เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 85.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 85.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ถ้าอย่างนั้นไว้พบกันใหม่นะคะ”

มาเรีย แพทโทรนกล่าวลาทิ้งท้าย ก่อนจะเดินห่างออกไปไกล

เวสตินเหลือบมองผู้หญิงคนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันกลับมาพูดโอ้อวดเรื่องไวน์ต่อ ท่าทางกลับมาเป็นปกติเหมือนอย่างเช่นทุกวัน

หลังจากนั้นคนจากตระกูลลอมบาร์เดียต่างก็เริ่มกระจายตัวแยกย้ายกันไป

ฟีเรนเทีย ท่านพ่อ ชานาเนสกับครอบครัว และท่านปู่เลือกที่จะมานั่งล้อมโต๊ะรับประทานอาหารพร้อมกัน

ส่วนครอบครัวของลอเรนซ์กับเบเจอร์บอกว่ามีคนรู้จักอยู่อีกฟากของโถงงานเลี้ยง ก่อนจะเดินหายไปทางด้านนั้น

เครย์ลีบันเองก็กำลังยุ่งอยู่กับการทักทายผู้คนที่แวะมาหาเขาตลอดงานเลี้ยง แต่ก็คอยกลับมาเช็กให้แน่ใจว่าพวกเราไม่มีอะไรติดขัดอยู่บ่อยครั้ง

อืม ไม่สบายใจเอาเสียเลย

เรื่องที่คิดว่าจะเกิดขึ้นก็ดันไม่เกิด เหลือแต่ความรู้สึกอึดอัดใจแปลกๆ ทิ้งไว้เท่านั้น

สงสัยคงต้องใช้เวลาตามสืบนานกว่านี้แล้วละมั้ง

ลางสังหรณ์ของเธอกำลังบอกว่า ห้ามปล่อยผ่านไปเฉยๆ แบบนี้เด็ดขาด

“เทียของปู่วันนี้เงียบไม่พูดไม่จาเลยนะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

ท่านปู่ช่วยหั่นสเต๊กเป็นชิ้นเล็กๆ พอดีคำวางลงตรงหน้าเธอพลางเอ่ยถาม

“ไม่มีอะไรค่ะ แค่รู้สึกทึ่งเลยมัวแต่สนใจรอบๆ อยู่น่ะค่ะ ท่านปู่”

“เหรอ เทียสนิทกับเครย์ลีบันนี่นะ ก็น่าจะเป็นแบบนั้นอยู่หรอก”

ท่านปู่ลูบศีรษะเธอไปพลางเอ่ยพูด

“เครย์ลีบันบอกว่า ถึงแม้งานจะยุ่งแค่ไหน ก็จะช่วยสอนหนังสือให้เทียต่อ เจ้าเองก็ขยันเรียนรู้เข้าล่ะ”

“ค่ะ ท่านปู่”

เธอตอบรับอย่างว่าง่ายสมกับเป็นหลานสาวผู้แสนเชื่อฟัง ในปากก็เคี้ยวเนื้อสเต๊กไปด้วย

รู้สึกแปลกพิลึก

การที่เหล่าชนชั้นสูงของอาณาจักรต่างก็แต่งตัวกันมาอย่างงดงามเพื่อมาร่วมแสดงความยินดีให้กับความสำเร็จของร้านค้าเฟเรสทั้งหมดนี่ที่จริงแล้วเป็นของเธอ

และการที่ในบรรดาผู้คนที่มารวมตัวกันที่นี่ ไม่มีใครสักคนรู้ความจริงดังกล่าว

มันเป็นความรู้สึกที่แปลกพิกล เหมือนไหล่ยืดสูงขึ้น

ฟีเรนเทียกินอาหารอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก ก่อนจะปลีกตัวออกมาจากโต๊ะโดยอ้างว่าจะไปเข้าห้องน้ำ

