เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 176.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 176.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เล่ม 5 บทที่ 176.2

อาสทาน่าไม่โผล่หน้ามาที่วังจักรพรรดินีตั้งแต่เมื่อประมาณหนึ่งเดือนก่อน

“มีข่าวลือว่าเสด็จแม่บ้าคลั่งไปแล้วกระจายไปทั่ววัง! ข้าเป็นเจ้าชายที่จะขึ้นสืบทอดบัลลังก์ ถ้าอยู่ข้างกายคนบ้าแล้วเกิดได้รับบาดเจ็บขึ้นมาจะทำยังไง ท่านน้าก็แวะไปบอกข่าวคราวของข้าแทนก็แล้วกัน!”

นั่นเป็นข้ออ้างที่อาสทาน่าตอบกลับมา เพื่อที่จะหลบเลี่ยงเรื่องน่ารำคาญใจอย่างการแวะมาเยี่ยมเยียนทักทายที่วังจักรพรรดินี

มันเป็นคำพูดที่ฟังดูเลือดเย็นต่อคนเป็นแม่ก็จริง แต่ดิวอิจ อังเกนัส ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย

‘ยังไงอาสทาน่าก็เป็นโอรสของราวีนี จะมีนิสัยเหมือนกันก็เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว’

จะว่าเป็นบาปของราวีนีก็ได้ที่คลอดโอรสแบบนั้นออกมา

“เจ้าชายงานยุ่งมากเลยไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”

ดิวอิจเก็บซ่อนความคิดเอาไว้ในใจขณะที่เอ่ยปากราวกับเป็นเรื่องช่วยไม่ได้

และบอกเล่าเรื่องความเป็นไปล่าสุดเกี่ยวกับอาสทาน่าออกไปโดยไม่ได้คิดอะไร

“ยิ่งเวลาผ่านไปเจ้าชายก็ยิ่งพัฒนาความสามารถในการล่าสัตว์มากขึ้นเรื่อยๆ พ่ะย่ะค่ะ เมื่อไม่นานมานี้ได้ข่าวว่าแย่งชิงอันดับที่ 2 ในการแข่งขันล่าสัตว์ประจำฤดูใบไม้ร่วงมาได้ด้วย”

ในวินาทีที่คำพูดนั้นหลุดออกจากปาก ดิวอิจก็รู้ตัวทันทีว่าพลาดไปเสียแล้ว

เป็นอย่างที่คิดจริงๆ จักรพรรดินีราวีนีหรี่ตาลง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น

“อันดับ 2 เหรอ เช่นนั้นอันดับ 1 เป็นใครกัน”

“ระ…เรื่องนั้น…”

“พูดมาเดี๋ยวนี้ ดิวอิจ”

ดิวอิจ อังเกนัส แทบจะเคี้ยวลิ้นของตัวเองกลืนลงคอ

ทำไมถึงได้เล่าเรื่องนี้ออกไปเนี่ย!

ภายใต้สายตาดุร้ายของจักรพรรดินี เขาก็เอาแต่เงียบต่อไปก็ไม่ได้ด้วย

สุดท้ายจึงได้แต่หลับตาแน่น เปิดปากพูดขึ้น

“จะ…เจ้าชายลำดับที่สองพ่ะย่ะค่ะ”

กรอดดดด

เสียงกัดฟันคำรามดังขึ้น

แค่คำว่า ‘เจ้าชายลำดับที่สอง’ เพียงคำเดียวก็ทำให้ราวีนีเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง

ใบหน้ายิ้มแย้มที่เคยหัวเราะอ่อนโยนดูใจดีจางหายไป แววตาพลันส่องประกายไปด้วยโทสะ

แกรก

“นำน้ำร้อนมาเปลี่ยนให้ตามที่องค์จักรพรรดินีมีรับสั่งแล้วเพคะ”

โชคร้ายที่นางกำนัลสาวดันถือกาน้ำชาเข้ามาอย่างระมัดระวังผิดจังหวะพอดี

“ให้ตายเถอะ”

ดิวอิจ อังเกนัส เดาะลิ้นเสียงดังจิ๊จ๊ะ

โชคร้ายเป็นบ้า

ทำไมต้องเข้ามาตอนนี้ด้วยวะเนี่ย

สำหรับจักรพรรดินีที่กำลังมองหาที่ระบายโทสะอันแสนเดือดพล่านแล้ว นางกำนัลผู้ไร้เดียงสาไม่ได้รู้อีโหน่อีเหน่อันใดด้วยนางนี้ ก็ไม่ต่างอันใดกับเหยื่อที่เหมาะสมยิ่ง

จักรพรรดินีเขวี้ยงกาน้ำชาที่วางอยู่บนถาดกระเด็นตกใส่ปลายเท้าของนางกำนัล

เพล้ง-!

“กรี๊ด!”

น้ำร้อนสาดกระเซ็นลงบนเท้าลามไปถึงข้อเท้า ทำให้นางกำนัลสาวกรีดร้องเสียงดังลั่น

“อะ…องค์จักรพรรดินี…”

“นี่เจ้าคิดจะลอบทำร้ายข้าหรือยังไง”

“ทะ…ทรงตรัสเรื่องใดกัน…หม่อมฉันเพียงแค่ทำตามรับสั่ง…”

“น้ำเดือนปุดๆ ขนาดนี้ ยังเอามาให้ข้าดื่มเนี่ยนะ คิดว่าข้ารู้ไม่ทันความคิดในใจของเจ้าหรือไงกัน!”

“ฮึก!มะ…หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจทำเช่นนั้นจริงๆ …”

นางกำนัลสาวตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวและความเจ็บปวด นางส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปทางดิวอิจ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมากลับมีเพียงแค่เสียงเดาะลิ้นดังจิ๊จ๊ะ พร้อมกับที่อีกฝ่ายแค่เบือนหน้าหันไปทางอื่นเท่านั้น

นางกำนัลสาวรีบคุกเข่าก้มหมอบด้วยใบหน้าซีดเผือด

“วะ…ไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วยเพคะ องค์จักรพรรดินี!”

น้ำเสียงนั้นอาจจะฟังดูน่าสงสาร แต่จักรพรรดินีไม่แม้แต่จะกะพริบตาด้วยซ้ำ

“หัวหน้านางกำนัล ลากตัวนังนี่ออกไป!”

สุดท้ายหัวหน้านางกำนัลผู้เป็นมือขวาอยู่ข้างกายจักรพรรดินีก็เดินนำเหล่าข้ารับใช้ร่างกายกำยำสูงใหญ่เข้ามา ก่อนจะให้พวกเขาลากตัวนางกำนัลสาวออกไป หลังจากนั้นสีหน้าของจักรพรรดินีถึงได้ค่อยดูอารมณ์ดีขึ้นมาได้บ้าง

ราวีนีเอ่ยพูดพลางใช้มือปัดชายชุดเดรสที่เลอะเปรอะน้ำชาออกเบาๆ

“ปล่อยเอาไว้แบบนี้ไม่ได้ ดิวอิจ เจ้าจงส่งคนของอังเกนัสเข้ามาแทนที่นางกำนัลนางนั้นเสีย”

“…พ่ะย่ะค่ะ?”

