เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 18.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 18.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ทางตอนใต้ของอาณาเขตที่อยู่ภายใต้การปกครองขององค์จักรพรรดิโดยตรง มีเขตแดนหนึ่งซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของพวกชนชั้นสูงรวมกันอยู่อย่างเนืองแน่น

 

สถานที่แห่งนี้ที่เรียกกันทั่วไปว่า ‘โนเบิล ทาวน์’ มีการตกแต่งที่งดงามและดูหรูหราจนเขตพื้นที่อื่นเทียบไม่ติด

 

ย่านการค้าเซดาคิวนาร์ซึ่งเป็นถนนสายที่รวบรวมร้านค้าระดับสูงมากมาย ในวันนี้เองก็เต็มไปด้วยเหล่าชนชั้นสูงกับบรรดาพ่อค้าร่ำรวย

 

ภัตตาคาร ‘วิกตอเรียเพลส’ เพิ่งเปิดใหม่ได้ไม่นานแต่มีคนจองคิวเต็มทุกวัน ในวันนี้ทางร้านกลับไม่รับลูกค้าท่านอื่น เพื่อรองรับคนเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น

 

งานเลี้ยงพบปะที่ว่านั่นเป็นงานเลี้ยงที่มีชื่อเสียงในแวดวงสังคม ซึ่งบุตรชายคนโตของเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียอย่างเบเจอร์ ลอมบาร์เดีย เป็นเจ้าภาพในการจัดงานฤดูกาลละครั้ง

 

“เห็นว่าคราวนี้ตระกูลลอมบาร์เดียกับตระกูลอังเกนัสร่วมมือกันทำธุรกิจหรือครับ”

 

“ข้าเองก็ได้ยินเรื่องนั้นมาเหมือนกันครับ! ตั้งหน้าตั้งตารอชมเลยนะครับเนี่ย!”

 

หัวข้อแรกที่เหล่าชนชั้นสูงซึ่งรวมตัวกันอยู่ในที่แห่งนี้กลุ่มละสามสี่คนเปิดประเด็นสนทนากันนั้น เป็นหัวข้อเดียวเหมือนกันหมดทุกกลุ่ม

 

ประเด็นที่น่าสนใจในแวดวงสังคมช่วงนี้คือการร่วมมือกันของสองตระกูลที่ไม่สนใจใครหน้าไหน อย่างตระกูลลอมบาร์เดียผู้อยู่เหนือชนชั้นสูงขึ้นไปอีกระดับได้จับมือร่วมกันทำธุรกิจกับตระกูลอังเกนัสซึ่งยึดครองตำแหน่งจักรพรรดินีมาถึงสี่สมัย

 

ถึงแม้จะยังไม่ได้ทำการประกาศออกไปอย่างเป็นทางการ แต่ข่าวลือก็พูดกันไปทั่วปากต่อปากเสียแล้ว

 

“ได้ยินว่าเป็นกิจการผ้าทอ มันคืออะไรกันแน่ครับ”

 

“ไม่ใช่ว่าแค่ไปซื้อจากตะวันตกแล้วนำเข้ามาขายเฉยๆ หรอกหรือครับ”

 

“อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้ เดิมทีตระกูลอังเกนัสก็มีรากฐานมาจากทางตะวันตกอยู่แล้ว หากใช้กลุ่มการค้าของลอมบาร์เดีย ย่อมสามารถเดินทางระยะไกลแบบนั้นได้แน่นอน”

 

ท่ามกลางผู้คนที่คาดเดากันไปต่างๆ นานา ริมฝีปากของเบเจอร์สั่นระริก พยายามรักษารอยยิ้มให้คงไว้อยู่บนใบหน้าเพราะความโกรธแค้นเรื่องของแคลอฮัน ทำให้แต่ละคืนเขาได้แต่นอนผวาจนเพิ่งจะกลับมาเป็นปกติได้ไม่นานนัก

 

เขาปลอบใจตัวเองให้คิดเสียว่าก็แค่มอบธุรกิจให้แคลอฮันที่จนถึงตอนนี้ยังไม่เคยลองทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักชิ้น เพียงแค่กิจการเดียวเท่านั้นแต่พอเห็นว่าแผนธุรกิจนั่นกลับกลายเป็นประเด็นติดปากคนอื่นขนาดนี้ มันก็ทำให้รู้สึกโมโหจนเดือดพล่านอีกครั้ง

 

“เบเจอร์”

 

มือข้างหนึ่งลูบลงบนไหล่แข็งเกร็งของเบเจอร์ นางคือเซรัล ผู้เป็นภริยาของเขา

 

“คนอื่นๆ มองอยู่นะคะ ที่รัก”

 

เซรัลฉีกยิ้มพลางกระซิบคำพูดเสียงหวานอ่อนโยน แต่เสียงหวานๆ นั่นกลับทำให้เบเจอร์ตั้งสติขึ้นมาได้

 

จริงเสียด้วย เหล่าชนชั้นสูงที่กำลังพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องกิจการผ้าทอ ต่างก็เหลือบสายตามองมาที่เบเจอร์กันอยู่

 

