เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 74.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 74.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แคลอฮันกำลังสนทนาอยู่กับเหล่าชนชั้นสูงรอบตัว แต่แล้วจู่ๆ เขาก็หันไปมองทางฝั่งลูกสาว

เด็กน้อยที่เมื่อครู่นี้ยังเดินเล่นอยู่ในงานเลี้ยงคนเดียว จู่ๆ ก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยพวกลูกพี่ลูกน้องกับเจ้าชายลำดับที่สองเสียแล้ว

‘กำลังไปทางฝั่งน้ำพุช็อกโกแลตสินะ’

แคลอฮันตรวจดูก่อนว่าทางฝั่งทิศทางที่พวกเด็กๆ กับฟีเรนเทียกำลังเดินไปมีอะไรอยู่ ก่อนจะอมยิ้มเล็กน้อย

มันถูกจัดเตรียมเอาไว้ด้วยความเอาใจใส่ เพื่อเทียที่ชื่นชอบช็อกโกแลตเป็นพิเศษ

แต่แล้วก็ได้ยินเสียงอารมณ์ร้ายดังขึ้นพังบรรยากาศครื้นเครง

“ทำตัวประหลาดเหมือนเคย”

“…ท่านพี่”

เบเจอร์กับแคลอฮันไม่ได้เผชิญหน้ากันแบบนี้ค่อนข้างนานแล้ว

“กับอีแค่วันเกิดอายุสิบเอ็ดปี แถมยังเป็นวันเกิดเด็กผู้หญิงอีก แต่กลับจัดงานเลี้ยงใหญ่โตขนาดนี้”

เบเจอร์เดาะลิ้นเสียงดังจิ๊จ๊ะในลำคอ ในขณะที่มองไปรอบๆ งานเลี้ยงด้วยใบหน้าเหยียดหยาม

“ไม่สิ้นเปลืองเกินไปหน่อยเหรอ”

“ที่ยืมลอมบาร์เดียในวันนี้นอกจากโถงจัดงานเลี้ยงก็ไม่มีสิ่งอื่นแล้ว วางใจเถอะครับ มันเป็นงานเลี้ยงที่จัดเตรียมขึ้นโดยใช้เงินส่วนตัวของข้า”

“…ถ้าอย่างนั้นก็ค่อยโล่งอกหน่อย แต่ถึงจะเป็นเงินของเจ้า นี่มันก็สิ้นเปลืองเกินไปจริงๆ ใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายเกินไปแล้วไม่ใช่หรือไง”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ”

หากไม่ใช้เงินทองกับบุตรสาวที่รักใคร่ หาเงินมากมายพวกนี้ไปแล้วมันจะมีประโยชน์อะไรกัน

“ไม่เป็นไรอะไรกัน เงินมันต้องใช้กับเรื่องที่ใหญ่โตกว่านี้ถึงจะถูก”

เพราะอยู่ต่อหน้าคนมากมายแคลอฮันถึงได้พยายามอดทนเอาไว้

แต่คำพูดที่ยังคงเอาแต่หาเรื่องกันไม่หยุดหย่อนเหมือนทุกครั้งนั่น ทำให้ความอดทนของแคลอฮันในตอนนี้เองก็ถึงขีดสุดแล้วจริงๆ

“เงินทองจะใช้แบบไหนก็ขึ้นอยู่กับคนหาเงินนี่ครับ”

“ว่ายังไงนะ”

“ข้าว่า ข้าไม่สมควรที่จะเป็นฝ่ายฟังคำแนะนำเรื่องเงินทองจากท่านพี่หรอกนะครับ”

เบเจอร์เกือบจะระเบิดอารมณ์โมโหร้ายออกมาตามนิสัย แต่เมื่อตระหนักได้ว่ารอบกายพวกเขามีสายตาหลายคู่กำลังมองอยู่ จึงได้แต่ใช้สายตาจ้องแคลอฮันแทน

“พอเกือบตายมาแล้วครั้งหนึ่ง เจ้าก็ไม่เห็นหัวใครหน้าไหนแล้วสินะ”

“ครับ”