“ถึงแม้จะเรียกว่าชนชั้นสูง แต่พวกนั้นก็มาจากครอบครัวชั้นต่ำไม่ต่างจากพวกสามัญชน ถึงได้ไม่เคยเล่าเรียนจนเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นไม่ใช่หรือไง ถ้าเป็นคนของอังเกนัสละก็ คงพอจะเอามาใช้งานข้างกายข้าได้บ้าง”

ในอังเกนัสตอนนี้ หญิงสาวที่เติบโตจนอยู่ในช่วงวัยที่พอจะเข้ามาทำงานในฐานะนางกำนัลได้ ก็มีแต่บุตรสาวของดิวอิจเท่านั้น

ดิวอิจใช้สมองครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว เพื่อหาข้ออ้างในการหลีกเลี่ยงคำถามนี้ แต่ใบหน้าก็ยังคงยิ้มแย้มไม่จางหาย

พยายามนึกถึงเรื่องอื่นที่พอจะยกมาเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาเสีย

ในตอนนั้นเองพลันนึกขึ้นได้ว่ายังมีสารฉบับหนึ่งที่เขาเก็บเอาไว้ในอกเสื้อ จึงเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ซะ…เซรัลฝากกระหม่อมนำจดหมายฉบับนี้มามอบให้องค์จักรพรรดินีพ่ะย่ะค่ะ”

เห็นบอกว่าตอนนี้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อาจเดินทางเข้าพระราชวังได้ จึงส่งสารมาแจ้งเขาที่คฤหาสน์อังเกนัสแทน

“เซรัล?”

พอเห็นว่าราวีนีดูจะสนอกสนใจขึ้นมา ดิวอิจก็รีบส่งซองจดหมายฉบับนั้นให้อย่างรวดเร็ว

“ตายจริง…”

ราวีนีกวาดสายตาอ่านเนื้อหาในจดหมายที่เซรัลเขียนส่งมา นางพึมพำอุทานเสียงแผ่วคล้ายกับสงสารลูกพี่ลูกน้องคนสนิท

“เซรัลกับเบเจอร์ ลอมบาร์เดีย กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากนี่เอง ดูท่าจะโดนเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียเพ่งเล็งเพราะเรื่องจัดการหมั้นหมายเป็นแน่”

แต่ก็เท่านั้น

ราวีนีโยนจดหมายของเซรัลทิ้งไปด้านข้าง ราวกับแค่กำจัดเศษขยะน่ารำคาญสายตาทิ้ง

ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับลอมบาร์เดียมากไปกว่านั้น

ถึงแม้จะนั่งนิ่งครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่เงียบๆ แต่ภายในใจนางไม่ได้เป็นกังวลเรื่องของเซรัลเลย

“…ท่านพี่?”

ดิวอิจ อังเกนัส เอ่ยถามอย่างระมัดระวังด้วยความแปลกใจ

“ไม่ต้อง…ช่วยเซรัลหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ราวีนีกะพริบนัยน์ตากลมโตงดงามปริบๆ สองสามครั้ง ก่อนจะเอ่ยตอบ

“ทำไมข้าต้องช่วยเซรัลด้วย”

“ระ…เรื่องนั้น…”

ที่ผ่านมาเซรัลก็จงรักภักดีต่อจักรพรรดินีราวีนีเป็นอย่างยิ่ง

นางยอมให้เบเลซักเข้ามาเป็นสหายเพื่อนเล่นของอาสทาน่า ส่วนตัวเองก็แบกรับทำงานสกปรกให้แก่จักรพรรดินีทุกครั้งที่ราวีนีต้องการความช่วยเหลือในงานสังคมต่างๆ

ไม่ใช่แค่นั้น

นางยังจัดการควบคุมเบเจอร์ คอยชักใยอีกฝ่ายอยู่เบื้องหลังเพื่อผลประโยชน์ของอังเกนัสตามที่ราวีนีซึ่งเป็นพี่สาวลูกพี่ลูกน้องสั่งการทุกอย่าง

เพราะอย่างนั้นกิจการใหญ่น้อยต่างๆ ของลอมบาร์เดียอย่างกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มเหมืองแร่ จึงได้ยอมให้ความช่วยเหลือราวีนีอยู่เรื่อยมา

แต่ตอนที่เซรัลกำลังตกอยู่ในปัญหาอย่างตอนนี้ จักรพรรดินีกลับมีท่าทางราวกับลืมบุญคุณทุกอย่างไปจนหมดสิ้น

“ดิวอิจ”

ราวีนีเอ่ยพูดยิ้มๆ

“เห็นว่าโดนริบอำนาจทุกอย่าง ทั้งยังถูกขับไล่ไปอยู่เรือนเล็กแล้ว เซรัลย่อมไม่สามารถช่วยเหลืออะไรข้าได้อีกแล้ว”

ขนลุกชันไปทั่วแขนของดิวอิจ

กระทั่งตอนนี้ความสนใจทั้งหมดของราวีนีก็ยังมีเพียงแค่ ‘เซรัลไม่มีประโยชน์ต่อนางอีกต่อไปแล้ว’ เท่านั้นเอง

“จะว่าไปในเมื่อสามีของเซรัลก็ถูกขับไล่ขนาดนั้น อย่างนี้คงต้องรีบสืบดูเสียแล้วว่าเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียถูกใจบุตรคนใดให้เป็นผู้สืบทอด น่าจะเป็นแคลอฮันหรือเปล่านะ”

จักรพรรดินีพึมพำในขณะที่นัยน์ตาส่องประกายเปี่ยมไปด้วยความมาดหมายอะไรบางอย่าง ส่วนจดหมายของเซรัลก็ถูกลมที่พัดเข้ามาจากด้านนอกพัดพามันปลิวร่วงหล่นลงไปนอนนิ่งอยู่บนพื้นห้องเสียแล้ว

* * *

“คุณหนู มีจดหมายมาค่ะ”

ลอรีลพูดพลางส่งจดหมายปึกหนึ่งให้เธอ

เธอเอ่ยตอบกลับไปทั้งๆ ที่ยังฝังใบหน้าตัวเองจมอยู่กับหนังสือที่กำลังนอนอ่าน

“อื้อ น่ารำคาญน่ะ ยังไงทั้งหมดนั่นก็คงเป็นบัตรเชิญไปร่วมงานเลี้ยงนั่นแหละ”

“ไม่…ก็อยากจะบอกว่าไม่ใช่นะคะ แต่ดูเหมือนคุณหนูจะเดาถูกแล้วละค่ะ”

“วางกองไว้บนโต๊ะก็แล้วกัน ลอรีล เอาไว้เดี๋ยวมีเวลาข้าค่อยตอบกลับไปพร้อมกันว่าไปไม่ได้…เดี๋ยวนะ”

นี่ตอนนี้เธอกำลังเห็นอะไรอยู่เนี่ย

เธอสะดุ้งพรวด หยัดกายที่เคยกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาขึ้น แล้วรีบเดินตรงเข้าไปหาลอรีล

“นั่น…”

ท่ามกลางจดหมายจำนวนมากมาย มีจดหมายฉบับหนึ่งที่ดูโดดเด่นมากเป็นพิเศษปนอยู่ด้วย

“ลอรีล…นี่เจ้าเอาอะไรมากันแน่…”

“ขออภัยค่ะ คุณหนู!ข้าเอาอะไรติดมาหรือคะเนี่ย!”

พอเห็นเธอขมวดคิ้วหน้าบึ้งตึง ลอรีลก็รีบขอโทษขอโพยไม่หยุด

“เฮ้อ…”

เธอถอนหายใจด้วยความหน่ายใจ หลังจากนั้นจึงค่อยจีบนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เข้าด้วยกัน แล้วดึงเอาซองฉบับหนึ่งออกมา

มันเป็นซองจดหมายสีม่วงอันแสนคุ้นตา

“จักรพรรดินีไม่ใช่หรือไง”

สีม่วงเข้มสด

บัตรเชิญของจักรพรรดินีราวีนีจริงด้วย

ก็อยากจะหวังอยู่หรอกว่า บางทีนี่อาจจะต้องถูกส่งไปยังเรือนเล็ก แต่ดันผิดพลาดส่งมาหาเธอเองหรือเปล่า แต่ด้านหลังของซองกลับถูกเขียนเอาไว้ด้วยลายมืองดงามอย่างชัดเจน

‘ฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดีย’

“น่ารำคาญชะมัด”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 176.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 176.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เล่ม 5 บทที่ 176.2

อาสทาน่าไม่โผล่หน้ามาที่วังจักรพรรดินีตั้งแต่เมื่อประมาณหนึ่งเดือนก่อน

“มีข่าวลือว่าเสด็จแม่บ้าคลั่งไปแล้วกระจายไปทั่ววัง! ข้าเป็นเจ้าชายที่จะขึ้นสืบทอดบัลลังก์ ถ้าอยู่ข้างกายคนบ้าแล้วเกิดได้รับบาดเจ็บขึ้นมาจะทำยังไง ท่านน้าก็แวะไปบอกข่าวคราวของข้าแทนก็แล้วกัน!”

