เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 203.1

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 203.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เล่ม 5 บทที่ 203.1

ตอนที่ 203

“ฝ่าบาท เจ้าชายลำดับที่หนึ่งกำลัง…”

“ปล่อยไปเถอะ”

โยบาเนสเอ่ยพลางจ้องตามหลังอาสทาน่าไปด้วยความไม่พอใจ

“ก็คงแค่ไปด้อมๆ มองๆ อยู่แถวชายป่านั่นแหละ อ่อนปวกเปียกจริงๆ”

ไม่ถูกใจเขาเอาเสียเลย

มีจุดด่างพร้อยมากเกินไป

ในตอนนั้นเอง สายตาของจักรพรรดิโยบาเนสก็พลันสังเกตเห็นเฟเรสเข้าพอดี

โอรสอีกคนที่เพียงแค่หันมาโค้งศีรษะทักทายเขาที่นั่งอยู่เหนือแท่นประทับ แล้วหมุนตัวเดินกลับไปยังบ้านพักตากอากาศ

“คงไม่คิดที่จะแต่งตั้งเจ้าชายลำดับที่สองขึ้นเป็นรัชทายาทหรอกใช่มั้ยเพคะ

ประโยคที่จักรพรรดินีกล่าวไว้ตอนนั่งรถม้ามายังที่แห่งนี้ดังขึ้นในหัว

“เพราะอย่างไรสายเลือดมารดาชั้นต่ำนั่น ก็ไม่มีทางสืบบัลลังก์อาณาจักรแลมบลูแห่งนี้ได้อยู่แล้วไม่ใช่หรือเพคะ”

เขาเองก็เห็นด้วยกับประโยคที่ว่านั่นเหมือนกัน

แต่เจ้าชายลำดับที่สองกลับแสดงให้เห็นถึงภาพลักษณ์อันแสนโดดเด่นสมกับเป็นสายเลือดราชวงศ์ดิวเรลลี่ผู้ยิ่งใหญ่ มากกว่าเจ้าชายลำดับที่หนึ่งอยู่มาก

แบบนี้ก็น่าจะพอใช้ได้อยู่มิใช่หรือไง

อย่างไรก็ดีกว่าเจ้าชายลำดับที่หนึ่งที่เอาแต่แสดงท่าทางโอ้อวด เผยให้เห็นจุดด้อยมากมายของพวกอังเกนัสอยู่แล้ว

สายตาของจักรพรรดิโยบาเนสมองค้างอยู่ที่แผ่นหลังของเฟเรสอย่างอ้อยอิ่ง

แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่พระองค์ไม่อาจสังเกตเห็น

เรื่องที่คนที่คอยเดินตามหลังเฟเรสอยู่เสมอ ไม่ได้มีครบสามคนตลอดเวลาที่เด็กหนุ่มเดินจากไป

สติลลีย์และเทดโร่วที่เคยเดินตามหลังเฟเรสกำลังบ่นอะไรบางอย่าง แล้วหมุนตัวเดินหายกลับเข้าไปในป่าอีกครั้ง

* * *

วันที่สองของเทศกาลแข่งล่าสัตว์

อาสทาน่าหัวเราะพลางดื่มของเหลวที่เขาไม่รู้จักในกระบอกหนังลงคอจิบใหญ่

“เยี่ยม เยี่ยมมาก”

การล่าสัตว์เป็นไปได้อย่างราบรื่นง่ายดายเป็นอย่างยิ่ง

ไม่สิ ยิ่งกว่านั้นอีกด้วยซ้ำ

“สิบแปดตัวแล้วพ่ะย่ะค่ะ เจ้าชาย!”

เบเลซักตะโกนเสียงดังในขณะที่กำลังเฉือนแขนขวาของมอนสเตอร์

อาสทาน่าหอบหายใจแฮกๆ แต่ยังยืนยันเสียงดัง

“ไปกันเถอะ!ครั้งต่อไปต้องจับตัวใหญ่กว่านี้ให้ได้!”

