เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 142.1

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 142.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 142

เจ้าตระกูลอังเกนัสนั่งรถม้าฝ่าประตูเมืองที่ปิดแน่นออกไป แม้ทหารจะห้ามปรามแล้วก็ตาม หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าตรงไปยังแคมป์ตัดไม้

แต่โชคร้ายที่ดันเกิดเหตุการณ์หินและดินถล่มลงมากลบทับเส้นทางบนภูเขา รถม้าที่เจ้าตระกูลอังเกนัสโดยสารออกไปจึงถูกฝังกลบอยู่ใต้ดิน

หลังจากที่ทางไอบันทราบว่าเจ้าตระกูลอังเกนัสหายตัวไป พวกเขาก็ได้ส่งทหารออกไปตามหารถม้าคันนั้นอย่างรวดเร็ว แต่น่าเศร้าที่กว่าจะพบตัว เจ้าตระกูลกับสารถีรถม้าก็หมดลมหายใจไปเสียแล้ว

เนื้อหาโดยละเอียดของสารที่ได้รับยังคงเต็มอยู่ในหัวสมอง แต่ลอนเชนต์ได้แต่นั่งเงียบ

นั่นเป็นมารยาทที่เขาพึงปฏิบัติต่อจักรพรรดินี

จักรพรรดินีราวีนี่เป็นฝ่ายถามกลับไปแทน

“ท่านพ่อเหรอคะ…ว่ายังไงนะคะ”

ต่อให้เป็นจักรพรรดินีที่ได้ชื่อว่าไร้น้ำตา ไร้หยาดเลือด ต่อหน้าข่าวอันน่าสลดของผู้เป็นบิดา ก็ไม่อาจเลือดเย็นต่อไปได้สินะ

ลอนเชนต์ยิ่งรู้สึกเศร้าหมองมากกว่าเดิม ก่อนจะเอ่ยต่อไป

“เจ้าตระกูลอังเกนัสเสียชีวิตแล้วพ่ะย่ะค่ะ นี่คือสารที่ส่งจากตระกูลไอบันมาถึงกระหม่อมเมื่อเช้านี้”

สารแผ่นเล็กที่ห้อยอยู่บนขาของนกพิราบสื่อสาร บินข้ามผ่านทวีปมาไกลแสนไกล มันจึงทั้งสกปรก ทั้งยับยู่ยี่ไปหมด

ช่างแตกต่างกับมือขาวเนียน ทั้งยังถูกบำรุงดูแลอย่างดีของจักรพรรดินีที่รับสารฉบับนั้นไปถือไว้มากเหลือเกิน

ศีรษะของจักรพรรดินีก้มลงอย่างช้าๆ

เพราะศีรษะทุยที่ก้มลงนั่น ทำให้มองไม่เห็นใบหน้าของนางอีกต่อไปว่ากำลังแสดงสีหน้าแบบใด

ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ลอนเชนต์ ไอบันรู้สึกเห็นใจอีกฝ่าย เขาจึงเอ่ยออกไปเพื่อปลอบประโลมจักรพรรดินี

“กระหม่อมทราบดีว่าพระองค์คงจะใจสลายพ่ะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดินี เจ้าตระกูลอังเกนัสที่สิ้นไปแล้ว ท่านเป็นที่เคารพของขุนนางมากมายจริงๆ”

ถึงแม้จะพูดปลอบประโลมสั้นๆ แต่จักรพรรดินีก็ไม่แม้แต่จะขยับกาย

จะใจสลายมากขนาดไหนถึงได้เป็นเช่นนั้นกันนะ

บางทีหยาดน้ำตาอุ่นร้อนอาจจะกำลังไหลอาบลงมาทั่วใบหน้าของจักรพรรดินีอยู่ก็เป็นได้

ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันครุ่นคิดไปพลางเอ่ยต่อเพื่อปลอบโยน

“ตระกูลไอบันของกระหม่อมจะทำสุดความสามารถ เพื่อส่งร่างท่านเจ้าตระกูลอังเกนัสกลับมายังเมืองหลวงได้อย่างปลอดภัย ไม่มีบุบสลาย…”

“แล้วต้นทรีบ้าเป็นยังไงบ้างคะ”

“…พ่ะย่ะค่ะ?”

