เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 219.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 219.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เล่ม 6 บทที่ 219.2

เช้าตรู่ ณ บ้านพักตากอากาศหลังเล็กที่ตั้งอยู่แถบชานเมืองลอมบาร์เดีย

“อ๊า เบเลซัก!”

“ท่านแม่!”

รถม้าที่เฟเรสโดยสารมาได้มาถึงที่นี่แล้ว ส่วนสองแม่ลูกเบเลซักกับเซรัลก็ได้กลับมาพบหน้ากันในที่สุด

แต่ว่า

“เจ้านั่นทำไมลงมาจากช่องเก็บของล่ะ”

เฟเรสยักไหล่ไม่ยี่หระ ก่อนจะตอบคำถามเธอ

“…ไม่รู้สิ”

ไม่น่าเข้าไปอยู่ในนั้นด้วยความสมัครใจเลยนะนั่น

แต่เพราะเรื่องที่เบเลซักนั่งอะไรมามันไม่ใช่เรื่องสำคัญอยู่แล้ว เธอจึงเบนสายตาหันไปมองทางเซรัลกับเบเลซักแทน

“ตายแล้ว รอยนี่…!”

เซรัลตกตะลึงเมื่อเห็นรอยช้ำสีแดงบนคอของเบเลซัก

“ละ…ลอร์ดโอลก้า บาราพอร์ท บุกเข้ามารัดคอ…”

เบเลซักไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรไปมากกว่านั้น

เซรัลรู้ได้ทันทีว่ามีเรื่องใดเกิดขึ้น นางเหม่อมองรอยน่ากลัวบนคอของบุตรชายโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะหันหน้ามาทางเธอ

“ก็น่าจะทราบดีอยู่แล้วว่าจักรพรรดินีเป็นคนแบบไหน คงไม่ตกใจหรอกนะคะ”

เซรัลส่ายหน้าด้วยใบหน้าเจ็บปวดใจ

“ข้ารู้ ลูกพี่ลูกน้องของข้าเป็นคนแบบไหน ข้าเองก็รู้ดีอยู่แล้ว แต่ข้าหวาดกลัว กลัวมากจริงๆ …”

เซรัลพูดพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกเสียใจขึ้นมาภายหลัง

นางดูเหนื่อยล้ามากเหลือเกิน

เซรัลก้าวเข้ามาหาเธอ ก่อนจะเอ่ยพูดขึ้นว่า

“ขอบใจเจ้า ไม่สิ ขอบคุณค่ะ รักษาการเจ้าตระกูล”

“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอกค่ะ”

เธอพูดในขณะที่เหลือบมองบ้านพักตากอากาศที่ถูกสร้างมานานแล้วซึ่งสองแม่ลูกจะต้องใช้ชีวิตในอนาคตอยู่ด้วยกัน

“การที่เบเลซักมีชีวิตอยู่ มันมีประโยชน์กับข้ามากกว่าตายลงด้วยน้ำมือของจักรพรรดินี ข้าถึงได้ช่วย มันก็เท่านั้นเอง”

เซรัลมองเธอด้วยนัยน์ตาสะท้อนความรู้สึกหลากหลาย หลังจากนั้นนางก็หยิบเอาจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ แล้วยื่นให้เธอ

จดหมายสีม่วง

“นี่ค่ะ”

เธอรับมันมาถือไว้ แล้วส่งให้เฟเรสทันที

เพราะมันเป็นอาวุธที่จะส่องประกายได้อย่างงดงามยิ่งกว่า ถ้าอยู่ในมือของเฟเรส

“เบเลซัก”

เธอเรียกเบเลซักที่เอาแต่ยืนผวาเฮือกอยู่ด้านหลังเซรัล

“ต่อไปเจ้ากับท่านป้าใหญ่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เงียบๆ เหมือนตายไปแล้ว”

“ทะ…ที่นี่”

เบเลซักหันไปมองบ้านพักตากอากาศด้วยนัยน์ตาอ้างว้าง

อิฐสีน้ำตาลแดงแสดงให้เห็นถึงร่องรอยของกาลเวลาที่ผ่านพ้น มันเป็นเพียงแค่บ้านหลังเก่าที่ถูกเหลือทิ้งไว้ไร้ซึ่งคนอาศัย