“พักสักประเดี๋ยวแล้วค่อยไปดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ เจ้าชาย”

“ใช่พ่ะย่ะค่ะ นี่ก็แทบจะเดินต่อไม่ไหวแล้ว…”

บรรดาคนสนิทต่างก็เอ่ยพูดเสียงแหบด้วยความเหนื่อยล้า

กลุ่มที่เคยเริ่มต้นด้วยจำนวนสิบกว่าคน กลายเป็นลดลงเหลือแค่ห้าคนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่มีใครทันได้สังเกต

ทุกคนต่างก็บาดเจ็บเพราะพฤติกรรมดื้อรั้นของอาสทาน่า หรือไม่ก็เหนื่อยมากจนต้องขอยอมแพ้ แล้วยิงพลุสัญญาณขอความช่วยเหลือขึ้นฟ้า

“หนวกหู!”

อาสทาน่าตวาดเสียงดังลั่นด้วยความฉุนเฉียว

“อะ เจ้าชาย…”

เหล่าผู้ติดตามต่างก็สะดุ้งเฮือกกันอย่างพร้อมเพรียง

เพราะหวาดกลัวท่าทางของอาสทาน่าที่มือข้างหนึ่งถือดาบ ทั้งตัวเลอะท่วมไปด้วยเลือดสีเขียวของพวกมอนสเตอร์

ราวกับได้พบหน้าเจ้าชายลำดับที่สองเมื่อวานนี้เลย

สภาพตอนที่สติไม่ปกติเหมือนเป็นบ้าไปแล้วเพราะพลังเวทพวกนั้น

“เมื่อวานก่อนพระอาทิตย์ตกล่าได้ห้าตัว และหลังจากเริ่มล่าวันนี้ก็ได้มาสิบสามตัวแล้ว! กำลังไล่ล่าได้สวยขนาดนี้แท้ๆ ถ้าไม่กล้าตามมาก็ไสหัวไปให้หมด!”

คราวนี้ถึงกับแกว่งดาบในมือตวัดไปหน้าสหายเป็นการข่มขู่อีกด้วย

อาสทาน่าเป็นพวกมีนิสัยหยาบคายไม่เคยเห็นหัวใครอยู่แล้ว แต่ยังไงก็ไม่เคยทำถึงขนาดนี้

เพราะอย่าลืมความจริงที่ว่ากลุ่มคนที่ติดตามเขานั้นอย่างไรก็ยังเป็นชนชั้นสูงที่มีศักดิ์ศรีและเกียรติยศอันยิ่งใหญ่

ทว่าอาสทาน่าในตอนนี้กลับปฏิบัติกับพวกเขาราวกับเป็นแค่พวกแมลงหวี่แมลงวันที่บินสร้างความรำคาญอยู่รอบตัวอย่างไรอย่างนั้น

“เฉพาะคนที่กล้าพอจะติดตามข้าไปลำบากได้จงตามข้ามาเสีย และหากจะถอนตัวก็กลับไปเงียบๆ ถึงยังไงการโจมตีอันแสนอ่อนด้อยของพวกเจ้าก็ช่วยอะไรไม่ได้เท่าไหร่อยู่แล้ว อย่ามาทำให้ข้าหมดอารมณ์สนุก”

อาสทาน่ากระดกกระบอกหนังในมืออีกครั้งราวกับคุ้นชินเสียแล้ว

“ข้าต้องก้าวไปอีกระดับแล้วแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีเรี่ยวแรงเหลือเฟือขนาดนี้”

อาสทาน่าไม่อาจเก็บซ่อนความรู้สึกตื่นเต้นเอาไว้ได้เลย

ยาที่เบเลซักแอบลอบขโมยมาให้นี่มันช่วยขวางอาการบ้าคลั่งจากพลังเวทได้และประสิทธิภาพของมันก็ยอดเยี่ยมจริงๆ

เมื่อวานเขาถูกพลังแห่งป่ากดทับเสียจนเดินแค่ไม่กี่ก้าวก็เหนื่อยไปหมด หายใจก็แทบไม่ออก แต่วันนี้ไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นเลยสักครั้ง

ทุกย่างก้าวเบาสบาย ดาบก็ชักออกมากวัดแกว่งได้อย่างคล่องแคล่ว

ปะทะกับมอนสเตอร์ในป่าไปตั้งหลายครั้ง แต่ไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด

แถมยังดีใจด้วยซ้ำ

ถึงขนาดคิดว่าไหนๆ ก็เผชิญหน้ากับพวกมันแล้ว ก็จัดการให้จบสิ้นไปเสีย แล้วยิ่งถ้าเป้าหมายตัวต่อไปโผล่หัวออกมา กลับจะยิ่งดีด้วยซ้ำไป

“เบเลซัก เจ้าตามข้ามา”

อาสทาน่าหันไปพูดกับเบเลซัก

หลังจากที่แอบขโมยกระบอกน้ำนั่นมาให้ เบเลซักก็กลับมารับหน้าที่เป็นมือขวาของอาสทาน่าอีกครั้งเหมือนสมัยก่อน

“พ่ะย่ะค่ะ เจ้าชาย!”