พวกคนที่ไวต่อข่าวลือ ย่อมไม่มีทางไม่รู้ว่าธุรกิจที่ลอมบาร์เดียกับอังเกนัสร่วมมือกันนั้น ที่จริงแล้วเป็นกิจการที่เขาเป็นหัวเรือผลักดันเมื่อตอนแรก

 

ทั้งๆ ที่รู้ว่าเรื่องราวกลายมาเป็นแบบนี้ได้ยังไง แต่คนพวกนั้นก็ยังพูดคุยเรื่องกิจการผ้าทอต่อหน้าต่อตาเบเจอร์ ทำราวกับมันเป็นเรื่องใหญ่โต

 

ที่นี่คือสนามรบ

 

เบเจอร์ยกแก้วในมือขึ้นดื่มอย่างรวดเร็ว เพื่อเก็บซ่อนสีหน้าของตน

 

ผู้คนมากมายเฝ้ารอดูเบเจอร์ระเบิดอารมณ์โมโหออกมาเหมือนอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ แต่เมื่อเห็นเขายังคงสงบนิ่ง ก็ไม่อาจซ่อนความผิดหวังเอาไว้ได้เลย

 

ใบหน้าพวกนั้นแสดงออกอย่างชัดเจนว่าคงจะอดรับชมเรื่องสนุกเสียแล้ว

 

“พวกเราออกไปรับลมกันหน่อยมั้ยคะ”

 

เซรัลเอ่ยพูดทำให้เบเจอร์ต้องลุกขึ้นจากโต๊ะ นางเดินมุ่งหน้าไปยังบริเวณที่ไม่ค่อยมีคนนักด้วยท่วงท่าสง่างาม

 

เซรัลสำรวจดูรอบๆ อีกครั้งให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ แล้วจึงเอ่ยพูด

 

“ท่านแคลอฮันเองก็ถึงเวลาหาเงินหาทองบ้างแล้วสินะ ว่ามั้ยคะ”

 

เซรัลตบไหล่ของสามีเบาๆ เสียงดังปุ ปุ พลางเอ่ยพูด

 

“คงงั้นแหละมันก็เป็นแค่กิจการที่ได้แตะเสื้อผ้านิดหน่อยเท่านั้นเอง ต่อให้ไปได้ดีแล้วจะไปได้ไกลขนาดไหนเชียว”

 

“แน่นอนอยู่แล้วละค่ะ เพราะฉะนั้นอย่าไปใส่ใจเลยนะคะ”

 

เซรัลเข้าใจความอึดอัดใจของเบเจอร์เป็นอย่างดี

 

เขาอาจจะเป็นบุตรชายคนโตของรูลลัก แต่ก็เป็นคนที่ยังด้อยความสามารถอยู่มาก

 

เธอเองก็เป็นคนที่รู้จักประเมินสามีของตัวเองในมุมมองของคนที่สามเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจึงได้เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

 

“ท่านแคลอฮันน่ะ จนถึงตอนนี้ก็เป็นเพียงแค่น้องเล็กที่ว่างงานไปวันๆ เท่านั้นเองลองหันไปมองรอบตัวสิคะ ในแวดวงสังคม ลอมบาร์เดียยังเป็นชื่อของคุณอยู่นะคะ”

 

มันเป็นเพียงแค่คำพูดเล็กๆ น้อยๆ แต่ใบหน้าของเบเจอร์ที่หันไปมองรอบตัวตามคำพูดของภริยากลับสดใสขึ้นมาก

 

เซรัลทราบดีว่าเขาอ่อนไหวง่ายกับเรื่องใด เขาคิดให้ความสำคัญกับเรื่องใด เธอจึงสามารถพูดมันออกมาได้อย่างง่ายดาย

 

“เบเลซัก มานี่สิ”

 

เซรัลเอ่ยเรียกเบเลซักที่กลั่นแกล้งผีเสื้ออยู่ไม่ไกลนัก

 

“วันนี้ข้าบอกแล้วใช่มั้ยว่าต้องไปเล่นกับบุตรตระกูลใด”

 

“อืมตระกูลเมมเบรท กับตระกูลเบลเลทีโรนครับ แต่ท่านแม่”

 

เบเลซักทำหน้านิ่วบิดตัวไปมาในขณะที่เอ่ยพูด

 

“พวกนั้นมันน่าเบื่อสุดๆ เลย ข้าเล่นคนเดียวไม่ได้หรือครับ แบบนั้นน่าจะสนุกกว่านะครับ”

 

สำหรับเบเลซักแล้ว บุตรชายคนที่สองของเมมเบรท กับบุตรชายคนที่สามของเบลเลทีโรน เป็นเพียงแค่พวกขี้ขลาดไม่รู้จักวิธีการเล่นสนุก

 

“เบเลซัก ข้าบอกว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการใช้ชีวิตให้สมกับเป็นชนชั้นสูงคืออะไร”

 

เบเลซักเบ้ปาก เมื่อนึกถึงคำพูดที่ได้ยินทุกครั้งที่โดนมารดาดุจนแก้วหูแทบทะลุ

 

“คอนเน็กชั่นครับ และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือใครกันที่เหมาะสม”

 