แคลอฮันหัวเราะ ไม่เก็บซ่อนความเป็นปรปักษ์ต่อเบเจอร์ ในขณะที่เอ่ยพูดขึ้น

“พอได้นอนป่วยด้วยโรคร้าย ข้าถึงได้เห็นอย่างชัดเจนว่าใครเป็นมิตรใครเป็นศัตรูยังไงล่ะครับ”

หลังจากที่แคลอฮันฟื้นตัว สิ่งแรกที่เขาลงมือทำก็คือสืบว่าใครเป็นคนปล่อยความลับนี้ให้แก่ตระกูลอังเกนัส

ผลลัพธ์ที่ได้จากการง้างปากดอกเตอร์โอมัลลี่ที่เป็นคนวินิจฉัยโรคของแคลอฮัน โดยให้สัญญาว่าจะไม่ฟ้องร้องอีกฝ่ายก็คือคำให้การทั้งหมดนั่นชี้เป้าไปที่เบเจอร์

แถมยังบอกอีกด้วยว่า ตอนที่ได้ยินข่าวว่าที่จริงแล้วเขาป่วยเป็นโรคเทรนด์บลู เบเจอร์หัวเราะเสียงดังด้วยความยินดีขนาดไหน

“เพราะแบบนั้นถึงได้ตาสว่างยังไงล่ะครับ”

เขาสร้างกิจการเสื้อผ้าสำเร็จรูปขึ้นมาก็เพื่อปกป้องเทีย

และเขตแดนที่ได้รับมาก็เพื่อส่งมอบต่อให้แก่เทีย

เขาเคยคิดอย่างเรียบง่ายว่า แค่นั้นก็น่าจะเพียงพอแล้ว

แต่ทันทีที่เบเจอร์รู้ความจริงว่าเขาป่วยเป็นโรคร้าย อีกฝ่ายก็พยายามจะแย่งชิงทั้งหมดนั่นไปจากเขา

ไม่สิ แย่งชิงเอากิจการเสื้อผ้าสำเร็จรูปไปจากน้องชายที่นอนป่วยใกล้ตาย เพื่อเอาไปมอบให้พวกอังเกนัส

ในนัยน์ตาของแคลอฮันที่มองเบเจอร์ ในตอนนี้ไม่มีความรักความผูกพันใดๆ เหมือนแต่ก่อนหลงเหลืออีกต่อไปแล้ว

มันอาจจะใช้เวลานานเหลือเกินกว่าจะแยกแยะว่าใครเป็นมิตรเป็นศัตรู

แต่แคลอฮันไม่ใช่คนโง่ที่จะมีความรู้สึกดีๆ เหลือให้กับคนที่กลายมาเป็นศัตรูกันครั้งหนึ่งหรอก

มีเพียงแค่รูปร่างหน้าตาภายนอกเท่านั้นที่ได้รับถ่ายทอดมาจากมารดา แต่แคลอฮันคนนี้เองก็เป็นบุตรชายของรูลลักเช่นกัน

เขาไม่คิดที่จะให้อภัย ไม่คิดที่จะหมอบกายลงต่ำยอมให้เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว

“ระ…เรื่องนั้น…”

เบเจอร์กระแอมไอเสียงดังฮึ่ม ก่อนจะเอ่ยพูด

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดถึงเรื่องอะไร”

“ก็คงจะเป็นแบบนั้นแหละครับ”

น้ำเสียงของแคลอฮันแฝงเอาไว้ด้วยเสียงเย้ยหยัน

“นี่เป็นงานเลี้ยงวันเกิดที่ข้าจัดขึ้นเพื่อบุตรสาวของข้าครับ หากไม่พอใจก็กลับไปเสียเถอะครับ”

“ว่าไงนะ แคลอฮัน เจ้าพูดแรงเกินไปแล้ว!”