นี่จนขนาดนี้แล้วก็ยังตั้งสติไม่ได้อีกเหรอไง

“ทำไม คิดว่ามันไม่พองั้นสิ”

“ไม่ใช่แบบนั้น…”

เธอเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าเบเลซัก

“อย่าเข้าใจผิดล่ะ ถึงแม้เจ้าจะยังใช้นามสกุลเดียวกับพวกเรา แต่เจ้าที่มีเลือดชั้นต่ำอย่างไรก็ไม่มีวันกลายเป็นสมาชิกของตระกูลได้อย่างสมบูรณ์”

คำที่เบเลซักเคยกล่าวไว้ในชีวิตก่อนตอนที่เขาตบหน้าเธอ ยังคงดังก้องอยู่ในหู

สายตาเหยียดหยามราวกับมองสิ่งสกปรกโสโครกเองก็ยังคงเด่นชัดอยู่ตรงหน้า

รู้สึกโกรธจนขึ้นสมอง ราวกับมันเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

“เจ้าก็เป็นเพียงแค่ข้ารับใช้ที่พวกเราคอยเรียกใช้งานเท่านั้น เหมือนอย่างตอนนี้ยังไงล่ะ”

แต่เบเลซักที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอในตอนนี้ ช่างดูแตกต่างจากคนที่เคยถ่มน้ำลายรดปลายเท้าของเธอมากเหลือเกิน

เขายังคงโง่เขลาและสมองทึบเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แต่เด็กนี่กำลังหวาดกลัว

ใบหน้าเละเทะดูไม่ได้เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด กลิ่นฉี่คละคลุ้งไปทั่ว

“เจ้าเคยเรียกข้าว่าเลือดผสมใช่มั้ย”

คำพูดที่เธอพึมพำเสียงแผ่ว ทำให้สีหน้าของเบเลซักซีดเผือด

“ขะ…ขออภัยครับ! ตอนนั้นข้ามันไม่รู้เรื่องรู้ราวเอง! ขออภัยครับ รักษาการเจ้าตระกูล!”

เบเลซักทรุดกายคุกเข่าลงบนพื้น

เธอพูดพลางก้มลงมองเบเลซักที่ทำแบบนั้น

“หากพูดคำว่าเลือดผสมอีกแค่ครั้งเดียว เจ้าจะต้องสูญเสียทุกอย่าง เบเลซัก”

“ดะ…ได้โปรดยกโทษ…”

โทสะค่อยๆ จางหายลงไปอย่างช้าๆ

ไม่ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์เสียทีเดียว

เพราะนี่เป็นหนึ่งในความสำเร็จจากความพยายามมากมายที่เธอมุ่งมั่นลงมือทำมาโดยตลอด หลังจากได้ย้อนเวลากลับมาอีกครั้ง

ลูกพี่ลูกน้องผู้แสนโง่เขลา ทั้งสมองทึบ ทั้งเกียจคร้าน และยังเอาแต่ทำตัวร้ายกาจกับคนที่อ่อนแอกว่าอยู่เสมอ

เธอเปิดปากพูดไปทางเบเลซักอย่างช้าๆ

“ข้าจะส่งเงินให้เจ้ามากพอที่จะใช้ชีวิตกินอยู่ได้ทุกเดือน แต่เจ้าก็ทำได้แค่ใช้ชีวิตต่อไปด้วย ‘สายเลือด’ ที่เจ้าภูมิใจนักหนาเท่านั้น”

เธอเดาะลิ้นเสียงดังจิ๊จ๊ะเบาๆ แล้วเอ่ยพูดต่อ

“ใช้ชีวิตอยู่เงียบๆ ให้เหมือนตายไปแล้วเสีย ถ้าไม่อยากถูกริบคืนกระทั่งเงินพวกนั้นหากข้าได้ยินนามของเจ้าเข้าหูแล้วละก็”