“ใช่ ถูกต้องแล้ว ดังนั้นไปทักทายคุณชายเมมเบรทกับคุณชายเบลเลทีโรนเสีย อย่าลืมยิ้มดีใจที่ได้พบหน้ากันด้วยล่ะ เข้าใจมั้ย”

 

“คร้าบ”

 

สุดท้ายเบเลซักก็ไหล่ลู่ เดินออกไปตามที่มารดาสั่ง เพื่อแสร้งทำตัวราวกับสนิทสนมกันเป็นอย่างดี

 

“คุณเองก็ตั้งสติได้แล้วค่ะ ท่านแคลอฮันน่ะอย่างไรก็ไม่มีทางยุ่งไปได้ตลอดอยู่แล้ว”

 

เซรัลไม่คิดว่าแคลอฮันที่เพิ่งเคยลงมือเป็นผู้นำธุรกิจครั้งแรกจะสามารถดำเนินการจนได้ผลลัพธ์ออกมาดีอยู่แล้ว

 

ดังนั้นเธอจึงตั้งใจว่าจะรอโอกาสพูดคุยกับตระกูลอังเกนัส เพื่อชักชวนให้พวกเขาตัดสินใจเริ่มธุรกิจใหม่ด้วยกันกับเบเจอร์

 

ไม่นานหลังจากนั้น สองสามีภรรยาก็ควงแขนกันอย่างรักใคร่กลับเข้าไปที่โต๊ะราวกับไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น พวกเขาดำเนินงานเลี้ยงพบปะต่อไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

 

 

“ท่านปู่ สวัสดีค่ะ! ”

 

เธอเดินเข้ามาในห้องทำงาน ประสานมือไว้ที่หน้าท้อง โค้งศีรษะลงทักทาย

 

“ฟีเรนเทียมาแล้วหรือ ให้คนนำน้ำผลไม้กับคุกกี้มาไว้เผื่อเจ้าแล้ว กินเยอะๆ ล่ะ”

 

“ค่ะ ท่านปู่! ว้าว!”

 

กำลังหิวอยู่พอดี เยี่ยมมาก

 

เธอส่งเสียงร้องตะโกนด้วยความดีใจเหมือนเด็กๆ วิ่งไปยังโซฟาหน้าโต๊ะที่มีของกินวางอยู่เต็มไปหมด

 

“ท่านพ่อ ข้าเองก็มาด้วยครับ”

 

“อืม”

 

หืมอารมณ์ของท่านปู่แตกต่างมากเอาเรื่อง

 

ตอนมองเธอยังยิ้มอยู่เลย แต่พอท่านพ่อเอ่ยทักทาย ท่านปู่ก็เปลี่ยนสีหน้ากลับไปเป็นเคร่งขรึมอีกครั้ง

 

เธอเคี้ยวคุกกี้ง่ำๆ ด้วยท่าทางมีความสุขที่สุดในโลกเมื่อได้กินของหวานพลางเอียงหูลอบฟังบทสนทนาของท่านปู่กับท่านพ่อ

 

“คงเพราะเป็นผ้าทอที่ยังไม่เคยได้ยินชื่อ ปริมาณคำสั่งซื้อถึงไม่ค่อยน่าพอใจนักครับ”

 

“ปริมาณผ้าที่ทอเสร็จเรียบร้อยแล้วมีประมาณเท่าไหร่”

 

“ปริมาณมากพอที่จะส่งให้ห้องเสื้อเซเดคิวนาร์ทั้งหมดได้ในทันทีครับ กำลังทำการปรับเปลี่ยนปริมาณการผลิตให้เข้ากับปริมาณคำสั่งซื้อทีละน้อย แต่อย่างไรก็คงไม่อาจลดจำนวนคนงานลงไปได้มากกว่านี้”

 

“ถ้าทำอย่างนั้นหากมีคำสั่งซื้อจำนวนมากเข้ามา กำลังการผลิตก็จะไม่พอสินะ”

 

“ครับ เพราะฉะนั้น…”

 

ไปได้ไม่ดีอย่างนั้นเหรอ

 

ทั้งท่านพ่อ ทั้งท่านปู่ ต่างก็มีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่

 

ทำเอาเธอรู้สึกกังวลไปด้วย

 

กิจการผ้าทอครั้งนี้จะต้องเป็นฐานอันแข็งแกร่งให้แก่ท่านพ่อ

 

เธอลดเสียงเคี้ยวคุกกี้ลง ตั้งสมาธิอยู่กับบทสนทนาที่แอบลอบฟัง

 

“ลองปรึกษากับเครย์ลีบันดูหรือยัง”

 

ท่านปู่ครุ่นคิดไปพลางเคาะที่วางแขนเก้าอี้เสียงดังก๊อก ก๊อก ก่อนจะเอ่ยถามท่านพ่อ

 

“ลองปรึกษาดูแล้ว แต่ก็ยังไม่มีความก้าวหน้าอะไรเลยครับ”

 

“เช่นนั้นก็คงจะได้แต่รอสินะ”

 

“ครับ ท่านพ่อ”

 

ถึงแม้ภายนอกจะพยายามไม่แสดงออก แต่ใบหน้าของท่านพ่อกำลังแสดงให้เห็นว่าลำบากใจ และกังวลเป็นอย่างมาก หากเป็นเธอก็คงจะเป็นเหมือนกัน