เพื่อที่จะลอบออกมาพบกับเครย์ลีบัน และสำรวจสถานการณ์ในงานเลี้ยง

พวกเราตัดสินใจว่าจะแอบพบกันที่ห้องเล็กบนชั้นสองของโถงจัดงาน

แต่ปัญหาคือ เธอไม่รู้ว่าบันไดที่ใช้เดินขึ้นไปชั้นสองนั่นมันอยู่ที่ไหน

เธอเดินไปเรื่อยเปื่อย สุ่มหามุมที่น่าจะเป็นที่ตั้งของบันได พอเลี้ยวผ่านหัวมุมหนึ่งในซอกหลืบก็มองเห็นป้ายสัญลักษณ์ห้องน้ำ

บันไดอยู่ไหนกันแน่เนี่ย

ฟีเรนเทียลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ หมุนตัวหันหลังกลับ แต่แล้วเธอก็พลันมองเห็นภาพด้านหลังของมาเรีย แพทโทรนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำพอดี

และยังเห็นอีกด้วยว่า มีมือข้างหนึ่งก็ยื่นพรวดออกมาจากมุมที่ซ่อนอยู่ลึกเข้าไปด้านในของโถงทางเดิน แล้วคว้าตัวผู้หญิงคนนั้นหายเข้าไป

“กรี๊ด!”

“ชู่ว ข้าเอง”

เป็นเสียงของเวสติน

เธอรีบซ่อนตัวเข้ากับกำแพงหลังมุมทางเดินทันที

แต่แปลกจัง

ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย

เธอโผล่หน้าออกไปอย่างระมัดระวัง มองส่องเข้าไปยังทางที่ได้ยินเสียงของเวสตินเมื่อครู่นี้

ทำอะไรอยู่กันแน่ ถึงได้เงียบขนาดนี้…

ไอ้พวกมักมากพวกนี้!

“อื้ม…”

เวสตินกับมาเรีย แพทโทรนกำลังจูบกันอย่างดูดดื่ม

พวกเขาซ่อนตัวอยู่ภายใต้เงามืดในมุมหนึ่ง จูบกันอย่างร้อนแรงราวกับในโลกนี้มีแค่พวกเขาสองคน ทว่าในสายตาของเธอ ดูแล้วช่างน่าขยะแขยงเสียจริง

ฟีเรนเทียอยากกรีดร้องเสียงดัง เรียกคนทั้งหมดให้มารวมตัวกันดูพวกหน้าไม่อายสองคนนี่เหลือเกินแต่เธอต้องหักห้ามใจเอาไว้ก่อน แล้วเอียงหูลอบฟังบทสนทนาของทั้งคู่

“ที่รัก เมื่อครู่นี้หน้าตาดูไม่ได้เลยนะ ตกใจขนาดนั้นเลยเหรอ ที่ข้าโผล่มาใกล้ทั้งๆ ที่ผู้หญิงคนนั้นก็อยู่ที่นี่ด้วยน่ะ”

มาเรีย แพทโทรนหัวเราะในขณะที่หยอกเย้าเวสติน

“ตกใจสิ ทำไมจะไม่ตกใจล่ะ มาที่นี่ได้ยังไงกัน เข้ามาได้ยังไง”

“อะไรกัน พูดอย่างกับว่าข้าเป็นคนที่ไม่ควรมาที่นี่อย่างนั้นแหละ”

น้ำเสียงของฝ่ายหญิงเริ่มแง่งอน

“มะ…ไม่ใช่แบบนั้น…ก็งานนี้มันต้องมีบัตรเชิญถึงจะเข้ามาได้นี่นา”

“หึ มีบัตรเชิญส่งมาถึงที่บ้าน ข้าเลยเข้ามาได้ยังไงล่ะ”

มันคือบัตรเชิญที่เธอจงใจส่งไป เพื่อเรียกตัวมาเรีย แพทโทรนมาที่นี่

“ที่รักไม่ใช่คนส่งมาหรอกเหรอ”

“มีบัตรเชิญส่งไปถึงที่บ้านอย่างนั้นหรือ”

เวสตินตระหนกไปครู่หนึ่ง เพียงไม่นานก็รีบเปลี่ยนเรื่องพูด

“อะ…อื้อ…ข้าเป็นคนส่งไปเอง แต่ยังไงภริยาของข้าก็อยู่ที่นี่ เจ้ามาแบบนี้จะให้ข้าทำยังไง แถมยังทักทายรูลลัก ลอมบาร์เดียอีก”

“ก็ข้าไม่เคยเห็นผู้หญิงคนนั้น”

มาเรีย แพทโทรนเอ่ยพูด

“เห็นมีคนมากมายบอกว่าสวยอย่างนั้นสวยอย่างนี้ เลยสงสัยว่าหน้าตาเป็นยังไง แต่นี่ไม่เท่าไหร่เลยนะ เจ้าใช้ชีวิตร่วมกับผู้หญิงแบบนั้นมาจนถึงป่านนี้ได้ยังไงกันเนี่ย”

พูดจริง?

