เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 161.1

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 161.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เล่ม 4 บทที่ 161.1

ตอนที่ 161

“ดูเหมือนข้าจะมารบกวนสินะครับ”

ชานตั้น เซอเชาว์เอ่ยเสียงเรียบแต่ไม่มีคำพูดขอโทษกันแต่อย่างใด

ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าเสียมารยาท แต่กลับไม่ได้รู้สึกผิดในเรื่องที่กระทำลงไปเลยสักนิด

“…….เข้ามาก่อนสิครับ” แคลอฮันผายมือไปยังโซฟาในห้องทำงาน และเอ่ยขึ้น

“ขอบใจ”

ในขณะที่แคลอฮันนั่งเผชิญหน้ากับชานตั้น เซอเชาว์ จู่ ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนห้องทำงานของตัวเองแคบลงไปทันที

ในความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้นหรอก

ก็แค่ร่างกายสูงใหญ่กับตัวตนของชานตั้น เซอเชาว์คนนี้ มันกลืนกินห้องทำงานธรรมดาของเขาไปจนหมดสิ้นเท่านั้นเอง

ชานตั้น เซอเชาว์กวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องทำงานของแคลอฮันด้วยนัยน์ตาแฝงความใคร่รู้ แล้วจึงเปิดปากพูดกับแคลอฮัน

“นึกว่าข้าได้เป็นเจ้าตระกูลเซอเชาว์แล้ว เจ้าจะแวะมาหากันสักครั้งเสียอีก ยังคงเป็นคนที่เจอหน้าได้ยากเหมือนเคยเลยนะครับ ท่านชายแคลอฮัน”

ชานตั้น เซอเชาว์กำลังตำหนิแคลอฮันที่ไม่ยอมเป็นฝ่ายแวะไปทักทายเขาก่อน

เขตแดนเชซายูถูกมอบให้แคลอฮันเป็นรางวัลไปแล้ว จึงกลายเป็นเขตแดนอิสระไม่ขึ้นตรงต่อตระกูลเซอเชาว์อีกต่อไป แต่มันก็ยังห้อมล้อมไปด้วยที่ดินของเซอเชาว์ไม่เปลี่ยนแปลง

“แน่นอนว่าจัดการดูแลร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮันที่ขยายสาขาไปทั่วทวีป แล้วยังต้องบริหารจัดการเขตแดนเชซายูอีก ก็คงจะเป็นงานที่ยุ่งมากเป็นแน่ ข้าเข้าใจ”

“…ขอบคุณครับ”

“ข้าที่งานน้อยกว่าก็ต้องเป็นฝ่ายมาพบเองถูกต้องแล้วสินะ หรือว่าไม่ใช่”

ริมฝีปากของชานตั้น เซอเชาว์โค้งลงคล้ายรอยยิ้ม แต่มันกลับยิ่งทำให้แคลอฮันรู้สึกอึดอัดใจยิ่งกว่าเดิม

เดิมทีเจ้าตระกูลเซอเชาว์ก็ให้บรรยากาศเช่นนั้นอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้แคลอฮันเครียดเหนือสิ่งใดคือ ความจริงที่คนคนนี้อยู่ฝ่ายจักรพรรดินีเนี่ยแหละ

ช่วงนี้จักรพรรดินีมักจะพาชานตั้น เซอเชาว์ไปแนะนำให้ผู้คนได้รู้จักในทุกๆ ที่

ราวกับจะทำให้มั่นใจว่า หากเป็นชนชั้นสูงในอาณาจักรแล้วละก็ จะต้องไม่มีใครไม่รู้ว่าเจ้าตระกูลเซอเชาว์เป็นพันธมิตรของจักรพรรดินี

ว่ากันตามตรง สำหรับแคลอฮันแล้ว ชานตั้น เซอเชาว์เป็นบุคคลที่เขาไม่อยากข้องเกี่ยวด้วยเลยแม้แต่น้อย

นั่นไงล่ะ

เจ้าตระกูลเซอเชาว์เอ่ยถามขึ้น

“ได้ยินว่าจะเปิดท่าเรือขึ้นที่เชซายู จริงหรือครับ”

