืบเกี่ยวกับร้านค้าเพลเลส โดยเฉพาะเกี่ยวกับเครย์ลีบัน เพลเลสให้มากขึ้นหน่อย ถ้าทำแบบนั้นจะต้องต่อจิ๊กซอว์ทั้งหมดขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างได้”

และในตอนที่เฟเรสออกคำสั่งเสร็จสิ้น

“พร้อมออกเดินทางแล้วพ่ะย่ะค่ะ เจ้าชายลำดับที่สอง”

มหาดเล็กประจำพระราชวังก็เดินเข้ามาแจ้งกำหนดการเดินทาง

“….เช่นนั้นก็ขอให้เดินทางปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะเจ้าชาย”

ริกนีเต้โค้งศีรษะลงด้วยความนอบน้อม กล่าวคำพูดออกมาราวกับไม่เคยพูดจาเป็นกันเองไร้หางเสียงกับเฟเรสเลยสักครั้ง

เฟเรสรับคำกล่าวลาจากสหาย แล้วหันไปถามมหาดเล็ก

“มีการติดต่อมาจากทีมที่ล่วงหน้าไปก่อนหรือยัง”

“พ่ะย่ะค่ะ แจ้งมาว่าไม่มีอะไรผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”

“กลุ่มสองที่ต้องเตรียมไปอารักขาเองก็เตรียมการพร้อมแล้ว”

“ตามรับสั่งของเจ้าชาย กลุ่มที่สองเตรียมพร้อมที่จะออกเดินทางในสามชั่วโมงให้หลังพ่ะย่ะค่ะ”

“เตรียมพร้อมสำหรับอำนวยความสะดวกให้คุณหนูลอมบาร์เดียด้วยแล้ว?”

“…พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

คราวนี้ถึงกับดูแลกระทั่งความสะดวกสบายของคุณหนูที่จะร่วมเดินทางไปด้วยนี่พระองค์ไม่เชื่อใจพวกเขาหรือยังไงกัน

ใบหน้าของมหาดเล็กแฝงไปด้วยความเศร้าหมองอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น

“ลำบากเจ้าแล้ว”

เพราะเฟเรสกล่าวเช่นนั้นพลางตบไหล่เป็นการขอบใจ ทำให้ความเศร้าของมหาดเล็กปลิวหลุดลอยหายไปทันที

“ทุกคนเตรียมตัวกันพร้อมหมดแล้ว ไม่ทราบว่ามัวทำอะไรอยู่ที่นี่เพคะ เจ้าชายลำดับที่สอง”

ฟีเรนเทียซึ่งขึ้นไปนั่งรอในรถม้าก่อนล่วงหน้าถึงกับทนไม่ไหว สุดท้ายต้องลงจากรถม้าเดินมาถามกันโต้งๆ

“เดี๋ยวก็ได้ออกเดินทางกันหลังพระอาทิตย์ตกดินพอดีนะเพคะ”

ถึงแม้จะฉีกยิ้มกว้างอยู่ แต่นัยน์ตาคู่นั้นกลับไม่มีรอยยิ้มให้เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว ดูเหมือนจะไม่พอใจเฟเรสเป็นอย่างมาก

แต่ท่าทางที่ได้เห็นก็ยังดูงดงามเหมือนเคยอยู่ดี ทำให้เฟเรสได้แต่กลืนเสียงหัวเราะลงคอ ก่อนจะเอ่ยออกมา

“….ขออภัยครับ คุณหนูลอมบาร์เดีย เช่นนั้นก็ออกเดินทางกันเลยเถอะครับ”

เฟเรสพาฟีเรนเทียเดินกลับไปยังรถม้าอีกครั้งด้วยความสุภาพอ่อนน้อมและเดินตามหลังนางขึ้นไปนั่งบนรถม้าคันเดียวกันหน้าตาเฉย

“ออกเดินทางได้”

ประตูรถม้าปิดลง ขบวนเดินทางซึ่งอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัยเพื่อเขตเหนือจึงเริ่มเคลื่อนตัวออกเดินทางอย่างช้าๆ

ข้างหลังรถม้าหรูหราคันใหญ่ที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ตามคำสั่งของเฟเรสมีเจ้าม้าหลังเปล่าไร้คนนั่งของเฟเรสเดินตามหลังส่งเสียงดังกุบกับ กุบกับ ไปตามทาง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+