นั่นเป็นข้ออ้างที่อาสทาน่าตอบกลับมา เพื่อที่จะหลบเลี่ยงเรื่องน่ารำคาญใจอย่างการแวะมาเยี่ยมเยียนทักทายที่วังจักรพรรดินี

มันเป็นคำพูดที่ฟังดูเลือดเย็นต่อคนเป็นแม่ก็จริง แต่ดิวอิจ อังเกนัส ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย

‘ยังไงอาสทาน่าก็เป็นโอรสของราวีนี จะมีนิสัยเหมือนกันก็เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว’

จะว่าเป็นบาปของราวีนีก็ได้ที่คลอดโอรสแบบนั้นออกมา

“เจ้าชายงานยุ่งมากเลยไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”

ดิวอิจเก็บซ่อนความคิดเอาไว้ในใจขณะที่เอ่ยปากราวกับเป็นเรื่องช่วยไม่ได้

และบอกเล่าเรื่องความเป็นไปล่าสุดเกี่ยวกับอาสทาน่าออกไปโดยไม่ได้คิดอะไร

“ยิ่งเวลาผ่านไปเจ้าชายก็ยิ่งพัฒนาความสามารถในการล่าสัตว์มากขึ้นเรื่อยๆ พ่ะย่ะค่ะ เมื่อไม่นานมานี้ได้ข่าวว่าแย่งชิงอันดับที่ 2 ในการแข่งขันล่าสัตว์ประจำฤดูใบไม้ร่วงมาได้ด้วย”

ในวินาทีที่คำพูดนั้นหลุดออกจากปาก ดิวอิจก็รู้ตัวทันทีว่าพลาดไปเสียแล้ว

เป็นอย่างที่คิดจริงๆ จักรพรรดินีราวีนีหรี่ตาลง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น

“อันดับ 2 เหรอ เช่นนั้นอันดับ 1 เป็นใครกัน”

“ระ…เรื่องนั้น…”

“พูดมาเดี๋ยวนี้ ดิวอิจ”

ดิวอิจ อังเกนัส แทบจะเคี้ยวลิ้นของตัวเองกลืนลงคอ

ทำไมถึงได้เล่าเรื่องนี้ออกไปเนี่ย!

ภายใต้สายตาดุร้ายของจักรพรรดินี เขาก็เอาแต่เงียบต่อไปก็ไม่ได้ด้วย

สุดท้ายจึงได้แต่หลับตาแน่น เปิดปากพูดขึ้น

“จะ…เจ้าชายลำดับที่สองพ่ะย่ะค่ะ”

กรอดดดด

เสียงกัดฟันคำรามดังขึ้น

แค่คำว่า ‘เจ้าชายลำดับที่สอง’ เพียงคำเดียวก็ทำให้ราวีนีเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง

ใบหน้ายิ้มแย้มที่เคยหัวเราะอ่อนโยนดูใจดีจางหายไป แววตาพลันส่องประกายไปด้วยโทสะ

แกรก

“นำน้ำร้อนมาเปลี่ยนให้ตามที่องค์จักรพรรดินีมีรับสั่งแล้วเพคะ”

โชคร้ายที่นางกำนัลสาวดันถือกาน้ำชาเข้ามาอย่างระมัดระวังผิดจังหวะพอดี

“ให้ตายเถอะ”

ดิวอิจ อังเกนัส เดาะลิ้นเสียงดังจิ๊จ๊ะ

โชคร้ายเป็นบ้า

ทำไมต้องเข้ามาตอนนี้ด้วยวะเนี่ย

สำหรับจักรพรรดินีที่กำลังมองหาที่ระบายโทสะอันแสนเดือดพล่านแล้ว นางกำนัลผู้ไร้เดียงสาไม่ได้รู้อีโหน่อีเหน่อันใดด้วยนางนี้ ก็ไม่ต่างอันใดกับเหยื่อที่เหมาะสมยิ่ง

จักรพรรดินีเขวี้ยงกาน้ำชาที่วางอยู่บนถาดกระเด็นตกใส่ปลายเท้าของนางกำนัล

เพล้ง-!

“กรี๊ด!”

น้ำร้อนสาดกระเซ็นลงบนเท้าลามไปถึงข้อเท้า ทำให้นางกำนัลสาวกรีดร้องเสียงดังลั่น

“อะ…องค์จักรพรรดินี…”

“นี่เจ้าคิดจะลอบทำร้ายข้าหรือยังไง”

“ทะ…ทรงตรัสเรื่องใดกัน…หม่อมฉันเพียงแค่ทำตามรับสั่ง…”

“น้ำเดือนปุดๆ ขนาดนี้ ยังเอามาให้ข้าดื่มเนี่ยนะ คิดว่าข้ารู้ไม่ทันความคิดในใจของเจ้าหรือไงกัน!”

“ฮึก!มะ…หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจทำเช่นนั้นจริงๆ …”

นางกำนัลสาวตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวและความเจ็บปวด นางส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปทางดิวอิจ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมากลับมีเพียงแค่เสียงเดาะลิ้นดังจิ๊จ๊ะ พร้อมกับที่อีกฝ่ายแค่เบือนหน้าหันไปทางอื่นเท่านั้น

นางกำนัลสาวรีบคุกเข่าก้มหมอบด้วยใบหน้าซีดเผือด

“วะ…ไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วยเพคะ องค์จักรพรรดินี!”

น้ำเสียงนั้นอาจจะฟังดูน่าสงสาร แต่จักรพรรดินีไม่แม้แต่จะกะพริบตาด้วยซ้ำ

“หัวหน้านางกำนัล ลากตัวนังนี่ออกไป!”

สุดท้ายหัวหน้านางกำนัลผู้เป็นมือขวาอยู่ข้างกายจักรพรรดินีก็เดินนำเหล่าข้ารับใช้ร่างกายกำยำสูงใหญ่เข้ามา ก่อนจะให้พวกเขาลากตัวนางกำนัลสาวออกไป หลังจากนั้นสีหน้าของจักรพรรดินีถึงได้ค่อยดูอารมณ์ดีขึ้นมาได้บ้าง

ราวีนีเอ่ยพูดพลางใช้มือปัดชายชุดเดรสที่เลอะเปรอะน้ำชาออกเบาๆ

“ปล่อยเอาไว้แบบนี้ไม่ได้ ดิวอิจ เจ้าจงส่งคนของอังเกนัสเข้ามาแทนที่นางกำนัลนางนั้นเสีย”

“…พ่ะย่ะค่ะ?”