เจ้าจะไปเทียบอะไรกับชานาเนสได้!

แต่ประโยคถัดมาของเวสตินกลับยิ่งคุ้มค่าที่มาแอบได้ยินจริงๆ

“ผู้หญิงคนนั้นน่ะเหรอ ไม่มีเสน่ห์เอาเสียเลย ในสายตาของข้ามาเรีย เจ้างดงามที่สุดแล้ว ทั้งเมื่อสมัยก่อน ทั้งตอนนี้ก็ด้วย”

ช่างตลบตะแลงเสียจริง

“แต่โผล่มาแบบนี้มันอันตรายนะ เจ้าก็รู้ไม่ใช่เหรอ มาเรีย ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ต่อให้พวกลอมบาร์เดียโง่เขลาแค่ไหน ก็มีอยู่หลายคนที่สายตาว่องไวนะ”

“แต่มันน่าเบื่อนี่นา…”

“ย้ายมาอยู่เมืองหลวงได้ไม่เท่าไหร่ก็เบื่อแล้วหรือ”

“อยู่คนเดียวมันเหงาน่ะสิ ที่รักเองก็แวะมาหากันแค่ไม่กี่วันครั้งเองด้วย”

หมายความว่าแอบหาบ้านช่องให้อยู่ด้วยสินะ

“อดทนอีกหน่อยเถอะ ข้าขอโทษที่ปล่อยให้เจ้าต้องรอเสียนาน มาเรีย”

“แต่…”

“ถึงจะอยากหย่ามันเสียประเดี๋ยวนี้เหมือนอย่างที่ใจอยากก็เถอะ แต่มันยังไม่ถึงเวลา เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าต้องรวบรวมให้ได้มากกว่านี้อีกหน่อยน่ะ”

อยากหย่ามันเสียตอนนี้เลยงั้นเหรอ

เธอพ่นลมหายใจเสียงดังหึออกมา นี่มันช่างทุเรศสิ้นดี

เวสตินเอาแต่ปลอบโยนมาเรีย แพทโทรนเช่นนั้น ก่อนที่ทั้งสองคนจะแยกกันกลับเข้าไปในงานเลี้ยงหลังจากนั้นไม่นาน

เมื่อเหลืออยู่คนเดียวบนโถงทางเดินเงียบสนิท เธอก็ปลอบหัวใจที่เต้นกระหน่ำเสียงดังโครมครามให้สงบลง ในขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดไปด้วย

ขอโทษที่ปล่อยให้รอเสียนาน?

ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า ปัญหาเรื่องนอกใจนี่มันไม่ใช่ปัญหาที่เพิ่งเกิดขึ้นแค่วันสองวัน

ยังไม่ถึงเวลา?

เวสตินเอาแต่พูดประโยคนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ฟังดูแล้วราวกับกำลังรอเวลาที่เหมาะสมในการจัดการเรื่องหย่าร้าง

และสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกตงิดใจมากที่สุดก็คือ ประโยคสุดท้ายของเวสติน

“ก็รู้ไม่ใช่หรือว่าต้องรวบรวมให้ได้มากกว่านี้อีกหน่อยน่ะ”

รวบรวมอะไรกันแน่

เงิน? เหตุผลในการหย่า?