เบเลซักย่อมต้องยินดีแน่นอนอยู่แล้ว

“คอยระวังตัวให้ดีว่าไอ้เสื้อเกราะแดงนั่นไม่ได้ไล่ตามพวกเรามา เข้าใจมั้ย”

เกราะสีแดง

หมายถึงชุดป้องกันสีแดงของเฟเรสนั่นเอง

“ระวังแค่ไอ้เวรนั่นก็พอ แค่ไอ้เวรนั่น…”

อาสทาน่าพึมพำซ้ำๆ อยู่อย่างนั้นทุกก้าวที่ย่างเดิน

ในป่าแห่งนี้ ตอนนี้ที่เขายังต้องระวังก็มีแค่เฟเรสที่สวมชุดป้องกันสีแดงเท่านั้น

แค่เจ้านั่นเท่านั้น

* * *

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 203.1

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 203.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เล่ม 5 บทที่ 203.1

ตอนที่ 203

“ฝ่าบาท เจ้าชายลำดับที่หนึ่งกำลัง…”

“ปล่อยไปเถอะ”

โยบาเนสเอ่ยพลางจ้องตามหลังอาสทาน่าไปด้วยความไม่พอใจ

“ก็คงแค่ไปด้อมๆ มองๆ อยู่แถวชายป่านั่นแหละ อ่อนปวกเปียกจริงๆ”

ไม่ถูกใจเขาเอาเสียเลย

มีจุดด่างพร้อยมากเกินไป

ในตอนนั้นเอง สายตาของจักรพรรดิโยบาเนสก็พลันสังเกตเห็นเฟเรสเข้าพอดี

โอรสอีกคนที่เพียงแค่หันมาโค้งศีรษะทักทายเขาที่นั่งอยู่เหนือแท่นประทับ แล้วหมุนตัวเดินกลับไปยังบ้านพักตากอากาศ

“คงไม่คิดที่จะแต่งตั้งเจ้าชายลำดับที่สองขึ้นเป็นรัชทายาทหรอกใช่มั้ยเพคะ

ประโยคที่จักรพรรดินีกล่าวไว้ตอนนั่งรถม้ามายังที่แห่งนี้ดังขึ้นในหัว

“เพราะอย่างไรสายเลือดมารดาชั้นต่ำนั่น ก็ไม่มีทางสืบบัลลังก์อาณาจักรแลมบลูแห่งนี้ได้อยู่แล้วไม่ใช่หรือเพคะ”

เขาเองก็เห็นด้วยกับประโยคที่ว่านั่นเหมือนกัน

แต่เจ้าชายลำดับที่สองกลับแสดงให้เห็นถึงภาพลักษณ์อันแสนโดดเด่นสมกับเป็นสายเลือดราชวงศ์ดิวเรลลี่ผู้ยิ่งใหญ่ มากกว่าเจ้าชายลำดับที่หนึ่งอยู่มาก

แบบนี้ก็น่าจะพอใช้ได้อยู่มิใช่หรือไง

อย่างไรก็ดีกว่าเจ้าชายลำดับที่หนึ่งที่เอาแต่แสดงท่าทางโอ้อวด เผยให้เห็นจุดด้อยมากมายของพวกอังเกนัสอยู่แล้ว

สายตาของจักรพรรดิโยบาเนสมองค้างอยู่ที่แผ่นหลังของเฟเรสอย่างอ้อยอิ่ง

แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่พระองค์ไม่อาจสังเกตเห็น

เรื่องที่คนที่คอยเดินตามหลังเฟเรสอยู่เสมอ ไม่ได้มีครบสามคนตลอดเวลาที่เด็กหนุ่มเดินจากไป