 

เพราะต่อให้เป็นคำสั่งของท่านปู่ แต่อย่างไรก็ดันกลายเป็นว่าแย่งแผนธุรกิจที่เบเจอร์ผู้เป็นพี่ชายเป็นคนคิดมารับผิดชอบแทนอยู่ดี แถมธุรกิจที่ต้องรับผิดชอบนั่น ยังเป็นกิจการขนาดใหญ่ที่เกี่ยวพันกับเชื้อพระวงศ์อีกด้วย

 

เธอถอนหายใจเสียงแผ่ว

 

“มาลองดูเนื้อผ้ากันหน่อยเถอะ”

 

“นี่ครับ”

 

ท่านพ่อยื่นผ้าฝ้ายโคโรอีที่ถูกตัดแบ่งเป็นผืนใหญ่ออกไป เมื่อได้ยินคำพูดของท่านปู่

 

“ออกมานุ่มและเบากว่าที่คิดอีกครับ ง่ายต่อการย้อมสีได้หลากสีสัน ทั้งยังระบายอากาศได้ดี เมื่อถึงฤดูร้อนคงจะนำไปปรับใช้ได้อย่างหลากหลายมากทีเดียวครับ”

 

“แต่ยังเหลืออีกหลายเดือนกว่าจะถึงฤดูร้อน”

 

ดูเหมือนว่าปัญหาคือ ไม่สามารถหาหนทางขายผ้าทอที่ผลิตเสร็จได้ในทันที

 

ยังเหลืออีกหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่จะเริ่มทำการวางจำหน่ายอย่างเต็มตัว

 

เป็นช่วงเวลาที่จะต้องเริ่มกำหนดคำสั่งซื้อที่ต้องจัดส่งสินค้าที่แน่นอนได้แล้ว

 

เธอวางคุกกี้ลงด้วยใจที่อึดอัด แล้วเดินเข้าไปหาท่านพ่อ

 

“พ่อ! ข้าดูบ้างสิคะ! ข้าด้วย!”

 

ท่านพ่อยิ้มก่อนจะส่งผ้าขนาดใหญ่เหมือนกับที่ส่งให้ท่านปู่มาให้เธออย่างช่วยไม่ได้

 

“ว้าว…”

 

ที่ท่านพ่อบอกถูกแล้ว

 

ผ้าฝ้ายโคโรอีมันนุ่มมากเสียจนผ้าที่ทอจากโคโรอีเพียงอย่างเดียวเทียบไม่ติดเนื้อผ้าหนาพอประมาณ แต่มันเบามากเสียจนแทบไม่ทิ้งความรู้สึกยามสัมผัสผิวกาย ไม่รู้สึกระคายเคืองเลยแม้แต่น้อยด้วย

 

พอลองลูบไล้ด้วยปลายนิ้ว ก็แน่ใจได้แล้วว่าทั้งความสามารถในการระบายอากาศและความสามารถในการดูดซับน้ำต่างก็ดีกันทั้งคู่

 

อีกอย่างเพราะผสมฝ้ายลงไป ทำให้ไม่ต้องย้อมสีก็ให้เนื้อสัมผัสที่เรียบลื่น และยังดูหรูหราอีกด้วย

 

“ตอนนี้วิธีที่ดีที่สุดคงจะเป็นรอดูกระแสตอบรับของห้องเสื้อในย่านการค้าเซดาคิวนาร์ ที่ตอบตกลงซื้อขายกับทางเราครับ”

 

ท่านพ่อพูดราวกับตัดสินใจแล้ว

 

“ในเมื่อสินค้าดีพอ หากรอเสียหน่อย จะต้องมีกระแสตอบกลับมาแน่ครับ”

 

แต่ท่านปู่ยังคงครุ่นคิดหาวิธีการอื่นจึงไม่ตอบอะไร

 

ฟีเรนเทียเองก็คิดเหมือนกันกับท่านปู่

 

การวางมือเอาแต่เฝ้ารอทั้งๆ ที่ผลิตสินค้าดีขนาดนี้ขึ้นมา มันไม่ใช่วิธีการที่ดีที่สุด

 

หากปัญหาไม่ได้หนักหนาอะไร ต่อให้ต้องเพิ่มเงินลงทุกสักเล็กน้อย การประกาศแจ้งให้ผู้คนได้รู้จักก็ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญแค่ได้ชื่อว่าเป็นสินค้าที่เกิดจากการร่วมมือระหว่างลอมบาร์เดียกับอังเกนัส พวกชนชั้นสูงก็ให้ความสนใจกันมากพอสมควรอยู่แล้ว

 

ท่านพ่อก็แค่ต้องการแรงกระตุ้นเท่านั้น

 

ของที่ไม่ใหญ่เกินไป ไม่เล็กเกินไป พกพาได้สะดวก และเป็นการโฆษณาไปในตัว ของกระตุ้นพวกนั้น

 

‘ไม่มีบ้างเลยเหรอ’

 