ลอนเชนต์ ไอบันแทบไม่อยากเชื่อหูของตัวเอง

เขาจึงถามกลับไป

“ทรงตรัสเรื่องอะไร…”

“ต้องเอาต้นทรีบ้าที่รวบรวมไว้กลับมาแท้ๆ”

จักรพรรดินีเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ

ใบหน้าของจักรพรรดินีราวีนี่ที่เงยขึ้นรับแสงอาทิตย์อีกครั้ง ดูสมบูรณ์แบบเป็นอย่างยิ่ง

เครื่องสำอางที่แต่งแต้มบนใบหน้าไม่มีส่วนใดเลอะเทอะด้วยหยาดน้ำตาแม้แต่ส่วนเดียว ไม่แม้แต่จะร้องไห้ ไม่มีแม้กระทั่งใบหน้าที่บิดเบี้ยวไม่น่ามองด้วยความเศร้า

ตรงหน้านี้คือใบหน้าที่เหมือนเมื่อครู่ตอนที่สนทนากันก่อนเขาจะแจ้งข่าวการเสียชีวิตให้ทราบ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

“ท่านพ่อเดินทางไปร่วมการประมูลไม้ทรีบ้าทางเหนือด้วยตัวเอง เพื่อที่จะรวบรวมต้นทรีบ้าแท้ๆ ไม่ทราบว่าทางตระกูลไอบันจะช่วยขนย้ายมันไปยังอังเกนัสได้มั้ยคะ”

“อ๊ะ ระ เรื่องนั้น…”

ลอนเชนต์ ไอบันพูดอะไรไม่ออกไปครู่ใหญ่

ใบหน้าอันแสนงดงามดั่งรูปสลักของจักรพรรดินีที่กำลังมองตนอยู่นั้น มันทำให้เขารู้สึกขนลุก

ผู้เป็นบิดาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุแท้ๆ แต่คำแรกของจักรพรรดินีหลังทราบข่าวที่ว่านั่น กลับเกี่ยวกับต้นทรีบ้าเสียได้

การก่อสร้างพัฒนาภาคตะวันตกสำคัญกว่าความตายของบิดาอีกงั้นหรือ

“ถะ ถ้าหากแจ้งให้ทางกระหม่อมทราบว่าเก็บไว้ที่โกดังไหน…”

ในสถานการณ์ที่แค่ฟื้นฟูไอบันก็งานแน่นเต็มมือมากพอแล้ว เขาควรที่จะยืนกรานปฏิเสธออกไปก็จริง แต่ลอนเชนต์ดันเผลอตอบออกไปเช่นนั้น เพราะเขากำลังสับสน

‘จักรพรรดินีช่างอันตรายจริงๆ ต้องเว้นระยะห่างกับพวกอังเกนัสเสียแล้ว’

สัญชาตญาณกำลังตะโกนกู่ร้องบอกเขาเช่นนั้น

เพื่อความปรารถนาของตัวเอง จักรพรรดินีเป็นคนที่ยอมรับความสูญเสียได้ทุกรูปแบบ

และในครั้งถัดไป คนคนนั้นอาจจะเป็นตระกูลไอบันก็เป็นได้

ตอนที่เดินทางมาเยือนวังจักรพรรดินี ลอนเชนต์ ไอบันรู้สึกหนักใจเป็นอย่างมาก

เพราะยังมีข่าวร้ายอีกข่าวหนึ่งที่เขาต้องการแจ้งให้จักรพรรดินีทราบพร้อมกับข่าวการเสียชีวิตของบิดา

มันเป็นคำสั่งที่เจ้าตระกูลไอบันสั่งผ่านสารที่ส่งมา ตอนแรกเขาก็ไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้มาลองคิดดูมันเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดมากจริงๆ

ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันคิดถึงจุดนั้น ก่อนจะพยักหน้าหนักอึ้ง พลางเปิดปากพูด

“ไม้ที่เจ้าตระกูลอังเกนัสซื้อและรวบรวมเอาไว้ ทางกระหม่อมจะจัดการส่งให้ถึงเขตแดนอังเกนัสพ่ะย่ะค่ะ แต่ว่า…”

“มีเรื่องอะไรคะ”

“ดูเหมือนว่าต่อไปทางกระหม่อมจะขายต้นทรีบ้าให้อังเกนัสได้ยากพ่ะย่ะค่ะ เพราะทางเราเองก็ต้องการใช้มันเพื่อก่อสร้างฟื้นฟูไอบันเช่นกัน…ขอจักรพรรดินีทรงเห็นใจด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