สติลลีย์และเทดโร่วที่เคยเดินตามหลังเฟเรสกำลังบ่นอะไรบางอย่าง แล้วหมุนตัวเดินหายกลับเข้าไปในป่าอีกครั้ง

* * *

วันที่สองของเทศกาลแข่งล่าสัตว์

อาสทาน่าหัวเราะพลางดื่มของเหลวที่เขาไม่รู้จักในกระบอกหนังลงคอจิบใหญ่

“เยี่ยม เยี่ยมมาก”

การล่าสัตว์เป็นไปได้อย่างราบรื่นง่ายดายเป็นอย่างยิ่ง

ไม่สิ ยิ่งกว่านั้นอีกด้วยซ้ำ

“สิบแปดตัวแล้วพ่ะย่ะค่ะ เจ้าชาย!”

เบเลซักตะโกนเสียงดังในขณะที่กำลังเฉือนแขนขวาของมอนสเตอร์

อาสทาน่าหอบหายใจแฮกๆ แต่ยังยืนยันเสียงดัง

“ไปกันเถอะ!ครั้งต่อไปต้องจับตัวใหญ่กว่านี้ให้ได้!”

“พักสักประเดี๋ยวแล้วค่อยไปดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ เจ้าชาย”

“ใช่พ่ะย่ะค่ะ นี่ก็แทบจะเดินต่อไม่ไหวแล้ว…”

บรรดาคนสนิทต่างก็เอ่ยพูดเสียงแหบด้วยความเหนื่อยล้า

กลุ่มที่เคยเริ่มต้นด้วยจำนวนสิบกว่าคน กลายเป็นลดลงเหลือแค่ห้าคนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่มีใครทันได้สังเกต

ทุกคนต่างก็บาดเจ็บเพราะพฤติกรรมดื้อรั้นของอาสทาน่า หรือไม่ก็เหนื่อยมากจนต้องขอยอมแพ้ แล้วยิงพลุสัญญาณขอความช่วยเหลือขึ้นฟ้า

“หนวกหู!”

อาสทาน่าตวาดเสียงดังลั่นด้วยความฉุนเฉียว

“อะ เจ้าชาย…”

เหล่าผู้ติดตามต่างก็สะดุ้งเฮือกกันอย่างพร้อมเพรียง

เพราะหวาดกลัวท่าทางของอาสทาน่าที่มือข้างหนึ่งถือดาบ ทั้งตัวเลอะท่วมไปด้วยเลือดสีเขียวของพวกมอนสเตอร์

ราวกับได้พบหน้าเจ้าชายลำดับที่สองเมื่อวานนี้เลย

สภาพตอนที่สติไม่ปกติเหมือนเป็นบ้าไปแล้วเพราะพลังเวทพวกนั้น

“เมื่อวานก่อนพระอาทิตย์ตกล่าได้ห้าตัว และหลังจากเริ่มล่าวันนี้ก็ได้มาสิบสามตัวแล้ว! กำลังไล่ล่าได้สวยขนาดนี้แท้ๆ ถ้าไม่กล้าตามมาก็ไสหัวไปให้หมด!”

คราวนี้ถึงกับแกว่งดาบในมือตวัดไปหน้าสหายเป็นการข่มขู่อีกด้วย

อาสทาน่าเป็นพวกมีนิสัยหยาบคายไม่เคยเห็นหัวใครอยู่แล้ว แต่ยังไงก็ไม่เคยทำถึงขนาดนี้

เพราะอย่าลืมความจริงที่ว่ากลุ่มคนที่ติดตามเขานั้นอย่างไรก็ยังเป็นชนชั้นสูงที่มีศักดิ์ศรีและเกียรติยศอันยิ่งใหญ่

ทว่าอาสทาน่าในตอนนี้กลับปฏิบัติกับพวกเขาราวกับเป็นแค่พวกแมลงหวี่แมลงวันที่บินสร้างความรำคาญอยู่รอบตัวอย่างไรอย่างนั้น

“เฉพาะคนที่กล้าพอจะติดตามข้าไปลำบากได้จงตามข้ามาเสีย และหากจะถอนตัวก็กลับไปเงียบๆ ถึงยังไงการโจมตีอันแสนอ่อนด้อยของพวกเจ้าก็ช่วยอะไรไม่ได้เท่าไหร่อยู่แล้ว อย่ามาทำให้ข้าหมดอารมณ์สนุก”