ชั่วขณะ แคลอฮันต้องอดกลั้นแรงกระตุ้นที่อยากจะตอบออกไปว่า ‘ไม่ใช่’ เอาไว้

ท่าเรือเชซายูเป็นสิ่งที่มีค่ามาก

และสัญชาตญาณของแคลอฮันก็กำลังบอกเขาว่า ชานตั้น เซอเชาว์เป็นคนที่อาจจะเป็นอันตรายต่อท่าเรือของเขา

“ใช่ครับ”

แคลอฮันลากหางเสียงเล็กน้อยเมื่อต้องตอบออกไปตามตรงอย่างไม่อาจเลี่ยงได้

“ถ้าอย่างนั้นท่าเรือเชซายูก็คงจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นในการขนส่งสินค้าล่องไปตามแม่น้ำทั่วอาณาจักรสินะ”

ดูเหมือนเจ้าตระกูลเซอเชาว์จะประเมินทุกสิ่งเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว

“…ถูกต้องครับ” แคลอฮันตอบกลับช้าไปหนึ่งจังหวะ

ทันใดนั้นเอง ชานตั้น เซอเชาว์ก็กระตุกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นพลางเอ่ยว่า

“แล้วทำไมข้าถึงได้เพิ่งรู้ความจริงเรื่องที่ว่านั่นกันล่ะครับ”

“นั่นมันหมายความว่ายังไง…”

“หากจะขนส่งสินค้าไปจนถึงท่าเรือเชซายู จะต้องผ่านที่ดินของเซอเชาว์ก่อนไม่ใช่หรือครับ”

ตุบ!เสียงหัวใจร่วงหล่นดังขึ้นในใจ พร้อมกับการเคลื่อนไหวของแคลอฮันที่หยุดชะงักไปทันที

ท่าเรือเซชายูถูกล้อมกรอบไปด้วยที่ดินของเซอเชาว์

พูดอีกแง่ก็คือ สินค้าทั้งหลายจะถูกขนส่งเข้าไปจนถึงเชซายูได้หรือไม่นั้น ต่างก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าตระกูลเซอเชาว์ทั้งสิ้นเป็นการข่มขู่ที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก

นัยน์ตาสีเขียวเริ่มส่องประกายเป็นศัตรูขึ้นมาอย่างช้าๆ แคลอฮันมองสบตาชานตั้น เซอเชาว์ ขณะที่เอ่ยถามขึ้น

“ข้าควรจะตอบรับคำพูดนั่นในความหมายใดครับ”

“ความหมายไหนดีล่ะครับ” ชานตั้น เซอเชาว์เองก็มองแคลอฮันที่มีสีหน้าบึ้งตึงไม่พูดไม่จาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ

“เห็นว่าได้รับเงินทุนจากร้านค้าเพลเลส ลงทุนลงแรงกันไปมากทีเดียว”

เสียงแห้งผากฟังดูไร้อารมณ์ แต่ก็ดูเอื่อยเฉื่อยไม่ได้กระตือรือร้นเหมือนคนกำลังกระหายอยากครอบครอง

ชานตั้น เซอเชาว์วางข้อศอกไว้บนหน้าตัก มือยกขึ้นเท้าคาง เอนกายโน้มไปด้านหน้าเล็กน้อย

เงาดำดั่งมัจจุราชที่พร้อมจะปลิดชีวิตผู้คนเองก็เคลื่อนไหวไปพร้อมกับเขาทุกจังหวะ

“แค่คำพูดของข้าเพียงคำเดียว ทุกอย่างนี่จะสลายไปเป็นฟองอากาศ”

ความเงียบพลันกลืนกินไปทั่วห้องทำงานของแคลอฮัน

เหนือความตึงเครียดที่แผ่กระจายไปทั่วห้อง ชานตั้น เซอเชาว์ลอบปล่อยแรงกดดันของตัวเองออกไปเล็กน้อยใช้แรงกดดันที่เคยปกครองกองกำลังอัศวินมานับร้อยกดข่มแคลอฮันซึ่งเป็นแค่คนธรรมดาเบเจอร์ผู้เป็นพี่ชายของแคลอฮันเองก็ไม่อาจจะทำได้แม้แต่หายใจ เมื่อตกอยู่ภายใต้สถานการณ์เดียวกันนี้ ตกใจจนสะอึกไม่หยุดมาแล้ว