นัยน์ตาสีฟ้าของจักรพรรดินีส่องประกายเย็นยะเยือก

ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันหลบสายตาไม่กล้ามองสบตานาง เขาได้แต่กลืนน้ำลายขมฝาดลงคอเสียงดังอึก

“…ได้ค่ะ ข้าเข้าใจสถานการณ์ของไอบันดี”

โล่งอกไปที

ลอนเชนต์ ไอบันพยายามเก็บลมหายใจที่เกือบจะหลุดถอนใจออกมาด้วยความโล่งอกกลับลงคอ ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่ง

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดินี เช่นนั้นกระหม่อมขอตัวก่อน พอดีมีธุระต่อ…”

จักรพรรดินีราวีนี่จ้องเขม็งตามหลังตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันที่รีบโค้งศีรษะกล่าวลา แล้วลุกเดินจากไปด้วยความรีบเร่ง

และกระทั่งได้ยินเสียงรถม้าของอีกฝ่ายเดินทางออกไปแล้ว จักรพรรดินีจึงเอ่ยเรียกนางกำนัลคนหนึ่ง

“เรียกตัวดิวอิจมาพบข้า”

ไม่นานหลังจากนั้น

ดิวอิจ อังเกนัสก็เดินทางมาถึงห้องรับรองของจักรพรรดินี หลังจากได้รับเรียกให้เข้าเฝ้า

“ท่านพ่อสิ้นแล้ว”

นั่นคือคำพูดประโยคแรกของจักรพรรดินี ก่อนที่น้องชายจะทันได้นั่งลงบนเก้าอี้ด้วยซ้ำ

“ว่ายังไงนะพ่ะย่ะค่ะ ท่านพี่ ทะ ท่านพ่อสิ้นแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ดิวอิจ อังเกนัส แข้งขาอ่อนแรงทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยความรู้สึกราวกับท้องฟ้าพังครืนลงมา

แต่จักรพรรดินีไม่คิดให้เวลาเขาได้รู้สึกเศร้าเสียใจเลยแม้แต่วินาทีเดียว นางเอ่ยว่าเสียงแห้งผาก

“ดังนั้นเจ้าจงออกไปจากวังจักรพรรดินี เคลื่อนไหวโดยเร็วตามคำสั่งของข้าเสีย ยังมีเรื่องให้ต้องทำอีกมาก”

“นี่มันเกินไปแล้วไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ท่านพี่!”

ดิวอิจ อังเกนัสระเบิดอารมณ์โมโหออกมาอย่างหาได้ยาก

“ท่านพ่อเสียชีวิตนะพ่ะย่ะค่ะ! แต่ท่านพี่กลับไม่มีสีหน้าเสียใจเลยได้ยังไง…!”

“อย่ามาขึ้นเสียงใส่ข้า ดิวอิจ”

จักรพรรดินีพูดตัดประโยคของดิวอิจด้วยเสียงห้วน

“หากไม่ตั้งสติให้ดี ความรับผิดชอบในเหตุดินถล่มทางเหนือนั่น จะถูกโยนมาใส่หัวให้พวกเราอังเกนัสรับผิดชอบเป็นแน่ แต่ความตายของท่านพ่อสามารถช่วยขวางเรื่องนั้นได้ จะว่าไปก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน”

“ทะ ท่านพี่!”

ดิวอิจ อังเกนัสตะโกนเสียงดังด้วยความตกตะลึงทว่าจักรพรรดินีราวีนี่ไม่สนใจปฏิกิริยาเช่นนั้นของน้องชาย

“พวกนั้นจะต้องลงความเห็นว่า สาเหตุที่เกิดดินถล่มเป็นเพราะการบุ่มบ่ามตัดไม้เป็นจำนวนมากตามข้อเรียกร้องของพวกเราอังเกนัสแน่ ใช่แล้ว เรื่องของท่านพ่อจะกลายเป็นเกราะป้องกันที่ดีให้พวกเราได้”

จักรพรรดินีพึมพำเสียงแผ่วในขณะที่ใช้ความคิด นางมองหน้าน้องชายที่กำลังมองนางอย่างเหยียดหยาม

การมองทะลุได้ถึงสิ่งที่ผู้คนต้องการ เป็นหนึ่งในความสามารถของราวีนี่มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

ตอนนี้ก็เหมือนกัน แค่นางพูดออกไปประโยคเดียว สายตาดูหมิ่นของดิวอิจนั่นก็คงจะจางหายไปทันที