เบเจอร์โมโหเดือด แต่แคลอฮันเพียงแค่ปล่อยให้มันไหลผ่านรูหูไปเท่านั้นและเอ่ยพูดต่อในขณะที่ยิ้มจางด้วยความหน่ายใจ

“กลับดีๆ นะครับ ท่านพี่”

เหล่าชนชั้นสูงรอบตัวต่างก็พากันหัวเราะเสียงค่อยเช่นกัน

พวกเขาก็แค่ไม่สามารถหัวเราะปรบมือด้วยความชอบใจอย่างออกหน้าออกตาต่อหน้าเบเจอร์ได้เท่านั้น

ความจริงที่ว่าเบเจอร์ผู้เป็นบุตรชายคนโตของตระกูลลอมบาร์เดียเป็นคนไม่ได้เรื่องขนาดไหน ชนชั้นสูงในภาคกลางย่อมไม่มีใครไม่รู้เรื่องนี้

เพียงแต่อย่างไรก็เป็นบุคคลที่อาจจะขึ้นเป็นเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียคนถัดไป แถมภริยายังมาจากตระกูลอังเกนัสอีก พวกเขาจึงได้แต่เมินเฉยทำเป็นมองข้ามไม่สนใจเรื่องพวกนั้น

เบเจอร์จ้องแคลอฮันที่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นเขม็งราวกับจะฆ่าให้ตายมันเสียที่นี่ ก่อนจะหมุนตัวหันหลังเดินกลับออกไปจากงานเลี้ยง แต่แคลอฮันกลับไม่แม้แต่จะหันไปมองทางด้านนั้น

บรรยากาศของงานเลี้ยงกำลังครื้นเครงได้ที่

เสียงดนตรีบรรเลงอย่างครื้นเครง ผู้คนที่เต้นรำกันอยู่กลางโถงงานเลี้ยงเริ่มมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ

บางครั้งพวกผู้ใหญ่ก็จับคู่พากันเดินออกไปเต้นรำทั่วฟลอร์ บางครั้งก็แบ่งพื้นที่ให้พวกเด็กหนุ่มสาวได้รวมตัวกันเต้นรำแบบกลุ่มโดยจับกลุ่มกันตามเพศชายและหญิง

ทั้งสองแฝดที่คอยเฝ้าอยู่ข้างกายเธอ ทั้งลาลาเน่เองต่างก็พากันไปรวมตัวกันอยู่ตรงกลางฟลอร์ส่วนเครนีย์เองก็ถูกพ่อแม่ของเขาเรียกตัวไปแล้ว

“ทำไมยืนซะห่างแบบนั้นล่ะ”

เหลือแค่พวกเธอสองคน แต่เฟเรสกลับยืนห่างออกไปจากเธอประมาณสี่ห้าก้าวได้

“ก่อนหน้านี้เคยบอกไม่ใช่เหรอ จะให้คนอื่นเห็นว่าสนิทสนมกันกับข้าไม่ได้”

“อา เรื่องนั้น”

ตอนนั้นเธอพูดออกไปเพราะถ้าหากเข้าไปแทรกกลางยุ่งเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างจักรพรรดินีกับท่านปู่ เจ้าชายลำดับที่หนึ่งกับเจ้าชายลำดับที่สองคงจะเกิดเรื่องน่าปวดหูน่าดู

“มันสายไปแล้วละ”

“หมายความว่ายังไงไง”

“ข้ากลายเป็นเพื่อนเล่นของเจ้าไปแล้ว ไม่ใช่แค่นั้นนะ ยังมีข่าวลือแพร่ไปทั่วอีกว่าเจ้าเป็นคนช่วยชีวิตพ่อข้า เพราะงั้นก็ช่างมันเถอะ”

อีกอย่างอังเกนัสยังคิดที่จะแย่งชิงกิจการเสื้อผ้าสำเร็จรูปของท่านพ่อไปอีกด้วย

ตอนนี้ท่านพ่อกับจักรพรรดินีและอังเกนัสตางก็ได้เลือกข้างที่จะอยู่คนละฝ่ายกันอย่างสมบูรณ์แบบไปแล้ว

ดูเหมือนว่าท่านปู่เองก็โมโหมากเพราะเรื่องนั้นเหมือนกัน

เหตุผลที่ท่านปู่เริ่มไปเข้าร่วมการประชุมขุนนาง บางทีก็อาจจะเป็นเพราะอังเกนัสนี่แหละ

แค่มองไปรอบๆ งานเลี้ยงในตอนนี้ ก็ยังแทบไม่เห็นคนจากตระกูลฝ่ายที่สนิทกับจักรพรรดินีหรือพวกอังเกนัสเลยด้วย