“ถึงแม้จะเรียกว่าชนชั้นสูง แต่พวกนั้นก็มาจากครอบครัวชั้นต่ำไม่ต่างจากพวกสามัญชน ถึงได้ไม่เคยเล่าเรียนจนเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นไม่ใช่หรือไง ถ้าเป็นคนของอังเกนัสละก็ คงพอจะเอามาใช้งานข้างกายข้าได้บ้าง”

ในอังเกนัสตอนนี้ หญิงสาวที่เติบโตจนอยู่ในช่วงวัยที่พอจะเข้ามาทำงานในฐานะนางกำนัลได้ ก็มีแต่บุตรสาวของดิวอิจเท่านั้น

ดิวอิจใช้สมองครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว เพื่อหาข้ออ้างในการหลีกเลี่ยงคำถามนี้ แต่ใบหน้าก็ยังคงยิ้มแย้มไม่จางหาย

พยายามนึกถึงเรื่องอื่นที่พอจะยกมาเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาเสีย

ในตอนนั้นเองพลันนึกขึ้นได้ว่ายังมีสารฉบับหนึ่งที่เขาเก็บเอาไว้ในอกเสื้อ จึงเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ซะ…เซรัลฝากกระหม่อมนำจดหมายฉบับนี้มามอบให้องค์จักรพรรดินีพ่ะย่ะค่ะ”

เห็นบอกว่าตอนนี้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อาจเดินทางเข้าพระราชวังได้ จึงส่งสารมาแจ้งเขาที่คฤหาสน์อังเกนัสแทน

“เซรัล?”

พอเห็นว่าราวีนีดูจะสนอกสนใจขึ้นมา ดิวอิจก็รีบส่งซองจดหมายฉบับนั้นให้อย่างรวดเร็ว

“ตายจริง…”

ราวีนีกวาดสายตาอ่านเนื้อหาในจดหมายที่เซรัลเขียนส่งมา นางพึมพำอุทานเสียงแผ่วคล้ายกับสงสารลูกพี่ลูกน้องคนสนิท

“เซรัลกับเบเจอร์ ลอมบาร์เดีย กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากนี่เอง ดูท่าจะโดนเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียเพ่งเล็งเพราะเรื่องจัดการหมั้นหมายเป็นแน่”

แต่ก็เท่านั้น

ราวีนีโยนจดหมายของเซรัลทิ้งไปด้านข้าง ราวกับแค่กำจัดเศษขยะน่ารำคาญสายตาทิ้ง

ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับลอมบาร์เดียมากไปกว่านั้น

ถึงแม้จะนั่งนิ่งครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่เงียบๆ แต่ภายในใจนางไม่ได้เป็นกังวลเรื่องของเซรัลเลย

“…ท่านพี่?”

ดิวอิจ อังเกนัส เอ่ยถามอย่างระมัดระวังด้วยความแปลกใจ

“ไม่ต้อง…ช่วยเซรัลหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ราวีนีกะพริบนัยน์ตากลมโตงดงามปริบๆ สองสามครั้ง ก่อนจะเอ่ยตอบ

“ทำไมข้าต้องช่วยเซรัลด้วย”

“ระ…เรื่องนั้น…”

ที่ผ่านมาเซรัลก็จงรักภักดีต่อจักรพรรดินีราวีนีเป็นอย่างยิ่ง

นางยอมให้เบเลซักเข้ามาเป็นสหายเพื่อนเล่นของอาสทาน่า ส่วนตัวเองก็แบกรับทำงานสกปรกให้แก่จักรพรรดินีทุกครั้งที่ราวีนีต้องการความช่วยเหลือในงานสังคมต่างๆ

ไม่ใช่แค่นั้น

นางยังจัดการควบคุมเบเจอร์ คอยชักใยอีกฝ่ายอยู่เบื้องหลังเพื่อผลประโยชน์ของอังเกนัสตามที่ราวีนีซึ่งเป็นพี่สาวลูกพี่ลูกน้องสั่งการทุกอย่าง

เพราะอย่างนั้นกิจการใหญ่น้อยต่างๆ ของลอมบาร์เดียอย่างกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มเหมืองแร่ จึงได้ยอมให้ความช่วยเหลือราวีนีอยู่เรื่อยมา

แต่ตอนที่เซรัลกำลังตกอยู่ในปัญหาอย่างตอนนี้ จักรพรรดินีกลับมีท่าทางราวกับลืมบุญคุณทุกอย่างไปจนหมดสิ้น

“ดิวอิจ”

ราวีนีเอ่ยพูดยิ้มๆ

“เห็นว่าโดนริบอำนาจทุกอย่าง ทั้งยังถูกขับไล่ไปอยู่เรือนเล็กแล้ว เซรัลย่อมไม่สามารถช่วยเหลืออะไรข้าได้อีกแล้ว”

ขนลุกชันไปทั่วแขนของดิวอิจ

กระทั่งตอนนี้ความสนใจทั้งหมดของราวีนีก็ยังมีเพียงแค่ ‘เซรัลไม่มีประโยชน์ต่อนางอีกต่อไปแล้ว’ เท่านั้นเอง

“จะว่าไปในเมื่อสามีของเซรัลก็ถูกขับไล่ขนาดนั้น อย่างนี้คงต้องรีบสืบดูเสียแล้วว่าเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียถูกใจบุตรคนใดให้เป็นผู้สืบทอด น่าจะเป็นแคลอฮันหรือเปล่านะ”

จักรพรรดินีพึมพำในขณะที่นัยน์ตาส่องประกายเปี่ยมไปด้วยความมาดหมายอะไรบางอย่าง ส่วนจดหมายของเซรัลก็ถูกลมที่พัดเข้ามาจากด้านนอกพัดพามันปลิวร่วงหล่นลงไปนอนนิ่งอยู่บนพื้นห้องเสียแล้ว

* * *

“คุณหนู มีจดหมายมาค่ะ”

ลอรีลพูดพลางส่งจดหมายปึกหนึ่งให้เธอ

เธอเอ่ยตอบกลับไปทั้งๆ ที่ยังฝังใบหน้าตัวเองจมอยู่กับหนังสือที่กำลังนอนอ่าน

“อื้อ น่ารำคาญน่ะ ยังไงทั้งหมดนั่นก็คงเป็นบัตรเชิญไปร่วมงานเลี้ยงนั่นแหละ”

“ไม่…ก็อยากจะบอกว่าไม่ใช่นะคะ แต่ดูเหมือนคุณหนูจะเดาถูกแล้วละค่ะ”

“วางกองไว้บนโต๊ะก็แล้วกัน ลอรีล เอาไว้เดี๋ยวมีเวลาข้าค่อยตอบกลับไปพร้อมกันว่าไปไม่ได้…เดี๋ยวนะ”

นี่ตอนนี้เธอกำลังเห็นอะไรอยู่เนี่ย

เธอสะดุ้งพรวด หยัดกายที่เคยกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาขึ้น แล้วรีบเดินตรงเข้าไปหาลอรีล

“นั่น…”

ท่ามกลางจดหมายจำนวนมากมาย มีจดหมายฉบับหนึ่งที่ดูโดดเด่นมากเป็นพิเศษปนอยู่ด้วย

“ลอรีล…นี่เจ้าเอาอะไรมากันแน่…”

“ขออภัยค่ะ คุณหนู!ข้าเอาอะไรติดมาหรือคะเนี่ย!”

พอเห็นเธอขมวดคิ้วหน้าบึ้งตึง ลอรีลก็รีบขอโทษขอโพยไม่หยุด

“เฮ้อ…”

เธอถอนหายใจด้วยความหน่ายใจ หลังจากนั้นจึงค่อยจีบนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เข้าด้วยกัน แล้วดึงเอาซองฉบับหนึ่งออกมา

มันเป็นซองจดหมายสีม่วงอันแสนคุ้นตา

“จักรพรรดินีไม่ใช่หรือไง”

สีม่วงเข้มสด

บัตรเชิญของจักรพรรดินีราวีนีจริงด้วย

ก็อยากจะหวังอยู่หรอกว่า บางทีนี่อาจจะต้องถูกส่งไปยังเรือนเล็ก แต่ดันผิดพลาดส่งมาหาเธอเองหรือเปล่า แต่ด้านหลังของซองกลับถูกเขียนเอาไว้ด้วยลายมืองดงามอย่างชัดเจน

‘ฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดีย’

“น่ารำคาญชะมัด”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 176.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 176.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เล่ม 5 บทที่ 176.2

อาสทาน่าไม่โผล่หน้ามาที่วังจักรพรรดินีตั้งแต่เมื่อประมาณหนึ่งเดือนก่อน

“มีข่าวลือว่าเสด็จแม่บ้าคลั่งไปแล้วกระจายไปทั่ววัง! ข้าเป็นเจ้าชายที่จะขึ้นสืบทอดบัลลังก์ ถ้าอยู่ข้างกายคนบ้าแล้วเกิดได้รับบาดเจ็บขึ้นมาจะทำยังไง ท่านน้าก็แวะไปบอกข่าวคราวของข้าแทนก็แล้วกัน!”