จักรพรรดินีราวีนี่คิดเช่นนั้น ก่อนจะเปิดปากพูดขึ้น

“ดิวอิจ เจ้าจงขึ้นเป็นเจ้าตระกูลอังเกนัสต่อจากท่านพ่อซะ”

“…กระ กระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ดูสิ

นัยน์ตาเย็นชาที่เหยียดหยามนางอยู่เมื่อครู่ กำลังสั่นคลอนด้วยความโลภกระหายในอำนาจอยู่ไม่ใช่หรือไง

“ใช่ ตำแหน่งนั่นต้องมีใครสักคนขึ้นต่อจากท่านพ่ออยู่แล้ว แน่นอนว่าหัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรักเองก็อยากได้มันเหมือนกัน แต่ข้าจะช่วยให้เจ้าได้นั่งตำแหน่งนั้นเอง”

“เจ้าตระกูลอังเกนัส…”

ดิวอิจพึมพำราวกับตกอยู่ในความฝัน

“แต่มันเป็นเรื่องกะทันหันเกินไป เจ้าเองตอนแรกๆ ก็คงต้องการความช่วยเหลืออยู่มาก เช่นนั้นก็ทำตามคำแนะนำของข้าไปสักระยะก่อนก็แล้วกัน ได้หรือไม่”

ตั้งแต่วินาทีที่นางเอ่ยคำว่า ‘ตำแหน่งเจ้าตระกูล’ ออกไป คำตอบของดิวอิจก็ถูกเลือกเอาไว้แล้ว

“พ่ะย่ะค่ะ ท่านพี่ กระหม่อมจะทำตามรับสั่ง”

จักรพรรดินีกระตุกยิ้มมุมปากเงียบๆ ก่อนจะเอ่ยว่า

“ถ้าอย่างนั้นเจ้ารีบไปปล่อยข่าวให้ทุกคนได้รู้ถึงการเสียชีวิตของท่านพ่อโดยเร็วที่สุดและพวกเราอังเกนัสนับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะสิ้นสุดงานศพ จะขอไว้ทุกข์อยู่ในความเศร้าระยะหนึ่ง ดังนั้นการประชุมใหญ่ในวันพรุ่งนี้ก็จะไม่สามารถเข้าร่วมได้”

“แต่ถึงจะบอกว่าไว้ทุกข์ก็เถอะ การเข้าร่วมการประชุมมันเป็นกฎ…”

“หากเจ้าเผลอพูดอะไรไม่คิดออกไปในการประชุม เจ้าเฒ่าลอมบาร์เดียได้มัดแขนมัดขาของอังเกนัสแน่ คิดว่าจะรับมือไหวมั้ยล่ะ”

“มะ…ไม่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะรั้งอยู่แต่ในคฤหาสน์”

ราวีนี่มองน้องชายที่รีบโบกไม้โบกมือทั้งสองข้างเป็นพัลวันด้วยความหวาดกลัวในตัวรูลลัก นางมองน้องชายด้วยนัยน์ตาสมเพชแล้วเอ่ยต่อ

“ไปเถอะ”

ดิวอิจ อังเกนัสเดินออกจากวังจักรพรรดินีด้วยจังหวะการเดินที่ไร้เรี่ยวแรง ไม่ต่างจากตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันที่เดินออกไปก่อนหน้านี้ ราวีนี่จึงได้อยู่ตามลำพังในพื้นที่ที่เงียบสงัดอีกครั้ง

และจักรพรรดินีก็หยิบเอาแจกันดอกไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา ก่อนจะเขวี้ยงมันลงไปบนพื้นสุดแรง

เพล้ง-!

ยังไม่จบแค่นั้น

จักรพรรดินีกวาดเอาทุกสิ่งที่นางสามารถถือไว้ในมือได้ขึ้นมาเขวี้ยงไม่หยุด จนทุกชิ้นแตกกระจายไปทั่วพื้น

“แฮกแฮก…”

ไม่นานหลังจากนั้น จักรพรรดินีก็ยืนหอบหายใจอยู่กลางห้องรับรองที่เละเทะไปด้วยข้าวของแตกหัก นางเอ่ยเรียกเหล่ามหาดเล็กเข้ามา

“เก็บให้หมด แล้วก็เจ้าตรงนั้นน่ะ ไปแจ้งฝ่าบาทให้เสด็จมาหาข้าที่วังจักรพรรดินีด้วยเดี๋ยวนี้”

“พ่ะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดินี”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 142.1