นัยน์ตาของเธอกวาดไปมองรอบๆ ก่อนจะเหลือบเห็นแก้วชาที่วางอยู่ตรงหน้าท่านพ่อ

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 18.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 18.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ทางตอนใต้ของอาณาเขตที่อยู่ภายใต้การปกครองขององค์จักรพรรดิโดยตรง มีเขตแดนหนึ่งซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของพวกชนชั้นสูงรวมกันอยู่อย่างเนืองแน่น

 

สถานที่แห่งนี้ที่เรียกกันทั่วไปว่า ‘โนเบิล ทาวน์’ มีการตกแต่งที่งดงามและดูหรูหราจนเขตพื้นที่อื่นเทียบไม่ติด

 

ย่านการค้าเซดาคิวนาร์ซึ่งเป็นถนนสายที่รวบรวมร้านค้าระดับสูงมากมาย ในวันนี้เองก็เต็มไปด้วยเหล่าชนชั้นสูงกับบรรดาพ่อค้าร่ำรวย

 

ภัตตาคาร ‘วิกตอเรียเพลส’ เพิ่งเปิดใหม่ได้ไม่นานแต่มีคนจองคิวเต็มทุกวัน ในวันนี้ทางร้านกลับไม่รับลูกค้าท่านอื่น เพื่อรองรับคนเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น

 

งานเลี้ยงพบปะที่ว่านั่นเป็นงานเลี้ยงที่มีชื่อเสียงในแวดวงสังคม ซึ่งบุตรชายคนโตของเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียอย่างเบเจอร์ ลอมบาร์เดีย เป็นเจ้าภาพในการจัดงานฤดูกาลละครั้ง

 

“เห็นว่าคราวนี้ตระกูลลอมบาร์เดียกับตระกูลอังเกนัสร่วมมือกันทำธุรกิจหรือครับ”

 

“ข้าเองก็ได้ยินเรื่องนั้นมาเหมือนกันครับ! ตั้งหน้าตั้งตารอชมเลยนะครับเนี่ย!”

 

หัวข้อแรกที่เหล่าชนชั้นสูงซึ่งรวมตัวกันอยู่ในที่แห่งนี้กลุ่มละสามสี่คนเปิดประเด็นสนทนากันนั้น เป็นหัวข้อเดียวเหมือนกันหมดทุกกลุ่ม

 

ประเด็นที่น่าสนใจในแวดวงสังคมช่วงนี้คือการร่วมมือกันของสองตระกูลที่ไม่สนใจใครหน้าไหน อย่างตระกูลลอมบาร์เดียผู้อยู่เหนือชนชั้นสูงขึ้นไปอีกระดับได้จับมือร่วมกันทำธุรกิจกับตระกูลอังเกนัสซึ่งยึดครองตำแหน่งจักรพรรดินีมาถึงสี่สมัย

 

ถึงแม้จะยังไม่ได้ทำการประกาศออกไปอย่างเป็นทางการ แต่ข่าวลือก็พูดกันไปทั่วปากต่อปากเสียแล้ว

 

“ได้ยินว่าเป็นกิจการผ้าทอ มันคืออะไรกันแน่ครับ”

 

“ไม่ใช่ว่าแค่ไปซื้อจากตะวันตกแล้วนำเข้ามาขายเฉยๆ หรอกหรือครับ”

 

“อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้ เดิมทีตระกูลอังเกนัสก็มีรากฐานมาจากทางตะวันตกอยู่แล้ว หากใช้กลุ่มการค้าของลอมบาร์เดีย ย่อมสามารถเดินทางระยะไกลแบบนั้นได้แน่นอน”

 

ท่ามกลางผู้คนที่คาดเดากันไปต่างๆ นานา ริมฝีปากของเบเจอร์สั่นระริก พยายามรักษารอยยิ้มให้คงไว้อยู่บนใบหน้าเพราะความโกรธแค้นเรื่องของแคลอฮัน ทำให้แต่ละคืนเขาได้แต่นอนผวาจนเพิ่งจะกลับมาเป็นปกติได้ไม่นานนัก

 

เขาปลอบใจตัวเองให้คิดเสียว่าก็แค่มอบธุรกิจให้แคลอฮันที่จนถึงตอนนี้ยังไม่เคยลองทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักชิ้น เพียงแค่กิจการเดียวเท่านั้นแต่พอเห็นว่าแผนธุรกิจนั่นกลับกลายเป็นประเด็นติดปากคนอื่นขนาดนี้ มันก็ทำให้รู้สึกโมโหจนเดือดพล่านอีกครั้ง

 

“เบเจอร์”

 

มือข้างหนึ่งลูบลงบนไหล่แข็งเกร็งของเบเจอร์ นางคือเซรัล ผู้เป็นภริยาของเขา

 

“คนอื่นๆ มองอยู่นะคะ ที่รัก”

 

เซรัลฉีกยิ้มพลางกระซิบคำพูดเสียงหวานอ่อนโยน แต่เสียงหวานๆ นั่นกลับทำให้เบเจอร์ตั้งสติขึ้นมาได้

 

จริงเสียด้วย เหล่าชนชั้นสูงที่กำลังพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องกิจการผ้าทอ ต่างก็เหลือบสายตามองมาที่เบเจอร์กันอยู่

 

