เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 99.1

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 99.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เธอรอสักพัก ก่อนจะลุกเดินออกไปข้างนอกอย่างผ่อนคลาย

พระอาทิตย์เคลื่อนคล้อย ท้องฟ้าถูกย้อมจนเป็นสีแดง

สัมภาระถูกขนลงจากรถม้าจนหมด หลังจากจัดการเก็บข้าวของเรียบร้อย ด้านนอกก็เงียบสงบ

เธอยกมือไขว้หลัง เดินเตร่ไปเรื่อยเหมือนแค่ออกมาเดินเล่น เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าไปพลางเริ่มออกเดินตรงไปข้างหน้า มองเห็นนกกลุ่มหนึ่งบินผ่านไป

นกอพยพเริ่มย้ายถิ่นฐานกันแล้ว

ทุกปีนกเหล่านี้จะบินข้ามผ่านทวีปตามแต่ฤดูกาล พวกมันบินตลอดทั้งวัน และมักจะมาหยุดพักอยู่ที่คฤหาสน์ลอมบาร์เดียเพื่อฟื้นฟูร่างกายที่แสนจะเหนื่อยล้า

เพราะคนในเขตคฤหาสน์มีจำนวนน้อยมาก แต่จำนวนต้นไม้กลับมีมากพอสำหรับพวกมัน

“วันนี้พวกเจ้าก็แวะมาพักที่คฤหาสน์ ก่อนจะออกเดินทางเหมือนเดิมสินะ”

เธอมองเหล่านกน้อยที่ซ่อนตัวอยู่ตามต้นไม้ในคฤหาสน์ไปพลาง หยิบเอาของในกระเป๋าออกมาถือไว้ในมือ

สิ่งที่เธอเตรียมไว้เป็นพิเศษเพื่อวันนี้โดยเฉพาะ นอนแน่นิ่งอยู่ในอุ้งมือ

“งั้นก็เตรียมการเสร็จเรียบร้อยแล้วสินะเนี่ย”

เธอตรวจเช็กให้แน่ใจว่าเบเลซักขนสัมภาระเข้าไปเก็บหมดแล้ว ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ก็ได้เวลาแล้ว

เธอก้าวเท้าสองจังหวะด้วยใจที่สนุกสนานมุ่งตรงไปยังคอกม้า

การแวะไปตรวจสอบอาการของม้าที่เจ้าตัวหวงแหนหลังกลับจากล่าสัตว์ เป็นนิสัยที่ติดตัวของเบเลซัก

เธอดักรอเบเลซักอยู่ตรงหัวมุมถนนที่เขามักจะเดินไปยังคอกม้า

บริเวณนั้นมีต้นไม้มาก ไร้ผู้คน

เป็นเส้นทางที่เหมาะเป็นอย่างยิ่ง

ไม่นานก็มองเห็นเบเลซักกำลังเดินตรงมา

แต่เจ้านั่นไม่ได้มาคนเดียวเนี่ยสิ

“ถือให้มันดีๆ หน่อยสิ! ลากพื้นหมดแล้วไม่ใช่หรือไง!”

“ฮือ…”

เบเลซักคำรามขู่อยู่ข้างกายเครนีย์ที่หอบหิ้วบางอย่างที่ดูหนักหน่วงเดินตามมา

พอลองสังเกตอย่างละเอียดก็พบว่ามันคืออานม้านั่นเอง

แถมยังทำจากหนังสัตว์ เลยยิ่งหนักเข้าไปใหญ่

“นะ เหนื่อย…”

มันหนักเกินกว่าที่เครนีย์ซึ่งยังเด็กจะถือไหว

แต่ว่า

พลั่ก-!

เบเลซักตบศีรษะเล็กๆ ของเครนีย์อย่างแรง ก่อนจะพูดข่มขู่

“อยากโดนตีเพิ่มใช่มั้ย”

“…ปะ เปล่า ฮึก! ”

สุดท้ายเครนีย์ก็ระเบิดเสียงร้องไห้ออกมาจนได้

และความอดทนของเธอก็ถึงที่สุดแล้วเช่นกัน

“เครนีย์”

เธอเดินออกมาจากหัวมุม ยืนขวางทั้งสองคนเอาไว้ แล้วพูดขึ้น

“โยนของที่ถืออยู่ทิ้ง แล้วไปซะ”

“ทะ เทีย…?”