แต่ไม่ว่าสิ่งนั้นจะหมายถึงสิ่งใดก็ตาม เธอก็มั่นใจได้อย่างหนึ่ง

ชานาเนสในชาติก่อน ไม่ใช่แค่ชีวิตแต่งงานเท่านั้น แต่นางโดนเวสตินหลอกแม้กระทั่งสาเหตุและขั้นตอนในการหย่าร้าง

จบเล่ม 2

โปรดติดตามต่อในเล่ม 3

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 85.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 85.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ถ้าอย่างนั้นไว้พบกันใหม่นะคะ”

มาเรีย แพทโทรนกล่าวลาทิ้งท้าย ก่อนจะเดินห่างออกไปไกล

เวสตินเหลือบมองผู้หญิงคนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันกลับมาพูดโอ้อวดเรื่องไวน์ต่อ ท่าทางกลับมาเป็นปกติเหมือนอย่างเช่นทุกวัน

หลังจากนั้นคนจากตระกูลลอมบาร์เดียต่างก็เริ่มกระจายตัวแยกย้ายกันไป

ฟีเรนเทีย ท่านพ่อ ชานาเนสกับครอบครัว และท่านปู่เลือกที่จะมานั่งล้อมโต๊ะรับประทานอาหารพร้อมกัน

ส่วนครอบครัวของลอเรนซ์กับเบเจอร์บอกว่ามีคนรู้จักอยู่อีกฟากของโถงงานเลี้ยง ก่อนจะเดินหายไปทางด้านนั้น

เครย์ลีบันเองก็กำลังยุ่งอยู่กับการทักทายผู้คนที่แวะมาหาเขาตลอดงานเลี้ยง แต่ก็คอยกลับมาเช็กให้แน่ใจว่าพวกเราไม่มีอะไรติดขัดอยู่บ่อยครั้ง

อืม ไม่สบายใจเอาเสียเลย

เรื่องที่คิดว่าจะเกิดขึ้นก็ดันไม่เกิด เหลือแต่ความรู้สึกอึดอัดใจแปลกๆ ทิ้งไว้เท่านั้น

สงสัยคงต้องใช้เวลาตามสืบนานกว่านี้แล้วละมั้ง

ลางสังหรณ์ของเธอกำลังบอกว่า ห้ามปล่อยผ่านไปเฉยๆ แบบนี้เด็ดขาด

“เทียของปู่วันนี้เงียบไม่พูดไม่จาเลยนะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

ท่านปู่ช่วยหั่นสเต๊กเป็นชิ้นเล็กๆ พอดีคำวางลงตรงหน้าเธอพลางเอ่ยถาม

“ไม่มีอะไรค่ะ แค่รู้สึกทึ่งเลยมัวแต่สนใจรอบๆ อยู่น่ะค่ะ ท่านปู่”

“เหรอ เทียสนิทกับเครย์ลีบันนี่นะ ก็น่าจะเป็นแบบนั้นอยู่หรอก”

ท่านปู่ลูบศีรษะเธอไปพลางเอ่ยพูด

“เครย์ลีบันบอกว่า ถึงแม้งานจะยุ่งแค่ไหน ก็จะช่วยสอนหนังสือให้เทียต่อ เจ้าเองก็ขยันเรียนรู้เข้าล่ะ”

“ค่ะ ท่านปู่”

เธอตอบรับอย่างว่าง่ายสมกับเป็นหลานสาวผู้แสนเชื่อฟัง ในปากก็เคี้ยวเนื้อสเต๊กไปด้วย

รู้สึกแปลกพิลึก

การที่เหล่าชนชั้นสูงของอาณาจักรต่างก็แต่งตัวกันมาอย่างงดงามเพื่อมาร่วมแสดงความยินดีให้กับความสำเร็จของร้านค้าเฟเรสทั้งหมดนี่ที่จริงแล้วเป็นของเธอ

และการที่ในบรรดาผู้คนที่มารวมตัวกันที่นี่ ไม่มีใครสักคนรู้ความจริงดังกล่าว

มันเป็นความรู้สึกที่แปลกพิกล เหมือนไหล่ยืดสูงขึ้น

ฟีเรนเทียกินอาหารอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก ก่อนจะปลีกตัวออกมาจากโต๊ะโดยอ้างว่าจะไปเข้าห้องน้ำ