สงสัยท่าทางพวกชนชั้นสูงเองก็คงจะเริ่มเลือกข้างกันแล้ว

เรื่องหนึ่งที่ค่อยรู้สึกโล่งใจหน่อยก็คือ จักรพรรดิโยบาเนสยังทำตัวเป็นกลาง ไม่เอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง ในขณะที่แอบชั่งน้ำหนักทั้งสองฝ่ายไปด้วย

ถึงจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นักก็จริงแต่ถึงยังไงสักวันก็ต้องแตกหักกับอังเกนัสอยู่ดีนั่นแหละ

“เรื่องเป็นแบบนี้แล้ว มันก็ช่วยไม่…”

เธอหยุดชะงักคำพูด เหม่อมองเฟเรสที่ไม่รู้ว่าเขยิบเข้ามายืนอยู่ข้างๆ เธอตั้งแต่เมื่อไหร่

“ทำไม”

พอเธอเหลือบมองด้วยหางตา เฟเรสก็เอียงคอมองด้วยใบหน้าที่ด้านเล็กน้อย

“ทำแบบนั้นต่อไปเจ้าอาจจะเสียใจได้นะ ถ้ามีข่าวลือว่าข้ากับเจ้าเป็นมากกว่าเพื่อนกันขึ้นมาละก็ คงได้เกิดเรื่องใหญ่แน่ ทั้งข้า ทั้งเจ้าก็ด้วย”

“…ทำไมล่ะ”

“ก็เพราะ…”

ในตอนที่เธอออกไปดูเฟเรสท่ามกลางฝูงชนครั้งหนึ่งในชีวิตก่อน

เฟเรสไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว

ข้างหลังเฟเรสที่ขี่ม้าด้วยใบหน้าเย็นชาเมินเฉยทุกคน มีรถม้าที่ผู้หญิงคนนั้นนั่งอยู่

“เอาเป็นว่า อย่าทำอะไรที่จะต้องเสียใจทีหลังก็แล้วกัน”

เธอผลักเฟเรสเบาๆ

ไม่สิ พยายามผลักแล้ว

แต่เฟเรสกลับทำหน้าแง่งอน ไม่ยอมขยับตัวถอยห่างไปไหน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 74.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 74.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แคลอฮันกำลังสนทนาอยู่กับเหล่าชนชั้นสูงรอบตัว แต่แล้วจู่ๆ เขาก็หันไปมองทางฝั่งลูกสาว

เด็กน้อยที่เมื่อครู่นี้ยังเดินเล่นอยู่ในงานเลี้ยงคนเดียว จู่ๆ ก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยพวกลูกพี่ลูกน้องกับเจ้าชายลำดับที่สองเสียแล้ว

‘กำลังไปทางฝั่งน้ำพุช็อกโกแลตสินะ’

แคลอฮันตรวจดูก่อนว่าทางฝั่งทิศทางที่พวกเด็กๆ กับฟีเรนเทียกำลังเดินไปมีอะไรอยู่ ก่อนจะอมยิ้มเล็กน้อย

มันถูกจัดเตรียมเอาไว้ด้วยความเอาใจใส่ เพื่อเทียที่ชื่นชอบช็อกโกแลตเป็นพิเศษ

แต่แล้วก็ได้ยินเสียงอารมณ์ร้ายดังขึ้นพังบรรยากาศครื้นเครง

“ทำตัวประหลาดเหมือนเคย”

“…ท่านพี่”

เบเจอร์กับแคลอฮันไม่ได้เผชิญหน้ากันแบบนี้ค่อนข้างนานแล้ว

“กับอีแค่วันเกิดอายุสิบเอ็ดปี แถมยังเป็นวันเกิดเด็กผู้หญิงอีก แต่กลับจัดงานเลี้ยงใหญ่โตขนาดนี้”

เบเจอร์เดาะลิ้นเสียงดังจิ๊จ๊ะในลำคอ ในขณะที่มองไปรอบๆ งานเลี้ยงด้วยใบหน้าเหยียดหยาม

“ไม่สิ้นเปลืองเกินไปหน่อยเหรอ”

“ที่ยืมลอมบาร์เดียในวันนี้นอกจากโถงจัดงานเลี้ยงก็ไม่มีสิ่งอื่นแล้ว วางใจเถอะครับ มันเป็นงานเลี้ยงที่จัดเตรียมขึ้นโดยใช้เงินส่วนตัวของข้า”