พอนึกถึงเรื่องในตอนนั้นขึ้นมา ความปีติยินดีก็พาดผ่านขึ้นในนัยน์ตาของชานตั้น เซอเชาว์

แต่ทว่า

“ต้องการอะไรครับ” แคลอฮัน ลอมบาร์เดียเอ่ยถามโดยไม่คิดเก็บซ่อนสายตาไม่เป็นมิตร

“…เหอะ” คนที่เป็นฝ่ายตกใจกลับกลายเป็นชานตั้น เซอเชาว์

เขาเก็บแรงกดดันกลับคืนมา แล้วจ้องหน้าแคลอฮันดูจากสีหน้าแล้วก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้รับผลกระทบจากแรงกดดันของเขาเสียหน่อยความไม่เป็นมิตรในนัยน์ตาสีเขียวสว่างคู่นั้นไม่ได้จางหายไปเลยแม้แต่น้อย

“แน่ใจได้ยังไงว่าข้ามีสิ่งที่ต้องการ”

“หากไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น ย่อมไม่จำเป็นต้องดั้นด้นมาพยายามข่มขู่ข้าด้วยตัวเองแบบนี้ หลังจากท่าเรือเปิดให้บริการ ก็แค่จัดการปิดประตูเมืองเซอเชาว์ไม่ให้สินค้าขนส่งเข้ามาได้ก็เรียบร้อยแล้วครับ ทำเช่นนั้นเชซายูย่อมเสียหายหนักอยู่แล้ว”

แคลอฮันกล่าวเสียงเรียบ

“ดังนั้นเลิกอ้อมค้อมเถอะครับ พูดมาตามตรงว่าต้องการอะไรกันแน่”

“…ดูเหมือนข่าวลือจะไม่ตรงกับความเป็นจริงเลยสินะเนี่ย”

คำว่า ‘ข่าวลือ’ ทำให้แคลอฮันขมวดคิ้วแน่นจนหน้าผากย่นลงเล็กน้อย

“ข้าไม่ทราบหรอกครับว่า ‘ข่าวลือ’ ที่ว่านั่นมันเรื่องอะไร แต่รีบๆ พูดธุระมาเถอะครับ ข้ายังมีที่ที่ต้องไปต่ออีก”

“อา วันนี้เป็นวันเกิดท่านเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียใช่มั้ยนะ ทุกปีไม่มีการจัดงานเลี้ยง ไม่รับของขวัญ เพียงแค่รวมตัวคนในครอบครัวกับผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหลายมาร่วมฉลองกันอย่างเรียบง่าย ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องรีบหน่อยสินะ”

ชานตั้น เซอเชาว์พยักหน้าลง ก่อนจะเงยหน้าสบตาแคลอฮันแล้วเอ่ยขึ้นว่า

“อภิสิทธิ์ให้เรือของเซอเชาว์สามารถเดินทางเข้าไปยังท่าเรือของเชซายูได้ทุกเมื่อเป็นเช่นไร”

แคลอฮันตกใจเล็กน้อยเขานึกว่าอีกฝ่ายจะต้องขอเก็บค่าผ่านเขตแดนของเซอเชาว์อย่างแน่นอนแท้ๆ

เหตุผลที่เรียกร้องขออภิสิทธิ์แบบนั้น มีเพียงแค่ข้อเดียว

“เซอเชาว์คิดที่จะสร้างเรือขึ้นมาเองหรือครับ”

“หากได้ใช้งานบ่อยครั้งมากพอ เซอเชาว์ของพวกเราเองก็ไม่ใช่ว่าจะสร้างมันไม่ได้นี่ครับ”

สินค้าใดกันที่เซอเชาว์ต้องลงทุนทำถึงขนาดนั้น เพื่อที่จะขนส่งไปให้ถึงเขตแดนตะวันออก

แคลอฮันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า

“…คงคิดที่จะนำธัญพืชจากเซอเชาว์ไปขายให้ทางตะวันออกสินะครับ ขายเองโดยตรงด้วย”