Now you are reading เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล Chapter 142.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 142

เจ้าตระกูลอังเกนัสนั่งรถม้าฝ่าประตูเมืองที่ปิดแน่นออกไป แม้ทหารจะห้ามปรามแล้วก็ตาม หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าตรงไปยังแคมป์ตัดไม้

แต่โชคร้ายที่ดันเกิดเหตุการณ์หินและดินถล่มลงมากลบทับเส้นทางบนภูเขา รถม้าที่เจ้าตระกูลอังเกนัสโดยสารออกไปจึงถูกฝังกลบอยู่ใต้ดิน

หลังจากที่ทางไอบันทราบว่าเจ้าตระกูลอังเกนัสหายตัวไป พวกเขาก็ได้ส่งทหารออกไปตามหารถม้าคันนั้นอย่างรวดเร็ว แต่น่าเศร้าที่กว่าจะพบตัว เจ้าตระกูลกับสารถีรถม้าก็หมดลมหายใจไปเสียแล้ว

เนื้อหาโดยละเอียดของสารที่ได้รับยังคงเต็มอยู่ในหัวสมอง แต่ลอนเชนต์ได้แต่นั่งเงียบ

นั่นเป็นมารยาทที่เขาพึงปฏิบัติต่อจักรพรรดินี

จักรพรรดินีราวีนี่เป็นฝ่ายถามกลับไปแทน

“ท่านพ่อเหรอคะ…ว่ายังไงนะคะ”

ต่อให้เป็นจักรพรรดินีที่ได้ชื่อว่าไร้น้ำตา ไร้หยาดเลือด ต่อหน้าข่าวอันน่าสลดของผู้เป็นบิดา ก็ไม่อาจเลือดเย็นต่อไปได้สินะ

ลอนเชนต์ยิ่งรู้สึกเศร้าหมองมากกว่าเดิม ก่อนจะเอ่ยต่อไป

“เจ้าตระกูลอังเกนัสเสียชีวิตแล้วพ่ะย่ะค่ะ นี่คือสารที่ส่งจากตระกูลไอบันมาถึงกระหม่อมเมื่อเช้านี้”

สารแผ่นเล็กที่ห้อยอยู่บนขาของนกพิราบสื่อสาร บินข้ามผ่านทวีปมาไกลแสนไกล มันจึงทั้งสกปรก ทั้งยับยู่ยี่ไปหมด

ช่างแตกต่างกับมือขาวเนียน ทั้งยังถูกบำรุงดูแลอย่างดีของจักรพรรดินีที่รับสารฉบับนั้นไปถือไว้มากเหลือเกิน

ศีรษะของจักรพรรดินีก้มลงอย่างช้าๆ

เพราะศีรษะทุยที่ก้มลงนั่น ทำให้มองไม่เห็นใบหน้าของนางอีกต่อไปว่ากำลังแสดงสีหน้าแบบใด

ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ลอนเชนต์ ไอบันรู้สึกเห็นใจอีกฝ่าย เขาจึงเอ่ยออกไปเพื่อปลอบประโลมจักรพรรดินี

“กระหม่อมทราบดีว่าพระองค์คงจะใจสลายพ่ะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดินี เจ้าตระกูลอังเกนัสที่สิ้นไปแล้ว ท่านเป็นที่เคารพของขุนนางมากมายจริงๆ”

ถึงแม้จะพูดปลอบประโลมสั้นๆ แต่จักรพรรดินีก็ไม่แม้แต่จะขยับกาย

จะใจสลายมากขนาดไหนถึงได้เป็นเช่นนั้นกันนะ

บางทีหยาดน้ำตาอุ่นร้อนอาจจะกำลังไหลอาบลงมาทั่วใบหน้าของจักรพรรดินีอยู่ก็เป็นได้

ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันครุ่นคิดไปพลางเอ่ยต่อเพื่อปลอบโยน

“ตระกูลไอบันของกระหม่อมจะทำสุดความสามารถ เพื่อส่งร่างท่านเจ้าตระกูลอังเกนัสกลับมายังเมืองหลวงได้อย่างปลอดภัย ไม่มีบุบสลาย…”

“แล้วต้นทรีบ้าเป็นยังไงบ้างคะ”

“…พ่ะย่ะค่ะ?”

