เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 66.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 66.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“จะ…เจ้า นังเลือดผสม!”

“หุบปากซะ เบเลซัก”

เธอขวางไม่ให้เด็กนี่ร่ายบทพูดน่าเบื่อซ้ำซากออกมาอีก

“ตอนนี้ข้าไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะมานั่งฟังเจ้าพูดกระแนะกระแหนโน่นนี่ว่า ‘เลือดผสม’ หรอกนะ? รีบไสหัวไปซะในตอนที่คนเขายังพูดดีๆ ด้วยน่ะ”

ตอนนี้ที่เธอฟิวส์ขาดได้ง่ายเพราะเรื่องของท่านพ่อ เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ถ้าเด็กอย่างเบเลซักมาวนเวียนรอบตัว เธอจะเผลอลงมือทำอะไรกับเขาบ้าง

ที่เธอพูดออกไปนี่ก็เป็นคำแนะนำเพื่อความปลอดภัยของตัวเบเลซักเองทั้งนั้นนะ

แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าเบเลซักจะเข้าใจไปในทางไหนอีก

หมอนั่นกัดฟันกรอด พ่นลมหายใจเสียงฮึดฮัดจนจมูกบาน

“เจ้ามันไร้ค่า!”

“คิดให้ดีนะ”

ฟีเรนเทียเดาะลิ้นเสียงดังจิ๊จ๊ะ

แล้วเอ่ยถามอาสทัลลีอู

“เจ้าทำไมถึงได้เอาแต่ติดตามเด็กแบบนั้นกันแน่เนี่ย”

อาสทัลลีอูเบิกตากว้าง ก่อนจะเหลือบมองเบเลซัก

“แถมยังพาน้องชายตัวเล็กมาด้วยอีก”

น้องชายของอาสทัลลีอู เครนีย์เป็นเด็กที่ตัวเล็กมากเกินกว่าเด็กวัยเดียวกันจนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะอายุเจ็ดขวบจริงๆ

ภายภาคหน้าเขาจะกลายเป็นเด็กที่เรียนเก่งมาก เป็นเด็กที่ไม่เน่าเฟะเพียงคนเดียวในบรรดาลูกพี่ลูกน้องของเธอ และยังเป็นคนที่เธอรู้สึกแย่ด้วยน้อยที่สุด

เรือนผมสีแดงที่ได้รับสืบทอดจากสายเลือดทางฝั่งมารดาอย่างตระกูลกิเนฟอร์คและใบหน้าเต็มไปด้วยกระนั่น ทำให้เขายิ่งดูเด็กมากยิ่งขึ้น

“เบเลซักน่ะเป็นเชือกที่ขาดแล้ว เพราะฉะนั้นไปหาเชือกอื่นเถอะ”

ฟีเรนเทียเตือนจากใจ

เธอไม่คาดหวังหรอกว่าอาสทัลลีอูจะจดจำคำแนะนำของเธอแต่ถ้าหากในภายภาคหน้าเด็กนี่จำช่วงเวลานี้ได้ เขาคงจะกระทืบเท้าด้วยความเสียใจ พร่ำบอกว่า ‘ตอนนั้นน่าจะฟังคำเตือนนั่นไว้แท้ๆ!’

“ไม่ได้การ พวกเราไปกันเถอะ เฟเรส”

เธอไม่อยากมองหน้าพวกโง่นี่อีกต่อไป หลังจากที่พูดแบบนั้นจึงตั้งใจจะพาเฟเรสออกไปจากสวน

“เฮ้เลือดผสม! ดูเหมือนจะภูมิใจมากเลยนะที่ไอ้เจ้าชายลำดับที่สองนี่มันมาหาเจ้าน่ะ!”

เธอหยุดชะงักฝีเท้า หันหลังกลับไปหาเบเลซัก

คงกลัวคนอื่นเขาไม่รู้มั้งว่าเป็นแฝดวิญญาณของอาสทาน่าน่ะ ถึงกลับต้องห้อยดาบไว้ที่เอว โอ้อวดว่าตัวเองเรียนวิชาฟันดาบ เหมือนกันจนน่าขัน

หากเป็นปกติเธออาจจะเมินเฉย แล้วยอมปล่อยผ่านไปเฉยๆ ก็ได้ แต่วันนี้เธอกำลังอารมณ์เสีย ทำให้เส้นความอดทนมันขาดผึงอย่างรวดเร็ว

เธอชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนาง

“เรื่องแรก ข้าบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าเรียกข้าว่าเลือดผสมน่ะ เรื่องที่สอง ไอ้เจ้าชายลำดับที่สองงั้นเหรอ จะทำตัวโง่เง่าไปถึงเมื่อไหร่กัน และเรื่องที่สาม ทำไมข้าจะต้องมานั่งอวดคนโง่อย่างเจ้าด้วยล่ะ วุ่นวายจนน่ารำคาญเหมือนพวกแมลงหวี่แมลงวัน ไม่รู้ตัวบ้างเลยหรือไงเจ้าน่ะ”

ทิ้งท้ายไว้แค่นิ้วกลางเพียงนิ้วเดียวที่ยังคงชูตระหง่าน

“วะ…ว่ายังไงนะ”

เบเลซักพูดตะกุกตะกัก พยายามทำความเข้าใจคำพูดของเธออยู่พักใหญ่ แต่ก็ล้มเหลวหาคำพูดดีๆ เถียงเธอไม่ออก จนใบหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย

และคราวนี้ก็เปลี่ยนเป้าหมาย

“หึ พวกเลือดผสมสองคนก็เหมาะกันดีนะ”

“เจ้าว่ายังไงนะ”

ได้ยินเสียงเส้นอะไรบางอย่างขาดผึงดังขึ้นในหัวสมอง

“พวกเลือดผสม?”

แค่พูดจาเสียดสีว่าเธอเป็นเลือดผสมยังไม่พอ นี่ยังถึงขนาดยุ่งกับเฟเรสที่อยู่เฉยๆ อีก

เธอหยิบสิ่งแรกที่มองเห็นบนพื้นขึ้นมาถือไว้ตามสัญชาตญาณ

“เจ้ามันตัวอะไร กล้าดียังไงมาด่าเขา”

มันเป็นหินก้อนค่อนข้างใหญ่

ฟีเรนเทียเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าของแบบนี้ทำไมมาอยู่บนผืนหญ้าที่ถูกดูแลตัดแต่งอย่างดีได้ แต่ความรู้สึกของก้อนหินในกำมือนี่มันช่างเหมาะเหม็งดีจริงๆ

“จะ…เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง!?”

ใบหน้าของเบเลซักยามมองก้อนหินที่เธอถือไว้ในมือเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

ชิ้ง

ในที่สุดเบเลซักก็ก้าวถอยไปข้างหลังในขณะที่ชักดาบออกมา

แต่เธอไม่แม้แต่จะกะพริบตา

“เจ้ามีดีอะไร ถึงได้เรียกคนอื่นเขาว่าเลือดผสมน่ะ! งั้นคนอย่างเจ้าที่ต่ำชั้นเสียกว่าเลือดผสมจะให้เรียกว่าอะไร เศษสวะหรือไง!”

“ว่าไงนะ”

“ไอ้เบเลซัก!”

“เฮ้ อาสทัลลีอู! เจ้าก็ด้วย ชักดาบออกมา!”

พอเห็นว่าถ้าต้องสู้คนเดียวคงจะเสียเปรียบ เบเลซักจึงตะโกนเรียกอาสทัลลีอูที่ยืนอยู่ด้านข้าง

“อะ…อื้อ…”

อาสทัลลีอูชักดาบออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เครนีย์ที่มองภาพนั้นเองก็เอื้อมมือไปแตะดาบไม้ที่ตนพกมาเช่นกัน

“หยุด”

เธอใช้ปลายนิ้วชี้ไปยังเครนีย์พลางเอ่ยพูด

“เจ้าอยู่เฉยๆ ถ้าไม่อยากโดนเล่นจนอ่วม”

“…ฮึก”

ท่าทางภาพเธอยามถือก้อนหินก้อนใหญ่ไว้ในมือจะน่ากลัวน่าดูในที่สุดเครนีย์ก็ระเบิดร้องไห้โฮออกมาเสียงดัง

ความตึงเครียดเริ่มแผ่กระจายไปทั่วบรรยากาศรอบตัวของเธอ เบเลซัก และอาสทัลลีอู

พวกผู้ชายเอาแต่มองก้อนหินในมือของเธอด้วยความระแวดระวัง ราวกับกลัวว่ามันจะบินพุ่งออกไปได้ทุกเมื่อ

“ง่ายจะตาย”