อาสทาน่ากระดกกระบอกหนังในมืออีกครั้งราวกับคุ้นชินเสียแล้ว

“ข้าต้องก้าวไปอีกระดับแล้วแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีเรี่ยวแรงเหลือเฟือขนาดนี้”

อาสทาน่าไม่อาจเก็บซ่อนความรู้สึกตื่นเต้นเอาไว้ได้เลย

ยาที่เบเลซักแอบลอบขโมยมาให้นี่มันช่วยขวางอาการบ้าคลั่งจากพลังเวทได้และประสิทธิภาพของมันก็ยอดเยี่ยมจริงๆ

เมื่อวานเขาถูกพลังแห่งป่ากดทับเสียจนเดินแค่ไม่กี่ก้าวก็เหนื่อยไปหมด หายใจก็แทบไม่ออก แต่วันนี้ไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นเลยสักครั้ง

ทุกย่างก้าวเบาสบาย ดาบก็ชักออกมากวัดแกว่งได้อย่างคล่องแคล่ว

ปะทะกับมอนสเตอร์ในป่าไปตั้งหลายครั้ง แต่ไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด

แถมยังดีใจด้วยซ้ำ

ถึงขนาดคิดว่าไหนๆ ก็เผชิญหน้ากับพวกมันแล้ว ก็จัดการให้จบสิ้นไปเสีย แล้วยิ่งถ้าเป้าหมายตัวต่อไปโผล่หัวออกมา กลับจะยิ่งดีด้วยซ้ำไป

“เบเลซัก เจ้าตามข้ามา”

อาสทาน่าหันไปพูดกับเบเลซัก

หลังจากที่แอบขโมยกระบอกน้ำนั่นมาให้ เบเลซักก็กลับมารับหน้าที่เป็นมือขวาของอาสทาน่าอีกครั้งเหมือนสมัยก่อน

“พ่ะย่ะค่ะ เจ้าชาย!”

เบเลซักย่อมต้องยินดีแน่นอนอยู่แล้ว

“คอยระวังตัวให้ดีว่าไอ้เสื้อเกราะแดงนั่นไม่ได้ไล่ตามพวกเรามา เข้าใจมั้ย”

เกราะสีแดง

หมายถึงชุดป้องกันสีแดงของเฟเรสนั่นเอง

“ระวังแค่ไอ้เวรนั่นก็พอ แค่ไอ้เวรนั่น…”

อาสทาน่าพึมพำซ้ำๆ อยู่อย่างนั้นทุกก้าวที่ย่างเดิน

ในป่าแห่งนี้ ตอนนี้ที่เขายังต้องระวังก็มีแค่เฟเรสที่สวมชุดป้องกันสีแดงเท่านั้น

แค่เจ้านั่นเท่านั้น

* * *

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 203.1

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 203.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เล่ม 5 บทที่ 203.1

ตอนที่ 203

“ฝ่าบาท เจ้าชายลำดับที่หนึ่งกำลัง…”

“ปล่อยไปเถอะ”

โยบาเนสเอ่ยพลางจ้องตามหลังอาสทาน่าไปด้วยความไม่พอใจ

“ก็คงแค่ไปด้อมๆ มองๆ อยู่แถวชายป่านั่นแหละ อ่อนปวกเปียกจริงๆ”

ไม่ถูกใจเขาเอาเสียเลย

มีจุดด่างพร้อยมากเกินไป

ในตอนนั้นเอง สายตาของจักรพรรดิโยบาเนสก็พลันสังเกตเห็นเฟเรสเข้าพอดี

โอรสอีกคนที่เพียงแค่หันมาโค้งศีรษะทักทายเขาที่นั่งอยู่เหนือแท่นประทับ แล้วหมุนตัวเดินกลับไปยังบ้านพักตากอากาศ

“คงไม่คิดที่จะแต่งตั้งเจ้าชายลำดับที่สองขึ้นเป็นรัชทายาทหรอกใช่มั้ยเพคะ

ประโยคที่จักรพรรดินีกล่าวไว้ตอนนั่งรถม้ามายังที่แห่งนี้ดังขึ้นในหัว

“เพราะอย่างไรสายเลือดมารดาชั้นต่ำนั่น ก็ไม่มีทางสืบบัลลังก์อาณาจักรแลมบลูแห่งนี้ได้อยู่แล้วไม่ใช่หรือเพคะ”