เพื่อที่จะลอบออกมาพบกับเครย์ลีบัน และสำรวจสถานการณ์ในงานเลี้ยง

พวกเราตัดสินใจว่าจะแอบพบกันที่ห้องเล็กบนชั้นสองของโถงจัดงาน

แต่ปัญหาคือ เธอไม่รู้ว่าบันไดที่ใช้เดินขึ้นไปชั้นสองนั่นมันอยู่ที่ไหน

เธอเดินไปเรื่อยเปื่อย สุ่มหามุมที่น่าจะเป็นที่ตั้งของบันได พอเลี้ยวผ่านหัวมุมหนึ่งในซอกหลืบก็มองเห็นป้ายสัญลักษณ์ห้องน้ำ

บันไดอยู่ไหนกันแน่เนี่ย

ฟีเรนเทียลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ หมุนตัวหันหลังกลับ แต่แล้วเธอก็พลันมองเห็นภาพด้านหลังของมาเรีย แพทโทรนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำพอดี

และยังเห็นอีกด้วยว่า มีมือข้างหนึ่งก็ยื่นพรวดออกมาจากมุมที่ซ่อนอยู่ลึกเข้าไปด้านในของโถงทางเดิน แล้วคว้าตัวผู้หญิงคนนั้นหายเข้าไป

“กรี๊ด!”

“ชู่ว ข้าเอง”

เป็นเสียงของเวสติน

เธอรีบซ่อนตัวเข้ากับกำแพงหลังมุมทางเดินทันที

แต่แปลกจัง

ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย

เธอโผล่หน้าออกไปอย่างระมัดระวัง มองส่องเข้าไปยังทางที่ได้ยินเสียงของเวสตินเมื่อครู่นี้

ทำอะไรอยู่กันแน่ ถึงได้เงียบขนาดนี้…

ไอ้พวกมักมากพวกนี้!

“อื้ม…”

เวสตินกับมาเรีย แพทโทรนกำลังจูบกันอย่างดูดดื่ม

พวกเขาซ่อนตัวอยู่ภายใต้เงามืดในมุมหนึ่ง จูบกันอย่างร้อนแรงราวกับในโลกนี้มีแค่พวกเขาสองคน ทว่าในสายตาของเธอ ดูแล้วช่างน่าขยะแขยงเสียจริง

ฟีเรนเทียอยากกรีดร้องเสียงดัง เรียกคนทั้งหมดให้มารวมตัวกันดูพวกหน้าไม่อายสองคนนี่เหลือเกินแต่เธอต้องหักห้ามใจเอาไว้ก่อน แล้วเอียงหูลอบฟังบทสนทนาของทั้งคู่

“ที่รัก เมื่อครู่นี้หน้าตาดูไม่ได้เลยนะ ตกใจขนาดนั้นเลยเหรอ ที่ข้าโผล่มาใกล้ทั้งๆ ที่ผู้หญิงคนนั้นก็อยู่ที่นี่ด้วยน่ะ”

มาเรีย แพทโทรนหัวเราะในขณะที่หยอกเย้าเวสติน

“ตกใจสิ ทำไมจะไม่ตกใจล่ะ มาที่นี่ได้ยังไงกัน เข้ามาได้ยังไง”

“อะไรกัน พูดอย่างกับว่าข้าเป็นคนที่ไม่ควรมาที่นี่อย่างนั้นแหละ”

น้ำเสียงของฝ่ายหญิงเริ่มแง่งอน

“มะ…ไม่ใช่แบบนั้น…ก็งานนี้มันต้องมีบัตรเชิญถึงจะเข้ามาได้นี่นา”

“หึ มีบัตรเชิญส่งมาถึงที่บ้าน ข้าเลยเข้ามาได้ยังไงล่ะ”

มันคือบัตรเชิญที่เธอจงใจส่งไป เพื่อเรียกตัวมาเรีย แพทโทรนมาที่นี่

“ที่รักไม่ใช่คนส่งมาหรอกเหรอ”

“มีบัตรเชิญส่งไปถึงที่บ้านอย่างนั้นหรือ”

เวสตินตระหนกไปครู่หนึ่ง เพียงไม่นานก็รีบเปลี่ยนเรื่องพูด

“อะ…อื้อ…ข้าเป็นคนส่งไปเอง แต่ยังไงภริยาของข้าก็อยู่ที่นี่ เจ้ามาแบบนี้จะให้ข้าทำยังไง แถมยังทักทายรูลลัก ลอมบาร์เดียอีก”

“ก็ข้าไม่เคยเห็นผู้หญิงคนนั้น”

มาเรีย แพทโทรนเอ่ยพูด

“เห็นมีคนมากมายบอกว่าสวยอย่างนั้นสวยอย่างนี้ เลยสงสัยว่าหน้าตาเป็นยังไง แต่นี่ไม่เท่าไหร่เลยนะ เจ้าใช้ชีวิตร่วมกับผู้หญิงแบบนั้นมาจนถึงป่านนี้ได้ยังไงกันเนี่ย”

พูดจริง?