เครนีย์เบิกตากว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะใช้แขนเสื้อเช็ดหยาดน้ำตา

“เจ้านี่มันอะไรอีกเนี่ย”

เบเลซักจ้องเธอเขม็งด้วยใบหน้าบึ้งตึง

แล้วไง ใครสนล่ะ

เธอมองแต่เครนีย์นิ่งๆ

“อะ อื้อ!”

เครนีย์กัดริมฝีปากแน่นเพื่อรวบรวมความกล้า แล้วโยนอานม้าทิ้งไปข้างกายเบเลซัก

“เฮ้! เจ้านี่ บ้าไปแล้วหรือไง!”

เบเลซักโมโหเดือด แต่เครนีย์วิ่งหนีไปไกลแล้ว

“เบเลซัก นี่ปกติเจ้ากลั่นแกล้งเครนีย์มากขนาดไหนกันแน่”

ดูจากภาพเมื่อครู่แล้ว เธอสังหรณ์ใจว่าเรื่องที่เธอรู้มาทั้งหมดนั่นจะเป็นเพียงแค่ส่วนเดียวเท่านั้น

เบเลซักแสยะยิ้มให้เธอ ก่อนจะยิ้มเยาะ

“ทำไม หรือเจ้าจะทำแทนเด็กนั่น”

“เหอะ ไอ้เด็กเวรนี่…”

เห็นช่วงนี้เงียบไปบ้างแล้วก็นึกว่าจะโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นบ้าง

ว่าแล้วเชียว เบเลซักไม่เปลี่ยนไปเลย

ก็แค่เปลี่ยนเป้าหมายในการกลั่นแกล้ง จากเธอไปเป็นเครนีย์เท่านั้นเอง

“ใช่แล้ว นังเลือดผสม งั้นเจ้าเป็นคนแบก”

เบเลซักใช้เท้าเตะอานม้าขณะที่พูดกับเธอ

“ฮู่ว เฮ้ เบเลซัก เจ้าไม่มีสมองหรือไง”

“อะ อะไรนะ”

“ข้าบอกชัดเจนแล้วใช่มั้ย ว่าอย่าเรียกข้าว่าเลือดผสม ไอ้โง่นี่”

“นะ นังเตี้ยนี่!”

เบเลซักเข้าสู่ช่วงวัยหนุ่มอย่างเต็มตัว เลยใช้โอกาสที่สภาพร่างกายตัวเองสูงใหญ่กว่าเธอ เจ้านั่นยกหมัดขึ้นเป็นการข่มขู่

เธอเชิดหน้าขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะพูดกับเขา

“ก็ลองตีดูสิ ถ้าตีได้น่ะนะ”

“ฮึ่ย! ”

“เจ้าตีข้าไม่ได้หรอก เพราะถ้าตีข้าคงได้เกิดเรื่องใหญ่แน่ไงล่ะ ท่านปู่คงเป็นคนออกหน้าให้ข้าเป็นคนแรกเลยด้วยมั้ง และท่านพ่อของข้าตอนนี้ก็ไม่ใช่คนที่จะเอาแต่ทนอยู่เฉยๆ แล้วด้วย”

คำพูดของเธอทำให้เบเลซักที่กำลังโมโหหอบแฮกๆ ครุ่นคิดหาวิธีทำร้ายเธอจากนั้นก็แสยะยิ้มอย่างมีเลศนัย

“งั้นหรือ แต่ที่นี่ไม่มีทั้งท่านปู่ ทั้งท่านพ่อที่เจ้าภูมิใจนักหนาเลยสักคน ข้าลงมือแค่ไม่กี่ที เจ้าก็คงจะมีสภาพเละเทะดูไม่ได้ จนวิ่งโร่ไปฟ้องไม่ทันด้วยซ้ำละมั้ง”