“…ถ้าอย่างนั้นก็ค่อยโล่งอกหน่อย แต่ถึงจะเป็นเงินของเจ้า นี่มันก็สิ้นเปลืองเกินไปจริงๆ ใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายเกินไปแล้วไม่ใช่หรือไง”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ”

หากไม่ใช้เงินทองกับบุตรสาวที่รักใคร่ หาเงินมากมายพวกนี้ไปแล้วมันจะมีประโยชน์อะไรกัน

“ไม่เป็นไรอะไรกัน เงินมันต้องใช้กับเรื่องที่ใหญ่โตกว่านี้ถึงจะถูก”

เพราะอยู่ต่อหน้าคนมากมายแคลอฮันถึงได้พยายามอดทนเอาไว้

แต่คำพูดที่ยังคงเอาแต่หาเรื่องกันไม่หยุดหย่อนเหมือนทุกครั้งนั่น ทำให้ความอดทนของแคลอฮันในตอนนี้เองก็ถึงขีดสุดแล้วจริงๆ

“เงินทองจะใช้แบบไหนก็ขึ้นอยู่กับคนหาเงินนี่ครับ”

“ว่ายังไงนะ”

“ข้าว่า ข้าไม่สมควรที่จะเป็นฝ่ายฟังคำแนะนำเรื่องเงินทองจากท่านพี่หรอกนะครับ”

เบเจอร์เกือบจะระเบิดอารมณ์โมโหร้ายออกมาตามนิสัย แต่เมื่อตระหนักได้ว่ารอบกายพวกเขามีสายตาหลายคู่กำลังมองอยู่ จึงได้แต่ใช้สายตาจ้องแคลอฮันแทน

“พอเกือบตายมาแล้วครั้งหนึ่ง เจ้าก็ไม่เห็นหัวใครหน้าไหนแล้วสินะ”

“ครับ”

แคลอฮันหัวเราะ ไม่เก็บซ่อนความเป็นปรปักษ์ต่อเบเจอร์ ในขณะที่เอ่ยพูดขึ้น

“พอได้นอนป่วยด้วยโรคร้าย ข้าถึงได้เห็นอย่างชัดเจนว่าใครเป็นมิตรใครเป็นศัตรูยังไงล่ะครับ”

หลังจากที่แคลอฮันฟื้นตัว สิ่งแรกที่เขาลงมือทำก็คือสืบว่าใครเป็นคนปล่อยความลับนี้ให้แก่ตระกูลอังเกนัส

ผลลัพธ์ที่ได้จากการง้างปากดอกเตอร์โอมัลลี่ที่เป็นคนวินิจฉัยโรคของแคลอฮัน โดยให้สัญญาว่าจะไม่ฟ้องร้องอีกฝ่ายก็คือคำให้การทั้งหมดนั่นชี้เป้าไปที่เบเจอร์

แถมยังบอกอีกด้วยว่า ตอนที่ได้ยินข่าวว่าที่จริงแล้วเขาป่วยเป็นโรคเทรนด์บลู เบเจอร์หัวเราะเสียงดังด้วยความยินดีขนาดไหน

“เพราะแบบนั้นถึงได้ตาสว่างยังไงล่ะครับ”

เขาสร้างกิจการเสื้อผ้าสำเร็จรูปขึ้นมาก็เพื่อปกป้องเทีย

และเขตแดนที่ได้รับมาก็เพื่อส่งมอบต่อให้แก่เทีย

เขาเคยคิดอย่างเรียบง่ายว่า แค่นั้นก็น่าจะเพียงพอแล้ว

แต่ทันทีที่เบเจอร์รู้ความจริงว่าเขาป่วยเป็นโรคร้าย อีกฝ่ายก็พยายามจะแย่งชิงทั้งหมดนั่นไปจากเขา

ไม่สิ แย่งชิงเอากิจการเสื้อผ้าสำเร็จรูปไปจากน้องชายที่นอนป่วยใกล้ตาย เพื่อเอาไปมอบให้พวกอังเกนัส

ในนัยน์ตาของแคลอฮันที่มองเบเจอร์ ในตอนนี้ไม่มีความรักความผูกพันใดๆ เหมือนแต่ก่อนหลงเหลืออีกต่อไปแล้ว