เขาเองก็เห็นด้วยกับประโยคที่ว่านั่นเหมือนกัน

แต่เจ้าชายลำดับที่สองกลับแสดงให้เห็นถึงภาพลักษณ์อันแสนโดดเด่นสมกับเป็นสายเลือดราชวงศ์ดิวเรลลี่ผู้ยิ่งใหญ่ มากกว่าเจ้าชายลำดับที่หนึ่งอยู่มาก

แบบนี้ก็น่าจะพอใช้ได้อยู่มิใช่หรือไง

อย่างไรก็ดีกว่าเจ้าชายลำดับที่หนึ่งที่เอาแต่แสดงท่าทางโอ้อวด เผยให้เห็นจุดด้อยมากมายของพวกอังเกนัสอยู่แล้ว

สายตาของจักรพรรดิโยบาเนสมองค้างอยู่ที่แผ่นหลังของเฟเรสอย่างอ้อยอิ่ง

แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่พระองค์ไม่อาจสังเกตเห็น

เรื่องที่คนที่คอยเดินตามหลังเฟเรสอยู่เสมอ ไม่ได้มีครบสามคนตลอดเวลาที่เด็กหนุ่มเดินจากไป

สติลลีย์และเทดโร่วที่เคยเดินตามหลังเฟเรสกำลังบ่นอะไรบางอย่าง แล้วหมุนตัวเดินหายกลับเข้าไปในป่าอีกครั้ง

* * *

วันที่สองของเทศกาลแข่งล่าสัตว์

อาสทาน่าหัวเราะพลางดื่มของเหลวที่เขาไม่รู้จักในกระบอกหนังลงคอจิบใหญ่

“เยี่ยม เยี่ยมมาก”

การล่าสัตว์เป็นไปได้อย่างราบรื่นง่ายดายเป็นอย่างยิ่ง

ไม่สิ ยิ่งกว่านั้นอีกด้วยซ้ำ

“สิบแปดตัวแล้วพ่ะย่ะค่ะ เจ้าชาย!”

เบเลซักตะโกนเสียงดังในขณะที่กำลังเฉือนแขนขวาของมอนสเตอร์

อาสทาน่าหอบหายใจแฮกๆ แต่ยังยืนยันเสียงดัง

“ไปกันเถอะ!ครั้งต่อไปต้องจับตัวใหญ่กว่านี้ให้ได้!”

“พักสักประเดี๋ยวแล้วค่อยไปดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ เจ้าชาย”

“ใช่พ่ะย่ะค่ะ นี่ก็แทบจะเดินต่อไม่ไหวแล้ว…”

บรรดาคนสนิทต่างก็เอ่ยพูดเสียงแหบด้วยความเหนื่อยล้า

กลุ่มที่เคยเริ่มต้นด้วยจำนวนสิบกว่าคน กลายเป็นลดลงเหลือแค่ห้าคนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่มีใครทันได้สังเกต

ทุกคนต่างก็บาดเจ็บเพราะพฤติกรรมดื้อรั้นของอาสทาน่า หรือไม่ก็เหนื่อยมากจนต้องขอยอมแพ้ แล้วยิงพลุสัญญาณขอความช่วยเหลือขึ้นฟ้า

“หนวกหู!”

อาสทาน่าตวาดเสียงดังลั่นด้วยความฉุนเฉียว

“อะ เจ้าชาย…”

เหล่าผู้ติดตามต่างก็สะดุ้งเฮือกกันอย่างพร้อมเพรียง

เพราะหวาดกลัวท่าทางของอาสทาน่าที่มือข้างหนึ่งถือดาบ ทั้งตัวเลอะท่วมไปด้วยเลือดสีเขียวของพวกมอนสเตอร์

ราวกับได้พบหน้าเจ้าชายลำดับที่สองเมื่อวานนี้เลย

สภาพตอนที่สติไม่ปกติเหมือนเป็นบ้าไปแล้วเพราะพลังเวทพวกนั้น

“เมื่อวานก่อนพระอาทิตย์ตกล่าได้ห้าตัว และหลังจากเริ่มล่าวันนี้ก็ได้มาสิบสามตัวแล้ว! กำลังไล่ล่าได้สวยขนาดนี้แท้ๆ ถ้าไม่กล้าตามมาก็ไสหัวไปให้หมด!”