พวกคนที่ไวต่อข่าวลือ ย่อมไม่มีทางไม่รู้ว่าธุรกิจที่ลอมบาร์เดียกับอังเกนัสร่วมมือกันนั้น ที่จริงแล้วเป็นกิจการที่เขาเป็นหัวเรือผลักดันเมื่อตอนแรก

 

ทั้งๆ ที่รู้ว่าเรื่องราวกลายมาเป็นแบบนี้ได้ยังไง แต่คนพวกนั้นก็ยังพูดคุยเรื่องกิจการผ้าทอต่อหน้าต่อตาเบเจอร์ ทำราวกับมันเป็นเรื่องใหญ่โต

 

ที่นี่คือสนามรบ

 

เบเจอร์ยกแก้วในมือขึ้นดื่มอย่างรวดเร็ว เพื่อเก็บซ่อนสีหน้าของตน

 

ผู้คนมากมายเฝ้ารอดูเบเจอร์ระเบิดอารมณ์โมโหออกมาเหมือนอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ แต่เมื่อเห็นเขายังคงสงบนิ่ง ก็ไม่อาจซ่อนความผิดหวังเอาไว้ได้เลย

 

ใบหน้าพวกนั้นแสดงออกอย่างชัดเจนว่าคงจะอดรับชมเรื่องสนุกเสียแล้ว

 

“พวกเราออกไปรับลมกันหน่อยมั้ยคะ”

 

เซรัลเอ่ยพูดทำให้เบเจอร์ต้องลุกขึ้นจากโต๊ะ นางเดินมุ่งหน้าไปยังบริเวณที่ไม่ค่อยมีคนนักด้วยท่วงท่าสง่างาม

 

เซรัลสำรวจดูรอบๆ อีกครั้งให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ แล้วจึงเอ่ยพูด

 

“ท่านแคลอฮันเองก็ถึงเวลาหาเงินหาทองบ้างแล้วสินะ ว่ามั้ยคะ”

 

เซรัลตบไหล่ของสามีเบาๆ เสียงดังปุ ปุ พลางเอ่ยพูด

 

“คงงั้นแหละมันก็เป็นแค่กิจการที่ได้แตะเสื้อผ้านิดหน่อยเท่านั้นเอง ต่อให้ไปได้ดีแล้วจะไปได้ไกลขนาดไหนเชียว”

 

“แน่นอนอยู่แล้วละค่ะ เพราะฉะนั้นอย่าไปใส่ใจเลยนะคะ”

 

เซรัลเข้าใจความอึดอัดใจของเบเจอร์เป็นอย่างดี

 

เขาอาจจะเป็นบุตรชายคนโตของรูลลัก แต่ก็เป็นคนที่ยังด้อยความสามารถอยู่มาก

 

เธอเองก็เป็นคนที่รู้จักประเมินสามีของตัวเองในมุมมองของคนที่สามเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจึงได้เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

 

“ท่านแคลอฮันน่ะ จนถึงตอนนี้ก็เป็นเพียงแค่น้องเล็กที่ว่างงานไปวันๆ เท่านั้นเองลองหันไปมองรอบตัวสิคะ ในแวดวงสังคม ลอมบาร์เดียยังเป็นชื่อของคุณอยู่นะคะ”

 

มันเป็นเพียงแค่คำพูดเล็กๆ น้อยๆ แต่ใบหน้าของเบเจอร์ที่หันไปมองรอบตัวตามคำพูดของภริยากลับสดใสขึ้นมาก

 

เซรัลทราบดีว่าเขาอ่อนไหวง่ายกับเรื่องใด เขาคิดให้ความสำคัญกับเรื่องใด เธอจึงสามารถพูดมันออกมาได้อย่างง่ายดาย

 

“เบเลซัก มานี่สิ”

 

เซรัลเอ่ยเรียกเบเลซักที่กลั่นแกล้งผีเสื้ออยู่ไม่ไกลนัก

 

“วันนี้ข้าบอกแล้วใช่มั้ยว่าต้องไปเล่นกับบุตรตระกูลใด”

 

“อืมตระกูลเมมเบรท กับตระกูลเบลเลทีโรนครับ แต่ท่านแม่”

 

เบเลซักทำหน้านิ่วบิดตัวไปมาในขณะที่เอ่ยพูด

 

“พวกนั้นมันน่าเบื่อสุดๆ เลย ข้าเล่นคนเดียวไม่ได้หรือครับ แบบนั้นน่าจะสนุกกว่านะครับ”

 

สำหรับเบเลซักแล้ว บุตรชายคนที่สองของเมมเบรท กับบุตรชายคนที่สามของเบลเลทีโรน เป็นเพียงแค่พวกขี้ขลาดไม่รู้จักวิธีการเล่นสนุก

 

“เบเลซัก ข้าบอกว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการใช้ชีวิตให้สมกับเป็นชนชั้นสูงคืออะไร”

 

เบเลซักเบ้ปาก เมื่อนึกถึงคำพูดที่ได้ยินทุกครั้งที่โดนมารดาดุจนแก้วหูแทบทะลุ

 

“คอนเน็กชั่นครับ และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือใครกันที่เหมาะสม”

 