เธอจ้องเบเลซักเขม็งเป็นการเตือนครั้งสุดท้าย หลังจากนั้นก็หมุนตัวเดินกลับไปขึ้นรถม้าคันที่เฟเรสนั่งมา เฟเรสเองก็เดินตามเธอมาด้วย

รถม้าเคลื่อนตัวออกเดินทาง มองออกไปนอกหน้าต่างยังคงเห็นภาพเบเลซักที่ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่อย่างนั้น แต่เธอก็ไม่ได้เหลียวหลังกลับไปมองอีก

ภายในรถม้ามีเพียงความเงียบงัน

“ถ้าไต่สวนอัศวินที่พยายามฆ่าปิดปากเบเลซัก จะต้องได้ความอะไรแน่”

ตอนที่เริ่มมองเห็นคฤหาสน์ลอมบาร์เดียจากไกลๆ เฟเรสก็เอ่ยพูดกับเธอ

“แล้วทำไมสีหน้าเจ้าถึงไม่ดีเลยล่ะ เฟเรส”

เฟเรสปิดปากแน่นคล้ายกับกำลังลังเลอะไรบางอย่างเมื่อได้ยินคำถามของเธอ

เธอมองเด็กหนุ่ม ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น

“เจ้าเองก็คิดว่ามันมีอะไรบางอย่างแปลกๆ ใช่มั้ย”

รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ชอบกล

เหมือนกับจักรพรรดินีจะต้องมีเก็บซ่อนไพ่ตายอะไรเอาไว้อีกแน่

และในตอนที่ก้าวเท้าลงจากรถม้า เธอก็ได้รู้ทันทีว่าอะไรคือสาเหตุของความรู้สึกที่ทำให้เธอสังหรณ์ใจไม่ดีอยู่เรื่อยนั่น

“คุณหนู! คุณหนูเทีย!”

ทันทีที่ประตูรถม้าถูกเปิดออก ลอรีลก็ส่งเสียงร้องตะโกนวิ่งเข้ามาหาเธอด้วยความร้อนรน

“อะ…อัศวินกองกำลังส่วนพระองค์บุกค้นร้านค้าเพลเลสกับคฤหาสน์ของท่านพี่ค่ะ!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 219.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 219.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เล่ม 6 บทที่ 219.2

เช้าตรู่ ณ บ้านพักตากอากาศหลังเล็กที่ตั้งอยู่แถบชานเมืองลอมบาร์เดีย

“อ๊า เบเลซัก!”

“ท่านแม่!”

รถม้าที่เฟเรสโดยสารมาได้มาถึงที่นี่แล้ว ส่วนสองแม่ลูกเบเลซักกับเซรัลก็ได้กลับมาพบหน้ากันในที่สุด

แต่ว่า

“เจ้านั่นทำไมลงมาจากช่องเก็บของล่ะ”

เฟเรสยักไหล่ไม่ยี่หระ ก่อนจะตอบคำถามเธอ

“…ไม่รู้สิ”

ไม่น่าเข้าไปอยู่ในนั้นด้วยความสมัครใจเลยนะนั่น

แต่เพราะเรื่องที่เบเลซักนั่งอะไรมามันไม่ใช่เรื่องสำคัญอยู่แล้ว เธอจึงเบนสายตาหันไปมองทางเซรัลกับเบเลซักแทน

“ตายแล้ว รอยนี่…!”

เซรัลตกตะลึงเมื่อเห็นรอยช้ำสีแดงบนคอของเบเลซัก

“ละ…ลอร์ดโอลก้า บาราพอร์ท บุกเข้ามารัดคอ…”

เบเลซักไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรไปมากกว่านั้น

เซรัลรู้ได้ทันทีว่ามีเรื่องใดเกิดขึ้น นางเหม่อมองรอยน่ากลัวบนคอของบุตรชายโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะหันหน้ามาทางเธอ

“ก็น่าจะทราบดีอยู่แล้วว่าจักรพรรดินีเป็นคนแบบไหน คงไม่ตกใจหรอกนะคะ”

เซรัลส่ายหน้าด้วยใบหน้าเจ็บปวดใจ

“ข้ารู้ ลูกพี่ลูกน้องของข้าเป็นคนแบบไหน ข้าเองก็รู้ดีอยู่แล้ว แต่ข้าหวาดกลัว กลัวมากจริงๆ …”

เซรัลพูดพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกเสียใจขึ้นมาภายหลัง

นางดูเหนื่อยล้ามากเหลือเกิน

เซรัลก้าวเข้ามาหาเธอ ก่อนจะเอ่ยพูดขึ้นว่า

“ขอบใจเจ้า ไม่สิ ขอบคุณค่ะ รักษาการเจ้าตระกูล”

“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอกค่ะ”

เธอพูดในขณะที่เหลือบมองบ้านพักตากอากาศที่ถูกสร้างมานานแล้วซึ่งสองแม่ลูกจะต้องใช้ชีวิตในอนาคตอยู่ด้วยกัน

“การที่เบเลซักมีชีวิตอยู่ มันมีประโยชน์กับข้ามากกว่าตายลงด้วยน้ำมือของจักรพรรดินี ข้าถึงได้ช่วย มันก็เท่านั้นเอง”

เซรัลมองเธอด้วยนัยน์ตาสะท้อนความรู้สึกหลากหลาย หลังจากนั้นนางก็หยิบเอาจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ แล้วยื่นให้เธอ

จดหมายสีม่วง

“นี่ค่ะ”

เธอรับมันมาถือไว้ แล้วส่งให้เฟเรสทันที

เพราะมันเป็นอาวุธที่จะส่องประกายได้อย่างงดงามยิ่งกว่า ถ้าอยู่ในมือของเฟเรส

“เบเลซัก”

เธอเรียกเบเลซักที่เอาแต่ยืนผวาเฮือกอยู่ด้านหลังเซรัล

“ต่อไปเจ้ากับท่านป้าใหญ่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เงียบๆ เหมือนตายไปแล้ว”

“ทะ…ที่นี่”

เบเลซักหันไปมองบ้านพักตากอากาศด้วยนัยน์ตาอ้างว้าง

อิฐสีน้ำตาลแดงแสดงให้เห็นถึงร่องรอยของกาลเวลาที่ผ่านพ้น มันเป็นเพียงแค่บ้านหลังเก่าที่ถูกเหลือทิ้งไว้ไร้ซึ่งคนอาศัย

นี่จนขนาดนี้แล้วก็ยังตั้งสติไม่ได้อีกเหรอไง

“ทำไม คิดว่ามันไม่พองั้นสิ”

“ไม่ใช่แบบนั้น…”

เธอเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าเบเลซัก

“อย่าเข้าใจผิดล่ะ ถึงแม้เจ้าจะยังใช้นามสกุลเดียวกับพวกเรา แต่เจ้าที่มีเลือดชั้นต่ำอย่างไรก็ไม่มีวันกลายเป็นสมาชิกของตระกูลได้อย่างสมบูรณ์”

คำที่เบเลซักเคยกล่าวไว้ในชีวิตก่อนตอนที่เขาตบหน้าเธอ ยังคงดังก้องอยู่ในหู

สายตาเหยียดหยามราวกับมองสิ่งสกปรกโสโครกเองก็ยังคงเด่นชัดอยู่ตรงหน้า

รู้สึกโกรธจนขึ้นสมอง ราวกับมันเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

“เจ้าก็เป็นเพียงแค่ข้ารับใช้ที่พวกเราคอยเรียกใช้งานเท่านั้น เหมือนอย่างตอนนี้ยังไงล่ะ”

แต่เบเลซักที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอในตอนนี้ ช่างดูแตกต่างจากคนที่เคยถ่มน้ำลายรดปลายเท้าของเธอมากเหลือเกิน

เขายังคงโง่เขลาและสมองทึบเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แต่เด็กนี่กำลังหวาดกลัว

ใบหน้าเละเทะดูไม่ได้เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด กลิ่นฉี่คละคลุ้งไปทั่ว

“เจ้าเคยเรียกข้าว่าเลือดผสมใช่มั้ย”

คำพูดที่เธอพึมพำเสียงแผ่ว ทำให้สีหน้าของเบเลซักซีดเผือด

“ขะ…ขออภัยครับ! ตอนนั้นข้ามันไม่รู้เรื่องรู้ราวเอง! ขออภัยครับ รักษาการเจ้าตระกูล!”