ลอนเชนต์ ไอบันแทบไม่อยากเชื่อหูของตัวเอง

เขาจึงถามกลับไป

“ทรงตรัสเรื่องอะไร…”

“ต้องเอาต้นทรีบ้าที่รวบรวมไว้กลับมาแท้ๆ”

จักรพรรดินีเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ

ใบหน้าของจักรพรรดินีราวีนี่ที่เงยขึ้นรับแสงอาทิตย์อีกครั้ง ดูสมบูรณ์แบบเป็นอย่างยิ่ง

เครื่องสำอางที่แต่งแต้มบนใบหน้าไม่มีส่วนใดเลอะเทอะด้วยหยาดน้ำตาแม้แต่ส่วนเดียว ไม่แม้แต่จะร้องไห้ ไม่มีแม้กระทั่งใบหน้าที่บิดเบี้ยวไม่น่ามองด้วยความเศร้า

ตรงหน้านี้คือใบหน้าที่เหมือนเมื่อครู่ตอนที่สนทนากันก่อนเขาจะแจ้งข่าวการเสียชีวิตให้ทราบ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

“ท่านพ่อเดินทางไปร่วมการประมูลไม้ทรีบ้าทางเหนือด้วยตัวเอง เพื่อที่จะรวบรวมต้นทรีบ้าแท้ๆ ไม่ทราบว่าทางตระกูลไอบันจะช่วยขนย้ายมันไปยังอังเกนัสได้มั้ยคะ”

“อ๊ะ ระ เรื่องนั้น…”

ลอนเชนต์ ไอบันพูดอะไรไม่ออกไปครู่ใหญ่

ใบหน้าอันแสนงดงามดั่งรูปสลักของจักรพรรดินีที่กำลังมองตนอยู่นั้น มันทำให้เขารู้สึกขนลุก

ผู้เป็นบิดาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุแท้ๆ แต่คำแรกของจักรพรรดินีหลังทราบข่าวที่ว่านั่น กลับเกี่ยวกับต้นทรีบ้าเสียได้

การก่อสร้างพัฒนาภาคตะวันตกสำคัญกว่าความตายของบิดาอีกงั้นหรือ

“ถะ ถ้าหากแจ้งให้ทางกระหม่อมทราบว่าเก็บไว้ที่โกดังไหน…”

ในสถานการณ์ที่แค่ฟื้นฟูไอบันก็งานแน่นเต็มมือมากพอแล้ว เขาควรที่จะยืนกรานปฏิเสธออกไปก็จริง แต่ลอนเชนต์ดันเผลอตอบออกไปเช่นนั้น เพราะเขากำลังสับสน

‘จักรพรรดินีช่างอันตรายจริงๆ ต้องเว้นระยะห่างกับพวกอังเกนัสเสียแล้ว’

สัญชาตญาณกำลังตะโกนกู่ร้องบอกเขาเช่นนั้น

เพื่อความปรารถนาของตัวเอง จักรพรรดินีเป็นคนที่ยอมรับความสูญเสียได้ทุกรูปแบบ

และในครั้งถัดไป คนคนนั้นอาจจะเป็นตระกูลไอบันก็เป็นได้

ตอนที่เดินทางมาเยือนวังจักรพรรดินี ลอนเชนต์ ไอบันรู้สึกหนักใจเป็นอย่างมาก

เพราะยังมีข่าวร้ายอีกข่าวหนึ่งที่เขาต้องการแจ้งให้จักรพรรดินีทราบพร้อมกับข่าวการเสียชีวิตของบิดา

มันเป็นคำสั่งที่เจ้าตระกูลไอบันสั่งผ่านสารที่ส่งมา ตอนแรกเขาก็ไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้มาลองคิดดูมันเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดมากจริงๆ

ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันคิดถึงจุดนั้น ก่อนจะพยักหน้าหนักอึ้ง พลางเปิดปากพูด

“ไม้ที่เจ้าตระกูลอังเกนัสซื้อและรวบรวมเอาไว้ ทางกระหม่อมจะจัดการส่งให้ถึงเขตแดนอังเกนัสพ่ะย่ะค่ะ แต่ว่า…”

“มีเรื่องอะไรคะ”

“ดูเหมือนว่าต่อไปทางกระหม่อมจะขายต้นทรีบ้าให้อังเกนัสได้ยากพ่ะย่ะค่ะ เพราะทางเราเองก็ต้องการใช้มันเพื่อก่อสร้างฟื้นฟูไอบันเช่นกัน…ขอจักรพรรดินีทรงเห็นใจด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