เธอกระตุกยิ้มมุมปาก ยิ้มเยาะพวกโง่เขลา

และเอ่ยพูด

“ฟันทิ้งให้หมดเลย เฟเรส”

ชั่วพริบตา สายลมก็พลันโหมพัดกระหน่ำขึ้นมา ก่อนที่เฟเรสจะพุ่งตัวออกมาจากด้านหลังของเธอ

ออร่าสีน้ำเงินส่องประกายวาบขึ้นมาเพียงครู่เดียวเท่านั้น

ตุบ ตุบ

เหมือนอย่างที่อาสทาน่าโดน ดาบทั้งสองเล่มถูกฟันขาดหล่นลงข้างต้นไม้ในสวนในพริบตาพร้อมกับเสียงโลหะดังเคร้ง

เฟเรสเก็บดาบเข้าฝักอย่างเรียบร้อยราวกับไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เขามองพวกนั้นด้วยนัยน์ตาเรียบเฉยเหมือนทุกวัน

“ขะ…ข่าวลือเป็นเรื่องจริง…”

“ออร่า…”

ใบหน้าของเบเลซักกับอาสทัลลีอูไม่ต่างอะไรจากคนที่วิญญาณหลุดออกจากร่าง

“คนแบบนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องข้าเนี่ยนะ…”

เสียชื่อลอมบาร์เดียจริงๆ

เธอเหลือบมองสภาพน่าสมเพช ก่อนจะดึงมือของเฟเรสมาจับไว้

“ไปกันเถอะเฟเรส อยู่ต่อเดี๋ยวได้ติดเชื้อโง่กันพอดี”

“…อื้อ”

เฟเรสที่ตอนนี้ร่างกายสูงใหญ่กว่าเธอแล้ว เดินตามเธอมาอย่างว่าง่ายเหมือนลูกสุนัขตัวโต

ฟีเรนเทียไม่ได้รู้เลยว่าใบหน้าของเด็กนี่ยามก้มลงมองดูมือของตัวเองที่ถูกเธอจับไว้ มันแดงก่ำมากขนาดไหน

ไม่ได้รู้กระทั่งว่าสามคนที่ถูกพวกเธอทิ้งไว้จนเริ่มห่างออกมาเรื่อยๆ กำลังมองพวกเธอด้วยใบหน้าโง่งมแค่ไหน

“เท่จัง…”

หูของเธอได้ยินเพียงแค่เสียงแผ่วเบาราวกับฝันไปของเครนีย์เท่านั้น

รถม้าแปลกหน้าคันหนึ่งขับเคลื่อนเข้ามายังคฤหาสน์ลอมบาร์เดีย

ราวกับวิ่งมาเป็นระยะทางไกลมาก ทั้งม้า ทั้งสารถี ต่างก็ดูเหนื่อยล้ากันเป็นอย่างยิ่ง

รถม้าไม่ได้จอดหน้าประตูใหญ่ของคฤหาสน์ลอมบาร์เดีย มันมุ่งหน้าตรงไปยังปีกคฤหาสน์รอง ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นสถานที่ปลายทางของการนัดหมาย

รถม้าหยุดจอดลงตรงหน้าคฤหาสน์หลังเล็ก ก่อนที่ประตูจะถูกเปิดออก

หญิงสาวที่ก้าวลงมาเป็นผู้หญิงที่มีนัยน์ตานิ่งสงบเหมือนคนใจเย็น และให้ความรู้สึกอ่อนโยน

“ฮู่ว…”

หญิงสาวถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้าเช่นเดียวกัน นางยกกระเป๋าสัมภาระที่ดูแลอย่างดีมาตลอดทางลงจากรถม้าด้วยตัวเอง

ในตอนนั้นเองประตูคฤหาสน์หลังเล็กก็ถูกเปิดออก

เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากข้างใน ด้านหลังมีชายหญิงคู่หนึ่งที่ดูหน้าตาคล้ายคลึงกันแปลกๆ เดินตามหลังเด็กคนนั้นออกมาด้วย

ตึก ตึก ตึก

เสียงส้นรองเท้าหนังอย่างดีดังขึ้น เด็กผู้หญิงคนนั้นเดินเข้าไปใกล้ เธอมองหญิงสาวก่อนจะยิ้มต้อนรับอย่างสดใส

“อุตส่าห์เดินทางมาถึงที่นี่ ลำบากหน่อยนะ เอสทีร่า”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 66.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 66.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“จะ…เจ้า นังเลือดผสม!”