มันอาจจะใช้เวลานานเหลือเกินกว่าจะแยกแยะว่าใครเป็นมิตรเป็นศัตรู

แต่แคลอฮันไม่ใช่คนโง่ที่จะมีความรู้สึกดีๆ เหลือให้กับคนที่กลายมาเป็นศัตรูกันครั้งหนึ่งหรอก

มีเพียงแค่รูปร่างหน้าตาภายนอกเท่านั้นที่ได้รับถ่ายทอดมาจากมารดา แต่แคลอฮันคนนี้เองก็เป็นบุตรชายของรูลลักเช่นกัน

เขาไม่คิดที่จะให้อภัย ไม่คิดที่จะหมอบกายลงต่ำยอมให้เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว

“ระ…เรื่องนั้น…”

เบเจอร์กระแอมไอเสียงดังฮึ่ม ก่อนจะเอ่ยพูด

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดถึงเรื่องอะไร”

“ก็คงจะเป็นแบบนั้นแหละครับ”

น้ำเสียงของแคลอฮันแฝงเอาไว้ด้วยเสียงเย้ยหยัน

“นี่เป็นงานเลี้ยงวันเกิดที่ข้าจัดขึ้นเพื่อบุตรสาวของข้าครับ หากไม่พอใจก็กลับไปเสียเถอะครับ”

“ว่าไงนะ แคลอฮัน เจ้าพูดแรงเกินไปแล้ว!”

เบเจอร์โมโหเดือด แต่แคลอฮันเพียงแค่ปล่อยให้มันไหลผ่านรูหูไปเท่านั้นและเอ่ยพูดต่อในขณะที่ยิ้มจางด้วยความหน่ายใจ

“กลับดีๆ นะครับ ท่านพี่”

เหล่าชนชั้นสูงรอบตัวต่างก็พากันหัวเราะเสียงค่อยเช่นกัน

พวกเขาก็แค่ไม่สามารถหัวเราะปรบมือด้วยความชอบใจอย่างออกหน้าออกตาต่อหน้าเบเจอร์ได้เท่านั้น

ความจริงที่ว่าเบเจอร์ผู้เป็นบุตรชายคนโตของตระกูลลอมบาร์เดียเป็นคนไม่ได้เรื่องขนาดไหน ชนชั้นสูงในภาคกลางย่อมไม่มีใครไม่รู้เรื่องนี้

เพียงแต่อย่างไรก็เป็นบุคคลที่อาจจะขึ้นเป็นเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียคนถัดไป แถมภริยายังมาจากตระกูลอังเกนัสอีก พวกเขาจึงได้แต่เมินเฉยทำเป็นมองข้ามไม่สนใจเรื่องพวกนั้น

เบเจอร์จ้องแคลอฮันที่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นเขม็งราวกับจะฆ่าให้ตายมันเสียที่นี่ ก่อนจะหมุนตัวหันหลังเดินกลับออกไปจากงานเลี้ยง แต่แคลอฮันกลับไม่แม้แต่จะหันไปมองทางด้านนั้น

บรรยากาศของงานเลี้ยงกำลังครื้นเครงได้ที่

เสียงดนตรีบรรเลงอย่างครื้นเครง ผู้คนที่เต้นรำกันอยู่กลางโถงงานเลี้ยงเริ่มมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ

บางครั้งพวกผู้ใหญ่ก็จับคู่พากันเดินออกไปเต้นรำทั่วฟลอร์ บางครั้งก็แบ่งพื้นที่ให้พวกเด็กหนุ่มสาวได้รวมตัวกันเต้นรำแบบกลุ่มโดยจับกลุ่มกันตามเพศชายและหญิง

ทั้งสองแฝดที่คอยเฝ้าอยู่ข้างกายเธอ ทั้งลาลาเน่เองต่างก็พากันไปรวมตัวกันอยู่ตรงกลางฟลอร์ส่วนเครนีย์เองก็ถูกพ่อแม่ของเขาเรียกตัวไปแล้ว

“ทำไมยืนซะห่างแบบนั้นล่ะ”