นั่นเป็นข้ออ้างที่อาสทาน่าตอบกลับมา เพื่อที่จะหลบเลี่ยงเรื่องน่ารำคาญใจอย่างการแวะมาเยี่ยมเยียนทักทายที่วังจักรพรรดินี

มันเป็นคำพูดที่ฟังดูเลือดเย็นต่อคนเป็นแม่ก็จริง แต่ดิวอิจ อังเกนัส ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย

‘ยังไงอาสทาน่าก็เป็นโอรสของราวีนี จะมีนิสัยเหมือนกันก็เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว’

จะว่าเป็นบาปของราวีนีก็ได้ที่คลอดโอรสแบบนั้นออกมา

“เจ้าชายงานยุ่งมากเลยไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”

ดิวอิจเก็บซ่อนความคิดเอาไว้ในใจขณะที่เอ่ยปากราวกับเป็นเรื่องช่วยไม่ได้

และบอกเล่าเรื่องความเป็นไปล่าสุดเกี่ยวกับอาสทาน่าออกไปโดยไม่ได้คิดอะไร

“ยิ่งเวลาผ่านไปเจ้าชายก็ยิ่งพัฒนาความสามารถในการล่าสัตว์มากขึ้นเรื่อยๆ พ่ะย่ะค่ะ เมื่อไม่นานมานี้ได้ข่าวว่าแย่งชิงอันดับที่ 2 ในการแข่งขันล่าสัตว์ประจำฤดูใบไม้ร่วงมาได้ด้วย”

ในวินาทีที่คำพูดนั้นหลุดออกจากปาก ดิวอิจก็รู้ตัวทันทีว่าพลาดไปเสียแล้ว

เป็นอย่างที่คิดจริงๆ จักรพรรดินีราวีนีหรี่ตาลง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น

“อันดับ 2 เหรอ เช่นนั้นอันดับ 1 เป็นใครกัน”

“ระ…เรื่องนั้น…”

“พูดมาเดี๋ยวนี้ ดิวอิจ”

ดิวอิจ อังเกนัส แทบจะเคี้ยวลิ้นของตัวเองกลืนลงคอ

ทำไมถึงได้เล่าเรื่องนี้ออกไปเนี่ย!

ภายใต้สายตาดุร้ายของจักรพรรดินี เขาก็เอาแต่เงียบต่อไปก็ไม่ได้ด้วย

สุดท้ายจึงได้แต่หลับตาแน่น เปิดปากพูดขึ้น

“จะ…เจ้าชายลำดับที่สองพ่ะย่ะค่ะ”

กรอดดดด

เสียงกัดฟันคำรามดังขึ้น

แค่คำว่า ‘เจ้าชายลำดับที่สอง’ เพียงคำเดียวก็ทำให้ราวีนีเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง

ใบหน้ายิ้มแย้มที่เคยหัวเราะอ่อนโยนดูใจดีจางหายไป แววตาพลันส่องประกายไปด้วยโทสะ

แกรก

“นำน้ำร้อนมาเปลี่ยนให้ตามที่องค์จักรพรรดินีมีรับสั่งแล้วเพคะ”

โชคร้ายที่นางกำนัลสาวดันถือกาน้ำชาเข้ามาอย่างระมัดระวังผิดจังหวะพอดี

“ให้ตายเถอะ”

ดิวอิจ อังเกนัส เดาะลิ้นเสียงดังจิ๊จ๊ะ

โชคร้ายเป็นบ้า

ทำไมต้องเข้ามาตอนนี้ด้วยวะเนี่ย

สำหรับจักรพรรดินีที่กำลังมองหาที่ระบายโทสะอันแสนเดือดพล่านแล้ว นางกำนัลผู้ไร้เดียงสาไม่ได้รู้อีโหน่อีเหน่อันใดด้วยนางนี้ ก็ไม่ต่างอันใดกับเหยื่อที่เหมาะสมยิ่ง

จักรพรรดินีเขวี้ยงกาน้ำชาที่วางอยู่บนถาดกระเด็นตกใส่ปลายเท้าของนางกำนัล

เพล้ง-!

“กรี๊ด!”

น้ำร้อนสาดกระเซ็นลงบนเท้าลามไปถึงข้อเท้า ทำให้นางกำนัลสาวกรีดร้องเสียงดังลั่น

“อะ…องค์จักรพรรดินี…”

“นี่เจ้าคิดจะลอบทำร้ายข้าหรือยังไง”

“ทะ…ทรงตรัสเรื่องใดกัน…หม่อมฉันเพียงแค่ทำตามรับสั่ง…”

“น้ำเดือนปุดๆ ขนาดนี้ ยังเอามาให้ข้าดื่มเนี่ยนะ คิดว่าข้ารู้ไม่ทันความคิดในใจของเจ้าหรือไงกัน!”

“ฮึก!มะ…หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจทำเช่นนั้นจริงๆ …”

นางกำนัลสาวตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวและความเจ็บปวด นางส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปทางดิวอิจ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมากลับมีเพียงแค่เสียงเดาะลิ้นดังจิ๊จ๊ะ พร้อมกับที่อีกฝ่ายแค่เบือนหน้าหันไปทางอื่นเท่านั้น

นางกำนัลสาวรีบคุกเข่าก้มหมอบด้วยใบหน้าซีดเผือด

“วะ…ไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วยเพคะ องค์จักรพรรดินี!”

น้ำเสียงนั้นอาจจะฟังดูน่าสงสาร แต่จักรพรรดินีไม่แม้แต่จะกะพริบตาด้วยซ้ำ

“หัวหน้านางกำนัล ลากตัวนังนี่ออกไป!”

สุดท้ายหัวหน้านางกำนัลผู้เป็นมือขวาอยู่ข้างกายจักรพรรดินีก็เดินนำเหล่าข้ารับใช้ร่างกายกำยำสูงใหญ่เข้ามา ก่อนจะให้พวกเขาลากตัวนางกำนัลสาวออกไป หลังจากนั้นสีหน้าของจักรพรรดินีถึงได้ค่อยดูอารมณ์ดีขึ้นมาได้บ้าง

ราวีนีเอ่ยพูดพลางใช้มือปัดชายชุดเดรสที่เลอะเปรอะน้ำชาออกเบาๆ

“ปล่อยเอาไว้แบบนี้ไม่ได้ ดิวอิจ เจ้าจงส่งคนของอังเกนัสเข้ามาแทนที่นางกำนัลนางนั้นเสีย”

“…พ่ะย่ะค่ะ?”