“หุบปากซะ เบเลซัก”

เธอขวางไม่ให้เด็กนี่ร่ายบทพูดน่าเบื่อซ้ำซากออกมาอีก

“ตอนนี้ข้าไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะมานั่งฟังเจ้าพูดกระแนะกระแหนโน่นนี่ว่า ‘เลือดผสม’ หรอกนะ? รีบไสหัวไปซะในตอนที่คนเขายังพูดดีๆ ด้วยน่ะ”

ตอนนี้ที่เธอฟิวส์ขาดได้ง่ายเพราะเรื่องของท่านพ่อ เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ถ้าเด็กอย่างเบเลซักมาวนเวียนรอบตัว เธอจะเผลอลงมือทำอะไรกับเขาบ้าง

ที่เธอพูดออกไปนี่ก็เป็นคำแนะนำเพื่อความปลอดภัยของตัวเบเลซักเองทั้งนั้นนะ

แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าเบเลซักจะเข้าใจไปในทางไหนอีก

หมอนั่นกัดฟันกรอด พ่นลมหายใจเสียงฮึดฮัดจนจมูกบาน

“เจ้ามันไร้ค่า!”

“คิดให้ดีนะ”

ฟีเรนเทียเดาะลิ้นเสียงดังจิ๊จ๊ะ

แล้วเอ่ยถามอาสทัลลีอู

“เจ้าทำไมถึงได้เอาแต่ติดตามเด็กแบบนั้นกันแน่เนี่ย”

อาสทัลลีอูเบิกตากว้าง ก่อนจะเหลือบมองเบเลซัก

“แถมยังพาน้องชายตัวเล็กมาด้วยอีก”

น้องชายของอาสทัลลีอู เครนีย์เป็นเด็กที่ตัวเล็กมากเกินกว่าเด็กวัยเดียวกันจนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะอายุเจ็ดขวบจริงๆ

ภายภาคหน้าเขาจะกลายเป็นเด็กที่เรียนเก่งมาก เป็นเด็กที่ไม่เน่าเฟะเพียงคนเดียวในบรรดาลูกพี่ลูกน้องของเธอ และยังเป็นคนที่เธอรู้สึกแย่ด้วยน้อยที่สุด

เรือนผมสีแดงที่ได้รับสืบทอดจากสายเลือดทางฝั่งมารดาอย่างตระกูลกิเนฟอร์คและใบหน้าเต็มไปด้วยกระนั่น ทำให้เขายิ่งดูเด็กมากยิ่งขึ้น

“เบเลซักน่ะเป็นเชือกที่ขาดแล้ว เพราะฉะนั้นไปหาเชือกอื่นเถอะ”

ฟีเรนเทียเตือนจากใจ

เธอไม่คาดหวังหรอกว่าอาสทัลลีอูจะจดจำคำแนะนำของเธอแต่ถ้าหากในภายภาคหน้าเด็กนี่จำช่วงเวลานี้ได้ เขาคงจะกระทืบเท้าด้วยความเสียใจ พร่ำบอกว่า ‘ตอนนั้นน่าจะฟังคำเตือนนั่นไว้แท้ๆ!’

“ไม่ได้การ พวกเราไปกันเถอะ เฟเรส”

เธอไม่อยากมองหน้าพวกโง่นี่อีกต่อไป หลังจากที่พูดแบบนั้นจึงตั้งใจจะพาเฟเรสออกไปจากสวน

“เฮ้เลือดผสม! ดูเหมือนจะภูมิใจมากเลยนะที่ไอ้เจ้าชายลำดับที่สองนี่มันมาหาเจ้าน่ะ!”

เธอหยุดชะงักฝีเท้า หันหลังกลับไปหาเบเลซัก

คงกลัวคนอื่นเขาไม่รู้มั้งว่าเป็นแฝดวิญญาณของอาสทาน่าน่ะ ถึงกลับต้องห้อยดาบไว้ที่เอว โอ้อวดว่าตัวเองเรียนวิชาฟันดาบ เหมือนกันจนน่าขัน

หากเป็นปกติเธออาจจะเมินเฉย แล้วยอมปล่อยผ่านไปเฉยๆ ก็ได้ แต่วันนี้เธอกำลังอารมณ์เสีย ทำให้เส้นความอดทนมันขาดผึงอย่างรวดเร็ว

เธอชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนาง

“เรื่องแรก ข้าบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าเรียกข้าว่าเลือดผสมน่ะ เรื่องที่สอง ไอ้เจ้าชายลำดับที่สองงั้นเหรอ จะทำตัวโง่เง่าไปถึงเมื่อไหร่กัน และเรื่องที่สาม ทำไมข้าจะต้องมานั่งอวดคนโง่อย่างเจ้าด้วยล่ะ วุ่นวายจนน่ารำคาญเหมือนพวกแมลงหวี่แมลงวัน ไม่รู้ตัวบ้างเลยหรือไงเจ้าน่ะ”

ทิ้งท้ายไว้แค่นิ้วกลางเพียงนิ้วเดียวที่ยังคงชูตระหง่าน

“วะ…ว่ายังไงนะ”

เบเลซักพูดตะกุกตะกัก พยายามทำความเข้าใจคำพูดของเธออยู่พักใหญ่ แต่ก็ล้มเหลวหาคำพูดดีๆ เถียงเธอไม่ออก จนใบหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย

และคราวนี้ก็เปลี่ยนเป้าหมาย

“หึ พวกเลือดผสมสองคนก็เหมาะกันดีนะ”

“เจ้าว่ายังไงนะ”

ได้ยินเสียงเส้นอะไรบางอย่างขาดผึงดังขึ้นในหัวสมอง

“พวกเลือดผสม?”

แค่พูดจาเสียดสีว่าเธอเป็นเลือดผสมยังไม่พอ นี่ยังถึงขนาดยุ่งกับเฟเรสที่อยู่เฉยๆ อีก

เธอหยิบสิ่งแรกที่มองเห็นบนพื้นขึ้นมาถือไว้ตามสัญชาตญาณ

“เจ้ามันตัวอะไร กล้าดียังไงมาด่าเขา”

มันเป็นหินก้อนค่อนข้างใหญ่

ฟีเรนเทียเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าของแบบนี้ทำไมมาอยู่บนผืนหญ้าที่ถูกดูแลตัดแต่งอย่างดีได้ แต่ความรู้สึกของก้อนหินในกำมือนี่มันช่างเหมาะเหม็งดีจริงๆ

“จะ…เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง!?”

ใบหน้าของเบเลซักยามมองก้อนหินที่เธอถือไว้ในมือเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

ชิ้ง

ในที่สุดเบเลซักก็ก้าวถอยไปข้างหลังในขณะที่ชักดาบออกมา

แต่เธอไม่แม้แต่จะกะพริบตา

“เจ้ามีดีอะไร ถึงได้เรียกคนอื่นเขาว่าเลือดผสมน่ะ! งั้นคนอย่างเจ้าที่ต่ำชั้นเสียกว่าเลือดผสมจะให้เรียกว่าอะไร เศษสวะหรือไง!”

“ว่าไงนะ”

“ไอ้เบเลซัก!”

“เฮ้ อาสทัลลีอู! เจ้าก็ด้วย ชักดาบออกมา!”

พอเห็นว่าถ้าต้องสู้คนเดียวคงจะเสียเปรียบ เบเลซักจึงตะโกนเรียกอาสทัลลีอูที่ยืนอยู่ด้านข้าง

“อะ…อื้อ…”

อาสทัลลีอูชักดาบออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เครนีย์ที่มองภาพนั้นเองก็เอื้อมมือไปแตะดาบไม้ที่ตนพกมาเช่นกัน

“หยุด”

เธอใช้ปลายนิ้วชี้ไปยังเครนีย์พลางเอ่ยพูด

“เจ้าอยู่เฉยๆ ถ้าไม่อยากโดนเล่นจนอ่วม”

“…ฮึก”

ท่าทางภาพเธอยามถือก้อนหินก้อนใหญ่ไว้ในมือจะน่ากลัวน่าดูในที่สุดเครนีย์ก็ระเบิดร้องไห้โฮออกมาเสียงดัง

ความตึงเครียดเริ่มแผ่กระจายไปทั่วบรรยากาศรอบตัวของเธอ เบเลซัก และอาสทัลลีอู

พวกผู้ชายเอาแต่มองก้อนหินในมือของเธอด้วยความระแวดระวัง ราวกับกลัวว่ามันจะบินพุ่งออกไปได้ทุกเมื่อ

“ง่ายจะตาย”