นัยน์ตาของเบเลซักส่องประกายลุกโชน

เธอจำนัยน์ตาคู่นั้นได้อย่างชัดเจน

ในชีวิตก่อนเวลาที่เจ้านั่นกลั่นแกล้งเธอ ทุกครั้งที่เขาลงมือตบตีเธอ ทุกครั้งที่เธอร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด ทุกครั้งที่เธอกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว ก็เป็นนัยน์ตาคู่นั้นและเสียงที่หัวเราะเยาะเธอด้วยความตื่นเต้นระคนดีใจ

ว่าแล้วเชียว มนุษย์ไม่ใช่สิ่งที่จะแก้ไขกันได้ง่ายๆ

ในขณะที่แน่ใจแล้วว่า สัจธรรมบนโลกเป็นสิ่งที่ไม่แปรเปลี่ยน เธอก็ยัดมือล้วงลงในกระเป๋า

และกำของในนั้นไว้ในมือหนึ่งกำ โยนมันใส่ใบหน้าของเบเลซักที่เดินเข้ามาใกล้ก้าวหนึ่ง

“ว้าก! นะ นี่มันอะไรกัน!”

ทันทีที่เธอโปรยธัญพืชป่นจนคล้ายผงแป้งออกไป เบเลซักก็ตกใจไอเสียงดังค็อกแค็กแล้วเริ่มพูดจาด่าทอกระแนะกระแหนเธอต่อ

“เหอะ! กะอีแค่ของแบบนี้…ค็อก! แค่ผงแป้งบ้าๆ นี่! ”

หนวกหูชะมัด โดนไอ้นี่หน่อยเป็นไง

เธอปามันใส่หน้าเบเลซักโดยไม่ปล่อยให้เขาได้มีจังหวะพูดอะไรทั้งสิ้น

“ยะ หยุด…!”

เธอสาดผงที่เหลืออยู่ด้วยอารมณ์เดียวกันกับเทเกลือเม็ดหนาใส่ผักกาดสำหรับทำกิมจิ โปรยมันให้ทั่วทุกซอกทุกมุมของร่างกายเบเลซัก

“ฮู่ว เรียบร้อย”

เธอหยุดลงมือเมื่อปามันออกไปจนหมด

“วะฮ่าฮ่า! นังบ้านี่! ทำอะไรเนี่ย!”

“เฮ้ เบเลซัก เจ้ารู้มั้ยว่าผงนั่นคืออะไร”

“ข้าจะไปรู้ได้ยังไง! เจ้าตาย…!”

“ลองดมกลิ่นดูสักครั้งหน่อยดีมั้ย มันถูกโรยใส่ร่างกายเจ้านะ”

คำพูดของเธอทำให้เบเลซักยกแขนขึ้น ก่อนจะดมเศษผงที่ติดอยู่ตามเสื้อผ้า

“แค็กๆ ธะ ธัญพืช?”

“โอ้ ทายถูกด้วย ข้าวโพด เมล็ดทานตะวัน ผสมของพวกนั้นในปริมาณเท่าๆ กันไง อร่อยมากเลยนะ นั่นของจากเซอเชาว์เลยด้วย เจ้ารู้มั้ยว่าช่วงนี้หาซื้อธัญพืชจากเซอเชาว์ได้ยากขนาดไหนน่ะ”

“วะ ว่าไงนะ!”

“แต่ไม่นานมานี้ พอดีข้าซื้อธัญพืชจากที่นั่นมาเยอะพอควร ข้าก็เลยแบ่งติดมือมาด้วยเป็นพิเศษไง นั่นน่ะ”

“เจ้าพูดพล่ามบ้าบออะไรกัน! ”

เบเลซักโมโหจนขึ้นเสียงดังลั่น เขาไม่มีทางเข้าใจหรอกว่าเธอพูดถึงเรื่องอะไร

เธอเดินถอยหลังห่างจากเขาประมาณสามก้าว ยิ้มกว้าง แล้วพูดขึ้น

“จะอะไรได้ล่ะ มันก็เป็นอาหารที่พวกนกชอบมากที่สุดยังไงล่ะ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 99.1