“ใช่ ถูกต้องแล้ว ดังนั้นไปทักทายคุณชายเมมเบรทกับคุณชายเบลเลทีโรนเสีย อย่าลืมยิ้มดีใจที่ได้พบหน้ากันด้วยล่ะ เข้าใจมั้ย”

 

“คร้าบ”

 

สุดท้ายเบเลซักก็ไหล่ลู่ เดินออกไปตามที่มารดาสั่ง เพื่อแสร้งทำตัวราวกับสนิทสนมกันเป็นอย่างดี

 

“คุณเองก็ตั้งสติได้แล้วค่ะ ท่านแคลอฮันน่ะอย่างไรก็ไม่มีทางยุ่งไปได้ตลอดอยู่แล้ว”

 

เซรัลไม่คิดว่าแคลอฮันที่เพิ่งเคยลงมือเป็นผู้นำธุรกิจครั้งแรกจะสามารถดำเนินการจนได้ผลลัพธ์ออกมาดีอยู่แล้ว

 

ดังนั้นเธอจึงตั้งใจว่าจะรอโอกาสพูดคุยกับตระกูลอังเกนัส เพื่อชักชวนให้พวกเขาตัดสินใจเริ่มธุรกิจใหม่ด้วยกันกับเบเจอร์

 

ไม่นานหลังจากนั้น สองสามีภรรยาก็ควงแขนกันอย่างรักใคร่กลับเข้าไปที่โต๊ะราวกับไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น พวกเขาดำเนินงานเลี้ยงพบปะต่อไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

 

 

“ท่านปู่ สวัสดีค่ะ! ”

 

เธอเดินเข้ามาในห้องทำงาน ประสานมือไว้ที่หน้าท้อง โค้งศีรษะลงทักทาย

 

“ฟีเรนเทียมาแล้วหรือ ให้คนนำน้ำผลไม้กับคุกกี้มาไว้เผื่อเจ้าแล้ว กินเยอะๆ ล่ะ”

 

“ค่ะ ท่านปู่! ว้าว!”

 

กำลังหิวอยู่พอดี เยี่ยมมาก

 

เธอส่งเสียงร้องตะโกนด้วยความดีใจเหมือนเด็กๆ วิ่งไปยังโซฟาหน้าโต๊ะที่มีของกินวางอยู่เต็มไปหมด

 

“ท่านพ่อ ข้าเองก็มาด้วยครับ”

 

“อืม”

 

หืมอารมณ์ของท่านปู่แตกต่างมากเอาเรื่อง

 

ตอนมองเธอยังยิ้มอยู่เลย แต่พอท่านพ่อเอ่ยทักทาย ท่านปู่ก็เปลี่ยนสีหน้ากลับไปเป็นเคร่งขรึมอีกครั้ง

 

เธอเคี้ยวคุกกี้ง่ำๆ ด้วยท่าทางมีความสุขที่สุดในโลกเมื่อได้กินของหวานพลางเอียงหูลอบฟังบทสนทนาของท่านปู่กับท่านพ่อ

 

“คงเพราะเป็นผ้าทอที่ยังไม่เคยได้ยินชื่อ ปริมาณคำสั่งซื้อถึงไม่ค่อยน่าพอใจนักครับ”

 

“ปริมาณผ้าที่ทอเสร็จเรียบร้อยแล้วมีประมาณเท่าไหร่”

 

“ปริมาณมากพอที่จะส่งให้ห้องเสื้อเซเดคิวนาร์ทั้งหมดได้ในทันทีครับ กำลังทำการปรับเปลี่ยนปริมาณการผลิตให้เข้ากับปริมาณคำสั่งซื้อทีละน้อย แต่อย่างไรก็คงไม่อาจลดจำนวนคนงานลงไปได้มากกว่านี้”

 

“ถ้าทำอย่างนั้นหากมีคำสั่งซื้อจำนวนมากเข้ามา กำลังการผลิตก็จะไม่พอสินะ”

 

“ครับ เพราะฉะนั้น…”

 

ไปได้ไม่ดีอย่างนั้นเหรอ

 

ทั้งท่านพ่อ ทั้งท่านปู่ ต่างก็มีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่

 

ทำเอาเธอรู้สึกกังวลไปด้วย

 

กิจการผ้าทอครั้งนี้จะต้องเป็นฐานอันแข็งแกร่งให้แก่ท่านพ่อ

 

เธอลดเสียงเคี้ยวคุกกี้ลง ตั้งสมาธิอยู่กับบทสนทนาที่แอบลอบฟัง

 

“ลองปรึกษากับเครย์ลีบันดูหรือยัง”

 

ท่านปู่ครุ่นคิดไปพลางเคาะที่วางแขนเก้าอี้เสียงดังก๊อก ก๊อก ก่อนจะเอ่ยถามท่านพ่อ

 

“ลองปรึกษาดูแล้ว แต่ก็ยังไม่มีความก้าวหน้าอะไรเลยครับ”

 

“เช่นนั้นก็คงจะได้แต่รอสินะ”

 

“ครับ ท่านพ่อ”

 

ถึงแม้ภายนอกจะพยายามไม่แสดงออก แต่ใบหน้าของท่านพ่อกำลังแสดงให้เห็นว่าลำบากใจ และกังวลเป็นอย่างมาก หากเป็นเธอก็คงจะเป็นเหมือนกัน