“ถึงแม้จะเรียกว่าชนชั้นสูง แต่พวกนั้นก็มาจากครอบครัวชั้นต่ำไม่ต่างจากพวกสามัญชน ถึงได้ไม่เคยเล่าเรียนจนเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นไม่ใช่หรือไง ถ้าเป็นคนของอังเกนัสละก็ คงพอจะเอามาใช้งานข้างกายข้าได้บ้าง”

ในอังเกนัสตอนนี้ หญิงสาวที่เติบโตจนอยู่ในช่วงวัยที่พอจะเข้ามาทำงานในฐานะนางกำนัลได้ ก็มีแต่บุตรสาวของดิวอิจเท่านั้น

ดิวอิจใช้สมองครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว เพื่อหาข้ออ้างในการหลีกเลี่ยงคำถามนี้ แต่ใบหน้าก็ยังคงยิ้มแย้มไม่จางหาย

พยายามนึกถึงเรื่องอื่นที่พอจะยกมาเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาเสีย

ในตอนนั้นเองพลันนึกขึ้นได้ว่ายังมีสารฉบับหนึ่งที่เขาเก็บเอาไว้ในอกเสื้อ จึงเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ซะ…เซรัลฝากกระหม่อมนำจดหมายฉบับนี้มามอบให้องค์จักรพรรดินีพ่ะย่ะค่ะ”

เห็นบอกว่าตอนนี้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อาจเดินทางเข้าพระราชวังได้ จึงส่งสารมาแจ้งเขาที่คฤหาสน์อังเกนัสแทน

“เซรัล?”

พอเห็นว่าราวีนีดูจะสนอกสนใจขึ้นมา ดิวอิจก็รีบส่งซองจดหมายฉบับนั้นให้อย่างรวดเร็ว

“ตายจริง…”

ราวีนีกวาดสายตาอ่านเนื้อหาในจดหมายที่เซรัลเขียนส่งมา นางพึมพำอุทานเสียงแผ่วคล้ายกับสงสารลูกพี่ลูกน้องคนสนิท

“เซรัลกับเบเจอร์ ลอมบาร์เดีย กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากนี่เอง ดูท่าจะโดนเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียเพ่งเล็งเพราะเรื่องจัดการหมั้นหมายเป็นแน่”

แต่ก็เท่านั้น

ราวีนีโยนจดหมายของเซรัลทิ้งไปด้านข้าง ราวกับแค่กำจัดเศษขยะน่ารำคาญสายตาทิ้ง

ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับลอมบาร์เดียมากไปกว่านั้น

ถึงแม้จะนั่งนิ่งครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่เงียบๆ แต่ภายในใจนางไม่ได้เป็นกังวลเรื่องของเซรัลเลย

“…ท่านพี่?”

ดิวอิจ อังเกนัส เอ่ยถามอย่างระมัดระวังด้วยความแปลกใจ

“ไม่ต้อง…ช่วยเซรัลหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ราวีนีกะพริบนัยน์ตากลมโตงดงามปริบๆ สองสามครั้ง ก่อนจะเอ่ยตอบ

“ทำไมข้าต้องช่วยเซรัลด้วย”

“ระ…เรื่องนั้น…”

ที่ผ่านมาเซรัลก็จงรักภักดีต่อจักรพรรดินีราวีนีเป็นอย่างยิ่ง

นางยอมให้เบเลซักเข้ามาเป็นสหายเพื่อนเล่นของอาสทาน่า ส่วนตัวเองก็แบกรับทำงานสกปรกให้แก่จักรพรรดินีทุกครั้งที่ราวีนีต้องการความช่วยเหลือในงานสังคมต่างๆ

ไม่ใช่แค่นั้น

นางยังจัดการควบคุมเบเจอร์ คอยชักใยอีกฝ่ายอยู่เบื้องหลังเพื่อผลประโยชน์ของอังเกนัสตามที่ราวีนีซึ่งเป็นพี่สาวลูกพี่ลูกน้องสั่งการทุกอย่าง

เพราะอย่างนั้นกิจการใหญ่น้อยต่างๆ ของลอมบาร์เดียอย่างกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มเหมืองแร่ จึงได้ยอมให้ความช่วยเหลือราวีนีอยู่เรื่อยมา

แต่ตอนที่เซรัลกำลังตกอยู่ในปัญหาอย่างตอนนี้ จักรพรรดินีกลับมีท่าทางราวกับลืมบุญคุณทุกอย่างไปจนหมดสิ้น

“ดิวอิจ”

ราวีนีเอ่ยพูดยิ้มๆ

“เห็นว่าโดนริบอำนาจทุกอย่าง ทั้งยังถูกขับไล่ไปอยู่เรือนเล็กแล้ว เซรัลย่อมไม่สามารถช่วยเหลืออะไรข้าได้อีกแล้ว”

ขนลุกชันไปทั่วแขนของดิวอิจ

กระทั่งตอนนี้ความสนใจทั้งหมดของราวีนีก็ยังมีเพียงแค่ ‘เซรัลไม่มีประโยชน์ต่อนางอีกต่อไปแล้ว’ เท่านั้นเอง

“จะว่าไปในเมื่อสามีของเซรัลก็ถูกขับไล่ขนาดนั้น อย่างนี้คงต้องรีบสืบดูเสียแล้วว่าเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียถูกใจบุตรคนใดให้เป็นผู้สืบทอด น่าจะเป็นแคลอฮันหรือเปล่านะ”

จักรพรรดินีพึมพำในขณะที่นัยน์ตาส่องประกายเปี่ยมไปด้วยความมาดหมายอะไรบางอย่าง ส่วนจดหมายของเซรัลก็ถูกลมที่พัดเข้ามาจากด้านนอกพัดพามันปลิวร่วงหล่นลงไปนอนนิ่งอยู่บนพื้นห้องเสียแล้ว

* * *

“คุณหนู มีจดหมายมาค่ะ”

ลอรีลพูดพลางส่งจดหมายปึกหนึ่งให้เธอ

เธอเอ่ยตอบกลับไปทั้งๆ ที่ยังฝังใบหน้าตัวเองจมอยู่กับหนังสือที่กำลังนอนอ่าน

“อื้อ น่ารำคาญน่ะ ยังไงทั้งหมดนั่นก็คงเป็นบัตรเชิญไปร่วมงานเลี้ยงนั่นแหละ”

“ไม่…ก็อยากจะบอกว่าไม่ใช่นะคะ แต่ดูเหมือนคุณหนูจะเดาถูกแล้วละค่ะ”

“วางกองไว้บนโต๊ะก็แล้วกัน ลอรีล เอาไว้เดี๋ยวมีเวลาข้าค่อยตอบกลับไปพร้อมกันว่าไปไม่ได้…เดี๋ยวนะ”

นี่ตอนนี้เธอกำลังเห็นอะไรอยู่เนี่ย

เธอสะดุ้งพรวด หยัดกายที่เคยกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาขึ้น แล้วรีบเดินตรงเข้าไปหาลอรีล

“นั่น…”

ท่ามกลางจดหมายจำนวนมากมาย มีจดหมายฉบับหนึ่งที่ดูโดดเด่นมากเป็นพิเศษปนอยู่ด้วย

“ลอรีล…นี่เจ้าเอาอะไรมากันแน่…”

“ขออภัยค่ะ คุณหนู!ข้าเอาอะไรติดมาหรือคะเนี่ย!”

พอเห็นเธอขมวดคิ้วหน้าบึ้งตึง ลอรีลก็รีบขอโทษขอโพยไม่หยุด

“เฮ้อ…”

เธอถอนหายใจด้วยความหน่ายใจ หลังจากนั้นจึงค่อยจีบนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เข้าด้วยกัน แล้วดึงเอาซองฉบับหนึ่งออกมา

มันเป็นซองจดหมายสีม่วงอันแสนคุ้นตา

“จักรพรรดินีไม่ใช่หรือไง”

สีม่วงเข้มสด

บัตรเชิญของจักรพรรดินีราวีนีจริงด้วย

ก็อยากจะหวังอยู่หรอกว่า บางทีนี่อาจจะต้องถูกส่งไปยังเรือนเล็ก แต่ดันผิดพลาดส่งมาหาเธอเองหรือเปล่า แต่ด้านหลังของซองกลับถูกเขียนเอาไว้ด้วยลายมืองดงามอย่างชัดเจน

‘ฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดีย’

“น่ารำคาญชะมัด”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 176.2

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 176.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เล่ม 5 บทที่ 176.2

อาสทาน่าไม่โผล่หน้ามาที่วังจักรพรรดินีตั้งแต่เมื่อประมาณหนึ่งเดือนก่อน

“มีข่าวลือว่าเสด็จแม่บ้าคลั่งไปแล้วกระจายไปทั่ววัง! ข้าเป็นเจ้าชายที่จะขึ้นสืบทอดบัลลังก์ ถ้าอยู่ข้างกายคนบ้าแล้วเกิดได้รับบาดเจ็บขึ้นมาจะทำยังไง ท่านน้าก็แวะไปบอกข่าวคราวของข้าแทนก็แล้วกัน!”