นัยน์ตาสีฟ้าของจักรพรรดินีส่องประกายเย็นยะเยือก

ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันหลบสายตาไม่กล้ามองสบตานาง เขาได้แต่กลืนน้ำลายขมฝาดลงคอเสียงดังอึก

“…ได้ค่ะ ข้าเข้าใจสถานการณ์ของไอบันดี”

โล่งอกไปที

ลอนเชนต์ ไอบันพยายามเก็บลมหายใจที่เกือบจะหลุดถอนใจออกมาด้วยความโล่งอกกลับลงคอ ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่ง

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดินี เช่นนั้นกระหม่อมขอตัวก่อน พอดีมีธุระต่อ…”

จักรพรรดินีราวีนี่จ้องเขม็งตามหลังตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันที่รีบโค้งศีรษะกล่าวลา แล้วลุกเดินจากไปด้วยความรีบเร่ง

และกระทั่งได้ยินเสียงรถม้าของอีกฝ่ายเดินทางออกไปแล้ว จักรพรรดินีจึงเอ่ยเรียกนางกำนัลคนหนึ่ง

“เรียกตัวดิวอิจมาพบข้า”

ไม่นานหลังจากนั้น

ดิวอิจ อังเกนัสก็เดินทางมาถึงห้องรับรองของจักรพรรดินี หลังจากได้รับเรียกให้เข้าเฝ้า

“ท่านพ่อสิ้นแล้ว”

นั่นคือคำพูดประโยคแรกของจักรพรรดินี ก่อนที่น้องชายจะทันได้นั่งลงบนเก้าอี้ด้วยซ้ำ

“ว่ายังไงนะพ่ะย่ะค่ะ ท่านพี่ ทะ ท่านพ่อสิ้นแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ดิวอิจ อังเกนัส แข้งขาอ่อนแรงทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยความรู้สึกราวกับท้องฟ้าพังครืนลงมา

แต่จักรพรรดินีไม่คิดให้เวลาเขาได้รู้สึกเศร้าเสียใจเลยแม้แต่วินาทีเดียว นางเอ่ยว่าเสียงแห้งผาก

“ดังนั้นเจ้าจงออกไปจากวังจักรพรรดินี เคลื่อนไหวโดยเร็วตามคำสั่งของข้าเสีย ยังมีเรื่องให้ต้องทำอีกมาก”

“นี่มันเกินไปแล้วไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ท่านพี่!”

ดิวอิจ อังเกนัสระเบิดอารมณ์โมโหออกมาอย่างหาได้ยาก

“ท่านพ่อเสียชีวิตนะพ่ะย่ะค่ะ! แต่ท่านพี่กลับไม่มีสีหน้าเสียใจเลยได้ยังไง…!”

“อย่ามาขึ้นเสียงใส่ข้า ดิวอิจ”

จักรพรรดินีพูดตัดประโยคของดิวอิจด้วยเสียงห้วน

“หากไม่ตั้งสติให้ดี ความรับผิดชอบในเหตุดินถล่มทางเหนือนั่น จะถูกโยนมาใส่หัวให้พวกเราอังเกนัสรับผิดชอบเป็นแน่ แต่ความตายของท่านพ่อสามารถช่วยขวางเรื่องนั้นได้ จะว่าไปก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน”

“ทะ ท่านพี่!”

ดิวอิจ อังเกนัสตะโกนเสียงดังด้วยความตกตะลึงทว่าจักรพรรดินีราวีนี่ไม่สนใจปฏิกิริยาเช่นนั้นของน้องชาย

“พวกนั้นจะต้องลงความเห็นว่า สาเหตุที่เกิดดินถล่มเป็นเพราะการบุ่มบ่ามตัดไม้เป็นจำนวนมากตามข้อเรียกร้องของพวกเราอังเกนัสแน่ ใช่แล้ว เรื่องของท่านพ่อจะกลายเป็นเกราะป้องกันที่ดีให้พวกเราได้”

จักรพรรดินีพึมพำเสียงแผ่วในขณะที่ใช้ความคิด นางมองหน้าน้องชายที่กำลังมองนางอย่างเหยียดหยาม

การมองทะลุได้ถึงสิ่งที่ผู้คนต้องการ เป็นหนึ่งในความสามารถของราวีนี่มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

ตอนนี้ก็เหมือนกัน แค่นางพูดออกไปประโยคเดียว สายตาดูหมิ่นของดิวอิจนั่นก็คงจะจางหายไปทันที