 

เพราะต่อให้เป็นคำสั่งของท่านปู่ แต่อย่างไรก็ดันกลายเป็นว่าแย่งแผนธุรกิจที่เบเจอร์ผู้เป็นพี่ชายเป็นคนคิดมารับผิดชอบแทนอยู่ดี แถมธุรกิจที่ต้องรับผิดชอบนั่น ยังเป็นกิจการขนาดใหญ่ที่เกี่ยวพันกับเชื้อพระวงศ์อีกด้วย

 

เธอถอนหายใจเสียงแผ่ว

 

“มาลองดูเนื้อผ้ากันหน่อยเถอะ”

 

“นี่ครับ”

 

ท่านพ่อยื่นผ้าฝ้ายโคโรอีที่ถูกตัดแบ่งเป็นผืนใหญ่ออกไป เมื่อได้ยินคำพูดของท่านปู่

 

“ออกมานุ่มและเบากว่าที่คิดอีกครับ ง่ายต่อการย้อมสีได้หลากสีสัน ทั้งยังระบายอากาศได้ดี เมื่อถึงฤดูร้อนคงจะนำไปปรับใช้ได้อย่างหลากหลายมากทีเดียวครับ”

 

“แต่ยังเหลืออีกหลายเดือนกว่าจะถึงฤดูร้อน”

 

ดูเหมือนว่าปัญหาคือ ไม่สามารถหาหนทางขายผ้าทอที่ผลิตเสร็จได้ในทันที

 

ยังเหลืออีกหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่จะเริ่มทำการวางจำหน่ายอย่างเต็มตัว

 

เป็นช่วงเวลาที่จะต้องเริ่มกำหนดคำสั่งซื้อที่ต้องจัดส่งสินค้าที่แน่นอนได้แล้ว

 

เธอวางคุกกี้ลงด้วยใจที่อึดอัด แล้วเดินเข้าไปหาท่านพ่อ

 

“พ่อ! ข้าดูบ้างสิคะ! ข้าด้วย!”

 

ท่านพ่อยิ้มก่อนจะส่งผ้าขนาดใหญ่เหมือนกับที่ส่งให้ท่านปู่มาให้เธออย่างช่วยไม่ได้

 

“ว้าว…”

 

ที่ท่านพ่อบอกถูกแล้ว

 

ผ้าฝ้ายโคโรอีมันนุ่มมากเสียจนผ้าที่ทอจากโคโรอีเพียงอย่างเดียวเทียบไม่ติดเนื้อผ้าหนาพอประมาณ แต่มันเบามากเสียจนแทบไม่ทิ้งความรู้สึกยามสัมผัสผิวกาย ไม่รู้สึกระคายเคืองเลยแม้แต่น้อยด้วย

 

พอลองลูบไล้ด้วยปลายนิ้ว ก็แน่ใจได้แล้วว่าทั้งความสามารถในการระบายอากาศและความสามารถในการดูดซับน้ำต่างก็ดีกันทั้งคู่

 

อีกอย่างเพราะผสมฝ้ายลงไป ทำให้ไม่ต้องย้อมสีก็ให้เนื้อสัมผัสที่เรียบลื่น และยังดูหรูหราอีกด้วย

 

“ตอนนี้วิธีที่ดีที่สุดคงจะเป็นรอดูกระแสตอบรับของห้องเสื้อในย่านการค้าเซดาคิวนาร์ ที่ตอบตกลงซื้อขายกับทางเราครับ”

 

ท่านพ่อพูดราวกับตัดสินใจแล้ว

 

“ในเมื่อสินค้าดีพอ หากรอเสียหน่อย จะต้องมีกระแสตอบกลับมาแน่ครับ”

 

แต่ท่านปู่ยังคงครุ่นคิดหาวิธีการอื่นจึงไม่ตอบอะไร

 

ฟีเรนเทียเองก็คิดเหมือนกันกับท่านปู่

 

การวางมือเอาแต่เฝ้ารอทั้งๆ ที่ผลิตสินค้าดีขนาดนี้ขึ้นมา มันไม่ใช่วิธีการที่ดีที่สุด

 

หากปัญหาไม่ได้หนักหนาอะไร ต่อให้ต้องเพิ่มเงินลงทุกสักเล็กน้อย การประกาศแจ้งให้ผู้คนได้รู้จักก็ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญแค่ได้ชื่อว่าเป็นสินค้าที่เกิดจากการร่วมมือระหว่างลอมบาร์เดียกับอังเกนัส พวกชนชั้นสูงก็ให้ความสนใจกันมากพอสมควรอยู่แล้ว

 

ท่านพ่อก็แค่ต้องการแรงกระตุ้นเท่านั้น

 

ของที่ไม่ใหญ่เกินไป ไม่เล็กเกินไป พกพาได้สะดวก และเป็นการโฆษณาไปในตัว ของกระตุ้นพวกนั้น

 

‘ไม่มีบ้างเลยเหรอ’

 

นัยน์ตาของเธอกวาดไปมองรอบๆ ก่อนจะเหลือบเห็นแก้วชาที่วางอยู่ตรงหน้าท่านพ่อ

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+