นั่นเป็นข้ออ้างที่อาสทาน่าตอบกลับมา เพื่อที่จะหลบเลี่ยงเรื่องน่ารำคาญใจอย่างการแวะมาเยี่ยมเยียนทักทายที่วังจักรพรรดินี

มันเป็นคำพูดที่ฟังดูเลือดเย็นต่อคนเป็นแม่ก็จริง แต่ดิวอิจ อังเกนัส ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย

‘ยังไงอาสทาน่าก็เป็นโอรสของราวีนี จะมีนิสัยเหมือนกันก็เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว’

จะว่าเป็นบาปของราวีนีก็ได้ที่คลอดโอรสแบบนั้นออกมา

“เจ้าชายงานยุ่งมากเลยไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”

ดิวอิจเก็บซ่อนความคิดเอาไว้ในใจขณะที่เอ่ยปากราวกับเป็นเรื่องช่วยไม่ได้

และบอกเล่าเรื่องความเป็นไปล่าสุดเกี่ยวกับอาสทาน่าออกไปโดยไม่ได้คิดอะไร

“ยิ่งเวลาผ่านไปเจ้าชายก็ยิ่งพัฒนาความสามารถในการล่าสัตว์มากขึ้นเรื่อยๆ พ่ะย่ะค่ะ เมื่อไม่นานมานี้ได้ข่าวว่าแย่งชิงอันดับที่ 2 ในการแข่งขันล่าสัตว์ประจำฤดูใบไม้ร่วงมาได้ด้วย”

ในวินาทีที่คำพูดนั้นหลุดออกจากปาก ดิวอิจก็รู้ตัวทันทีว่าพลาดไปเสียแล้ว

เป็นอย่างที่คิดจริงๆ จักรพรรดินีราวีนีหรี่ตาลง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น

“อันดับ 2 เหรอ เช่นนั้นอันดับ 1 เป็นใครกัน”

“ระ…เรื่องนั้น…”

“พูดมาเดี๋ยวนี้ ดิวอิจ”

ดิวอิจ อังเกนัส แทบจะเคี้ยวลิ้นของตัวเองกลืนลงคอ

ทำไมถึงได้เล่าเรื่องนี้ออกไปเนี่ย!

ภายใต้สายตาดุร้ายของจักรพรรดินี เขาก็เอาแต่เงียบต่อไปก็ไม่ได้ด้วย

สุดท้ายจึงได้แต่หลับตาแน่น เปิดปากพูดขึ้น

“จะ…เจ้าชายลำดับที่สองพ่ะย่ะค่ะ”

กรอดดดด

เสียงกัดฟันคำรามดังขึ้น

แค่คำว่า ‘เจ้าชายลำดับที่สอง’ เพียงคำเดียวก็ทำให้ราวีนีเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง

ใบหน้ายิ้มแย้มที่เคยหัวเราะอ่อนโยนดูใจดีจางหายไป แววตาพลันส่องประกายไปด้วยโทสะ

แกรก

“นำน้ำร้อนมาเปลี่ยนให้ตามที่องค์จักรพรรดินีมีรับสั่งแล้วเพคะ”

โชคร้ายที่นางกำนัลสาวดันถือกาน้ำชาเข้ามาอย่างระมัดระวังผิดจังหวะพอดี

“ให้ตายเถอะ”

ดิวอิจ อังเกนัส เดาะลิ้นเสียงดังจิ๊จ๊ะ

โชคร้ายเป็นบ้า

ทำไมต้องเข้ามาตอนนี้ด้วยวะเนี่ย

สำหรับจักรพรรดินีที่กำลังมองหาที่ระบายโทสะอันแสนเดือดพล่านแล้ว นางกำนัลผู้ไร้เดียงสาไม่ได้รู้อีโหน่อีเหน่อันใดด้วยนางนี้ ก็ไม่ต่างอันใดกับเหยื่อที่เหมาะสมยิ่ง

จักรพรรดินีเขวี้ยงกาน้ำชาที่วางอยู่บนถาดกระเด็นตกใส่ปลายเท้าของนางกำนัล

เพล้ง-!

“กรี๊ด!”

น้ำร้อนสาดกระเซ็นลงบนเท้าลามไปถึงข้อเท้า ทำให้นางกำนัลสาวกรีดร้องเสียงดังลั่น

“อะ…องค์จักรพรรดินี…”

“นี่เจ้าคิดจะลอบทำร้ายข้าหรือยังไง”

“ทะ…ทรงตรัสเรื่องใดกัน…หม่อมฉันเพียงแค่ทำตามรับสั่ง…”

“น้ำเดือนปุดๆ ขนาดนี้ ยังเอามาให้ข้าดื่มเนี่ยนะ คิดว่าข้ารู้ไม่ทันความคิดในใจของเจ้าหรือไงกัน!”

“ฮึก!มะ…หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจทำเช่นนั้นจริงๆ …”

นางกำนัลสาวตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวและความเจ็บปวด นางส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปทางดิวอิจ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมากลับมีเพียงแค่เสียงเดาะลิ้นดังจิ๊จ๊ะ พร้อมกับที่อีกฝ่ายแค่เบือนหน้าหันไปทางอื่นเท่านั้น

นางกำนัลสาวรีบคุกเข่าก้มหมอบด้วยใบหน้าซีดเผือด

“วะ…ไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วยเพคะ องค์จักรพรรดินี!”

น้ำเสียงนั้นอาจจะฟังดูน่าสงสาร แต่จักรพรรดินีไม่แม้แต่จะกะพริบตาด้วยซ้ำ

“หัวหน้านางกำนัล ลากตัวนังนี่ออกไป!”

สุดท้ายหัวหน้านางกำนัลผู้เป็นมือขวาอยู่ข้างกายจักรพรรดินีก็เดินนำเหล่าข้ารับใช้ร่างกายกำยำสูงใหญ่เข้ามา ก่อนจะให้พวกเขาลากตัวนางกำนัลสาวออกไป หลังจากนั้นสีหน้าของจักรพรรดินีถึงได้ค่อยดูอารมณ์ดีขึ้นมาได้บ้าง

ราวีนีเอ่ยพูดพลางใช้มือปัดชายชุดเดรสที่เลอะเปรอะน้ำชาออกเบาๆ

“ปล่อยเอาไว้แบบนี้ไม่ได้ ดิวอิจ เจ้าจงส่งคนของอังเกนัสเข้ามาแทนที่นางกำนัลนางนั้นเสีย”

“…พ่ะย่ะค่ะ?”