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 99.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เธอรอสักพัก ก่อนจะลุกเดินออกไปข้างนอกอย่างผ่อนคลาย

พระอาทิตย์เคลื่อนคล้อย ท้องฟ้าถูกย้อมจนเป็นสีแดง

สัมภาระถูกขนลงจากรถม้าจนหมด หลังจากจัดการเก็บข้าวของเรียบร้อย ด้านนอกก็เงียบสงบ

เธอยกมือไขว้หลัง เดินเตร่ไปเรื่อยเหมือนแค่ออกมาเดินเล่น เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าไปพลางเริ่มออกเดินตรงไปข้างหน้า มองเห็นนกกลุ่มหนึ่งบินผ่านไป

นกอพยพเริ่มย้ายถิ่นฐานกันแล้ว

ทุกปีนกเหล่านี้จะบินข้ามผ่านทวีปตามแต่ฤดูกาล พวกมันบินตลอดทั้งวัน และมักจะมาหยุดพักอยู่ที่คฤหาสน์ลอมบาร์เดียเพื่อฟื้นฟูร่างกายที่แสนจะเหนื่อยล้า

เพราะคนในเขตคฤหาสน์มีจำนวนน้อยมาก แต่จำนวนต้นไม้กลับมีมากพอสำหรับพวกมัน

“วันนี้พวกเจ้าก็แวะมาพักที่คฤหาสน์ ก่อนจะออกเดินทางเหมือนเดิมสินะ”

เธอมองเหล่านกน้อยที่ซ่อนตัวอยู่ตามต้นไม้ในคฤหาสน์ไปพลาง หยิบเอาของในกระเป๋าออกมาถือไว้ในมือ

สิ่งที่เธอเตรียมไว้เป็นพิเศษเพื่อวันนี้โดยเฉพาะ นอนแน่นิ่งอยู่ในอุ้งมือ

“งั้นก็เตรียมการเสร็จเรียบร้อยแล้วสินะเนี่ย”

เธอตรวจเช็กให้แน่ใจว่าเบเลซักขนสัมภาระเข้าไปเก็บหมดแล้ว ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ก็ได้เวลาแล้ว

เธอก้าวเท้าสองจังหวะด้วยใจที่สนุกสนานมุ่งตรงไปยังคอกม้า

การแวะไปตรวจสอบอาการของม้าที่เจ้าตัวหวงแหนหลังกลับจากล่าสัตว์ เป็นนิสัยที่ติดตัวของเบเลซัก

เธอดักรอเบเลซักอยู่ตรงหัวมุมถนนที่เขามักจะเดินไปยังคอกม้า

บริเวณนั้นมีต้นไม้มาก ไร้ผู้คน

เป็นเส้นทางที่เหมาะเป็นอย่างยิ่ง

ไม่นานก็มองเห็นเบเลซักกำลังเดินตรงมา

แต่เจ้านั่นไม่ได้มาคนเดียวเนี่ยสิ

“ถือให้มันดีๆ หน่อยสิ! ลากพื้นหมดแล้วไม่ใช่หรือไง!”

“ฮือ…”

เบเลซักคำรามขู่อยู่ข้างกายเครนีย์ที่หอบหิ้วบางอย่างที่ดูหนักหน่วงเดินตามมา

พอลองสังเกตอย่างละเอียดก็พบว่ามันคืออานม้านั่นเอง

แถมยังทำจากหนังสัตว์ เลยยิ่งหนักเข้าไปใหญ่

“นะ เหนื่อย…”

มันหนักเกินกว่าที่เครนีย์ซึ่งยังเด็กจะถือไหว

แต่ว่า

พลั่ก-!

เบเลซักตบศีรษะเล็กๆ ของเครนีย์อย่างแรง ก่อนจะพูดข่มขู่

“อยากโดนตีเพิ่มใช่มั้ย”

“…ปะ เปล่า ฮึก! ”

สุดท้ายเครนีย์ก็ระเบิดเสียงร้องไห้ออกมาจนได้

และความอดทนของเธอก็ถึงที่สุดแล้วเช่นกัน

“เครนีย์”

เธอเดินออกมาจากหัวมุม ยืนขวางทั้งสองคนเอาไว้ แล้วพูดขึ้น

“โยนของที่ถืออยู่ทิ้ง แล้วไปซะ”

“ทะ เทีย…?”