เบเลซักทรุดกายคุกเข่าลงบนพื้น

เธอพูดพลางก้มลงมองเบเลซักที่ทำแบบนั้น

“หากพูดคำว่าเลือดผสมอีกแค่ครั้งเดียว เจ้าจะต้องสูญเสียทุกอย่าง เบเลซัก”

“ดะ…ได้โปรดยกโทษ…”

โทสะค่อยๆ จางหายลงไปอย่างช้าๆ

ไม่ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์เสียทีเดียว

เพราะนี่เป็นหนึ่งในความสำเร็จจากความพยายามมากมายที่เธอมุ่งมั่นลงมือทำมาโดยตลอด หลังจากได้ย้อนเวลากลับมาอีกครั้ง

ลูกพี่ลูกน้องผู้แสนโง่เขลา ทั้งสมองทึบ ทั้งเกียจคร้าน และยังเอาแต่ทำตัวร้ายกาจกับคนที่อ่อนแอกว่าอยู่เสมอ

เธอเปิดปากพูดไปทางเบเลซักอย่างช้าๆ

“ข้าจะส่งเงินให้เจ้ามากพอที่จะใช้ชีวิตกินอยู่ได้ทุกเดือน แต่เจ้าก็ทำได้แค่ใช้ชีวิตต่อไปด้วย ‘สายเลือด’ ที่เจ้าภูมิใจนักหนาเท่านั้น”

เธอเดาะลิ้นเสียงดังจิ๊จ๊ะเบาๆ แล้วเอ่ยพูดต่อ

“ใช้ชีวิตอยู่เงียบๆ ให้เหมือนตายไปแล้วเสีย ถ้าไม่อยากถูกริบคืนกระทั่งเงินพวกนั้นหากข้าได้ยินนามของเจ้าเข้าหูแล้วละก็”

เธอจ้องเบเลซักเขม็งเป็นการเตือนครั้งสุดท้าย หลังจากนั้นก็หมุนตัวเดินกลับไปขึ้นรถม้าคันที่เฟเรสนั่งมา เฟเรสเองก็เดินตามเธอมาด้วย

รถม้าเคลื่อนตัวออกเดินทาง มองออกไปนอกหน้าต่างยังคงเห็นภาพเบเลซักที่ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่อย่างนั้น แต่เธอก็ไม่ได้เหลียวหลังกลับไปมองอีก

ภายในรถม้ามีเพียงความเงียบงัน

“ถ้าไต่สวนอัศวินที่พยายามฆ่าปิดปากเบเลซัก จะต้องได้ความอะไรแน่”

ตอนที่เริ่มมองเห็นคฤหาสน์ลอมบาร์เดียจากไกลๆ เฟเรสก็เอ่ยพูดกับเธอ

“แล้วทำไมสีหน้าเจ้าถึงไม่ดีเลยล่ะ เฟเรส”

เฟเรสปิดปากแน่นคล้ายกับกำลังลังเลอะไรบางอย่างเมื่อได้ยินคำถามของเธอ

เธอมองเด็กหนุ่ม ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น

“เจ้าเองก็คิดว่ามันมีอะไรบางอย่างแปลกๆ ใช่มั้ย”

รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ชอบกล

เหมือนกับจักรพรรดินีจะต้องมีเก็บซ่อนไพ่ตายอะไรเอาไว้อีกแน่

และในตอนที่ก้าวเท้าลงจากรถม้า เธอก็ได้รู้ทันทีว่าอะไรคือสาเหตุของความรู้สึกที่ทำให้เธอสังหรณ์ใจไม่ดีอยู่เรื่อยนั่น

“คุณหนู! คุณหนูเทีย!”

ทันทีที่ประตูรถม้าถูกเปิดออก ลอรีลก็ส่งเสียงร้องตะโกนวิ่งเข้ามาหาเธอด้วยความร้อนรน

“อะ…อัศวินกองกำลังส่วนพระองค์บุกค้นร้านค้าเพลเลสกับคฤหาสน์ของท่านพี่ค่ะ!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+