คราวนี้ถึงกับแกว่งดาบในมือตวัดไปหน้าสหายเป็นการข่มขู่อีกด้วย

อาสทาน่าเป็นพวกมีนิสัยหยาบคายไม่เคยเห็นหัวใครอยู่แล้ว แต่ยังไงก็ไม่เคยทำถึงขนาดนี้

เพราะอย่าลืมความจริงที่ว่ากลุ่มคนที่ติดตามเขานั้นอย่างไรก็ยังเป็นชนชั้นสูงที่มีศักดิ์ศรีและเกียรติยศอันยิ่งใหญ่

ทว่าอาสทาน่าในตอนนี้กลับปฏิบัติกับพวกเขาราวกับเป็นแค่พวกแมลงหวี่แมลงวันที่บินสร้างความรำคาญอยู่รอบตัวอย่างไรอย่างนั้น

“เฉพาะคนที่กล้าพอจะติดตามข้าไปลำบากได้จงตามข้ามาเสีย และหากจะถอนตัวก็กลับไปเงียบๆ ถึงยังไงการโจมตีอันแสนอ่อนด้อยของพวกเจ้าก็ช่วยอะไรไม่ได้เท่าไหร่อยู่แล้ว อย่ามาทำให้ข้าหมดอารมณ์สนุก”

อาสทาน่ากระดกกระบอกหนังในมืออีกครั้งราวกับคุ้นชินเสียแล้ว

“ข้าต้องก้าวไปอีกระดับแล้วแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีเรี่ยวแรงเหลือเฟือขนาดนี้”

อาสทาน่าไม่อาจเก็บซ่อนความรู้สึกตื่นเต้นเอาไว้ได้เลย

ยาที่เบเลซักแอบลอบขโมยมาให้นี่มันช่วยขวางอาการบ้าคลั่งจากพลังเวทได้และประสิทธิภาพของมันก็ยอดเยี่ยมจริงๆ

เมื่อวานเขาถูกพลังแห่งป่ากดทับเสียจนเดินแค่ไม่กี่ก้าวก็เหนื่อยไปหมด หายใจก็แทบไม่ออก แต่วันนี้ไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นเลยสักครั้ง

ทุกย่างก้าวเบาสบาย ดาบก็ชักออกมากวัดแกว่งได้อย่างคล่องแคล่ว

ปะทะกับมอนสเตอร์ในป่าไปตั้งหลายครั้ง แต่ไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด

แถมยังดีใจด้วยซ้ำ

ถึงขนาดคิดว่าไหนๆ ก็เผชิญหน้ากับพวกมันแล้ว ก็จัดการให้จบสิ้นไปเสีย แล้วยิ่งถ้าเป้าหมายตัวต่อไปโผล่หัวออกมา กลับจะยิ่งดีด้วยซ้ำไป

“เบเลซัก เจ้าตามข้ามา”

อาสทาน่าหันไปพูดกับเบเลซัก

หลังจากที่แอบขโมยกระบอกน้ำนั่นมาให้ เบเลซักก็กลับมารับหน้าที่เป็นมือขวาของอาสทาน่าอีกครั้งเหมือนสมัยก่อน

“พ่ะย่ะค่ะ เจ้าชาย!”

เบเลซักย่อมต้องยินดีแน่นอนอยู่แล้ว

“คอยระวังตัวให้ดีว่าไอ้เสื้อเกราะแดงนั่นไม่ได้ไล่ตามพวกเรามา เข้าใจมั้ย”

เกราะสีแดง

หมายถึงชุดป้องกันสีแดงของเฟเรสนั่นเอง

“ระวังแค่ไอ้เวรนั่นก็พอ แค่ไอ้เวรนั่น…”

อาสทาน่าพึมพำซ้ำๆ อยู่อย่างนั้นทุกก้าวที่ย่างเดิน

ในป่าแห่งนี้ ตอนนี้ที่เขายังต้องระวังก็มีแค่เฟเรสที่สวมชุดป้องกันสีแดงเท่านั้น

แค่เจ้านั่นเท่านั้น

* * *

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+