“ถึงแม้จะเรียกว่าชนชั้นสูง แต่พวกนั้นก็มาจากครอบครัวชั้นต่ำไม่ต่างจากพวกสามัญชน ถึงได้ไม่เคยเล่าเรียนจนเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นไม่ใช่หรือไง ถ้าเป็นคนของอังเกนัสละก็ คงพอจะเอามาใช้งานข้างกายข้าได้บ้าง”

ในอังเกนัสตอนนี้ หญิงสาวที่เติบโตจนอยู่ในช่วงวัยที่พอจะเข้ามาทำงานในฐานะนางกำนัลได้ ก็มีแต่บุตรสาวของดิวอิจเท่านั้น

ดิวอิจใช้สมองครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว เพื่อหาข้ออ้างในการหลีกเลี่ยงคำถามนี้ แต่ใบหน้าก็ยังคงยิ้มแย้มไม่จางหาย

พยายามนึกถึงเรื่องอื่นที่พอจะยกมาเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาเสีย

ในตอนนั้นเองพลันนึกขึ้นได้ว่ายังมีสารฉบับหนึ่งที่เขาเก็บเอาไว้ในอกเสื้อ จึงเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ซะ…เซรัลฝากกระหม่อมนำจดหมายฉบับนี้มามอบให้องค์จักรพรรดินีพ่ะย่ะค่ะ”

เห็นบอกว่าตอนนี้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อาจเดินทางเข้าพระราชวังได้ จึงส่งสารมาแจ้งเขาที่คฤหาสน์อังเกนัสแทน

“เซรัล?”

พอเห็นว่าราวีนีดูจะสนอกสนใจขึ้นมา ดิวอิจก็รีบส่งซองจดหมายฉบับนั้นให้อย่างรวดเร็ว

“ตายจริง…”

ราวีนีกวาดสายตาอ่านเนื้อหาในจดหมายที่เซรัลเขียนส่งมา นางพึมพำอุทานเสียงแผ่วคล้ายกับสงสารลูกพี่ลูกน้องคนสนิท

“เซรัลกับเบเจอร์ ลอมบาร์เดีย กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากนี่เอง ดูท่าจะโดนเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียเพ่งเล็งเพราะเรื่องจัดการหมั้นหมายเป็นแน่”

แต่ก็เท่านั้น

ราวีนีโยนจดหมายของเซรัลทิ้งไปด้านข้าง ราวกับแค่กำจัดเศษขยะน่ารำคาญสายตาทิ้ง

ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับลอมบาร์เดียมากไปกว่านั้น

ถึงแม้จะนั่งนิ่งครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่เงียบๆ แต่ภายในใจนางไม่ได้เป็นกังวลเรื่องของเซรัลเลย

“…ท่านพี่?”

ดิวอิจ อังเกนัส เอ่ยถามอย่างระมัดระวังด้วยความแปลกใจ

“ไม่ต้อง…ช่วยเซรัลหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ราวีนีกะพริบนัยน์ตากลมโตงดงามปริบๆ สองสามครั้ง ก่อนจะเอ่ยตอบ

“ทำไมข้าต้องช่วยเซรัลด้วย”

“ระ…เรื่องนั้น…”

ที่ผ่านมาเซรัลก็จงรักภักดีต่อจักรพรรดินีราวีนีเป็นอย่างยิ่ง

นางยอมให้เบเลซักเข้ามาเป็นสหายเพื่อนเล่นของอาสทาน่า ส่วนตัวเองก็แบกรับทำงานสกปรกให้แก่จักรพรรดินีทุกครั้งที่ราวีนีต้องการความช่วยเหลือในงานสังคมต่างๆ

ไม่ใช่แค่นั้น

นางยังจัดการควบคุมเบเจอร์ คอยชักใยอีกฝ่ายอยู่เบื้องหลังเพื่อผลประโยชน์ของอังเกนัสตามที่ราวีนีซึ่งเป็นพี่สาวลูกพี่ลูกน้องสั่งการทุกอย่าง

เพราะอย่างนั้นกิจการใหญ่น้อยต่างๆ ของลอมบาร์เดียอย่างกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มเหมืองแร่ จึงได้ยอมให้ความช่วยเหลือราวีนีอยู่เรื่อยมา

แต่ตอนที่เซรัลกำลังตกอยู่ในปัญหาอย่างตอนนี้ จักรพรรดินีกลับมีท่าทางราวกับลืมบุญคุณทุกอย่างไปจนหมดสิ้น

“ดิวอิจ”

ราวีนีเอ่ยพูดยิ้มๆ

“เห็นว่าโดนริบอำนาจทุกอย่าง ทั้งยังถูกขับไล่ไปอยู่เรือนเล็กแล้ว เซรัลย่อมไม่สามารถช่วยเหลืออะไรข้าได้อีกแล้ว”

ขนลุกชันไปทั่วแขนของดิวอิจ

กระทั่งตอนนี้ความสนใจทั้งหมดของราวีนีก็ยังมีเพียงแค่ ‘เซรัลไม่มีประโยชน์ต่อนางอีกต่อไปแล้ว’ เท่านั้นเอง

“จะว่าไปในเมื่อสามีของเซรัลก็ถูกขับไล่ขนาดนั้น อย่างนี้คงต้องรีบสืบดูเสียแล้วว่าเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียถูกใจบุตรคนใดให้เป็นผู้สืบทอด น่าจะเป็นแคลอฮันหรือเปล่านะ”

จักรพรรดินีพึมพำในขณะที่นัยน์ตาส่องประกายเปี่ยมไปด้วยความมาดหมายอะไรบางอย่าง ส่วนจดหมายของเซรัลก็ถูกลมที่พัดเข้ามาจากด้านนอกพัดพามันปลิวร่วงหล่นลงไปนอนนิ่งอยู่บนพื้นห้องเสียแล้ว

* * *

“คุณหนู มีจดหมายมาค่ะ”

ลอรีลพูดพลางส่งจดหมายปึกหนึ่งให้เธอ

เธอเอ่ยตอบกลับไปทั้งๆ ที่ยังฝังใบหน้าตัวเองจมอยู่กับหนังสือที่กำลังนอนอ่าน

“อื้อ น่ารำคาญน่ะ ยังไงทั้งหมดนั่นก็คงเป็นบัตรเชิญไปร่วมงานเลี้ยงนั่นแหละ”

“ไม่…ก็อยากจะบอกว่าไม่ใช่นะคะ แต่ดูเหมือนคุณหนูจะเดาถูกแล้วละค่ะ”

“วางกองไว้บนโต๊ะก็แล้วกัน ลอรีล เอาไว้เดี๋ยวมีเวลาข้าค่อยตอบกลับไปพร้อมกันว่าไปไม่ได้…เดี๋ยวนะ”

นี่ตอนนี้เธอกำลังเห็นอะไรอยู่เนี่ย

เธอสะดุ้งพรวด หยัดกายที่เคยกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาขึ้น แล้วรีบเดินตรงเข้าไปหาลอรีล

“นั่น…”

ท่ามกลางจดหมายจำนวนมากมาย มีจดหมายฉบับหนึ่งที่ดูโดดเด่นมากเป็นพิเศษปนอยู่ด้วย

“ลอรีล…นี่เจ้าเอาอะไรมากันแน่…”

“ขออภัยค่ะ คุณหนู!ข้าเอาอะไรติดมาหรือคะเนี่ย!”

พอเห็นเธอขมวดคิ้วหน้าบึ้งตึง ลอรีลก็รีบขอโทษขอโพยไม่หยุด

“เฮ้อ…”

เธอถอนหายใจด้วยความหน่ายใจ หลังจากนั้นจึงค่อยจีบนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เข้าด้วยกัน แล้วดึงเอาซองฉบับหนึ่งออกมา

มันเป็นซองจดหมายสีม่วงอันแสนคุ้นตา

“จักรพรรดินีไม่ใช่หรือไง”

สีม่วงเข้มสด

บัตรเชิญของจักรพรรดินีราวีนีจริงด้วย

ก็อยากจะหวังอยู่หรอกว่า บางทีนี่อาจจะต้องถูกส่งไปยังเรือนเล็ก แต่ดันผิดพลาดส่งมาหาเธอเองหรือเปล่า แต่ด้านหลังของซองกลับถูกเขียนเอาไว้ด้วยลายมืองดงามอย่างชัดเจน

‘ฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดีย’

“น่ารำคาญชะมัด”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+