เธอกระตุกยิ้มมุมปาก ยิ้มเยาะพวกโง่เขลา

และเอ่ยพูด

“ฟันทิ้งให้หมดเลย เฟเรส”

ชั่วพริบตา สายลมก็พลันโหมพัดกระหน่ำขึ้นมา ก่อนที่เฟเรสจะพุ่งตัวออกมาจากด้านหลังของเธอ

ออร่าสีน้ำเงินส่องประกายวาบขึ้นมาเพียงครู่เดียวเท่านั้น

ตุบ ตุบ

เหมือนอย่างที่อาสทาน่าโดน ดาบทั้งสองเล่มถูกฟันขาดหล่นลงข้างต้นไม้ในสวนในพริบตาพร้อมกับเสียงโลหะดังเคร้ง

เฟเรสเก็บดาบเข้าฝักอย่างเรียบร้อยราวกับไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เขามองพวกนั้นด้วยนัยน์ตาเรียบเฉยเหมือนทุกวัน

“ขะ…ข่าวลือเป็นเรื่องจริง…”

“ออร่า…”

ใบหน้าของเบเลซักกับอาสทัลลีอูไม่ต่างอะไรจากคนที่วิญญาณหลุดออกจากร่าง

“คนแบบนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องข้าเนี่ยนะ…”

เสียชื่อลอมบาร์เดียจริงๆ

เธอเหลือบมองสภาพน่าสมเพช ก่อนจะดึงมือของเฟเรสมาจับไว้

“ไปกันเถอะเฟเรส อยู่ต่อเดี๋ยวได้ติดเชื้อโง่กันพอดี”

“…อื้อ”

เฟเรสที่ตอนนี้ร่างกายสูงใหญ่กว่าเธอแล้ว เดินตามเธอมาอย่างว่าง่ายเหมือนลูกสุนัขตัวโต

ฟีเรนเทียไม่ได้รู้เลยว่าใบหน้าของเด็กนี่ยามก้มลงมองดูมือของตัวเองที่ถูกเธอจับไว้ มันแดงก่ำมากขนาดไหน

ไม่ได้รู้กระทั่งว่าสามคนที่ถูกพวกเธอทิ้งไว้จนเริ่มห่างออกมาเรื่อยๆ กำลังมองพวกเธอด้วยใบหน้าโง่งมแค่ไหน

“เท่จัง…”

หูของเธอได้ยินเพียงแค่เสียงแผ่วเบาราวกับฝันไปของเครนีย์เท่านั้น

รถม้าแปลกหน้าคันหนึ่งขับเคลื่อนเข้ามายังคฤหาสน์ลอมบาร์เดีย

ราวกับวิ่งมาเป็นระยะทางไกลมาก ทั้งม้า ทั้งสารถี ต่างก็ดูเหนื่อยล้ากันเป็นอย่างยิ่ง

รถม้าไม่ได้จอดหน้าประตูใหญ่ของคฤหาสน์ลอมบาร์เดีย มันมุ่งหน้าตรงไปยังปีกคฤหาสน์รอง ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นสถานที่ปลายทางของการนัดหมาย

รถม้าหยุดจอดลงตรงหน้าคฤหาสน์หลังเล็ก ก่อนที่ประตูจะถูกเปิดออก

หญิงสาวที่ก้าวลงมาเป็นผู้หญิงที่มีนัยน์ตานิ่งสงบเหมือนคนใจเย็น และให้ความรู้สึกอ่อนโยน

“ฮู่ว…”

หญิงสาวถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้าเช่นเดียวกัน นางยกกระเป๋าสัมภาระที่ดูแลอย่างดีมาตลอดทางลงจากรถม้าด้วยตัวเอง

ในตอนนั้นเองประตูคฤหาสน์หลังเล็กก็ถูกเปิดออก

เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากข้างใน ด้านหลังมีชายหญิงคู่หนึ่งที่ดูหน้าตาคล้ายคลึงกันแปลกๆ เดินตามหลังเด็กคนนั้นออกมาด้วย

ตึก ตึก ตึก

เสียงส้นรองเท้าหนังอย่างดีดังขึ้น เด็กผู้หญิงคนนั้นเดินเข้าไปใกล้ เธอมองหญิงสาวก่อนจะยิ้มต้อนรับอย่างสดใส

“อุตส่าห์เดินทางมาถึงที่นี่ ลำบากหน่อยนะ เอสทีร่า”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+