เจ้าจะไปเทียบอะไรกับชานาเนสได้!

แต่ประโยคถัดมาของเวสตินกลับยิ่งคุ้มค่าที่มาแอบได้ยินจริงๆ

“ผู้หญิงคนนั้นน่ะเหรอ ไม่มีเสน่ห์เอาเสียเลย ในสายตาของข้ามาเรีย เจ้างดงามที่สุดแล้ว ทั้งเมื่อสมัยก่อน ทั้งตอนนี้ก็ด้วย”

ช่างตลบตะแลงเสียจริง

“แต่โผล่มาแบบนี้มันอันตรายนะ เจ้าก็รู้ไม่ใช่เหรอ มาเรีย ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ต่อให้พวกลอมบาร์เดียโง่เขลาแค่ไหน ก็มีอยู่หลายคนที่สายตาว่องไวนะ”

“แต่มันน่าเบื่อนี่นา…”

“ย้ายมาอยู่เมืองหลวงได้ไม่เท่าไหร่ก็เบื่อแล้วหรือ”

“อยู่คนเดียวมันเหงาน่ะสิ ที่รักเองก็แวะมาหากันแค่ไม่กี่วันครั้งเองด้วย”

หมายความว่าแอบหาบ้านช่องให้อยู่ด้วยสินะ

“อดทนอีกหน่อยเถอะ ข้าขอโทษที่ปล่อยให้เจ้าต้องรอเสียนาน มาเรีย”

“แต่…”

“ถึงจะอยากหย่ามันเสียประเดี๋ยวนี้เหมือนอย่างที่ใจอยากก็เถอะ แต่มันยังไม่ถึงเวลา เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าต้องรวบรวมให้ได้มากกว่านี้อีกหน่อยน่ะ”

อยากหย่ามันเสียตอนนี้เลยงั้นเหรอ

เธอพ่นลมหายใจเสียงดังหึออกมา นี่มันช่างทุเรศสิ้นดี

เวสตินเอาแต่ปลอบโยนมาเรีย แพทโทรนเช่นนั้น ก่อนที่ทั้งสองคนจะแยกกันกลับเข้าไปในงานเลี้ยงหลังจากนั้นไม่นาน

เมื่อเหลืออยู่คนเดียวบนโถงทางเดินเงียบสนิท เธอก็ปลอบหัวใจที่เต้นกระหน่ำเสียงดังโครมครามให้สงบลง ในขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดไปด้วย

ขอโทษที่ปล่อยให้รอเสียนาน?

ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า ปัญหาเรื่องนอกใจนี่มันไม่ใช่ปัญหาที่เพิ่งเกิดขึ้นแค่วันสองวัน

ยังไม่ถึงเวลา?

เวสตินเอาแต่พูดประโยคนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ฟังดูแล้วราวกับกำลังรอเวลาที่เหมาะสมในการจัดการเรื่องหย่าร้าง

และสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกตงิดใจมากที่สุดก็คือ ประโยคสุดท้ายของเวสติน

“ก็รู้ไม่ใช่หรือว่าต้องรวบรวมให้ได้มากกว่านี้อีกหน่อยน่ะ”

รวบรวมอะไรกันแน่

เงิน? เหตุผลในการหย่า?

แต่ไม่ว่าสิ่งนั้นจะหมายถึงสิ่งใดก็ตาม เธอก็มั่นใจได้อย่างหนึ่ง

ชานาเนสในชาติก่อน ไม่ใช่แค่ชีวิตแต่งงานเท่านั้น แต่นางโดนเวสตินหลอกแม้กระทั่งสาเหตุและขั้นตอนในการหย่าร้าง

จบเล่ม 2

โปรดติดตามต่อในเล่ม 3

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+