ชานตั้น เซอเชาว์ยักไหล่ไม่ยี่หระในคำพูดของแคลอฮันแล้วเอ่ยตอบ

“สินค้าธัญพืชของเซอเชาว์ถูกขายในราคาต่ำที่สุดในอาณาจักรแล้ว ท่านชายลอมบาร์เดียทราบหรือเปล่าครับ”

“ข้าทราบว่าเป็นเพราะปริมาณผลผลิตมีจำนวนมากเกินไปดังนั้นราคาก็เลยตกต่ำไปด้วยครับ”

“ใช่แล้วละครับ และข้าก็ไม่อาจทนมองผลผลิตที่ชาวนาของเซอเชาว์แลกมาด้วยเลือดเนื้อและหยาดเหงื่อ ต้องถูกขายไปในราคาถูกจนแทบไร้ค่าเช่นนั้นอีกต่อไปแล้วครับ” เสียงของชานตั้น เซอเชาว์ เย็นยะเยือก

แคลอฮันจึงเอ่ยถามขึ้นทันที

“เพราะอย่างนั้นถึงได้ร่วมมือกับอังเกนัสจากตะวันตกหรือครับ เพื่อที่จะได้บุกตะวันออกที่มักจะขาดแคลนเสบียงอาหารได้ง่ายๆ”

เจ้าตระกูลเซอเชาว์แสยะยิ้มตอบกลับไป

“ไม่ขอปฏิเสธครับ ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา พลเมืองของเขตแดนตะวันตกเริ่มคุ้นเคยกับธัญพืชที่ทางเซอเชาว์ของพวกเราขายให้ในราคาย่อมเยากว่าที่อื่นกันแล้ว”

“และก็เลยคิดที่จะใช้เส้นทางการค้าที่เริ่มจากเชซายู เดินทางเข้าไปยังตะวันออกต่อสินะครับ”

“เป็นเพราะเจ้าช่วยเปิดตลาดใหม่อย่างตะวันออกให้ยังไงล่ะ ท่านชายแคลอฮัน ลอมบาร์เดีย”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 161.1

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 161.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เล่ม 4 บทที่ 161.1

ตอนที่ 161

“ดูเหมือนข้าจะมารบกวนสินะครับ”

ชานตั้น เซอเชาว์เอ่ยเสียงเรียบแต่ไม่มีคำพูดขอโทษกันแต่อย่างใด

ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าเสียมารยาท แต่กลับไม่ได้รู้สึกผิดในเรื่องที่กระทำลงไปเลยสักนิด

“…….เข้ามาก่อนสิครับ” แคลอฮันผายมือไปยังโซฟาในห้องทำงาน และเอ่ยขึ้น

“ขอบใจ”

ในขณะที่แคลอฮันนั่งเผชิญหน้ากับชานตั้น เซอเชาว์ จู่ ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนห้องทำงานของตัวเองแคบลงไปทันที

ในความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้นหรอก

ก็แค่ร่างกายสูงใหญ่กับตัวตนของชานตั้น เซอเชาว์คนนี้ มันกลืนกินห้องทำงานธรรมดาของเขาไปจนหมดสิ้นเท่านั้นเอง

ชานตั้น เซอเชาว์กวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องทำงานของแคลอฮันด้วยนัยน์ตาแฝงความใคร่รู้ แล้วจึงเปิดปากพูดกับแคลอฮัน

“นึกว่าข้าได้เป็นเจ้าตระกูลเซอเชาว์แล้ว เจ้าจะแวะมาหากันสักครั้งเสียอีก ยังคงเป็นคนที่เจอหน้าได้ยากเหมือนเคยเลยนะครับ ท่านชายแคลอฮัน”

ชานตั้น เซอเชาว์กำลังตำหนิแคลอฮันที่ไม่ยอมเป็นฝ่ายแวะไปทักทายเขาก่อน

เขตแดนเชซายูถูกมอบให้แคลอฮันเป็นรางวัลไปแล้ว จึงกลายเป็นเขตแดนอิสระไม่ขึ้นตรงต่อตระกูลเซอเชาว์อีกต่อไป แต่มันก็ยังห้อมล้อมไปด้วยที่ดินของเซอเชาว์ไม่เปลี่ยนแปลง