จักรพรรดินีราวีนี่คิดเช่นนั้น ก่อนจะเปิดปากพูดขึ้น

“ดิวอิจ เจ้าจงขึ้นเป็นเจ้าตระกูลอังเกนัสต่อจากท่านพ่อซะ”

“…กระ กระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ดูสิ

นัยน์ตาเย็นชาที่เหยียดหยามนางอยู่เมื่อครู่ กำลังสั่นคลอนด้วยความโลภกระหายในอำนาจอยู่ไม่ใช่หรือไง

“ใช่ ตำแหน่งนั่นต้องมีใครสักคนขึ้นต่อจากท่านพ่ออยู่แล้ว แน่นอนว่าหัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรักเองก็อยากได้มันเหมือนกัน แต่ข้าจะช่วยให้เจ้าได้นั่งตำแหน่งนั้นเอง”

“เจ้าตระกูลอังเกนัส…”

ดิวอิจพึมพำราวกับตกอยู่ในความฝัน

“แต่มันเป็นเรื่องกะทันหันเกินไป เจ้าเองตอนแรกๆ ก็คงต้องการความช่วยเหลืออยู่มาก เช่นนั้นก็ทำตามคำแนะนำของข้าไปสักระยะก่อนก็แล้วกัน ได้หรือไม่”

ตั้งแต่วินาทีที่นางเอ่ยคำว่า ‘ตำแหน่งเจ้าตระกูล’ ออกไป คำตอบของดิวอิจก็ถูกเลือกเอาไว้แล้ว

“พ่ะย่ะค่ะ ท่านพี่ กระหม่อมจะทำตามรับสั่ง”

จักรพรรดินีกระตุกยิ้มมุมปากเงียบๆ ก่อนจะเอ่ยว่า

“ถ้าอย่างนั้นเจ้ารีบไปปล่อยข่าวให้ทุกคนได้รู้ถึงการเสียชีวิตของท่านพ่อโดยเร็วที่สุดและพวกเราอังเกนัสนับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะสิ้นสุดงานศพ จะขอไว้ทุกข์อยู่ในความเศร้าระยะหนึ่ง ดังนั้นการประชุมใหญ่ในวันพรุ่งนี้ก็จะไม่สามารถเข้าร่วมได้”

“แต่ถึงจะบอกว่าไว้ทุกข์ก็เถอะ การเข้าร่วมการประชุมมันเป็นกฎ…”

“หากเจ้าเผลอพูดอะไรไม่คิดออกไปในการประชุม เจ้าเฒ่าลอมบาร์เดียได้มัดแขนมัดขาของอังเกนัสแน่ คิดว่าจะรับมือไหวมั้ยล่ะ”

“มะ…ไม่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะรั้งอยู่แต่ในคฤหาสน์”

ราวีนี่มองน้องชายที่รีบโบกไม้โบกมือทั้งสองข้างเป็นพัลวันด้วยความหวาดกลัวในตัวรูลลัก นางมองน้องชายด้วยนัยน์ตาสมเพชแล้วเอ่ยต่อ

“ไปเถอะ”

ดิวอิจ อังเกนัสเดินออกจากวังจักรพรรดินีด้วยจังหวะการเดินที่ไร้เรี่ยวแรง ไม่ต่างจากตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันที่เดินออกไปก่อนหน้านี้ ราวีนี่จึงได้อยู่ตามลำพังในพื้นที่ที่เงียบสงัดอีกครั้ง

และจักรพรรดินีก็หยิบเอาแจกันดอกไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา ก่อนจะเขวี้ยงมันลงไปบนพื้นสุดแรง

เพล้ง-!

ยังไม่จบแค่นั้น

จักรพรรดินีกวาดเอาทุกสิ่งที่นางสามารถถือไว้ในมือได้ขึ้นมาเขวี้ยงไม่หยุด จนทุกชิ้นแตกกระจายไปทั่วพื้น

“แฮกแฮก…”

ไม่นานหลังจากนั้น จักรพรรดินีก็ยืนหอบหายใจอยู่กลางห้องรับรองที่เละเทะไปด้วยข้าวของแตกหัก นางเอ่ยเรียกเหล่ามหาดเล็กเข้ามา

“เก็บให้หมด แล้วก็เจ้าตรงนั้นน่ะ ไปแจ้งฝ่าบาทให้เสด็จมาหาข้าที่วังจักรพรรดินีด้วยเดี๋ยวนี้”

“พ่ะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดินี”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+