เหลือแค่พวกเธอสองคน แต่เฟเรสกลับยืนห่างออกไปจากเธอประมาณสี่ห้าก้าวได้

“ก่อนหน้านี้เคยบอกไม่ใช่เหรอ จะให้คนอื่นเห็นว่าสนิทสนมกันกับข้าไม่ได้”

“อา เรื่องนั้น”

ตอนนั้นเธอพูดออกไปเพราะถ้าหากเข้าไปแทรกกลางยุ่งเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างจักรพรรดินีกับท่านปู่ เจ้าชายลำดับที่หนึ่งกับเจ้าชายลำดับที่สองคงจะเกิดเรื่องน่าปวดหูน่าดู

“มันสายไปแล้วละ”

“หมายความว่ายังไงไง”

“ข้ากลายเป็นเพื่อนเล่นของเจ้าไปแล้ว ไม่ใช่แค่นั้นนะ ยังมีข่าวลือแพร่ไปทั่วอีกว่าเจ้าเป็นคนช่วยชีวิตพ่อข้า เพราะงั้นก็ช่างมันเถอะ”

อีกอย่างอังเกนัสยังคิดที่จะแย่งชิงกิจการเสื้อผ้าสำเร็จรูปของท่านพ่อไปอีกด้วย

ตอนนี้ท่านพ่อกับจักรพรรดินีและอังเกนัสตางก็ได้เลือกข้างที่จะอยู่คนละฝ่ายกันอย่างสมบูรณ์แบบไปแล้ว

ดูเหมือนว่าท่านปู่เองก็โมโหมากเพราะเรื่องนั้นเหมือนกัน

เหตุผลที่ท่านปู่เริ่มไปเข้าร่วมการประชุมขุนนาง บางทีก็อาจจะเป็นเพราะอังเกนัสนี่แหละ

แค่มองไปรอบๆ งานเลี้ยงในตอนนี้ ก็ยังแทบไม่เห็นคนจากตระกูลฝ่ายที่สนิทกับจักรพรรดินีหรือพวกอังเกนัสเลยด้วย

สงสัยท่าทางพวกชนชั้นสูงเองก็คงจะเริ่มเลือกข้างกันแล้ว

เรื่องหนึ่งที่ค่อยรู้สึกโล่งใจหน่อยก็คือ จักรพรรดิโยบาเนสยังทำตัวเป็นกลาง ไม่เอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง ในขณะที่แอบชั่งน้ำหนักทั้งสองฝ่ายไปด้วย

ถึงจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นักก็จริงแต่ถึงยังไงสักวันก็ต้องแตกหักกับอังเกนัสอยู่ดีนั่นแหละ

“เรื่องเป็นแบบนี้แล้ว มันก็ช่วยไม่…”

เธอหยุดชะงักคำพูด เหม่อมองเฟเรสที่ไม่รู้ว่าเขยิบเข้ามายืนอยู่ข้างๆ เธอตั้งแต่เมื่อไหร่

“ทำไม”

พอเธอเหลือบมองด้วยหางตา เฟเรสก็เอียงคอมองด้วยใบหน้าที่ด้านเล็กน้อย

“ทำแบบนั้นต่อไปเจ้าอาจจะเสียใจได้นะ ถ้ามีข่าวลือว่าข้ากับเจ้าเป็นมากกว่าเพื่อนกันขึ้นมาละก็ คงได้เกิดเรื่องใหญ่แน่ ทั้งข้า ทั้งเจ้าก็ด้วย”

“…ทำไมล่ะ”

“ก็เพราะ…”

ในตอนที่เธอออกไปดูเฟเรสท่ามกลางฝูงชนครั้งหนึ่งในชีวิตก่อน

เฟเรสไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว

ข้างหลังเฟเรสที่ขี่ม้าด้วยใบหน้าเย็นชาเมินเฉยทุกคน มีรถม้าที่ผู้หญิงคนนั้นนั่งอยู่

“เอาเป็นว่า อย่าทำอะไรที่จะต้องเสียใจทีหลังก็แล้วกัน”

เธอผลักเฟเรสเบาๆ

ไม่สิ พยายามผลักแล้ว

แต่เฟเรสกลับทำหน้าแง่งอน ไม่ยอมขยับตัวถอยห่างไปไหน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+