“แน่นอนว่าจัดการดูแลร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮันที่ขยายสาขาไปทั่วทวีป แล้วยังต้องบริหารจัดการเขตแดนเชซายูอีก ก็คงจะเป็นงานที่ยุ่งมากเป็นแน่ ข้าเข้าใจ”

“…ขอบคุณครับ”

“ข้าที่งานน้อยกว่าก็ต้องเป็นฝ่ายมาพบเองถูกต้องแล้วสินะ หรือว่าไม่ใช่”

ริมฝีปากของชานตั้น เซอเชาว์โค้งลงคล้ายรอยยิ้ม แต่มันกลับยิ่งทำให้แคลอฮันรู้สึกอึดอัดใจยิ่งกว่าเดิม

เดิมทีเจ้าตระกูลเซอเชาว์ก็ให้บรรยากาศเช่นนั้นอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้แคลอฮันเครียดเหนือสิ่งใดคือ ความจริงที่คนคนนี้อยู่ฝ่ายจักรพรรดินีเนี่ยแหละ

ช่วงนี้จักรพรรดินีมักจะพาชานตั้น เซอเชาว์ไปแนะนำให้ผู้คนได้รู้จักในทุกๆ ที่

ราวกับจะทำให้มั่นใจว่า หากเป็นชนชั้นสูงในอาณาจักรแล้วละก็ จะต้องไม่มีใครไม่รู้ว่าเจ้าตระกูลเซอเชาว์เป็นพันธมิตรของจักรพรรดินี

ว่ากันตามตรง สำหรับแคลอฮันแล้ว ชานตั้น เซอเชาว์เป็นบุคคลที่เขาไม่อยากข้องเกี่ยวด้วยเลยแม้แต่น้อย

นั่นไงล่ะ

เจ้าตระกูลเซอเชาว์เอ่ยถามขึ้น

“ได้ยินว่าจะเปิดท่าเรือขึ้นที่เชซายู จริงหรือครับ”

ชั่วขณะ แคลอฮันต้องอดกลั้นแรงกระตุ้นที่อยากจะตอบออกไปว่า ‘ไม่ใช่’ เอาไว้

ท่าเรือเชซายูเป็นสิ่งที่มีค่ามาก

และสัญชาตญาณของแคลอฮันก็กำลังบอกเขาว่า ชานตั้น เซอเชาว์เป็นคนที่อาจจะเป็นอันตรายต่อท่าเรือของเขา

“ใช่ครับ”

แคลอฮันลากหางเสียงเล็กน้อยเมื่อต้องตอบออกไปตามตรงอย่างไม่อาจเลี่ยงได้

“ถ้าอย่างนั้นท่าเรือเชซายูก็คงจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นในการขนส่งสินค้าล่องไปตามแม่น้ำทั่วอาณาจักรสินะ”

ดูเหมือนเจ้าตระกูลเซอเชาว์จะประเมินทุกสิ่งเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว

“…ถูกต้องครับ” แคลอฮันตอบกลับช้าไปหนึ่งจังหวะ

ทันใดนั้นเอง ชานตั้น เซอเชาว์ก็กระตุกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นพลางเอ่ยว่า

“แล้วทำไมข้าถึงได้เพิ่งรู้ความจริงเรื่องที่ว่านั่นกันล่ะครับ”

“นั่นมันหมายความว่ายังไง…”

“หากจะขนส่งสินค้าไปจนถึงท่าเรือเชซายู จะต้องผ่านที่ดินของเซอเชาว์ก่อนไม่ใช่หรือครับ”

ตุบ!เสียงหัวใจร่วงหล่นดังขึ้นในใจ พร้อมกับการเคลื่อนไหวของแคลอฮันที่หยุดชะงักไปทันที

ท่าเรือเซชายูถูกล้อมกรอบไปด้วยที่ดินของเซอเชาว์

พูดอีกแง่ก็คือ สินค้าทั้งหลายจะถูกขนส่งเข้าไปจนถึงเชซายูได้หรือไม่นั้น ต่างก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าตระกูลเซอเชาว์ทั้งสิ้นเป็นการข่มขู่ที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก

นัยน์ตาสีเขียวเริ่มส่องประกายเป็นศัตรูขึ้นมาอย่างช้าๆ แคลอฮันมองสบตาชานตั้น เซอเชาว์ ขณะที่เอ่ยถามขึ้น

“ข้าควรจะตอบรับคำพูดนั่นในความหมายใดครับ”

“ความหมายไหนดีล่ะครับ” ชานตั้น เซอเชาว์เองก็มองแคลอฮันที่มีสีหน้าบึ้งตึงไม่พูดไม่จาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ

“เห็นว่าได้รับเงินทุนจากร้านค้าเพลเลส ลงทุนลงแรงกันไปมากทีเดียว”

เสียงแห้งผากฟังดูไร้อารมณ์ แต่ก็ดูเอื่อยเฉื่อยไม่ได้กระตือรือร้นเหมือนคนกำลังกระหายอยากครอบครอง

ชานตั้น เซอเชาว์วางข้อศอกไว้บนหน้าตัก มือยกขึ้นเท้าคาง เอนกายโน้มไปด้านหน้าเล็กน้อย

เงาดำดั่งมัจจุราชที่พร้อมจะปลิดชีวิตผู้คนเองก็เคลื่อนไหวไปพร้อมกับเขาทุกจังหวะ

“แค่คำพูดของข้าเพียงคำเดียว ทุกอย่างนี่จะสลายไปเป็นฟองอากาศ”

ความเงียบพลันกลืนกินไปทั่วห้องทำงานของแคลอฮัน

เหนือความตึงเครียดที่แผ่กระจายไปทั่วห้อง ชานตั้น เซอเชาว์ลอบปล่อยแรงกดดันของตัวเองออกไปเล็กน้อยใช้แรงกดดันที่เคยปกครองกองกำลังอัศวินมานับร้อยกดข่มแคลอฮันซึ่งเป็นแค่คนธรรมดาเบเจอร์ผู้เป็นพี่ชายของแคลอฮันเองก็ไม่อาจจะทำได้แม้แต่หายใจ เมื่อตกอยู่ภายใต้สถานการณ์เดียวกันนี้ ตกใจจนสะอึกไม่หยุดมาแล้ว

พอนึกถึงเรื่องในตอนนั้นขึ้นมา ความปีติยินดีก็พาดผ่านขึ้นในนัยน์ตาของชานตั้น เซอเชาว์

แต่ทว่า

“ต้องการอะไรครับ” แคลอฮัน ลอมบาร์เดียเอ่ยถามโดยไม่คิดเก็บซ่อนสายตาไม่เป็นมิตร

“…เหอะ” คนที่เป็นฝ่ายตกใจกลับกลายเป็นชานตั้น เซอเชาว์

เขาเก็บแรงกดดันกลับคืนมา แล้วจ้องหน้าแคลอฮันดูจากสีหน้าแล้วก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้รับผลกระทบจากแรงกดดันของเขาเสียหน่อยความไม่เป็นมิตรในนัยน์ตาสีเขียวสว่างคู่นั้นไม่ได้จางหายไปเลยแม้แต่น้อย

“แน่ใจได้ยังไงว่าข้ามีสิ่งที่ต้องการ”

“หากไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น ย่อมไม่จำเป็นต้องดั้นด้นมาพยายามข่มขู่ข้าด้วยตัวเองแบบนี้ หลังจากท่าเรือเปิดให้บริการ ก็แค่จัดการปิดประตูเมืองเซอเชาว์ไม่ให้สินค้าขนส่งเข้ามาได้ก็เรียบร้อยแล้วครับ ทำเช่นนั้นเชซายูย่อมเสียหายหนักอยู่แล้ว”

แคลอฮันกล่าวเสียงเรียบ

“ดังนั้นเลิกอ้อมค้อมเถอะครับ พูดมาตามตรงว่าต้องการอะไรกันแน่”

“…ดูเหมือนข่าวลือจะไม่ตรงกับความเป็นจริงเลยสินะเนี่ย”