เครนีย์เบิกตากว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะใช้แขนเสื้อเช็ดหยาดน้ำตา

“เจ้านี่มันอะไรอีกเนี่ย”

เบเลซักจ้องเธอเขม็งด้วยใบหน้าบึ้งตึง

แล้วไง ใครสนล่ะ

เธอมองแต่เครนีย์นิ่งๆ

“อะ อื้อ!”

เครนีย์กัดริมฝีปากแน่นเพื่อรวบรวมความกล้า แล้วโยนอานม้าทิ้งไปข้างกายเบเลซัก

“เฮ้! เจ้านี่ บ้าไปแล้วหรือไง!”

เบเลซักโมโหเดือด แต่เครนีย์วิ่งหนีไปไกลแล้ว

“เบเลซัก นี่ปกติเจ้ากลั่นแกล้งเครนีย์มากขนาดไหนกันแน่”

ดูจากภาพเมื่อครู่แล้ว เธอสังหรณ์ใจว่าเรื่องที่เธอรู้มาทั้งหมดนั่นจะเป็นเพียงแค่ส่วนเดียวเท่านั้น

เบเลซักแสยะยิ้มให้เธอ ก่อนจะยิ้มเยาะ

“ทำไม หรือเจ้าจะทำแทนเด็กนั่น”

“เหอะ ไอ้เด็กเวรนี่…”

เห็นช่วงนี้เงียบไปบ้างแล้วก็นึกว่าจะโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นบ้าง

ว่าแล้วเชียว เบเลซักไม่เปลี่ยนไปเลย

ก็แค่เปลี่ยนเป้าหมายในการกลั่นแกล้ง จากเธอไปเป็นเครนีย์เท่านั้นเอง

“ใช่แล้ว นังเลือดผสม งั้นเจ้าเป็นคนแบก”

เบเลซักใช้เท้าเตะอานม้าขณะที่พูดกับเธอ

“ฮู่ว เฮ้ เบเลซัก เจ้าไม่มีสมองหรือไง”

“อะ อะไรนะ”

“ข้าบอกชัดเจนแล้วใช่มั้ย ว่าอย่าเรียกข้าว่าเลือดผสม ไอ้โง่นี่”

“นะ นังเตี้ยนี่!”

เบเลซักเข้าสู่ช่วงวัยหนุ่มอย่างเต็มตัว เลยใช้โอกาสที่สภาพร่างกายตัวเองสูงใหญ่กว่าเธอ เจ้านั่นยกหมัดขึ้นเป็นการข่มขู่

เธอเชิดหน้าขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะพูดกับเขา

“ก็ลองตีดูสิ ถ้าตีได้น่ะนะ”

“ฮึ่ย! ”

“เจ้าตีข้าไม่ได้หรอก เพราะถ้าตีข้าคงได้เกิดเรื่องใหญ่แน่ไงล่ะ ท่านปู่คงเป็นคนออกหน้าให้ข้าเป็นคนแรกเลยด้วยมั้ง และท่านพ่อของข้าตอนนี้ก็ไม่ใช่คนที่จะเอาแต่ทนอยู่เฉยๆ แล้วด้วย”

คำพูดของเธอทำให้เบเลซักที่กำลังโมโหหอบแฮกๆ ครุ่นคิดหาวิธีทำร้ายเธอจากนั้นก็แสยะยิ้มอย่างมีเลศนัย

“งั้นหรือ แต่ที่นี่ไม่มีทั้งท่านปู่ ทั้งท่านพ่อที่เจ้าภูมิใจนักหนาเลยสักคน ข้าลงมือแค่ไม่กี่ที เจ้าก็คงจะมีสภาพเละเทะดูไม่ได้ จนวิ่งโร่ไปฟ้องไม่ทันด้วยซ้ำละมั้ง”