คำว่า ‘ข่าวลือ’ ทำให้แคลอฮันขมวดคิ้วแน่นจนหน้าผากย่นลงเล็กน้อย

“ข้าไม่ทราบหรอกครับว่า ‘ข่าวลือ’ ที่ว่านั่นมันเรื่องอะไร แต่รีบๆ พูดธุระมาเถอะครับ ข้ายังมีที่ที่ต้องไปต่ออีก”

“อา วันนี้เป็นวันเกิดท่านเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียใช่มั้ยนะ ทุกปีไม่มีการจัดงานเลี้ยง ไม่รับของขวัญ เพียงแค่รวมตัวคนในครอบครัวกับผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหลายมาร่วมฉลองกันอย่างเรียบง่าย ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องรีบหน่อยสินะ”

ชานตั้น เซอเชาว์พยักหน้าลง ก่อนจะเงยหน้าสบตาแคลอฮันแล้วเอ่ยขึ้นว่า

“อภิสิทธิ์ให้เรือของเซอเชาว์สามารถเดินทางเข้าไปยังท่าเรือของเชซายูได้ทุกเมื่อเป็นเช่นไร”

แคลอฮันตกใจเล็กน้อยเขานึกว่าอีกฝ่ายจะต้องขอเก็บค่าผ่านเขตแดนของเซอเชาว์อย่างแน่นอนแท้ๆ

เหตุผลที่เรียกร้องขออภิสิทธิ์แบบนั้น มีเพียงแค่ข้อเดียว

“เซอเชาว์คิดที่จะสร้างเรือขึ้นมาเองหรือครับ”

“หากได้ใช้งานบ่อยครั้งมากพอ เซอเชาว์ของพวกเราเองก็ไม่ใช่ว่าจะสร้างมันไม่ได้นี่ครับ”

สินค้าใดกันที่เซอเชาว์ต้องลงทุนทำถึงขนาดนั้น เพื่อที่จะขนส่งไปให้ถึงเขตแดนตะวันออก

แคลอฮันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า

“…คงคิดที่จะนำธัญพืชจากเซอเชาว์ไปขายให้ทางตะวันออกสินะครับ ขายเองโดยตรงด้วย”

ชานตั้น เซอเชาว์ยักไหล่ไม่ยี่หระในคำพูดของแคลอฮันแล้วเอ่ยตอบ

“สินค้าธัญพืชของเซอเชาว์ถูกขายในราคาต่ำที่สุดในอาณาจักรแล้ว ท่านชายลอมบาร์เดียทราบหรือเปล่าครับ”

“ข้าทราบว่าเป็นเพราะปริมาณผลผลิตมีจำนวนมากเกินไปดังนั้นราคาก็เลยตกต่ำไปด้วยครับ”

“ใช่แล้วละครับ และข้าก็ไม่อาจทนมองผลผลิตที่ชาวนาของเซอเชาว์แลกมาด้วยเลือดเนื้อและหยาดเหงื่อ ต้องถูกขายไปในราคาถูกจนแทบไร้ค่าเช่นนั้นอีกต่อไปแล้วครับ” เสียงของชานตั้น เซอเชาว์ เย็นยะเยือก

แคลอฮันจึงเอ่ยถามขึ้นทันที

“เพราะอย่างนั้นถึงได้ร่วมมือกับอังเกนัสจากตะวันตกหรือครับ เพื่อที่จะได้บุกตะวันออกที่มักจะขาดแคลนเสบียงอาหารได้ง่ายๆ”

เจ้าตระกูลเซอเชาว์แสยะยิ้มตอบกลับไป

“ไม่ขอปฏิเสธครับ ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา พลเมืองของเขตแดนตะวันตกเริ่มคุ้นเคยกับธัญพืชที่ทางเซอเชาว์ของพวกเราขายให้ในราคาย่อมเยากว่าที่อื่นกันแล้ว”

“และก็เลยคิดที่จะใช้เส้นทางการค้าที่เริ่มจากเชซายู เดินทางเข้าไปยังตะวันออกต่อสินะครับ”

“เป็นเพราะเจ้าช่วยเปิดตลาดใหม่อย่างตะวันออกให้ยังไงล่ะ ท่านชายแคลอฮัน ลอมบาร์เดีย”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+