นัยน์ตาของเบเลซักส่องประกายลุกโชน

เธอจำนัยน์ตาคู่นั้นได้อย่างชัดเจน

ในชีวิตก่อนเวลาที่เจ้านั่นกลั่นแกล้งเธอ ทุกครั้งที่เขาลงมือตบตีเธอ ทุกครั้งที่เธอร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด ทุกครั้งที่เธอกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว ก็เป็นนัยน์ตาคู่นั้นและเสียงที่หัวเราะเยาะเธอด้วยความตื่นเต้นระคนดีใจ

ว่าแล้วเชียว มนุษย์ไม่ใช่สิ่งที่จะแก้ไขกันได้ง่ายๆ

ในขณะที่แน่ใจแล้วว่า สัจธรรมบนโลกเป็นสิ่งที่ไม่แปรเปลี่ยน เธอก็ยัดมือล้วงลงในกระเป๋า

และกำของในนั้นไว้ในมือหนึ่งกำ โยนมันใส่ใบหน้าของเบเลซักที่เดินเข้ามาใกล้ก้าวหนึ่ง

“ว้าก! นะ นี่มันอะไรกัน!”

ทันทีที่เธอโปรยธัญพืชป่นจนคล้ายผงแป้งออกไป เบเลซักก็ตกใจไอเสียงดังค็อกแค็กแล้วเริ่มพูดจาด่าทอกระแนะกระแหนเธอต่อ

“เหอะ! กะอีแค่ของแบบนี้…ค็อก! แค่ผงแป้งบ้าๆ นี่! ”

หนวกหูชะมัด โดนไอ้นี่หน่อยเป็นไง

เธอปามันใส่หน้าเบเลซักโดยไม่ปล่อยให้เขาได้มีจังหวะพูดอะไรทั้งสิ้น

“ยะ หยุด…!”

เธอสาดผงที่เหลืออยู่ด้วยอารมณ์เดียวกันกับเทเกลือเม็ดหนาใส่ผักกาดสำหรับทำกิมจิ โปรยมันให้ทั่วทุกซอกทุกมุมของร่างกายเบเลซัก

“ฮู่ว เรียบร้อย”

เธอหยุดลงมือเมื่อปามันออกไปจนหมด

“วะฮ่าฮ่า! นังบ้านี่! ทำอะไรเนี่ย!”

“เฮ้ เบเลซัก เจ้ารู้มั้ยว่าผงนั่นคืออะไร”

“ข้าจะไปรู้ได้ยังไง! เจ้าตาย…!”

“ลองดมกลิ่นดูสักครั้งหน่อยดีมั้ย มันถูกโรยใส่ร่างกายเจ้านะ”

คำพูดของเธอทำให้เบเลซักยกแขนขึ้น ก่อนจะดมเศษผงที่ติดอยู่ตามเสื้อผ้า

“แค็กๆ ธะ ธัญพืช?”

“โอ้ ทายถูกด้วย ข้าวโพด เมล็ดทานตะวัน ผสมของพวกนั้นในปริมาณเท่าๆ กันไง อร่อยมากเลยนะ นั่นของจากเซอเชาว์เลยด้วย เจ้ารู้มั้ยว่าช่วงนี้หาซื้อธัญพืชจากเซอเชาว์ได้ยากขนาดไหนน่ะ”

“วะ ว่าไงนะ!”

“แต่ไม่นานมานี้ พอดีข้าซื้อธัญพืชจากที่นั่นมาเยอะพอควร ข้าก็เลยแบ่งติดมือมาด้วยเป็นพิเศษไง นั่นน่ะ”

“เจ้าพูดพล่ามบ้าบออะไรกัน! ”

เบเลซักโมโหจนขึ้นเสียงดังลั่น เขาไม่มีทางเข้าใจหรอกว่าเธอพูดถึงเรื่องอะไร

เธอเดินถอยหลังห่างจากเขาประมาณสามก้าว ยิ้มกว้าง แล้วพูดขึ้น

“จะอะไรได้ล่ะ มันก็เป็นอาหารที่พวกนกชอบมากที่สุดยังไงล่ะ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+